ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    hey,you!

    ลำดับตอนที่ #3 : :: CH II ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 145
      1
      8 มิ.ย. 57



    II

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    น่ารักดี..

     

     

     

    ทุกอย่างก็ดูโอเคทั้งหมด ผิดไปจากที่คาดหวังไว้นิดหน่อยแต่นับว่าก็น่ารักดี ซอกจินอมยิ้มบางพลางทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟากำมะหยี่สีอ่อน หลังจากที่ดวงตาคมกวาดมองจนพอใจแล้ว พบว่าสถานที่ที่จะใช้สอนพิเศษวันนี้ไม่มีอะไรที่เขาไม่ชอบใจเลยสักอย่าง คาเฟ่กึ่งอาร์ตแกลลอรี่ที่เปิดเพลงจังหวะไม่เร็วนักคลออยู่เบาๆ

     

     

     

    ใช่ ร้านนี้นับว่าดีทีเดียว ติดอยู่แค่ที่ว่านักเรียนของเขาดูจะเป็นคนไม่ตรงต่อเวลาสักเท่าไร ซอกจินเหลือบดูนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเป็นเวลาตรงกับที่เพื่อนสนิทบอกเอาไว้ มองไปยังนาฬิกาแขวนเรือนกลมของทางร้านก็พบว่าเป็นเวลาเดียวกัน นาฬิกาของเขาไม่ได้เสียหรือเดินเร็วเกินไป แต่รอบๆตัวก็ยังไร้วี่แววของเด็กมัธยมผู้ชายวัยสิบหกปีตามข้อมูลที่รู้มา

     

     

     

    แต่เพราะเขาเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน ดังนั้นซอกจินจะนั่งรออย่างใจเย็นอีกสักเดี๋ยว บางทีโรงเรียนของจอนจองกุกอาจจะอยู่ไกล อาจารย์อาจจะปล่อยให้เลิกเรียนช้า หรืออาจจะมีเรื่องขลุกขลักนิดหน่อยระหว่างเด็กคนนั้นเดินทางมาก็เป็นได้ ร่างสูงในชุดนักศึกษาจึงถือโอกาสนี้พักสายตาไปพลางๆด้วยเช่นกัน

     

     

     

    เพลงจังหวะสบายๆผ่านไปอีกสองเพลงนับแต่เขาลุกไปซื้อมอคค่าเย็นเพิ่มอีกแก้ว จากที่เขานั่งมองผ่านกระจกใส ตอนนี้เด็กนักเรียนมัธยมเริ่มเดินผ่านไปมาหน้าร้านบ้างแล้ว แต่ก็ยังเหมือนเดิมคือเด็กที่ชื่อจอนจองกุกไม่ปรากฎตัวเข้ามาในกรอบสายตา เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆและท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มแล้ว

     

     

    “สวัสดีครับ ขอโทษที่มาสาย พี่ยุนกิใช่มั้ยครับ?”

     

     

     

    ห้าโมงยี่สิบเจ็ดนาที..

     

     

     

    มือหนาวางดินสอไม้แท่งโปรดลงบนโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงทักทายปนหอบถี่ๆ ให้เดาก็ได้ว่าคงจะวิ่งมาเป็นระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นเด็กคนที่ว่านี้ก็ยังหนีไม่พ้นความจริงที่ว่าตัวเองมาสายไปเกือบครึ่งชั่วโมงอยู่ดี นับเป็นความประทับใจแรกที่ไม่ดีนักแต่เขาจะไม่เก็บมาใส่ใจ ซอกจินผายมือเชิญให้ร่างเล็กในชุดนักเรียนมัธยมนั่งพักเหนื่อยก่อน

     

     

    “จอนจองกุกใช่มั้ย? ยุนกิมีปัญหานิดหน่อยมาสอนไม่ได้ฉันเลยมาแทน”

     

     

    เอ่ยตอบพลางเก็บประดาษที่ร่างภาพเปอร์สเปคทีฟเมื่อครู่ลงในกระเป๋า ดวงตาจับจ้องไปที่เด็กชายซึ่งดูเหมือนจะคลายจากอาการหอบเมื่อครู่ไปมากแล้ว เขาแอบสังเกตผมหน้าม้าสีดำยุ่งเหยิงที่ตกลงมาปิดหน้าปิดตา แก้มกลมๆแน่นๆน่าหยิก จมูกเล็กและริมฝีปากแดงฉ่ำที่พรูลมหายใจเข้าออกถี่รัว

     

     

    “อา ..ถ้างั้นคุณชื่ออะไรครับ? ผมเองก็ไม่ใช่จองกุก เป็นพี่ชายของเขาชื่อปาร์คจีมิน”

     

     

    ซอกจินชะงักมือไปชั่วครู่เมื่อรู้สึกถึงปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็กลับเงยหน้าขึ้นสบตากลมนั้นกะทันหัน หัวใจเต้นผิดจังหวะไปเพียงชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น แล้วก็เอ่ยปากตอบคำถามของคนตัวเล็กตรงหน้า

     

     

    “ซอกจิน ..ฉันชื่อคิมซอกจิน”

     

     

    หากเขาไม่ได้คิดไปเอง ปาร์คจีมินส่งยิ้มกว้างกลับมาเมื่อได้ยินชื่อเต็มของเขา ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างตอบกลับไปเช่นกัน ลอบสังเกตใบหน้าเล็กนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง รู้สึกเงอะงะขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง

     

     

    “สวัสดีอีกครั้งครับพี่ซอกจิน ผมมาเรียนแทนจองกุกคงไม่เป็นไรใช่มั้ย? น้องชายผมมีปัญหานิดหน่อยก็เลยขอเปลี่ยนให้ผมมาเรียนแทน”

     

     

    เสียงหวานเอ่ยถามไม่เต็มเสียงนัก จีมินเลิกคิ้วขึ้นสูงระหว่างที่รอให้เขาตอบคำถามนั้น ทำให้ซอกจินยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกหลายเท่า ท่าทางตั้งอกตั้งใจที่เด็กคนนี้แสดงออกมามันน่ารักเอามากๆ และยิ่งไปกว่านั้นคือทำให้เขาคิดถึงใครบางคน

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ยุนกิก็เปลี่ยนให้ฉันมาสอนแทนเหมือนกันนี่ ถือว่าเจาท์กันไปเนอะ”

     

     

    หลังจากได้ยินประโยคคำตอบที่ดูท่าทางใจดีนั้นแล้ว จีมินจึงพรูลมหายใจจากปากแรงๆเสียทีหนึ่ง ถือว่าจัดการปัญหาทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปได้แล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่เรียนๆไปให้จบคอร์สเท่านั้น และดูเหมือนเรื่องนั้นจะไม่เป็นปัญหาสักเท่าไร เพราะพี่ซอกจินคนนี้ก็ดูจะไม่ได้โหดร้ายหรือน่าเบื่ออะไรนัก

     

     

    “ครับ แล้วพี่ซอกจินมานานหรือยัง ผมขอโทษอีกครั้งที่มาสาย พอดีเพื่อนผมมีเรื่องชกต่อยนิดหน่อย กว่าจะจับแยกกันได้ก็เกือบยี่สิบนาที ต้องขอโทษจริงๆครับ”

     

     

    สิ้นประโยคนั้นซอกจินจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่วินาทีต่อมาก็โบกมือไปมาเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่เป็นไร เมื่อพบว่าคนตัวเล็กกว่าดูมีท่าทางรู้สึกผิดมาก ดวงตากลมเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆฉายแววบางอย่างส่งตรงมา มันยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับมีภาพของเด็กคนหนึ่งซ้อนทับขึ้นมากับใบหน้าน่ารักตรงหน้า

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ถ้างั้นจีมินไปซื้ออะไรมากินก่อนมั้ย หรืออยากเริ่มเรียนเลย?”

     

     

    ทั้งที่ผายมือไปทางเคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่มและขนมทานเล่น แต่ดวงตาคมของเขายังคงจับจ้องและกวาดมองไปทั่วร่างเล็กไม่เลิกรา ไม่ได้อยากเสียมารยาทอะไรนักหนาหรอก แต่ซอกจินแค่รู้สึกว่าโลกนี้มันไม่น่าจะมีอะไรน่าทึ่งได้ขนาดนี้ ไม่น่าจะมีใครที่เหมือนกันมากเท่านี้ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นคนๆเดียวกัน

     

     

     

     

     

    แต่ถ้าหากว่าเป็นคนเดียวกันจริงก็อดจะประหลาดใจไม่ได้อยู่ดี

     

     

     

     

     

    ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    แต่เรียกได้ว่าเป็นพรหมลิขิต

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แสงไฟที่สาดส่องเข้ามาภายในเรียกให้สายตาของเขาหันไปมอง เด็กชายผมสีแดงเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อพบว่าผู้มาใหม่เป็นใครที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย แต่เขาก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ และยังคงยืดเส้นยืดสายต่อไปตามที่ตั้งใจไว้ แขนขาที่เริ่มจะมีกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าครั้งแรกที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ร่างกายที่ถึงแม้จะขาวซีดแต่ดูแข็งแรงมากกว่าเดิมนัก มันทำให้เขาอดจะภูมิใจไม่ได้

     

     

     

    จนกระทั่งรู้สึกถึงแรงสะกิดยิกๆจากด้านหลัง เขาได้แต่จิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อถูกรบกวน เงยหน้าขึ้นและดึงหูฟังข้างหนึ่งออกจากรูหู รอฟังเสียงกระซิบแหบพร่าจากรุ่นพี่ผมสีสว่าง แต่กลับพบว่าอีกคนมีท่าทางแปลกๆ สายตาหลุกหลิกและอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไร

     

     

    มีอะไรพี่นัมจุน?”

     

     

    ใบหน้าคมเข้มตรงหน้ามีทีท่าคล้ายหวาดวิตกกับอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่คาดเดาได้จากสายตาที่เหลือบมองไปทางผู้มาใหม่เป็นระยะ ว่ามันคงเป็นอะไรที่หลีกไม่พ้นเรื่องของคนๆนั้นเป็นแน่ เพียงแต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไร ถ้าพี่นัมจุนยังไม่ยอมบอกสักที

     

     

    “คือ ..กูว่ากูคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วว่ะ ฝากมึงดูแลต่อด้วย”

     

     

    แต่เมื่อคำพูดคำนั้นออกมาจากปากรุ่นพี่ที่เคารพ เขาเองกลับรู้สึกเหมือนถูกล้างสมองไปชั่วครู่ มันเบลอๆและว่างเปล่าไปชั่วขณะ คิดอะไรไม่ออกและได้ยินแต่คำว่า ไม่กลับมา ..พี่นัมจุนที่พาเขาเข้ามาที่นี่จะไม่กลับมา จะทิ้งเขาเอาไว้ให้เจอแต่ความว่างเปล่าเหมือนที่ทุกคนทำ ที่ผ่านมาพี่นัมจุนก็แค่หลอกให้เขาไว้ใจเหมือนกับทุกคน

     

     

    “ทำไม...”

     

     

    เสียงดังคล้ายจะตวาดใส่หน้าคนโตกว่า แต่นัมจุนไม่โกรธเพราะเข้าใจเด็กคนนี้ดี จอนจองกุกเป็นเด็กมีปัญหา อารมณ์ร้อนและก้าวร้าวรุนแรง เขาเองใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะทำให้มันเชื่อฟังได้

     

     

     

    คิมนัมจุนก็เคยเป็นเด็กมีปัญหาแบบนี้ ครอบคัวเขาแตกแยกและถูกทิ้งให้สภาพจิตใจตกต่ำถึงขีดสุด เขาใช้เวลานานกว่าจะฟื้นฟูตัวเองให้ไม่กลายเป็นเด็กเหลวแหลกไร้ค่า เมื่อพบกับจองกุกจึงทำให้เขาหวนคิดถึงตัวเองเมื่อหลายปีก่อน นัมจุนไม่รอช้าที่จะพาเด็กคนนี้เข้ามาในห้องซ้อมดนตรีเก่าๆที่ถูกปิดไปแล้วใกล้ๆกับเกมเซ็นเตอร์ มานั่งทำเพลงร่วมกันกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คน และอย่างที่เขาหวัง ..จองกุกมีความสุขกับมันมาก

     

     

     

    เด็กคนนี้เทใจให้กับการทำเพลงใต้ดินเหมือนที่เขาทำ นอกจากดนตรีแล้วเด็กคนนี้ยังหลงใหลในการเต้นอีกด้วย แต่หลังๆนี้ก็ต้องยอมรับว่าเขาและเพื่อนล้วนเติบโตขึ้น ไม่ใช่ว่าจะทิ้งความฝันที่เคยมี แต่ทุกคนกำลังจะต้องเข้ามหาวิทยาลัย เมื่ออาทิตย์ก่อนมินจูเพื่อนคนที่สี่และคนสุดท้ายของกลุ่ม นอกเหนือไปจากเขาและจองกุก ก็เพิ่งจะบอกลาที่นี่ไป

     

     

     

    นัมจุนเข้าใจดีว่าจองกุกเหลือที่ยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียวในชีวิต แต่เขาเองก็ทิ้งชีวิตทั้งหมดให้จมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผู้ปกครองคนปัจจุบันยื่นคำขาดให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ติด แล้วท่านจะไม่บังคับให้เขาละทิ้งดนตรีฮิปฮอปที่เขารัก นั่นคือโอกาสสุดท้ายที่นัมจุนจะคว้าเอาไว้ได้ แม้ต้องทอดทิ้งเด็กที่รักราวกับน้องชายแท้ๆเอาไว้ตรงนี้ เขาก็หวังว่าจอนจองกุกจะเข้าใจ

     

     

     

    “ผมถามพี่ว่าทำไม ..เพราะคนๆนั้นใช่มั้ย”

     

     

    นิ้วเรียวชี้ตรงไปยังคนที่เขาพามาด้วย เมื่อเห็นว่านัมจุนเงียบไปจองกุกก็พาลคนอื่นไปทั่ว ขายาวๆก้าวตรงไปยังร่างที่ยืนพิงกรอบประตูอย่างไม่ยี่หระ แต่ก่อนที่จะทันได้ถึงตัวอีกฝ่าย มือหนาของนัมจุนก็กลับดึงคนใจร้อนวู่วามกลับไป

     

     

    “มึงอย่าทำแบบนี้ โฮซอกเขาไม่เกี่ยว.. ถ้าเขาเป็นอะไรไปกูจะเดือดร้อน มึงคงไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

     

     

    ริมฝีปากแห้งผากถูกกัดจนแสบไปหมด ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหล จองกุกรู้สึกแย่ที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เขาไม่สามารถรั้งพี่นัมจุนไว้ หรือแม้แต่อัดไอ้เหี้ยที่เอาพี่นัมจุนไปจากเขา จอนจองกุกทำอะไรไม่ได้เลย ต้องยืนมองพี่นัมจุนเดินจากที่นี่ไปเฉยๆ และเขาต้องกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้งเหมือนที่เป็นมาตลอดสิบห้าปี

     

     

    “กูขอโทษ มึงก็รู้ว่ากูรักที่นี่ รักมึง ..ถ้าทำได้กูจะติดต่อมึงบ่อยๆ”

     

     

    ทิ้งคำบอกลาที่สร้างรอยแผลไว้ในหัวใจเขาได้เพียงเท่านั้น แล้วพี่นัมจุนก็เดินกลับออกไปพร้อมไอ้โฮซอกอะไรนั่นโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก ไม่ทันได้ฟังด้วยซ้ำว่าเขาสะอื้นเสียงดังเหมือนเด็กๆ ไม่มีใครรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ย้ำลงมาภายในจิตใจของเขายกเว้นก็แต่ตัวเขาเอง

     

     

     

    เขาเกลียดทุกคน ..

     

     

    แม่ พ่อ คุณน้า พี่จีมิน พี่นัมจุน ทุกคน ใครก็ตามบนโลกใบนี้ที่แสร้งทำเป็นว่ารักเขา เป็นห่วงเขา ทุกคนดีแต่พูดคำหวานแล้วแทงเขาด้วยมีดที่มองไม่เห็น จองกุกไม่เคยคิดจะทำร้ายใครก่อน แต่ไม่เข้าใจและไม่เคยเข้าใจ ว่าทำไมทุกคนถึงต้องเข้าหาเขา ทำให้เขาวางใจแล้วจากไป สุดท้ายก็มีแต่เขาที่ร้องไห้อยู่คนเดียว

     

     

     

    เสียงครืดคราดของโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงนักเรียนดังขึ้น แต่เขาไม่มีใจจะสนใจอะไรทั้งนั้น น้ำตาไหลเป็นสายและเสียงสะอื้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จองกุกให้ความสนใจ เขาปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไป บางทีร้องไห้จนน้ำตาหมดตัวไปเลยก็คงดี เขาจะได้ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้วในชีวิตนี้

     

     

     

    แต่เหมือนคนที่โทรศัพท์เข้ามายังไม่ละความพยายามง่ายๆ จองกุกล้วงมือลงไปควานหามันแล้วกดปิดเครื่องโดยไม่สนใจดูว่าใครโทร.เข้ามา แต่ถ้าให้เดาก็คงมีแค่พี่จีมินที่เพิ่งเลิกเรียนพิเศษ แต่ยังไงเสียวันนี้เขาก็กลับบ้านไปด้วยสภาพนี้ไม่ได้อยู่แล้ว นอนที่นี่สักคืนก็คงไม่เป็นอะไร ..แน่นอนว่าไม่เป็นอะไร เด็กเลวๆที่แม้แต่พ่อแม่ยังไม่ต้องการแบบเขา จะหายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครเดือดร้อนทั้งนั้นแหละ

     

     

     

    ขายาวถูกยกขึ้นมากอดแน่นราวกับควานหาความอบอุ่นจากโลกที่โหดร้าย เมื่อไม่มีที่พึ่งใดอีกก็มีแต่ตัวเองที่ต้องแบกรับความเสียใจที่เกิดขึ้น น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุดจนน่ารำคาญ มือหนายกขึ้นดึงทึ้งผมสีแดงสดของตัวเองแต่กลับไม่มีความรู้สึกอะไร เขาไม่เจ็บอีกแล้วไม่ว่าจะทุบตีหรือทำร้ายตัวเองสักแค่ไหน

     

     

     

    ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการถูกทอดทิ้งอีกแล้ว..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงดนตรียังคงดังคลอเบาๆและเขายังคงติดใจกับอะไรบางอย่าง ซอกจินรู้ตัวดีว่ามันออกจะแปลกๆที่นั่งจ้องหน้ากันแบบนี้ แต่ทำยังไงได้ล่ะ ก็เด็กคนนี้ทำให้เขาเขาสนใจมากจนควบคุมสายตาเอาไว้ไม่ได้ ทั้งรอยยิ้มและแววตาช่างฝันนั้นมันเหมือนกับใครบางคนที่เขาเคยรู้จัก

     

     

    “เสร็จแล้วครับ”

     

     

    แก้มกลมๆยกขึ้นดันดวงตาเล็กจนเกือบจะปิดลง จีมินยิ้มหวานเป็นครั้งที่ร้อยแล้วในวันนี้นับแต่เขาเริ่มสอนเด็กคนนี้มา รอยยิ้มที่ติดอยู่ในใจเขาตั้งแต่ครั้งแรก จนตอนนี้มันก็ยังทำให้ใจแกว่งได้ไม่ยากเลย มันเจิดจ้าเสียจนเขาอดจะยกมุมปากขึ้นยิ้มตามไม่ได้สักที

     

     

    “เป็นไงบ้างอะ...”

     

     

    หน้าตาเคร่งเครียดของลูกศิษย์คนเก่งทำให้เขาอมยิ้มบาง จริงๆแล้วจีมินเป็นเด็กมีพรสวรรค์มากทีเดียว ลายเส้นและการลงน้ำหนักตั้งแต่ภาพแรกที่เขาให้ร่างเล็กทดลองวาดก็บอกได้ดี น่าเสียดายที่ดูเหมือนเจ้าของพรสวรรค์นี้จะไม่ได้ฝึกฝนมันบ่อยนัก แต่เขาคิดว่าถ้าหากใช้ความพยายามเข้าช่วยแล้ว เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีสองอย่างจีมินคงมีฝีมือมากพอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทันเวลา

     

     

    “อืม..ดีขึ้นกว่าเมื่อกี้ แต่เงาตรงนี้เข้มไปนิดนึง ต้องค่อยๆไล่ ใจเย็นๆ แล้วก็..”

     

     

    เสียงทุ้มค่อยๆอธิบายและชี้ดินสอไม้ลงไปตรงบริเวณที่พบข้อผิดพลาด เด็กชายพยักหน้ารับอย่างตั้งอกตั้งใจ ริมฝีปากที่ห่อเป็นรูปตัวโอทำให้ใบหน้าที่เขาชมอยู่ในใจตลอดมาว่าน่ารักนั้น กลับยิ่งดูน่ารักน่าหยิกมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ซอกจินเผลอจ้องปลายจมูกเล็กๆ กับแก้มยุ้ยๆน่าฟัดนั่นอีกแล้ว ..น่ารักขึ้นกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ

     

     

    “แล้วก็อะไรครับ?”

     

     

    ผมสีดำสนิทที่ทัดเอาไว้หลังใบหูตกลงมาล้อมกรอบใบหน้าเมื่อคนตัวเล็กเอียงคอเป็นเชิงถาม หัวใจของเขากระตุกไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นภาพนั้น ปาร์คจีมินยกมือขึ้นเท้าคางแล้วยู่ปากเหมือนเด็กๆ จนซอกจินต้องประสานมือเข้าหากันวางไว้ที่หน้าท้องอย่างที่ชอบทำเวลาตื่นเต้นมากๆ เด็กคนนี้ทำให้เขาใจเต้นบ่อยเกินไปแล้ว ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต้องทนได้ไม่นานแน่ๆ

     

     

    “ขอเบอร์หน่อยสิ”

     

     

    ทันทีที่ได้ยินวลีสั้นๆนั้นดวงตากลมที่ซอกจินชอบเปรียบเทียบว่าเหมือนลูกหมาก็เบิกกว้างขึ้น แต่มือบางก็แบออกรับโทรศัพท์มือถือราคาแพงที่คุณครูยื่นมาให้ ไม่ทันจะได้ถามตามที่สงสัย ว่าจะขอเบอร์เขาเอาไปทำอะไร ก็ดูเหมือนจะมีคนร้อนตัวบางคนชิงตอบขึ้นมาก่อน

     

     

    “ขอเผื่อไว้คราวหน้าจะได้โทร.หาได้ไง ..อืม แบบนั้นแหละ”

     

     

    เป็นครั้งแรกที่จีมินรู้สึกว่าพี่ซอกจินก็เป็นคนตลกดี เผลอระบายยิ้มส่งให้ไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายแก้ตัวทั้งที่เขายังไม่ได้ว่าอะไร มือเล็กกดโทร.ออกหาเบอร์ตัวเองแล้วจึงส่งโทรศัพท์กลับคืนเจ้าของ ปล่อยให้เจ้าตัวบันทึกชื่อตามต้องการ ส่วนตัวเองก็บันทึกเบอร์โทร.ของอีกฝ่ายลงเครื่องด้วยเช่นกัน

     

     

    “งั้นวาดอีกรูปละกันนะ คราวนี้ลงเงาบางๆ อย่ารีบ.. แล้วเดี๋ยวพี่มาดู”

     

     

    ถ้าไม่ได้คิดไปเองก็เหมือนว่าใบหูพี่ซอกจินจะดูแดงๆกว่าปกติ แต่อาจจะคิดไปเองก็ได้ อุณหภูมิก็เย็นเท่าเดิมจู่ๆพี่เขาจะหูแดงขึ้นมาเองได้ยังไงกัน คิดไปเองคนเดียวแล้วก็ยิ้มขำเมื่อรู้สึกว่าผู้ชายชื่อซอกจินคนนี้น่ารักแบบแปลกๆดีเหมือนกัน อยู่ด้วยแล้วสบายใจจนลืมนึกถึงน้องชายเจ้าปัญหาไปได้สักพัก จนเมื่อเริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองคิดนั่นนี่เรื่อยเปื่อยเกินไปหน่อย จึงตัดสินใจลงมือร่างเส้นบางๆอย่างที่อีกฝ่ายสอนมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

     

     

    “เกือบจะดี ..แต่ธรรมดาเกินไป ไม่มีอารมณ์เลยอะ”

     

     

    เมื่อส่งภาพสุดท้ายให้กับคนอายุมากกว่า ภายในสามวินาทีจากนั้นริมฝีปากหนาก็เอ่ยพูด พลางวาดนิ้วไปตามกรอบกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้า คิมซอกจินบุ้ยปากราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ดวงตาคมจ้องมองกระดาษแผ่นนั้นสลับกับใบหน้าของเจ้าของภาพวาดอย่างชั่งใจ

     

     

    “ตอนวาดคิดอะไรอยู่หรอ?”

     

     

    ปาร์คจีมินส่ายหน้าไปมาเบาๆ ดวงตากลมใสมองตรงมาที่เขาพลางยกมือเล็กขึ้นเกาหัวแกรก ซอกจินเห็นตั้งแต่ตอนที่กลับมาจากห้องน้ำแล้วล่ะ จีมินดูเหมือนจะไม่มีสมาธิสักเท่าไร แต่เมื่อพยายามถามแล้วไม่ตอบอะไรกลับมาแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงเหมือนกัน

     

     

    “จีมิน รูปมันไม่มีอารมณ์ร่วมจริงๆนะ ลงเงาก็ยังไม่เสมอกันด้วยซ้ำ รูปแรกที่พี่ให้วาดยังดีกว่านี้เลย นี่เราอยากวาดรูปจริงๆหรือเปล่าหืม?”

     

     

    เพิ่มความกระด้างลงในน้ำเสียงอีกนิด เมื่อเห็นว่าคำติที่ให้ไปนั้นดูจะไม่ได้เข้าถึงโสตประสาทของคนตรงหน้านัก คิ้วหนาของซอกจินขมวดมุ่นและริมฝีปากเม้มเข้าหากันสนิท ตอนนั้นจีมินถึงได้เพิ่งจะรู้สึกตัวและเอ่ยปากขอโทษเบาๆ

     

     

    “ผมขอโทษ แต่เมื่อกี้ติดต่อน้องชายไม่ได้ก็เลยกังวลมาก ไม่มีอารมณ์วาดจริงๆนั่นแหละ”

     

     

    ข้อนิ้วเคาะลงกับโต๊ะหินอ่อนสองสามครั้ง ใบหน้าหวานกำลังฉายแววกังวลออกมาอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ จีมินดูเป็นห่วงน้องชายคนที่ว่ามากจนนั่งไม่ติดที่ ดวงตาเอาแต่เหลือบมองนาฬิกาอยู่แทบจะตลอดเวลา ประกอบกับที่เขาเองก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ถึงแม้ว่าจะรู้สึกถูกชะตาจนอยากอยู่กับเด็กคนนี้ต่ออีกสักหน่อยก็ตาม

     

     

    “ถ้างั้นก็เลิกเลยแล้วกัน แล้วพี่จะให้การบ้านเอาไว้ คราวหน้าค่อยสอนต่อ”

     

     

    ปาร์คจีมินส่งสายตาขอโทษขอโพยมาทางเขาอีกครั้ง และก็เหมือนเดิมคือซอกจินโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร พร้อมด้วยรอยยิ้มบางเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจได้ว่าเขาไม่ได้โกรธ แต่ในใจก็คิดอยู่ว่าถ้ามีครั้งหน้าจะลองแอบงอนดูบ้างแล้ว

     

     

     

    ไม่ใช่ว่าหึงเด็กจองกุกอะไรนั่นหรอกนะ

     

     

     

     

     

    แต่เวลาที่เป็นของเขา

    ก็แค่อยากให้ตากลมๆคู่นั้นมองมาแต่ที่เขานี่นา..

     

     

     

     

     

     


     

     

     ตอนนี้ยาวกว่าตอนที่แล้วพันกว่าคำ

    ยาวๆสั้นๆไม่เป็นไรหรอกเนอะ5555555

    ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ

    คอมเม้นในนี้หรือแท็กในทวีตก็ได้

    ตามอ่านหมดทุกช่องทางเลยจย้าาาาาาาา

    มีเพื่อนพี่น้องฝากบอกให้มาอ่านได้55555555

    แล้วก็คงได้อัพอีกทีอาทิตย์หน้าเลย ._________.

    อย่าลืมกันน้าาา

    เลิ้บ<3

    #ฟิคถาปัด

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×