ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าลืมรัก

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 16

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 828
      22
      16 พ.ค. 63

    CHAPTER 16

     

    ท่ามกลางงานคอนเสิร์ตร็อกครั้งยิ่งใหญ่ ที่รวบรวมเหล่าวงดนตรีจากทั่วทุกมุมของประเทศเกาหลีมาแสดงพลังแห่งรสดนตรีร็อกร่วมกัน พิธีกรกล่าวเชิญพวกเราขึ้นเวทีในเวลาสามทุ่มพอดิบพอดีตามตารางงาน ฝูงชนเบื้องล่างเวทีสูง  ตะโกนส่งเสียงเชียร์เรียกชื่อวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ของพวกเราดังกึกก้องทั่วสนามกีฬา บัดนี้ได้เวลาประจวบเหมาะแล้ว

                "ไป! ออกไปทำให้เารู้ว่าพวกแกคือเทพ! ซิงเกิ้ลใหม่ของพวกเราสามารถไต่เป็นลำดับที่หนึ่งของชาร์จแล้ว จงออกไป! ออกไปทำให้เารู้ว่าพวกแกคือเจ้าพ่อของวงการร็อก! สู้เว้ยชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์!" คำพูดของซงโฮปลุกใจพวกเราให้รู้สึกฮึกเหิม พลันก้มหัวกอดคอกันเป็นวงเล็กๆ และบูมเชียร์

             "Go rock motherfuckers!" 

             พวกเรากอดคอตะโกนประโยคนี้ทุกครั้งก่อนขึ้นเล่นคอนเสิร์ต มันเป็นประโยคที่ช่วยทำให้พวกเราฮึกเหิมขึ้นมาได้ พร้อมขึ้นเวทีไปโชว์ความโหดแบบนุ่มลึกอย่างเจ้าพ่อ ด้วยสำเนียงเสียงดนตรีจังหวะเนิบแต่กลับหนักหน่วง เกริ่นด้วยเสียงเบสทุ้มของเคนที่ผสมกับจังหวะกลองเร็วปานกลางของเนลสัน พอให้ทุกคนได้สะบัดหัวเต้นตามกัน สมชื่อวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ วงดนตรีแนวอินดี้ร็อกที่สามารถดูเซ็กซี่ได้ผ่านเสียงดนตรีโดยไม่ต้องเปลื้องผ้า

             พวกเรามาในชุดเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ทำผมเรียบแปล้ปาดเพื่อโชว์ผมไถข้างทั้งวง  ต้องขอบคุณสไตล์ลิสต์ที่จัดแจงลุคให้ดูโตขึ้นมาได้ราวกับเป็นเจ้าพ่ออย่างแท้จริง ตามคอนเซปต์ใหม่ของอัลบั้ม ต่างคนต่างประจำที่เครื่องดนตรีของตนเอง เพียงแค่พยักหน้าให้กันเล็กน้อยก็สามารถรู้จังหวะจะโคนกันได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก  ซงโฮมือกีตาร์จำเป็น ขึ้นทำนองด้วยการตีคอร์ดหลัก  ก่อนที่โจจะแทรกโซโล่กีตาร์เป็นพักๆ จากนั้นเคนจึงดีดเสียงเบสทุ้มหนักผสมกับเสียงกลองชุดของเนลสันเพื่อสร้างบรรยากาศให้ทุกคนได้รู้สึกฮึกเหิม จนต้องกำมือยกแขนโยกขึ้นลงเป็นจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน ....มันเป็นภาพที่สวยงามมาก

     

    ที่รัก..มีสิ่งไหนที่ผมยังไม่รู้ โปรดบอก

    รักผมได้ไหม โปรดบอก

    โปรดเอ่ยชื่อที่มีเรารู้กันเพียงสองคน

    โอ้ ผมต้องการไฟฟ้าในตัวคุณ

    ช็อตผมที

    ประตูใจผมได้แตกสลาย

    ผมกลับไม่เห็นคุณเดินเข้ามา

    มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกใช่ไหม โปรดบอก

    คุณทำให้จุมพิรักนี้ ช็อตใจผมได้อย่างไร

    คุณทำได้อย่างไร

     

                พวกเราเริ่มบรรเลงห้าเพลงแรกจากอัลบั้มชุดก่อน ผู้ชมเบื้องล่างต่างพากันกระโดดโลดเต้นตามจังหวะอย่างเมามันในอารมณ์ดนตรี ผมกวาดสายตามองทั่วหน้าเวทีเบื้องล่างที่มีรั้วเหล็กเตี้ยกั้นระหว่างผมกับแฟนเพลง  ซึ่งเป็นจุดโฟกัสที่พอจะมองเห็นได้มากที่สุด และอดีต มันเคยเป็นจุดที่ผมมักจะพบเห็นหญิงสาวร่างสมส่วนผมลอนสลวยยืนจ้องมองผมตะลึงงันอย่างหลงใหลได้ปลื้ม ผ่านมาเกือบสี่เดือนที่ผมไม่ได้เห็นสาวหน้าคมคนคุ้นเคยมาคอยตามป้วนเปี้ยนเหมือนแต่ก่อน แววตาผมไร้ซึ่งชีวิตชีวาอย่างเช่นเคย พอไม่มีดาริณคอยเป็นกำลังใจ ผมกลับรู้สึกหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ

    ผมไม่อยากลงจากเวทีนี้ ไม่อยากกลับไปเปลี่ยนชุด ไม่อยากโดนจูงจมูกไปยืนที่หน้าฉากสวยหรูที่จัดไว้สำหรับถ่ายรูป ผมไม่อยากตอบคำถามใคร ผมไม่อยากเอ่ยถึงเพื่อนเลวๆแบบนั้น  เมื่อไหร่ผมจะหลุดพ้นเสียที

    ยืนเรียงกันสี่คนไปเลยนะ พี่คุมข้างหลังพวกนักข่าวนี่เอง แกก็ให้สัมภาษณ์ไป อย่าไปเครียดนักเลยนะ ตอบดีๆล่ะซงโฮเรียกเรารวมตัวในทันทีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ซักซ้อมให้ทุกคนได้ตระเตรียมใจในการรับมือกับคำถามของเหล่านักข่าวบันเทิงจากหลายสำนักที่รอดักอยู่หน้าฉากพรมแดงหรูนั่น พวกเราพากันเดินเรียงไปยังเบื้องหน้าฉาก เต๊ะท่าเคร่งขรึมให้ช่างภาพได้บันทึกรูปถ่ายเอาไว้เพื่อทำข่าว ไมค์โลโก้จากแต่ละสำนักข่าวกรูหน้ากันเข้าจ่อรอฟังเสียงตอบคำถาม ผมมองหน้าเพื่อนในวงอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่าในเมื่อเลือกจะอยู่ในวงการนี้แล้วก็ต้องทนให้ได้

    กระแสเพลงซิงเกิ้ลใหม่เป็นยังไงบ้างคะ เห็นว่าเพลงฉีกแนวออกมาเป็นอะคูสติกซึ่งเพลงเบาลงมากถ้าเทียบกับอัลบั้มก่อนๆ อันนี้วงชาร์มมิ่งฯ ตั้งใจจะเปลี่ยนแนวเพื่อเจาะตลาดมากขึ้นรึเปล่าคะนี่แค่คำถามแรกก็ทำเอาผมเริ่มหงุดหงิด ถามแบบนี้ต้องการจะสื่ออะไร จะสื่อว่าพวกผมไม่มีน้ำยาเลยต้องเกาะกระแสเปลี่ยนแนวเพลงเพื่อเจาะตลาดคนฟังมากขึ้นอย่างนั้นหรือ ผมโตมาจากใต้ดิน ผมไม่สนตลาดบ้าบอพวกนี้หรอกน่า

    จริงๆมันก็เป็นแนวเพลงที่พวกผมอยากทำอยู่แล้วครับ ไม่เกี่ยวกับการเจาะตลาด เพราะยังไง เพลงของพวกผมก็ไม่ใช่เพลงตลาดของเกาหลีอยู่แล้วนะครับ ก็แค่พยายามทำสิ่งที่รัก ให้ผลงานออกมาดีที่สุดเท่านั้นเองน่ะครับเนลสันตอบนักข่าวเสียงเรียบ พลางยกยิ้มให้เล็กน้อย 

    แหม ถ่อมตัวเหลือเกินนะคะ เพลงของคุณก็ดังใช่ย่อย ว่าแต่... ซิงเกิ้ลนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากไหนหรอคะ เพราะเนื้อหาดูเศร้าและสิ้นหวังในความรัก มีใครในนี้อกหักหรือเปล่าคะ” 

    ไม่มีครับเคนตอบด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

    เอ๊ะ หรือว่ามีแล้วผมไม่รู้วะพี่เคนหันมามองผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชื่นบาน คำพูดติดตลกของเขานั้น ผมไม่ตลกด้วยเลยสักนิด จึงเหลือบมองด้วยหางตาอย่างดุดันและเคร่งขรึม จนเคนหุบยิ้มแทบไม่ทันเลยทีเดียว

    แซวเล่นๆนะพี่ ฮ่าๆ

    แบบนี้ก็มีเคาแล้วสิคะ ที่เขาลือให้ทั่ว ใช่คนที่ไปโอซาก้าด้วยกันหรือเปล่าคะคุณเดย์

    ผมไม่ขอตอบเรื่องส่วนตัวครับ ถามเรื่องดนตรีดีกว่าครับ” 

     

    ผมทำสีหน้าบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์ จนซงโฮที่ยืนอยู่เบื้องหลังนักข่าวถึงกับทำท่าทางสูดหายใจเข้าลึก แล้วจึงวางตั้งฉากประสานขนานกันกับหน้าอก คล้ายกำลังบอกเป็นนัยยะให้ผมปล่อยวางและผ่อนคลายความตงเครียดนี้เสีย

    ถ้างั้นปกติพวกคุณได้รับแรงบันดาลใจการแต่งเพลงมาจากไหนคะ

    เอ่อ... ก็เรื่องทั่วไปในชีวิตครับ หนังสือที่อ่าน เพลงที่ฟัง หนังที่ชอบ พวกเราก็เก็บเล็กผสมน้อยเอามาทำเพลงหมดแหละครับ เนื้อหาเพลงเลยไม่ค่อยเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราเท่าไหร่โจเห็นสีหน้าของผมไม่สู้ดีนัก จึงตอบคำถามนักข่าวเสริมบ้าง 

    อย่างนั้นเองเหรอคะ แล้วจีซุนหายไปไหนคะ ตั้งแต่มีซิงเกิ้ลใหม่นี้พวกเราได้เห็นหน้าคาตากันอยู่ไม่กี่ครั้งเอง ตอนนี้วงเหลือแค่สี่คนแล้วเหรอคะ

    ผมกำมือแน่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดจนเกือบถึงขีดสุด สีหน้าบึ้งตึง ตาเฉี่ยวดูดุดันไม่ร่าเริงเหมือนเช่นเคย ผมคิดเอาไวแล้วไม่มีผิดเพี้ยน อยากจะผลักฝูงนักข่าวให้ล้มระเนระนาด แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น

    จีซุนไม่ค่อยสบายครับช่วงนี้เนลสันรีบเสริมเพราะสีท่าไม่ค่อยดีแล้ว 

    เป็นอะไรเหรอครับ อกหักเหรอครับ โดนมือที่สามแย่งแฟนไปใช่ไหมครับ

    ผมขออีกครั้งเดียว ถ้ายังไม่คุยเรื่องดนตรี พวกผมจะกลับแล้วนะ

    อดใจไม่ไหวจึงชี้นิ้วใส่หน้าเหล่านักข่าวเป็นสัญญาณเตือน 

    อะไรกันคุณเดย์ ใจเย็นๆสิครับ งั้นคุยเรื่องซิงเกิ้ลใหม่ของวงก็ได้ เห็นว่ามีการถ่ายเอ็มวี ตัวคุณกับจีซุนชกต่อยกันกลางร้านนั่นซ้อมถ่ายเอ็มวีหรือมีเรื่องกันจริงเหรอครับ คุณไปทำอะไรให้จีซุนโกรธขนาดนั้นเหรอครับ คุณเป็นมือที่สามตามที่เขาว่าใช่หรือเปล่า

    พลั่ก!

    เมื่อเตือนแล้วไม่เชื่อฟังกันดีนัก ผมจึงใช้แรงทั้งผลักและดันเหล่านักข่าวจนล้มระเนระนาดดั่งใจคิด ซงโฮจึงรีบปรี่เข้ามาห้ามปราม ทว่าอารมณ์โกรธทำให้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

    เรื่องของฉัน!”

    เฮ้ย! เดย์ใจเย็นทุกคนในวงรวมถึงพี่ซงโฮปรามผมเอาไว้ แล้วจึงรีบลากผมออกมาจากฝูงนักข่าวนั่นจนมาถึงรถตู้สีดำ

    เดย์ ทำไมแกไม่อดทนหน่อยวะ โกหกก็ได้ ใครจะไปรู้อะไรกับแกวะเนลสันโพล่งขึ้นมาในทันทีที่หนีนักข่าวขึ้นมานั่งในรถตู้ได้ 

    ฉันเตือนแล้วใช่ไหมว่าให้ตอบดีๆ แกรู้ไหมว่านักข่าวพวกนี้สามารถทำลายเราได้ขนาดไหนซงโฮเสริมบ้าง 

    พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ทำไมผมต้องโกหก ในเมื่อผมไม่ได้ทำ!” ผมขึ้นเสียงใส่

    แล้วแกจะไปจริงจังอะไรกับคำถามละ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงอย่างที่เขาพูดกันโจเอี้ยวตัวกลับมาต่อว่าผมซ้ำอีก

    ผมผิดใช่ไหม โดนปรักปรำหาว่าแย่งแฟนเพื่อน ผมไม่มีสิทธิ์โกรธเหรอ

    สิทธิ์ของแกมันได้หมดไปตั้งแต่วันที่แกก้าวเข้ามาในวงการแล้วไอ้เดย์ พวกเราไม่ใช่คนธรรมดานะ!” ซงโฮที่นั่งริมฝั่งประตูหันมาตวาดผมเสียงแข็งจนผมหัวเสีย 

     

    ผมชักไม่อยากอยู่ในวงการนี้เสียแล้ว...

     

    ----------------------------------------------------------------

     

    แสงแดดอ่อนในยามบ่ายของปลายฤดูร้อนสร้างความอบอุ่นไปทั่วห้องนอน  ผมปรือตาที่หนักอึ้งขึ้นเพื่อหาจุดโฟกัส ภาพเงาแดดจ้าส่องกระทบเพดานสีขาวขุ่นทำให้ผมแสบตาจนต้องขยี้เพื่อทำให้ภาพชัดเจน เริ่มรู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งอันคุ้นเคยบนอกแกร่ง  เป็นอีกครั้งแล้วที่ผมปล่อยตัวเองให้กามอารมณ์ครอบงำจิตใจ แม้จะรู้ดีว่ามันผิดต่อมินซู คู่หมั้นที่ผมกำลังเฝ้ารอคอยด้วยใจรัก แต่ผมกลับไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้เลย มันผิดที่ผมเอง ผมเลวเอง  

             หญิงสาวร่างเล็กผู้มีผิวขาวราวน้ำนม กำลังโอบกอดหลับอยู่บนอกผมคนนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง ลีลาของเธอนั้นช่างเร้าใจนัก เวลาไม่เมาผมก็พอจะจำเธอขึ้นมาได้บ้าง อ่อใช่..เธอชื่อ "ลาวีน" สาวลูกครึ่งอเมริกัน-เกาหลี นางแบบดาวรุ่งชื่อดังที่ผมเจอในผับลับใต้ดินที่ประจำ มันเป็นสถานอโคจรลับเฉพาะสำหรับคนวงการบันเทิงให้ได้มาร่วมพปะ พูดคุย และมั่วสุมอบายมุขกัน เธอเป็นหนึ่งในคนที่ผมร่วมเสพย์สุข ร่วมปลดปล่อยอารมณ์เหงารัก เธอเป็นหนึ่งในคนที่คอยปลอบรักกับผมเวลาที่มินซูไม่อยู่ จะว่าไปเธอก็มีความดี แต่ผมไม่ได้รักเธอเท่านั้นเอง

             ผมค่อยๆขยับตัวผละออกมาจากลาวีน พลางคว้ากางเกงบ็อกเซอร์สีเทาและเสื้อยืดสีขาวที่เกลื่อนกลาดบนพื้นขึ้นมาสวมใส่ คว้าซองบุหรี่และไฟแช็กที่วางไว้บนตู้โคมไฟข้างเตียง  เดินออกไปยังห้องครัว จุดมันสูบพ่นควันเป็นทางยาวเพื่อผ่อนคลาย

            'เมื่อไหร่เธอจะมาสักทีมินซู...ฉันเหงา ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน สัญญาว่าจะไม่ทำตัวเหลวแหลกแบบนี้อีก'

            ผมถอนหายใจเพราะใจของผมมันได้หายไป ดั่งคนไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ไร้ซึ่งหัวใจ มีเพียงแต่ร่างกายที่เปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ยังคงทำงานตามกลไก ภายในใจนั้นช่างห่อเหี่ยวและสิ้นหวัง  ก้มหน้าสูดควันเพื่อให้หัวสมองได้ผ่อนคลายอีกครั้ง ทว่ากลับไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ 

           "ขอด้วยสิ

            เสียงเล็กหวานดังขึ้นฝ่าความเงียบ บัดนี้ผิวเนียนขาวสะอาด และหน้าอกทรงสวยได้รูป ถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อเชิ้ตยีนส์สีเข้มที่ยาวเลยแก้มก้นของเธอลงมาได้เพียงคืบ เผยให้เห็นขาเรียวยาวสีขาวเนียน ค่อยย่างกรายเดินมาประจันหน้า ใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่ปลายมวนบุหรี่  แววตากลมใสนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองผมอย่างเย้ายวน พลางเสยผมสลวยสีบลอนด์ทองที่พึ่งย้อมมาใหม่ ใช้นิ้วคีบมวนกระดาษออกจากปากของผมไปสูดควันแล้วพ่นใส่

            "ไม่มีถ่ายแบบหรือไง ออกไปได้แล้ว นี่มันคอนโดฯฉัน ใครมาเห็นมันจะไม่ดี..ลาวีน" ผมมองเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง

            "อะไรกันเจค ตอนฉันถอดเสื้อตัวนี้ให้เธอดู ไม่เห็นเธอจะไล่ ถ้าอยากให้ฉันไปนัก ก็อย่ามาคว้าตัวฉันไปขึ้นเตียงสิ  ถ้าเธอแน่จริง" ลาวีนเรียกชื่อภาษาอังกฤษของผม ยกยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะดึงมวนห่อกระดาษไปสูดควันอีกครั้ง ตาสองชั้นกลมโตของเธอยังคงจ้องผมด้วยแววตาดั่งแมวยั่วสวาท พลางกัดปากบางสวยได้รูปราวกับจะกลืนกิน ก่อนจะเบียดร่างแนบชิดกับผม

            "บอกให้ไปได้แล้วไง" ผมหลบตามองไปทางอื่นอย่างเมินเฉย 

            "มินซูก็ไม่อยู่ เธอจะกลัวอะไร" กระเทาะขี้เถ้าจากมวนกระดาษลงซิงค์ล้างจานด้านหลัง  ก่อนจะยันแขนทั้งสองข้างขังผมเอาไว้ในอ้อมแขนของเธออย่างวางอำนาจ

          "ออกไปเถอะ ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรด ฉันกำลังจะแต่งงานแล้ว" ผมทำสีหน้าเคร่งเครียดเพื่อสื่ออารมณ์ให้เธอได้เข้าใจว่าครั้งนี้...ผมจริงจัง

            "เธอคิดจริงเหรอว่ามินซูจะยอมแต่งกับเธอ แต่...ฉันไปก็ได้" เธอยกยิ้มอย่างตลกขบขัน พลันคว้าเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำสนิทที่วางพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ไม้มาไพ่หลัง

            "อย่ามาที่นี่อีก อย่ามาหาฉันอีก" ผมโพล่งไล่ตามหลัง

             "เธอบอกร่างกายของเธอจะดีกว่าเจค  ไว้จะแวะมาใหม่นะ...." ลาวีนหันมายิ้มมุมปากให้ผม ก่อนจะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ

             เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในวินาทีที่ร่างเล็กกลับเข้าห้องนอนจัดแจงใส่เสื้อผ้า เก็บของแล้วจึงเดินออกจากคอนโดฯผมไป  เปิดข้อความอ่านดูก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่และสับสนในความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเอง

             ‘แกจะเกลียดเดย์ฉันไม่ว่า แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังเดือดร้อนเพราะแกทั้งคู่ แกยังเห็นพวกฉันเป็นเพื่อนของแกอยู่รึเปล่าวะ ไอ้จีซุน

              ผมไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง และไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะผมอีกแล้ว 

    ----------------------------------------------------------------------------

              “เดย์ จีซุน... ก่อนซ้อมดนตรี ไปหาพี่จิมมี่ก่อนนะ

              ผมและจีซุนหันมามองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน ขณะที่กำลังยกกีตาร์ของตัวเองขึ้นมาสะพาย เราไม่พูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ตัดสินใจกลับเข้ามาทำงาน ไม่แม้แต่จะมองหน้าทักทายกันเหมือนเคย ความเป็นเพื่อนของเราคงได้ขาดสะบั้นไปแล้วตั้งแต่วันนั้น วันที่มันเดินเอาเหล้ามาสาดใส่หน้าผมกลางผับ ผมจำไม่มีวันลืม ผมเดินตามหลังจีซุนไปยังห้องทำงานของพี่จิมมี่ ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้ากลับต้องตกอกตกใจกับเสียงแก้วแตกที่ดังลั่นมาจากภายในห้อง

             เพล้ง

            “บริษัทฯจะเจ๊งก็เพราะความโง่ของพวกคุณ รู้ตัวบ้างไหม!” เมื่อแทรกตัวเข้ามาได้ จึงได้เข้าใจว่าจีซุนรีบปิดประตูเพื่อหลบอะไร ท่านประธานบริษัทฯคงจะหัวเสียกับกระแสด้านลบของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ไม่น้อย จึงอารมณ์ฉุนเฉียวได้เพียงนี้ ทว่าเขาลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าพวกเราไม่ใช่ทาสของเขา เราเป็นมนุษย์ หาใช่หุ่นยนต์ที่ไร้หัวใจ เรามีความรู้สึกนึกคิด เจ็บปวดเป็น พวกเราก็คน

             “ขอโทษครับจีซุนผู้ซึ่งภายนอกนั้นดูเป็นนักเลงหัวไม้ กลับเชื่องดั่งแมวในทันทีที่อยู่ต่อหน้าเจ้านาย

             “พวกคุณรู้ไหมว่าการที่พวกคุณมีข่าวเรื่องอื้อฉาว เรื่องผู้หญิงหรือเรื่องทะเลาะวิวาท มันส่งผลกระทบต่อเราขนาดไหน ถ้าอ่านหนังสือออกก็แหกตาอ่านนี่ซะด้วยนะ!เขาง่วนกดโทรศัพท์เปิดพาดหัวข่าวใหญ่ แล้วจึงยื่นให้ดูตรงหน้าของผมและจีซุน

              ‘วงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ คือความอับอายของวงการดนตรีเกาหลี กินเหล้า มั่วเซ็กส์ ครบเซทวิถีคนเถื่อน เรียกได้อีกอย่างว่า กากเดนสังคม

              ผมอ่านแล้วกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โทสะ ผมโกรธที่ความผลีผลามของจีซุนได้ฉุดพาวงเราลงเหว หากเขาจะมีสติไตร่ตรองและยอมฟังกันสักนิด เรื่องนี้ก็คงไม่เกิด 

             “ผมจะส่งพวกคุณไปเก็บตัวและทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศสักพัก และเราอาจจะยังไม่มีกำหนดกลับมาโปรโมทเพลงในเกาหลีอีกจนกว่าทางเราจะมั่นใจจริงๆ ว่าจะไม่มีข่าวฉาวตามเว็บไซต์เกาหลีแล้ว ถ้าพวกคุณถอดใจจะไม่อยู่กับผมก็ว่ามาเลยตรงๆ และจำยอมจ่ายหนี้สองเท่าจากยอดขายเพลงตั้งแต่เดบิวท์มาด้วย พวกคุณมีทางเลือกอยู่แค่นี้ ก็เลือกเอาเองก็แล้วกันนะจิมมี่หันหลังมองหน้าต่างกระจกที่สะท้อนทัศนียภาพอันแสนสวยงามของตึกรามบ้านช่องเบื้องหน้าอย่างไม่ยินดียินร้ายกับคำพูด จนผมคิดที่จะเดินไปกระชากไอ้นายทุนหน้าเลือดมากระทืบซ้ำให้หายปากดี แต่กลับโดนจีซุนกันท่าของผมไว้เพื่อห้ามปราม

             “ไปเมื่อไหร่ครับ” 

             “ไม่เกินหนึ่งเดือนหลังจากนี้

             “ครับ” 

             ผมรู้สึกโกรธสุดขีด โกรธที่จีซุนทำให้วงเราดิ่งลงเหว ทำให้พวกเราต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยอมก้มหัวให้ไอ้จิมมี่ ขายศักดิ์ศรีนักดนตรีจนเสียจิตวิญญาณ และที่สำคัญ จีซุนกำลังพรากดาริณไปจากผม เพราะมันคนเดียว ทำใหัชีวิตผมตกเหว อย่าหวังว่าผมจะนับมันเป็นเพื่อนอีกเลย มันจะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว ไม่มีทาง!

             “เดย์ ฉันขอโทษ

             ประโยคทิ้งท้ายของมันตอนเดินออกจากห้องประธานค่ายทำผมชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหน้าโดยไม่หันหลังกับไปมองอีกเลย ในเมื่อเขาพรากทุกอย่างไปจากผมได้ เขาก็ต้องโดนเหมือนกัน กรรมต้องตามสนอง แบบนี้สิถึงจะยุติธรรมและสาสมกับสิ่งที่มันทำไว้กับผม!

    --------------------------------------------------------------------------------

              “ปั่นงานเสร็จรึยัง ฉันทำส่วนของฉันเสร็จแล้ว เหลือส่วนของเธอเมื่อไหร่จะเสร็จ พรุ่งนี้เรามีพรีเซนท์ลูกค้าแต่เช้านะ ดงวุกฉันทั้งฉุดกระชากลากแขนหนักอึ้งให้ลุกออกมาจากเตียงดูดวิญญาณนี้มาสองสามรอบแล้วแต่ไม่เป็นผล ดงวุกไม่ยอมตื่น แถมยังสามารถหลับได้อย่างสบายใจเฉิบ แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ของคนอื่นที่จะพากันออกไปเดินช้อปปิ้ง ถ่ายรูปแต่งตัวหล่อสวยออกไปชมนกชมไม้ แต่สำหรับฉันและดงวุก วันนี้มันคือวันนั่งปั่นงานดีๆนี่เอง

              “โอย ถ้าเธอไม่ตื่นฉันจะออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ไปซื้อของมาทำอาหารและฉันก็จะไม่แบ่งเธอ รู้ไว้ด้วย

               “ฮึ่ย! ยังไม่ลุกอีก ฉันพูดจริงทำจริงนะดงวุกฉันเริ่มหัวเสียและหมดความอดทนที่จะปลุกดงวุกให้ตื่นนอน จนสุดท้ายก็เป็นฉันที่แพ้พ่าย จึงลงมาจากชั้นลอยเพื่อออกไปข้างนอก ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไปกลับได้พบถุงกระดาษสีน้ำตาลตั้งอยู่ มันเป็นถุงบรรจุอาหารจังค์ฟู้ดชื่อดังที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ฉันหยิบมันขึ้นมาตรวจเช็คดู จึงพบโน้ตใบเล็กแปะติดไว้ด้านหลัง เมื่อพลิกถุงกลับมาแล้วเลยลองอ่านดู

     

    สวัสดีครับคุณเพื่อนบ้าน ผมพึ่งย้ายมาใหม่อยู่ห้องตรงข้ามของคุณ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ หวังว่าสักวันเราคงมีโอกาสได้ไปทานข้าวร่วมกัน ทานให้อร่อยนะครับ

    จากผู้พิทักษ์หน้าห้องของคุณ

     

                ฉันเผลออมยิ้มเล็กน้อยให้กับความน่ารักของเพื่อนบ้านใหม่ ทว่าอาหารจังค์ฟู้ดไม่ค่อยถูกปากของฉันนักในช่วงนี้ ได้กลิ่นเนื้อสัตว์โชยมาทีไร ฉันจะเริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ผะอืดผะอมขึ้นมาในทันที ตัวน้อยของฉันคงมีแววจะเป็นมังสวิรัติก็คราวนี้ ตัดสินใจกลับเข้าไปวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะ  จากนั้นจึงออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตทันที

    -------------------------------------------------------------

             ตี๊ด!

             ผมเดินไปเปิดประตูในทันทีที่เสียงออดดังขึ้น เผยให้เห็นร่างบางที่หน้าท้องนั้นเริ่มนูนออกมา ดีใจที่เธอยอมออกมาหาเพื่อมารับฟังมรสุมขีวิตที่ผมกำลังเผชิญ เธอเป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างผมในตอนนี้ ผมพาเธอมานั่งที่โซฟา ก้มหน้าก้มตาเหม่อลอย แววตามองมือตัวเองอย่างเศร้าสร้อย ปากขยับด้วยกลไกสมองหาใช่จิตวิญญาณ เล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ผมกำลังเผชิญในตอนนี้จนหมดหน้าตัก

           “มินซู ฉันจะไม่ได้เจอดาริณอีกแล้ว ฉันควรทำยังไงดี” 

          “ผู้หญิงคนเดียว ปล่อยวางเถอะ ชีวิตและอนาคตของแกยังมอะไรอีกมาก แกจะเอาชีวิตของตัวเองมาทุ่มเทเพื่อผู้หญิงที่ไม่ได้รักแกหมดตัว มันไม่คุ้มกันหรอกนะ

          “แกรู้ไหม....ฉันเริ่มต้องตาต้องใจดาริณตั้งแต่เมื่อไหร่ปากขยับยิ้มเล็กน้อย แววตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย น้ำตาที่รื้นขึ้นมาทำให้ดูแวววาวคล้ายกับสดใสนักหนา

          “...................”

         “สมัยที่ฉันยังเล่นดนตรีประจำ แกจำได้ใช่ไหม ที่บาร์ฝรั่งนั่น แกไปตามจีซุนเรื่องผู้หญิงแทบทุกวันจนฉันปวดหัว” 

         มินซูหัวเราะขบขันให้กับภาพความทรงจำที่ทำเธอนึกถึง 

         “ทุกครั้งที่ฉันเล่นกีตาร์ร้องเพลง มองลงมาจากเวทีจะได้เห็นสาวผมลอนเป็นคลื่นนั่งจิบเบียร์อยู่ตรงหน้าฉันพอดี เธอจะชอบขอเพลงในยุคเจ็ดศูนย์ ไม่รู้ดาริณจะยังจำได้ไหม ดาริณคงไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เธอขอเพลงมาแล้ววงของฉันเล่นไม่ได้ ฉันจะไปโน้มน้าวให้ทุกคนในวงแกะเพลงที่เธอชอบมา แล้วรอเล่นให้เธอฟัง มันเป็นแบบนั้นทุกครั้ง แม้เพลงที่ขอจะยากเกินความสามารถขนาดไหน ฉันก็พยายามจะเล่นมันให้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่จุดประกายฉัน ทำให้ฉันอยากเซ็นสัญญากับค่ายเพลง อยากดูดีมีชื่อเสียง เผื่อว่าเธอจะละสายตาจากคู่หมั้นในตอนนั้นแล้วหันมาสนใจว่าบนเวทีที่มีคนร้องเพลงของเดอะบีเทิลส์ให้ฟังอยู่ทุกค่ำคืน ต้องการความสนใจจากเธอมากแค่ไหน ......แต่

               มินซูจับมือของผมเอาไว้แน่นเพราะเธอรู้ว่าอารมณ์ของผมไม่สู้ดีนัก ผมกำลังด่ำดิ่งลงไปในความเศร้าโศกในเบื้องลึกของจิตใจ

               “ฉันไม่น่ามาเป็นศิลปินเลยมินซู ถ้าวันนี้ฉันยังเล่นดนตรีในผับ ป่านนี้เราคงเอื้อมไปจับมือกันแล้ว

               มินซูปาดน้ำตาตัวเองทิ้ง

               “ป่านนี้ ดาริณกับฉันคงมีโอกาสได้รู้จักกันไปแล้ว

                ผมปล่อยให้น้ำตาไหลรินภายในใต้ดวงตาที่เหม่อลอย หัวใจแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี หัวใจของผมอยู่ที่ดาริณทั้งดวง แต่ผมไม่มีสิทธิ์เอามันกลับคืนมาอีกแล้ว..... ผมพลาดไปแล้ว

               “ขอบคุณมากนะที่แกคอยอยู่เคียงข้างฉัน” 

               มินซูเขยิบมานั่งข้างผมแล้วจึงคว้าตัวผมไปกอดเอาไว้ ปลอบประโลมผมจนผมเริ่มรู้สึกร้อน  และไม่ทันได้มีจิตสำนึกคิด มือผมคว้าใบหน้าเล็กมาประทับจูบอย่างดูดดื่ม ได้แต่กล่าวขอโทษเพื่อนอยู่ในใจที่ต้องทำแบบนี้ แต่เมื่อจีซุนทำชีวิตของผมพังแบบไร้ซากดี ผมก็จะทำบ้าง

              เราสองประสานจูบกันเนิ่นนาน จะว่าด้วยอารมณ์รักก็คงจะไม่ใช่ จูบรสนี้คือรสชาติหวานปนขม มันมาจากความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีใครรักเราอีกแล้ว จึงปล่อยหัวใจมาถึงขั้นนี้ เพราะเราโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง เราเหลือกันแค่นี้

             อารมณ์ร้อนรุ่มเริ่มเข้ามาแทรกแซง ทำให้มือไม้เริ่มไม่อยู่สุข ริมฝีปากของผมเลื่อนลงมาที่ซอกคอหอมกรุ่นของเธออย่างไร้จิตสำนึก ผมคิดถึงดาริณจนหัวใจบอบช้ำ การได้มีรักชั่วคราวอาจเติมเต็มหัวใจที่หายไปกับดาริณ 

             ‘มินซูเธออย่าปล่อยอารมณ์ไปกับคนอย่างฉัน ขอร้อง ขัดขืนฉันซะ

             ตี๊ด!

             เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง หยุดการกระทำที่ไร้จิตสำนึกนี้ไปได้ เราผละออกจากกันแทบจะในทันที ผมเด้งตัวลุกขึ้นไปส่องตาแมวดูว่าใครมา และภาพจากรูกระจกเล็กนั้นเผยให้เห็นชายร่างกำยำที่ผมเกลียดเข้าไส้ ทว่ากลับรู้สึกผิดจับใจจากจิตสับนึกที่เริ่มคิดถึงความผิดชอบชั่วดี หันกลับมามองมินซูอย่างเป็นกังวล

             “จีซุน....”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×