คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 7
CHAPTER 7
“เดย์ไม่อาบน้ำเหรอคะ”
เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมเปิดประตูห้องน้ำ
เผยให้เห็นหญิงสาวร่างสมส่วนที่บัดนี้มีเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวเท่านั้นที่ปกปิดเรือนร่างไว้อย่างหมิ่นเหม่ ผมลอนเปียกหมาดๆไม่เป็นทรงกลับทำให้เธอดูเซ็กซี่ขึ้นมาจนทำให้ผมไม่สามารถละสายตาได้
เธอได้สร้างความรู้สึกร้อนรุ่มให้ชายทั้งแท่งอย่างผมละลายระทวยไปหมดแล้ว
“คะ ครับ....”
ผมจ้องมองเรือนร่างด้วยความปรารถนาจะได้ลิ้มชิมรสชาติ แม้ได้เห็นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่สามารถอดใจได้เลยสักที เฮ้อ! เกรงใจดาริณจัง
เธอไปเที่ยวกับผมมาทั้งวัน คงเหนื่อยมากแล้ว คงไม่มีอารมณ์มาเล่นรักอะไรกับผมหรอก
ส่ายหัวสะบัดความคิด
รีบคว้าผ้าเช็ดตัวเดินผ่านเธอไปเข้าห้องน้ำ
ทว่ากลิ่นสบู่เหลวรสมิกซ์เบอร์รี่ที่ติดตัวเธอมันช่างหอมเย้ายวนเกินห้ามใจ รู้ตัวอีกทีมือของผมก็คว้าสะโพกกลมมนมากอดไว้แล้ว
เบียดตัวแนบชิดพร้อมบดริมฝีปากจุมพิตทันที ใช้เวลาแตะลิ้นชิมรสชาติรักหวานจนกว่าจะพอใจ
“เดย์..... ทำแบบนี้อีกแล้วนะคะ”
เธอหลบตามองต่ำ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ผมจูบอีกได้ไหมครับ
จูบทีไรก็ไม่เคยพอ ขอจูบอีกทีนะครับ ...นะครับ"
ผมทำหน้าอ้อนออด
พลางประทับจูบลงบนเปลือกตาของเธออย่างอ่อนโยน
“ไม่ให้จูบแล้ว
ก็เวลาให้จูบทีไรมันก็ไม่เคยมีแค่จูบเลยนี่คะ ถ้าฉันท้องขึ้นมาจะทำยังไง”
เธอก้มหน้า แม้สีหน้าจะดูเป็นกังวลแต่สาวเจ้าดันใช้จังหวะไล้นิ้วชี้ลูบริมฝีปากของผมเสียอย่างนั้น ปลุกความเป็นชายในตัวให้ตื่นขึ้นมาจนได้
"ท้องก็ดีสิครับ"
"บ้าน่า! เดย์เป็นนักร้องดัง
วงดนตรีของเดย์ก็ยังต้องใช้ชื่อเสียงหากินไปอีกนานเลยนะคะ" "เฮ้อ! บอกตามตรงผมไม่กลัวหรอกนะครับ
ยังไงผมก็ขายดนตรี ใครจะว่าอะไรก็ช่าง ว่าแต่..ดาริณเหนื่อยใช่ไหมครับถึงไม่อยากจูบผม"
ผมลูบผมลอนเปียกหมาดๆของเธออย่างเอ็นดู
จึงได้รับประทับจูบลงบนอกกว้างอย่างแผ่วเบาเพื่อไล่ให้ผมไปอาบน้ำ
เจอลูกยั่วเข้าไปแล้วผมจะได้อาบไหมนี่
"เดย์ไปอาบน้ำก่อนนะคะ
เสร็จแล้วมาทานข้าว หลังจากนั้นเรา...ค่อยว่ากัน โอเคไหมคะ"
ผมแทบไม่ได้สนใจที่เธอพูดเลยสักนิด
เพราะสายตาดันมัวแต่จับจ้องเรือนร่างด้วยความปรารถนา
กัดริมฝีปากตัวเองเพื่ออดกลั้นอารมณ์ให้ถึงที่สุด
"เฮ้อ! ก็ได้ครับ"
แต่ผมก็ไม่วายก้มลงฟัดเนินอกอวบของเธอไปหนึ่งที แล้วจึงรีบผละหนีเพราะเกรงว่าจะโดนฝ่ามืออรหันต์ของคนตรงหน้าเข้า
"ทะลึ่งนัก คืนนี้จะให้นอนพื้น!"
เธอทำหน้าดุใส่ ก่อนที่ผมเดินเข้าห้องน้ำไป จึงหันกลับมายิ้มแห้งๆ โค้งคำนับให้เธอในเชิงขอโทษขอโพย...
ผมยังปวดหลังอยู่ อย่าใจร้ายให้ผมนอนพื้นเลยนะที่รัก
----------------------------------------------------
เราต่างมองเหม่อไปยังวิวในยามราตรีของเมืองโอซาก้า เก้าอี้ที่พวกเรานั่งทานอาหารด้วยกันเมื่อสักครู่ถูกลากและจัดวางให้หันออกไปทางบานกระจกขนาดใหญ่ที่สะท้อนภาพวิวทิวทัศน์ในยามค่ำคืน
ตึกรามบ้านช่องส่องแสงไฟระยิบระยับคล้ายดวงดาวบนพื้นดิน เมื่อชะเง้อมองไปบนท้องฟ้าจึงพบดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับเป็นประกายทั่วท้องนภายามรัตติกาล
แสงดาวระยิบระยับล้อมรอบพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ราวกับคู่รักที่กำลังปกป้องกัน
ผมคว้ามือดาริณที่นั่งชมวิวข้างกาย พลางชำเลืองมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเธอ
แววตากลมโตสุกสกาวดูตื่นเต้น จนผมแอบอมยิ้มตามไม่ได้ เธอคือผู้หญิงในแบบฉบับที่ผมวาดฝันเอาไว้เลย...
“ดูวิวสิดาริณ
เหมือนภาพวาดของแวนโก๊ะเลยว่าไหมครับ”
“ดาวเต็มท้องฟ้าเหมือนภาพวาดราตรีประดับดาวภาพนั้นเลยนะคะ”
หลังจากที่เรานั่งทานข้าวและแบ่งปันกันเล่าเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนได้สักพักใหญ่ มันก็ทำให้เราสองรู้จักกันมากขึ้น
ทำให้ผมได้รู้ว่า จริงๆแล้วเธอก็เป็นคนที่ตลกและมีคารมคมคายอยู่เช่นกัน
ไม่ได้เป็นคนซีเรียสเครียดไปเสียทุกเรื่องเหมือนที่ผมเข้าใจ
แม้จะมีทัศนคติที่ต่างไปอยู่บ้าง ทว่าเรากลับมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกันมากเช่นกัน
อาทิ เราชอบแต่งกวี เราชอบเพลงยุคเก่า เราชอบงานศิลปะ เราจริงจังในเรื่องของความรักเหมือนกัน ผมเริ่มรู้สึกว่าเธอสามารถเป็นทุกอย่างสำหรับผม
ไม่ว่าจะเป็นพี่ที่คอยห่วงใยน้อง เป็นเพื่อนที่คอยเที่ยวด้วยกัน เป็นแม่ไว้คอยตักเตือนผมเวลาผมทำอะไรไม่ดี
หรือจะเป็นแฟนที่ทำหน้าที่เอาอกเอาใจฝ่ายชายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เธอคือคนที่ใช่อย่างแท้จริง
คืนนี้เป็นค่ำคืนสุดท้ายที่เราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน นึกแล้วมันก็น่าใจหาย
หลังจากกลับเกาหลีไปแล้วชีวิตรักของพวกเราจะเป็นอย่างไรต่อไป จะสามารถแอบมาเจอกันได้บ้างหรือเปล่า
เราจะมีโอกาสได้ดูแลใจกัน ได้นอนกอดกันเหมือนที่ผมทำอยู่ในตอนนี้ไหม ผมแทบไม่อยากนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาเลย มันทั้งรู้สึกหน่วง
รู้สึกหนักอึ้งราวกับว่ามีใครสักคนเอาก้อนหินมาวางทับไว้บนหน้าอกของเราโดยไม่ยอมยกมันออกไปเสียที
อย่างน้อย...สถานะแฟนก็ยังพอผูกมัดหัวใจของเราเอาไว้ได้บ้าง
เราย้ายขึ้นมานอนบนเตียง
ผมนอนกอดดาริณพลางสูดกลิ่นสบู่เหลวรสมิกซ์เบอร์รี่จากหลังคอของเธอเข้าเต็มปอด หลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปผมอาจจะไม่ได้กลิ่นนี้บ่อยๆแล้ว
ความรักเอยความรัก ช่างมีพลังมหาศาล มันสามารถทำให้ชายทั้งแท่งอย่างผมถึงกลับน้ำตาคลอเบ้าได้ขนาดนี้เชียวหรือ
แม้มีดาริณอยู่ในอ้อมแขน แม้เธอจะยอมตกลงเป็นแฟนของผม ทว่าผมก็มิอาจมีวันแทนที่คนรักเก่าของเธอได้เลย
ผมรู้ตัวดี
"ขอผมกอดดาริณได้ไหม มันอาจจะทำให้คุณอึดอัด ผมขอโทษนะครับ"
ผมมุดหน้าลงสูดกลิ่นหอมมิกซ์เบอรี่ที่ต้นคอ
พลางกระชับกอดเธอไว้อย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น
"ค่ะ.....จากนี้ไป
ฉันขอให้ซิงเกิ้ลใหม่ของเดย์ดังไกลทั่วโลกเลยนะคะ"
"ขอบคุณครับ....." ผมจูบหลังคอของเธออีกครั้ง พลางได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆจากคนตรงหน้า
"ดาริณร้องไห้เหรอครับ"
ผมเอาคางเกยไหล่มนก่อนจะประทับจูบปลอบ
"ผมสัญญาว่าจะหาเวลามาเจอดาริณ จะพยายามจัดเวลาให้เราได้เจอกัน
จะซื้อคอนโดฯไว้ให้สำหรับเราสองคนดีไหมครับ
วันไหนดาริณว่างก็แวะมานอนกับผมบ้าง มันจะเป็นคอนโดฯของเรา แบบนั้นดีไหมครับ" ผมยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
"ก็....ก็ดีค่ะ
ไว้ฉันจะแวะไปหาคุณบ่อยๆนะคะ"
น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นคลอนจนทำให้ใจของผมหล่นวูบ
น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินตกกระทบที่ไหล่มนของเธออย่างควบคุมไม่ได้ ผมร้องไห้ทำไมกัน?
"ไว้เรานัดเจอกันนะครับ"
"ค่ะ....ฉันจะมองเห็นคุณเสมอในมุมของฉัน"
ไม่สิ....ผมต่างหากที่ต้องเห็นเธอ ผมอยู่บนเวทีผมต้องได้เห็นเธอ จริงไหม?
“เราสองคนต้องมองเห็นกันและกันสิครับถึงจะถูก”
“ค่ะ”
เธอสอดนิ้วเรียวกุมมือของผม พลันยกมันขึ้นมาหอมอย่างนุ่มนวล
ผมรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเธอไม่เคยทำแบบนี้กับผมมาก่อนเลย
"อยากนอนกอดดาริณแบบนี้ทุกวันเลย"
"ฉันเองก็อยากนอนกอดคุณแบบนี้ทุกวันเช่นกันค่ะ”
ผมรั้งให้เธอหันมา เราสองประสานสายตากันนิ่งงัน ผมวางหน้าผากซบเธอ
จึงได้สังเกตเห็นนัยน์ตาคมที่แวววาวผิดปกติ เธอไม่ได้กำลังจะร้องไห้หรอกใช่ไหม
"ตาเยิ้มเชียว ง่วงแล้วเหรอครับ"
ผมประทับจูบลงบนหน้าผากเนียนของเธอ
ก่อนจะเลื่อนมาแตะที่ริมฝีปากอิ่มสวยได้รูป
“อย่าลำบากเลยนะคะ”
เธอผลัดมาประทับจูบลงบนเปลือกตาของผมบ้าง
“ไม่ลำบากสักหน่อย แค่ซื้อคอนโดฯเอง
ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะนะครับ”
เธอวางสายตาอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะฉีกยิ้มอ่อนกลับมาให้ผม ไร้ซึ่งคำตอบยืนยันใดๆ
ผมนอนกอดเธอไว้ไม่ปล่อย ทว่ายิ่งกอดแน่นมากขึ้นเท่าไหร่
ความรักของผมที่มีให้เธอก็พลันมากขึ้นเท่านั้น
"ขอโทษนะคะ"
“ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไรเหรอครับดาริณ”
“เอ่อ…”
“ผมพร้อมที่จะเดินข้างคุณนะดาริณ”
“...........”
ผมขมวดคิ้วในทันทีที่เห็นเธอเบือนหน้าหนีจากสายตา
จึงรุกมือกึ่งบังคับใบหน้าเล็กให้หันกลับมามองตากันอีกครั้ง ราวกับดาริณกำลังล่วงรู้ความคิดภายในใจ
เธอใช้มือบีบนวดหลังคอให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย เราสองประสานสายตากันเนิ่นนาน
ก่อนจะเคลิบเคลิ้มปล่อยริมฝีปากอุ่นร้อนสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา
แล้วจึงค่อยดื่มด่ำไปกับสัมผัสรสจูบที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
ความเร่าร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกำยำ ไฟฟ้าในตัวเธอได้ทำปฏิกิริยายากเกินอธิบายกับร่างกายของผมอีกครั้ง
เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ….
คำพูดคำจาของเธอดูแปลกไปจากเคย
แม้การที่เธอแสดงความรักมากขึ้นกว่าเดิมจะเป็นเรื่องดี
ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างเธอจะทำให้เห็นได้ชัดเจนนัก
เหตุใดเธอจึงแสดงความรู้สึกออกมาทั้งหมดได้ภายในวันเดียว
ช่างเถอะ
การที่เราได้มีโอกาสนอนกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่มแบบนี้ก็คุ้มค่ามากพอแล้ว
ยังมีอะไรให้ต้องสงสัยอีกหรือ?
----------------------------------------------------
อากาศยามเช้าในฤดูร้อนของเมืองโอซาก้านั้นช่างสดใส แสงแดดอ่อนยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทั่วห้องพลันทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น เพราะมันเริ่มแยงตาจึงปรือตาขึ้นมา มือควานหาตัวดาริณทั่วเตียงผืนใหญ่
ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่างเปล่าราวกับว่าผมนอนอยู่บนเตียงผืนกว้างนี้เพียงลำพังมาทั้งคืน
ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้น ขยี้ตาเพื่อให้ภาพนั้นชัดเจน เมื่อมองไปทั่วห้องกลับไม่พบเงาของหญิงสาวที่ผมกอดด้วยทั้งคืน
พลันรู้สึกใจแป้วขึ้นมาทันที
เธอหายไปไหนกันนะ? อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า?
ทว่าเมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำกลับพบแต่ความว่างเปล่า
ไม่นะดาริณ...คุณอยู่ไหน?
ก็อก! ก็อก!
“คุณเดย์ครับ อีกครึ่งชั่วโมง คนขับรถจะมารับคุณไปสนามบินนะครับ”
เสียงชายพนักงานดังมาจากด้านนอกประตู ผมรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาปกปิดร่างกายที่เปลือยเปล่า
ก่อนจะเดินไปเปิดมัน เสยผมสีน้ำตาลเข้มเปิดหน้าผากเพื่อระบายความกังวลใจที่มีอยู่ในตอนนี้
“เออ....เจ้าของห้องนี้ละครับ
คุณเห็นเธอบ้างไหมครับ”
“เธอไปสนามบินตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ
เธอไม่ได้บอกคุณหรอกเหรอครับ”
“ห้ะ? ว่ายังไงนะครับ”
“เธอบอกให้ผมเรียกแท็กซี่ให้
แล้วกำชับให้ผมมาปลุกคุณเพราะคุณมีไฟลท์บินกลับเกาหลีตอนบ่ายสองนี้น่ะครับ
ตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว ผมเลยขึ้นมาปลุกคุณตามคำสั่งของเธอครับ”
คำพูดของพนักงานทำให้ผมอึ้ง
พลันรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาภายในใจ บรรยากาศแห่งความสุขอันหวานชื่นของคืนวาน
บัดนี้มันได้เป็นอดีตของพวกเราไปเสียแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าในห้วงจิต
สถานะแฟนคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับดาริณเลย เพราะเธอหนีผมไป เธอทำกับแฟนของเธอแบบนี้ได้อย่างไร
เหตุใดจึงกล้าทิ้งผมได้ลงคอ....ดาริณ
------------------------------------------------------
สิ้นเสียงประกาศเสียงหวานเป็นภาษาเกาหลีจากแอร์โฮสเตสประจำไฟล์ทเพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารสามารถปลดเข็มขัดได้นั้น
ผู้คนต่างเริ่มลุกขึ้นจากที่นั่งยืดเส้นยืดสาย ทว่าผมกลับนั่งเหม่อลอยมองออกไปยังกลุ่มเมฆสีขาวนอกหน้าต่าง
ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะมันคงล่องลอยไปตามหาเจ้าของมันซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว
เสียงเดินเข็นรถเข็นเหล็กเริ่มใกล้เข้ามา
บ่งบอกได้ว่าคงถึงเวลาเสิร์ฟอาหารมื้อเที่ยงบนเครื่องบิน
“ผู้โดยสารคะ...กรุณารับมื้อกลางวันค่ะ”
“ผู้โดยสารคะ....เฮ้ย!
เดย์เหรอ?”
เสียงหวานถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงห้าวในทันที ผมจึงรีบหันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น
“มินซู!”
แอร์โฮสเตสสาวร่างสูงโปร่งราวกับนางแบบ
ที่มีใบหน้าเรียวเล็กรับกับดวงตาคมคู่โต และจมูกหยดน้ำที่รับกับปากเรียวบางของเธอเผยอขึ้นอย่างตกใจเช่นกัน
"เดย์! เป็นไงมาไงเนี่ย"
"เฮ้อ! ชีวิตรักมีปัญหา
อยากไปหาเธอที่คอนโดฯเธอก็ไม่ค่อยอยู่"
"เสร็จไฟลท์นี้ฉันก็หยุดยาวแล้วล่ะ แวะมาหาฉันสิ
แต่ตอนนี้ฉันขอทำงานก่อนนะ"
ผมส่งสัญญาณมือให้เธอ เป็นอันเข้าใจกัน
ก่อนที่เธอจะเดินเสิร์ฟอาหารให้ผู้โดยสารท่านอื่นต่อ
ผมก้มลงมองอาหารในกล่องของตัวเองอย่างเศร้าสร้อย พึ่งโดนแฟนทิ้งมา ใครจะไปกินลง?ผมมองเหม่อไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง ดั่งคนหมดอาลัยไร้สิ้นซึ่งความหวัง
ราวกับว่ากำลังโดนคมมีดปลักคาอยู่บนกลางอก พยายามมองหาใครสักคนที่จะมาช่วยเยียวยารักษาให้พ้นความเจ็บปวดนี้ไป
ซึ่งผมมองไม่เห็นใครอื่นอีกแล้วนอกจากเพื่อนสาวของผมเพียงคนเดียว
"มินซู" สาวร่างสูงโปร่งผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้ม เธอมีตาชั้นเดียวแต่กลมโตใสแป๋ว ขนตาหนาเป็นแพ จมูกโด่งรั้นนิดๆ อีกทั้งยังมีปากบางใสที่รับกับหน้าเรียวได้รูป ทำเอาเหล่าชายหนุ่มน้อยใหญ่ตกหลุมรักมานักต่อนัก
มีทั้งที่สมหวังดั่งใจหมาย และที่ต้องกินยาแก้ช้ำในกันไปแล้วก็มาก
แต่หนึ่งในชายที่สมหวังในรักกับเธอคนนี้ก็คือผมเอง
ใช่ เธอคืออดีตที่หอมแต่ไม่หวาน ไม่ได้น่าจดจำเท่ากับตอนที่เรายอมทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง
และหันหน้าเข้าหากันอย่างฉันท์เพื่อน ถ้าไม่นับเรื่องของความรักอันขมขื่นที่เราเคยมีให้กันสมัยอดีตช่วงมัธยม
ก็นับได้ว่าเธอคือเพื่อนแท้เพื่อนรักที่ดีที่สุดคนหนึ่งในชีวิตข
แต่ถ้าหากจะพูดถึงความรักในวัยเยาว์ตอนนั้นแล้วล่ะก็
เล่นเอาผมใช้เวลาเกือบสองปีจนใกล้จะจบมัธยมปลาย แล้วผมถึงสามารถกลับมาเป็นเพื่อนเธอได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะผมมาจับไต๋เธอได้ทีหลังว่าผมก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดจีซุนซึ่งเป็นเพื่อนใหม่ที่เล่นกีตาร์ด้วยกันทุกเย็นหลังเลิกเรียน เธอชอบและหลงรักในตัวของจีซุนมากเสียจนผมต้องยอมถอยออกมา
เพื่อให้เธอได้สมรักดั่งใจหวังยาวนาน จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ได้หมั้นหมายกันอย่างในปัจจุบันนี้
ผมยอมรับตามตรงอย่างไม่อายแบบลูกผู้ชายเลยว่า เธอเคยทำให้ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับร้องไห้ฟูมฟายอยู่คนเดียวเกือบปี
ที่มันนานขนาดนั้นก็เพราะจีซุนไม่เคยรู้เลยว่าเธอเคยคบกับผมสมัยตอนอยู่ม.ต้น และลากยาวมาจนถึงช่วงเทอมเกรดสิบ
ซึ่งเป็นช่วงที่เขาย้ายเข้ามาเรียนพอดี
พวกเราเดินกันเป็นเพียงสามเกลอที่มีเบื้องหลังเป็นความรักสามเศร้า
โดยมีจีซุนเป็นพระเอกของเรื่อง มินซูเป็นนางเอก ส่วนผมน่ะเหรอ? ก็อดีตพระเอกที่ยอมสละตำแหน่งมาเป็นพระรองของเรื่องอย่างไรล่ะ
เดินตามเขาสองคนต้อยๆมานานแรมปี จนต้องเก็บไปร้องไห้คนเดียวทุกวัน
แล้วเหตุการณ์ในตอนนี้กำลังจะทำให้ผมกลับไปเศร้าซึมแบบนั้นอีกแล้วหรือ
ทำไมผมไม่เคยได้เจอรักสมหวังสมใจเหมือนคนอื่นเขาบ้างเสียที
'ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ
ขณะนี้เรากำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานอึนชอน กรุณานั่งประจำที่
รัดเข็มขัดอยู่กับที่นั่ง ปรับพนักเก้าอี้ให้อยู่ในระดับตรง เก็บโต๊ะหน้าที่นั่ง
เปิดม่านหน้าต่าง และปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ขอบคุณค่ะ'
เสียงหวานอันคุ้นเคยประกาศเป็นภาษาเกาหลี
ทำให้ผมต้องหยุดชะงักกับคำถามคาใจ ก่อนจะพิงพนักเก้าอี้หลับตาให้ลืมความเจ็บปวดนี้
แต่มันก็ช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเหลือเกิน ดาริณคงอยากตัดผมออกไปจากชีวิตของเธอเสียเต็มประดา
และเธอก็ทำสำเร็จแล้ว
----------------------------------------------------------------
ผมนั่งจ้องมองตัวเองในกระจกอย่างเหม่อลอยท่ามกลางความวุ่นวายในห้องเสื้อ
และเสียงไดร์เป่าผมดังก้องอยู่ข้างหูจนได้รับไอร้อน อีกไม่กี่นาทีพวกเราวงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์ก็ต้องเข้าห้องส่ง เพื่อเล่นดนตรีถ่ายทอดสดให้กับรายการเพลงแล้ว
นึกย้อนไปถึงภาพถ่ายที่ได้ถูกส่งมาจากน้องชายสุดที่รักของผมที่เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมที่ผมซื้อต่อเอาไว้เพื่อใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับคู่หมั้นแสนรักอย่าง
"มินซู" มันก็ไม่แปลกอะไรหรอก
ผมไม่เคยตะหงิดใจอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งมีรูปกล้องวงจรปิดส่งมาถึงผมในระยะหลังๆ
มันภาพบ่งบอกถึงลักษณะของชายและหญิงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยเรียน
พากันเข้าห้องของผมไป
ไม่ เป็นไปไม่ได้ เดย์ไม่กล้าหรอก
คนที่ส่งข้อความบ้านี่คงเป็นเพียงแค่ผู้ไม่หวังดีที่อยากทำลายมิตรภาพในวงก็เท่านั้น
ผมพร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอว่าผมคงคิดมากไปเอง ผมรู้จักเขาทั้งสองคนเป็นอย่างดี หญิงสาวสวยคนหนึ่งก็คือคู่หมั้นของผม และชายใบหน้าหล่อเหลาคนนี้ก็คือเพื่อนรักของผม
เราสร้างอดีต ปัจจุบัน และกำลังจะมีอนาคตร่วมกันในฐานะวงดนตรีร็อกที่ประสบความสำเร็จ
อีกฝ่ายคือคู่หมั้นที่กำลังจะกลายเป็นภรรยาในไม่ช้า เธอกำลังจะมาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตผมไปตลอดกาล พวกเขาไม่กล้าเอามีดมาแทงข้างหลังผมอย่างที่ข้อความปริศนานี่บอกหรอก
พวกเขาไม่กล้าทำหรอก ผมพร่ำบอกตัวเองแบบนี้อยู่เสมอมา
จนกระทั่งวันที่วงของเรามีเล่นคอนเสิร์ตที่โอซาก้า
'พี่....ผมคิดนานมากว่าจะส่งให้พี่ดูดีไหม
ทำใจดีๆนะ ผมไม่รู้ว่าพี่ควรได้รับรู้ไหม แต่ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นพี่โดนแทงข้างหลังว่ะ
ผมว่ายังไงมันก็ใช่แล้วล่ะ'
ผมจำได้ขึ้นใจ วันนั้นเป็นวันที่ผมกำลังนั่งดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆในวงหลังจากเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ
ข้อความจากใครสักคนที่แทนตัวผมว่าพี่ส่งมาพร้อมรูปภาพกล้องวงจรปิดซึ่งลงวันที่ไว้สองวันก่อนหน้า
แสดงถึงลักษณะของผู้ชายร่างสูงกำยำไว้ผมรองทรงต่ำเส้นตรงสลวย
หิ้วแพ็คกระป๋องเบียร์มาเต็มทั้งสองมือ และกำลังได้รับอ้อมกอดซบจากหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้มร่างสูงโปร่ง
นี่พวกเขาแอบแทงข้างหลังผมจริงๆใช่ไหม
ครืด ครืด!
โทรศัพท์ของผมสั่นขึ้นภายใต้กระเป๋ากางเกงยีนส์
พลันทำให้ผมต้องรีบคว้าขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหว
'ที่รัก
ฉันเจอเดย์ตอนเสิร์ฟน้ำเมื่อกี้
สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีปัญหาอะไรกันรึเปล่าคะจีซุน
คิดถึงนะ'
ผมนั่งจ้องหน้าจอพลางกำโทรศัพท์จนมือสั่นไปด้วยอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุเดือดขึ้นมาเรื่อยๆ
ในเมื่อพวกเขาแอบทำลายผมด้วยยาพิษรักนี้ ผมก็จะฉีดยาพิษแค้นให้พวกเขาเจ็บปวดทรมานไปอย่างช้าๆเช่นกัน
'แสดงละครกันเก่งดีนี่! อะไรที่พวกแกทำไว้ลับหลังฉัน มันจะต้องได้รับการชดใช้ คอยดู!'
-------------------------------------
สิ้นเสียงประกาศหวานใสเป็นภาษาเกาหลีเพื่อเตือนให้เหล่าผู้โดยสารทราบว่า ล้อเครื่องบินได้แตะถึงพื้นกรุงโซลโดยสวัสดิภาพแล้ว
บัดนี้น้ำตาที่ฉันพยายามอดกลั้นอย่างถึงที่สุด
กลับเอ่อล้นจนไหลอาบแก้มลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
ฉันนั่งเหม่อลอยจมปลักอยู่ในห้วงภวังค์นี้เนิ่นนาน พลันหมดเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น
'@Darinee คุณชื่อดาริณใช่ไหมครับ’
โทรศัพท์แจ้งเตือนข้อความหนึ่งซึ่งถูกส่งมาจากยูเซอร์เนมที่ฉันคอยเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวมาตลอดระยะเวลาห้าปีเศษ
ในขณะที่ฉันกำลังเลือกซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อหน้าโรงแรม เพราะเย็นวันนี้ฉันมีนัดเดทดูหนังกับเดย์ที่ห้องพักของพวกเรา
‘@CPrisoners ใช่ค่ะ’
‘@Darinee เดย์ยังเที่ยวอยู่กับคุณใช่ไหมครับ’
‘@CPrisoners ค่ะ’
‘@Darinee ขอโทษนะครับดาริณ
แต่ผมมีอะไรบางอย่างจำเป็นที่จะต้องบอกคุณ’
ข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาจากใครสักคนในวงทำเอาใจของฉันตกลงไปอยู่ตาตุ่ม
พวกเขารู้จักฉันกันหมดทั้งวงขนาดนี้เชียวหรือ และหนึ่งในนั้นคงกำลังพยายามที่จะขอเดย์คืนเพื่อกลับไปทำงาน
ฉันรู้ดีอยู่แล้ว ฉันพอเดาทางออก....
‘@CPrisoners ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ
บอกมาได้เลยค่ะ’
‘@Darinee -ส่งภาพ-‘*
ผิดคาด...เขาไม่ได้มาทวงเดย์คืน
แต่กลับส่งรูปภาพหนึ่งซึ่งแสดงถึงลักษณะเบื้องหลังของชายร่างสูงในชุดเอี๊ยมที่กำลังโอบไหล่หญิงสาวในชุดเดรสลายดอกสีน้ำเงินเข้ม
นี่มันรูปของฉันกับเขาตอนไปโทดงโบริเมื่อห้าวันก่อนนี่....
‘@Darinee ภาพนี้ถูกเผยแพร่สู่สายตาชาวเน็ตจากเว็บไซต์
Gossip ดาราชื่อดัง เขาพาดหัวข่าวเอาไว้ว่านักร้องนำ
ชื่อวงขึ้นต้นด้วยตัวซี.ควงสาวกินตับถึงโอซาก้า ดาริณ
ผมขอร้องให้คุณห่างจากเดย์ไปก่อนได้ไหมครับ ผมไม่ได้อยากจะมาทำลายรักของพวกคุณ
แต่มันจำเป็นจริงๆ พวกเรากำลังโปรโมทซิงเกิ้ลใหม่
การมีข่าวฉาวคงไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของวงเท่าไหร่นัก ถือว่าผมขอร้อง
ตอนนี้ทุกคนในวงเครียดกันมาก จีซุนต้องร้องเพลงแทนเดย์ มันไม่ใช่งานถนัดของเขา
พวกเราต้องการเดย์ คุณปล่อยเดย์กลับมาเถอะนะครับ ผมขอร้อง...เนลสัน’
ราวกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความฝันอันแสนหอมหวาน
ตลอดเวลาที่ได้ใช้ชีวิตแบบที่มีเขาอยู่เคียงข้างในเมืองโอซาก้าแห่งนี้มันเป็นเหมือนดั่งความฝัน ฝันที่ไม่มีวันเป็นไปได้
ต้องขอบคุณที่สวรรค์ยังเมตตา ยอมฟังเสียงขอพรและทำให้ฝันของฉันเป็นจริงขึ้นมา
ทำให้ฉันได้ตาสว่าง เราต่างกันเกินไป....แฟนคลับกับศิลปินคือความรักบนเส้นคู่ขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้
ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
ฉันคิดว่าฉันทำถูกที่เดินจากเขามาแบบนี้
มันดีสำหรับชีวิตของเราทั้งสองฝ่าย เขาเองจะได้ไม่มีข่าวฉาวให้เสียหาย
ส่วนฉันก็จะได้ใช้ชีวิตแบบธรรมดาปกติสุขต่อไป ฉันเชื่อว่าสักพักเขาคงลืมฉันได้เอง
ชีวิตที่ไม่มีฉันอยู่เคียงข้างมันคงดีกว่า
บัดนี้คงมีเพียงฉันที่ต้องกลับมารักษาเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำ
ฉันรู้สึกหมดแรงลงเรื่อยๆ พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ลุกขึ้นยืนด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว
ในเมื่อฉันตัดสินใจที่จะตัดความสัมพันธ์ ฉันต้องเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้
น้ำตาของฉันเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่เราร่วมแบ่งปันกันตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาในเมืองโอซาก้า
เดย์ทำให้ฉันมีความสุข เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันลืมความรักเก่าได้แบบปลิดทิ้ง
ฉันจะเก็บเขาไว้ให้เป็นความทรงจำที่ดี ฉันจะไม่มีวันลืมทุกนาทีที่เราเคยมีกัน….
ฉันจะคิดถึงคุณ... เดย์
------------------------------------------------------
น้ำตาเอ่อล้นไหลลงอาบแก้มของผมช้าๆ ดาริณทำกับผมได้ลงคอ
ที่ผ่านมาเธอทำไปเพื่ออะไร มาคอยสนใจหาข้าวหาน้ำมาให้ผมตอนซ้อมดนตรียามดึกไปทำไม
แอบฝากยาไว้กับยามหน้าตึกให้ผมเวลาที่ผมไม่สบาย
คอยส่งโปสการ์ดรูปที่เธอถ่ายพร้อมร่ายบทกวีให้ผมอ่านไปทำไม
ซื้อนาฬิกาเรือนใหญ่ที่มีสายหนังสีน้ำตาลไหม้ราคาแพงพร้อมทิ้งโน้ตให้กำลังใจผม
ส่งเพลงรักให้ผมฟังทุกค่ำคืน เพลงที่มีความหมายชวนเชื่อว่าเธอคงหลงรักผมหมดหัวใจ
เธอทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร ในเมื่อวันนี้มันทำให้ผมรู้แล้วว่าที่ผ่านมา ตัวผมมันอาจไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเธอเลย
ผมกำมือแน่นด้วยอารมณ์หม่นที่ผสมรวมกันยากเกินอธิบาย
หัวใจผมร้าวจนแตกสลาย แทบล้มทั้งยืนเมื่อโดนดาริณทิ้งกันไปโดยไม่ร่ำลา คนที่ใช่ คนที่ผมแอบเฝ้ามองดูอยู่ตลอดในโลกของผม
ระยะเวลามันทำให้ผมรู้จักมุมมองและตัวตนของเธอจนทำให้ผมตกหลุมรัก
และในที่สุดมันก็ได้ทำให้ผมตัดสินใจที่จะทิ้งโลกแห่งความเป็นจริง
ทิ้งชื่อเสียงตัวเอง ตามหาเธอเพื่อทำตามหัวใจของผม
ผมผิดอะไร ทำไมเธอถึงทำกับผมแบบนี้?
ชื่อเสียงที่สร้างมาเพื่อแลกกับก้อนเงินโต
แต่กลับต้องยอมแลกด้วยสิ่งที่ล้ำค่าและเป็นสิ่งสำคัญหลายๆอย่างในชีวิตไป ผมไม่อยากได้มันเสียแล้ว
ใครมันอยากได้ก็เชิญ...เอาไปเลย
ผมสะพายกระเป๋าเป้สีดำสนิทพลางเดินเหม่อลอยอย่างเชื่องช้าออกมาจากเกท
ผู้คนรอบข้างเริ่มส่งสายตามองผม พลันรวบรวมกันเป็นกลุ่มย่อยเดินตามผม ยิ่งผมเร่งฝีเท้าเร็วเท่าไหร่กลุ่มคนก็เร่งฝีเท้าตามผมเร็วมากขึ้นเท่านั้น
จนในที่สุดผมก็ได้รับสัมผัสโอบกอดจากชายหนุ่มคนหนึ่ง
และพาเร่งฝีเท้าเดินหนีคนกลุ่มนั้น
"เปิดทางให้เดย์เดินหน่อยนะครับ
ขอบคุณ"
ซงโฮผายมือกันผู้คนที่เดินตามถ่ายรูปของผมกันอย่างขวักไขว่อยู่ทุกรอบด้าน ผมได้แต่เดินก้มหน้าจ้ำอ้าวเร่งตามฝีเท้าของซงโฮที่บัดนี้พยายามเอามือปัดป้องไม่ให้ใครถ่ายรูปของผมไปได้
จนในที่สุดเราทั้งคู่ก็ได้ขึ้นรถตู้สีดำคันใหญ่ ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบลงไปบนพื้นรถตู้เพื่อหาที่นั่ง ผมก็ได้เห็นคนร่างสูงไหล่กว้างที่นั่งในรถตู้อยู่ก่อนแล้ว
ทำให้ผมหยุดชะงักเล็กน้อย
"พี่จิมมี่....."
ผมพึมพำกับตัวเอง
ก่อนจะรีบเดินไปนั่งเบาะหลังถัดจากจิมมี่ ก้มหน้ามองมือตัวเองราวกับเด็กน้อยที่กำลังทำใจโดนไม้เรียวฟาดกลางก้นกก
"มีอะไรจะพูดไหม..." เสียงเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ดังขึ้นอย่างเย็นชา
พวกเรานิ่งเงียบกันอยู่สักพัก เหลือเพียงแต่เสียงรถตู้แล่นผ่านไปตามทาง
"ผม...ขอโทษครับ"
ผมพึมพำตอบกลับไปอย่างรู้สึกผิด
"เอ่อ...พี่จิมมี่ครับ
เรื่องนี้ผมเป็นคนผิดที่ดูแลศิลปินไม่ดีเองครับ" ซงโฮรีบแทรกขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย
"ผมถามเดย์ ไม่ได้ถามคุณนะซงโฮ"
เสียงนั้นตอบกลับมาอย่างเรียบเฉย
แต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นชาที่น่าเกรงขาม ผมมองซงโฮ พลางส่ายหัวก่อนจะผายมือทาบตัวของเขา
เป็นการส่งสัญญาณเพื่อยืนยันว่าผมจะแก้ไขเรื่องนี้กับจิมมี่เอง
"ผมทิ้งงานเพื่อเที่ยวต่อ
เพราะผมรู้สึกว่าผมเครียดและกลัวจะได้ผลตอบรับของเพลงใหม่ที่ไม่ดีครับ"
"คุณเห็นผมโง่หรือยังไงเดย์"
เขายังคงพูดต่อด้วยเสียงเรียบ
"เปล่านะครับ" ผมตอบออกไปอย่างลังเล
"ซงโฮคุณควรเอาข่าว Gossip ให้เดย์อ่านบ้างนะ เผื่อเขาจะมีความคิดมากกว่านี้"
'ข่าว Gossip อะไร?'
ซงโฮมองผมพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือของเขาที่เปิดหน้าเว็บไซต์หนึ่งที่มีข้อความสั้นๆ
'โปรดทำใจก่อนอ่านนะทุกคน
มีคนเจอนักร้องนำวงร็อกตัวย่อ ซีพี
ควงสาวไปญี่ปุ่นแถมนอนโรงแรมห้องเดียวกันด้วยล่ะ
ไม่ได้มีแต่ข้อมูลเลื่อนลอยนะ เอ้า! ดูเลย'
จากนั้นผมจึงใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอเพื่อดูรูปถ่ายตามคำบอกเล่า ซึ่งเป็นภาพของหญิงสาวร่างสมส่วนในชุดเดรสลายดอกแขนยาวทรงกระบอกสีน้ำเงินเข้มแบบผ่าอกเล็กน้อย
ที่กำลังเดินจับมือกับชาวหนุ่มร่างสูงกำยำในชุดเอี๊ยมสีดำ
'นี่มัน...ภาพของผมกับดาริณนี่!'
ผมจ้องมองภาพด้วยความตกตะลึง ก่อนที่อารมณ์โกรธจะค่อยๆประทุขึ้นมาทีละน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแหล่งที่มาของรูปถ่ายนี้คงจะมาจากชายปริศนา
ผู้ที่ลักลอบใช้ยูเซอร์เนมส่วนตัวของผมที่สมัครเอาไว้เพื่อคุยกับดาริณ
"หึ! พักเที่ยวหรือพักทำอะไรกันแน่"
จิมมี่หัวเราะเสียงเรียบอย่างเย้ยหยัน
"ผม....ขอโทษครับ"
ผมนั่งก้มหน้ายอมรับความผิดแต่โดยดี
"น่าเสียดายพรสวรรค์ทางด้านดนตรีที่คุณมี
แต่คุณกลับทิ้งมันเพื่อผู้หญิง ช่างไร้สาระสิ้นดี"
"............................"
"ถ้าคุณอยากพัก.... ผมก็จะให้คุณพัก"
"ตะแต่....พี่จิมมี่ครับ
วงเราไม่มีเดย์มาร้องนำไม่ได้นะครับ อะเอ่อ... คือคนติดภาพลักษณ์ที่ต้องมีเดย์เป็นนักร้องนำไปแล้ว
เราจะให้เขาหายหน้าไปไม่ได้นะครับพี่"
ซงโฮพูดแทรกขึ้นมาอย่างกระวนกระวายอีกครั้ง ผมกำมือด้วยอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"ฉันคิดว่าในเมื่อเดย์อยากพักขนาดนั้น
ก็ควรจะได้พัก จริงไหม"
"........................"
"อีกอย่างถึงอัลบั้มชุดนี้จะโปรโมทกันแค่สี่คน
ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่" เสียงเรียบเอ่ยออกมาโดยไร้เมตตา
"พี่จิมมี่ครับ
แต่อัลบั้มนี้เดย์โปรดิวซ์เองเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ เขา...ควรมีส่วนที่จะได้ออกสื่อนะครับ"
"เพื่อที่จะสอนให้เดย์รู้จักคิดมากกว่านี้
ผมขอสั่งให้พักงานเป็นเวลาสองเดือน โดยที่เขายังคงต้องแต่งเพลงส่งค่ายเหมือนเดิม"
"แต่...พี่จิมมี่ครับ"
ผมยกมือปรามซงโฮไม่ให้พูดอะไรอีกแล้ว ในเมื่อคนที่นั่งข้างหน้ามองผมแย่ขนาดนั้น
ก็สุดแล้วแต่
"เห็นตามสมควรครับ"
ผมพึมพำตอบจิมมี่ไปพลางถอนหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย
ความคิดเห็น