คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 6
CHAPTER
6
'ขออภัยค่ะ
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้'
“โว้ย! ปิดเครื่องทำไมเนี่ย!”
ชายร่างสมส่วนใบหน้ายาวรูปไข่เปล่งคำสบถเป็นภาษาเกาหลีออกมาอย่างรู้สึกหงุดหงิด หลังจากที่ได้ยินเสียงตอบรับอัตโนมัตินับครั้งไม่ถ้วนก็ทำเอาเขาโมโหแทบคลั่ง
สมาชิกของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์หายไปทั้งคนจะไม่ให้เขาเป็นห่วงได้อย่างไร
“ฉันถามหน่อยเถอะ ไม่มีใครรู้เลยจริงๆเหรอว่าเดย์มันไปไหน
โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ มันหมายความว่ายังไงวะ แล้วถ้าเกิดมันเป็นอะไรไปพวกเราจะทำมาหากินกันต่อได้ยังไง
เฮ้อ! ตายๆ ยิ่งคิดสมองก็จะระเบิดแล้ว
นี่ถ้าพี่จิมมี่รู้ว่าฉันทำนักร้องนำของเขาหายไปเนี่ยจะเป็นยังไง ทั้งฉันและพวกแกจะโดนฆ่ากันหมดเนี่ยแหละ ...แล้วไอ้เดย์ก็เหมือนกัน
จู่ๆนึกอยากจะอยู่เที่ยวต่อที่นี่ไม่มีปี่มีขลุ่ย
รู้ทั้งรู้ว่ามีถ่ายรายการโปรโมทซิงเกิ้ลใหม่
แล้วไม่มีนักร้องนำมามันจะโปรโมทได้ยังไงวะ”
ซงโฮบ่นไม่หยุด เหวี่ยงอารมณ์ใส่สมาชิกอย่างเหลืออด ในขณะที่ร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าของโรงแรม ทุกคนจึงแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนใจที่จะออกความเห็นใดๆ
เพราะเกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นอารมณ์โมโหของผู้จัดการวงเสียเปล่าๆ
“ซงโฮ แกใจเย็นๆก่อน
เดย์มันเครียดอะไรหรือเปล่า มันเลยหนีไปแบบนี้
มันอาจจะต้องการเวลาอยู่กับตัวเองสักพักก็ได้นะ มันขอหยุดเที่ยวหนึ่งอาทิตย์ก็ให้ๆมันไปเถอะ
ไม่แน่นะ กลับมามันอาจจะแต่งเพลงได้เป็นสิบ
เราก็ไม่ต้องเหนื่อยช่วยกันคิดเพลงอีกไง ดีจะตาย” เนลสันนั่งท้าวคางพลางจิ้มไส้กรอกเข้าปากเคี้ยวจับๆ
'เฮ้อ! พี่ช่วยแกได้แค่นี้จริงๆวะไอ้น้อง
อยู่สมสู่กับสาวให้สมใจไปเลยนะ'
“เครียดบ้าอะไรพี่
วันก่อนมันยังนอนฟังเพลงหลับฝันดียิ้มหน้าพรุ้มพริ้มอยู่เลย มันน่าสงสัยอยู่นะ”
ในที่สุดหนุ่มร่างสูงใหญ่ไว้ผมรองทรงสูงมัดจุกอย่างโจก็แย้งขึ้นมา
“ก็ถ้าเดย์ไม่สามารถมาโปรโมทได้จริงๆ
เราบอกทางรายการไปก่อนว่าติดธุระไม่สะดวกมาร่วมโปรโมท ไม่มีไอ้เดย์เราก็โปรโมทกันได้น่า
แค่ร้องเพลงเอง ผมร้องแทนไปก่อนก็ได้นะพี่"
“เฮ้อ! สงสัยคงต้องทำแบบนั้นจริงๆนั่นแหละรอบนี้"
ซงโฮได้ฟังข้อเสนอทางเลือกดังนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะดูเหมือนมันจะเป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้
------------------------------------------------------------
โทรศัพท์คู่ใจของฉันสั่นระรัวกระทบกับตู้โคมไฟข้างเตียงจนทำให้ฉันสะดุ้งตื่น จึงเดาได้ว่าตอนนี้มันคงเป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว
แสงแดดจ้าส่องเงากระทบแขนจนเริ่มรู้สึกร้อน
สิ่งที่ทำให้ฉันร้อนยิ่งกว่าคือการได้อยู่ภายใต้อ้อมกอดของเดย์
แม้แขนแกร่งจะกอดรัดจนรู้สึกอึดอัด ทว่าการที่ใบหน้าหล่อคมหลับใหลในห้วงนิทรา
คอยส่งผ่านลมหายใจอุ่นรดต้นคออยู่เป็นระยะ
กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรุ่มอย่างน่าประหลาด ยิ่งนึกถึงบทบรรเลงเพลงรักจากเมื่อคืนยิ่งทำให้หัวใจของฉันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
“ลบเขาเถอะและอย่าคุยกับใครนอกจากผมเลยนะ”
นัยน์ตาเฉี่ยวสีน้ำตาลจ้องมองมา ให้ความรู้สึกหวานซึ้ง พร้อมเรียวนิ้วแตะเส้นผมเพื่อทัดหูให้ฉัน
เขาวางสิทธิ์ในตัวของฉันไปเสียทุกอย่าง...ในเรือนร่างนี้เป็นสิทธิ์ของเขาไปหมดแล้วหรือ
แล้วฉันล่ะ? ฉันมีสิทธิ์อะไรในตัวผู้ชายคนนี้บ้าง? ฉันจะทนรู้สึกหนักใจแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
ทุกวินาทีที่ฉันมีเขาอยู่เคียงข้างกาย ฉันมีความสุขมากจนไม่อยากจะยอมรับ
ทว่าเราไม่ควรมีความสุขบนความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ใช่หรือ เพราะสักวันเขาจะจากเราไป
เขาไม่ใช่ของเรา
ฉันประสานสายตากับเขาเนิ่นนาน
อยากส่งผ่านความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจทั้งหมดที่มีให้เขาได้รับรู้
เขย่งตัวประทับจูบลงบนริมฝีปากอิ่มนั้น
เขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเขามีอิทธิพลต่อหัวใจดวงนี้มากเพียงไหน
จนริอาจคิดจะรั้งเขามาเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว ... หากเป็นไปได้
“อย่าจูบแบบนี้กับใคร เข้าใจไหม”
เขาถลาเข้าประคองใบหน้าฉันไว้ ประสานจุมพิตรักอย่างเร่าร้อน
สองเราเซล้มนอนทับกันบนเตียงหนานุ่ม พร้อมเปิดฉากรักบทต่อไปอย่างกระตือรือร้น
ริมฝีปากอุ่นร้อนประสานดูดกลืนกินจิตวิญญาณของกันและกัน
ปล่อยใจและกายให้หลอมละลายลงบนเตียงผืนนี้อีกครั้ง เขาพยุงตัวคร่อมฉันไว้พลางจ้องมองลึกเข้าไปนัยน์ตากลมโต
กัดริมฝีปากออดอ้อนมองฉันนิ่งงัน แล้วจึงเขยิบใบหน้าหล่อเข้ามุดข้างหู
สัมผัสลมหายใจรดต้นคอทำเอาดอกไม้กลับมาเบ่งบานสะพรั่งรัก
เสียงขานเรียกความรักดังกึกก้องอยู่ภายในใจ ฉันอยากเป็นของเขาอีกครั้งเหลือเกิน
“ได้โปรดมีความสุขไปกับผมเถอะนะดาริณ”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูคล้ายอิดโรย
ก่อนจะเลื่อนสัมผัสริมฝีปากลงมายังกระดูกไหปลาร้า
สัมผัสอุ่นร้อนถูกพรมไปทั่วเรือนร่าง
หลับตาพริ้มน้อมรับความเป็นสามีในทางพฤตินัยอย่างไม่ขัดขืน
“เดย์”
ฉันโปรยตามองอย่างออดอ้อน
ใช้มือลูบสันกรามสากของเขาที่บัดนี้มีเคราขึ้นบ้างอย่างประปราย หวังจะเย้ายวนใจชายให้เกิดจิตพิศวาสในเรือนร่างนี้
“ดาริณ...”
มือใหญ่กดทับมือเล็กด้วยความรู้สึกราวกับหวงแหน
สายตาสองเราประสานกันด้วยความปรารถนาแรงกล้า ทำให้ฉันมิอาจต้านทานบทเพลงรักของเดย์ได้อีกต่อไป
“อย่าให้ใครมาหอมกลิ่นมิกซ์เบอร์รี่นี้นอกจากผม
ได้ยินไหมครับดาริณ”
เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เสื้อผ้าอาภรณ์วางกองระเกะระกะก็ทำให้ฉันหน้าแดงระเรื่อ
แม้จะชอบพอบทเพลงรักของเดย์มากเพียงไหนก็ยังอดที่จะน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองไม่ได้
ฉันไม่น่าปล่อยตัวปล่อยใจไปให้เขาเลย ป่านนี้เขาคงมองฉันเป็นของเล่นประจำกายที่จะเชยชมเล่นรักเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
มีแต่ตัวฉันที่ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความรักใดๆจากเขา สมควรแล้วที่แม่สอนไม่เคยจำ
หรือจำก็ไม่ยอมรักดี พลีกายให้เขาเชยชมอย่างไม่เห็นคุณค่า
ความรู้สึกจุกอกพาฉันอึดอัด ต้องนอนปาดน้ำตาระบายคลายความเครียด
ฉันขยับตัวหันกลับมากอดเดย์
ค่อยๆใช้นิ้วมือลูบไล้สัมผัสโครงหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา
ตั้งแต่ผมรองทรงเส้นตรงสลวยสีน้ำตาลเข้ม
ที่บัดนี้กระเซอะกระเซิงจนเผยให้เห็นหน้าผากเนียนกลมมน
แล้วจึงสัมผัสมาที่เปลือกตาซึ่งมีขนตาเส้นตรงหนาเป็นแพโชว์หรา
มันเป็นภาพที่ช่างน่ารักอย่างเหลือเชื่อ
จนทำให้ฉันอดใจไม่ไหวประทับจูบที่หน้าผากและเปลือกตาของเขาไปอย่างละที
ไล้นิ้วชี้สัมผัสสันจมูกโด่งพร้อมริมฝีปากอิ่มสีชมพูใส
คิดแล้วก็รู้สึกเสียใจที่เขาไม่ใช่ของฉัน
‘เขาเป็นของฉันได้ไหม
ฉันมีสิทธิ์นี้บ้างไหม’
กัดริมฝีปากตัวเองจ้องมองริมฝีปากของเขา ก่อนจะตัดสินใจเลื่อนใบหน้าลงไปประทับจูบอีกครั้งทว่า....
“อยากจูบก็จูบสิครับ”
เขาดันตื่นขึ้นมาพร้อมรับสัมผัสจูบที่ริมฝีปาก
ใบหน้าหล่อคมแยกเขี้ยวฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ทำอะไรเหรอครับ”
“ปะเปล่านะคะ
มันเหมือนมีฝุ่นต่างหากเลยจะปัดออกให้ค่ะ” ฉันตอบอย่างเลิกลั่ก
“งั้น...ปัดฝุ่นที่ปากให้หน่อยสิครับ
มันยังไม่หมดเลย” คราวนี้ถึงกับยิ้มตาปรืออย่างออดอ้อนออเซาะ
“ไม่เห็นจะมีฝุ่นอะไรเลยนี่คะ” ฉันหลบตาเขาพลางเลื่อนสายตามองหน้าอกกำยำ
“โธ่! นี่ก็ผ่านมาหลายรอบแล้ว
ที่รักยังไม่ชินอีกเหรอหืม? แค่จูบเอง เอาปากทาบกันเฉยๆก็ได้”
ใบหน้าที่อุ่นร้อนอยู่แล้วกลับแดงระเรื่อขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
หัวใจเต้นแรงอีกครั้งจนรู้จึกจุกตรงหน้าอก
“ทะลึ่งที่สุดเลย” ฉันหลบสายตาปรารถนาอีกครั้ง ทำหน้ามุ่ย ก่อนจะได้รับสัมผัสจากริมฝีปากประทับจูบที่ผิวแก้ม
จึงมองค้อนสักนิดอย่างถือตัว
“เดย์ขอโทษ แค่จูบเอง จูบได้ไหม..นะครับ”
“ไม่เอา ตื่นเถอะนะ ไปเที่ยวไปกินข้าว
ออกจากห้องกันบ้าง” ฉันใช้นิ้วชี้ดันหัวเขาเบาๆ
“ก็ได้แต่ต้องจูบผมก่อน” ม่านตาสีน้ำตาลแวววาว หน้ามุ่ยทำออดอ้อนจนฉันเริ่มรู้สึกเคลิ้ม
“เฮ้อ!”
ถอนหายใจด้วยความรู้สึกเขิน พลางขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ทว่าในที่สุดเขาก็พลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างของฉัน
จับข้อมือกดฝังเตียงเอาไว้อย่างจนมุม จ้องลึกเข้าไปนัยน์ตากลมโตแล้วจึงก้มลงประทับจูบบนริมฝีปากจนเคลิบเคลิ้ม
เผลอใจประสานจุมพิตอีกครั้ง เนิ่นนาน....
“ชื่นใจจังเลยที่รัก ...”
“ทำไมถึงชอบจูบเหรอคะ” เผลอเลื่อนมือโอบคออย่างหวงแหน
“ไม่รู้สิ... แค่รู้สึกว่าจูบของดาริณนั้นอร่อยที่สุด”
เขาเลื่อนสายตาจับจ้องเรือนร่างอีกครั้ง
ก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองทางอื่นจนฉันเริ่มสับสนใจ
“ไปอาบน้ำเถอะครับ
มาถามอะไรมากๆเดี๋ยวก็ไม่ได้ออกจากห้องนี้กันพอดี นุ่งผ้าเช็ดตัวด้วย
ห้ามเดินโป๊เปลือยในห้องจะหาว่าไม่เตือน เข้าใจไหมครับ”
ร่างสูงโปร่งออกปากเตือนฉันทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดูตัวเขาเองเลยแม้แต่น้อย นี่เขาคงเห็นฉันเป็นพระอิฐพระปูนที่จะไม่มีอารมณ์รักกับเขาหรืออย่างไร
ก่อนจะมาสั่งฉันก็ควรจะสั่งตัวเองไปด้วยสิ
-----------------------------------------------------------
ผมเหม่อมองตามร่างสมส่วนที่เดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ
คว้าผ้าเช็ดตัวมานุ่งเพื่อปกปิดร่างกาย ถอนหายใจครุ่นคิดอะไรอยู่สักพักใหญ่ เฮ้อ! ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่
ผมควรทำอย่างไรดี เธอดูเหมือนจะยังลืมรักเก่าไม่ได้ เพราะเธอยังคงดูเย็นชา ราวกับยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใครนัก ผมไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนรักกันมานานแค่ไหน
ผมไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนยังรักกันอยู่ไหม แต่เท่าที่ดูจากภายนอก
สิทธิ์ของผมในห้องหัวใจเธอยังคงมีน้อยเหลือเกิน
ผมติดตามเฝ้าดูเธออยู่ในโลกแห่งความเงียบมาเนิ่นนาน จากความรำคาญที่เธอส่งเพลงรักให้ผมฟังทุกค่ำคืนในสมัยที่วงใต้ดินของผมเริ่มปล่อยเพลงลงผ่านทางสื่อโซเชียลได้เพียงปีเศษ
ความรำคาญนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความชอบ เพราะผมก็แอบเข้าไปส่องดูโปร์ไฟล์ของเธอ
บนโลกนี้มีไม่กี่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะมีไลฟสไตล์คล้ายคลึงกันกับผม
โดยเฉพาะรสนิยมในการฟังดนตรีของเธอทำให้ผมยิ่งหลงใหลได้ปลื้ม ยิ่งส่องดูความเป็นไปก็ยิ่งทำให้ได้รู้จักเธอมากขึ้น จนล่วงรู้ว่าอันที่จริงแล้วสมัยที่ผมเป็นวงใต้ดินอยู่ในสามปีแรกนั้น
เธอเฝ้าติดตามผมในฐานะแฟนคลับมาตลอด ซึ่งในช่วงนั้นเธอและคนรักก็กำลังวางแผนแต่งงานไปด้วย
ผมจำได้ความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดี ในกลางดึกคืนวันนั้น
ผมพึ่งเลิกงานเล่นดนตรีที่บาร์แห่งหนึ่ง กดโทรศัพท์เช็คความเคลื่อนไหวของเหตุการบ้านเมืองตามเคย
ทว่าสิ่งที่พึ่งผ่านตาของผมไปทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน แฟนคลับสาวที่คอยส่งเพลงรักในยุคเจ็ดศูนย์ให้ผมฟังอยู่ค่ำคืนกำลังจะแต่งงาน
เธอโพสต์รูปมือของเธอ
นิ้วนางเรียวสวยนั้นถูกสวมทับด้วยแหวนเพชรแวววาว พร้อมข้อความที่เปรียบเสมือนมีดแหลมแทงใจผมจนเกือบปางตาย
‘I was proposed, folks!’ -มีคนขอฉันแต่งงานแล้วย่ะ-
อายุอานามวัยยี่สิบเจ็ดปีในตอนนั้น เท่ากับผมในตอนนี้
ก็ค่อนข้างเหมาะสมที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครสักคนแล้ว...
เธอไม่ผิดหรอกที่จะเลือกตอบรับคำขอแต่งงานของเขา
ผมต่างหากที่ผิดเอง...ผมผิดที่ชอบคนง่ายเกินไป
นับได้ว่าเหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้วทำเอาผมแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับมาแรมปี
ผมร้องไห้คล้ายคนอกหักทั้งๆที่ยังไม่มีใคร เพลงที่ผมแต่ง
ทิศทางดนตรีของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ในช่วงนั้นมืดมนลงมาก
ทุกคนในวงต่างบ่นอุบเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วยเพลาๆอารมณ์เศร้าในเพลงสักหน่อย
เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนในวงจะอกหักพร้อมกันเสียเมื่อไหร่ ผมผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นมาได้
โดยให้สัจจะปฏิญาณกับตัวเองว่า ผมจะไม่ยอมตกหลุมรักใครง่ายดายแบบนี้อีกแล้ว....ไม่มีทาง
ดาริณไม่เคยได้รับรู้ว่าผมชอบพอเธอมากแค่ไหน
เพราะเธอยังคงติดตามให้กำลังใจผมเช่นเคยในฐานะแฟนคลับ จะว่าไป
ความคลั่งไคล้ของเธอในตัวผมก็อาการหนักถึงขั้นโคม่า ผมมักเห็นเธอนั่งเครื่องบินไฟล์ทเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง
ทว่าเธอไม่เคยรบกวนอะไร เธอไม่เคยพยายามให้ของขวัญถึงมือผม
กลับเคารพความส่วนตัวและรักษาระยะห่าง โดยการฝากของขวัญผ่านคนอื่นมาแทน
ผมรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทุกการกระทำนั้น
เธอเพียงแค่อยากดูแลผมตามประสาแฟนคลับที่คลั่งไคล้ในตัวศิลปินเท่านั้นเอง จนกระทั่งในวันนั้นที่ผมแวบเห็นสถานะของเธอในสื่อโซเชียล
ภาพสีดำสนิทพร้อมข้อความอวยพรในเชิงประชดประชันก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากนัก
ว่าเธอมีเหตุให้ต้องเลิกรากับคู่หมั้นของเธอเข้าแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรดีใจกับข่าวร้ายที่น่าจะกระทบจิตใจเธอไม่ใช่น้อย
ทว่า มันช่วยไม่ได้ ในเมื่อผู้ชายคนนั้นหลีกทางจากไป ผมคงต้องรีบทำคะแนนเพื่อคว้าใจของเธอมาให้ได้เช่นกัน
ผมจะไม่ปล่อยเธอไปเจอใครอีก ผมกับเธอเหมาะสมกันที่สุดแล้ว หลังจากวันนั้นผมใช้เวลารออีกหนึ่งปีเต็มจนมาถึงวันนี้
ผมตัดสินใจแล้วที่จะยอมลงจากเวทีเพื่อมาคว้าตัวเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ทีท่าที่จะอยากเล่นด้วย
มันน่าน้อยใจนัก
ผมนั่งกุมขมับอย่างเคร่งเครียด
เพราะยิ่งนึกถึงคำพูดของเธอก็ยิ่งรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาในใจ
แต่ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด...จริงไหม?
เสียงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ของดาริณดังขึ้น
ผมแอบคว้ามาดูรายการข้อความที่ยังคงค้างอยู่บนหน้าจอขึ้นมากดดู
'@Darinee ผมมีเรื่องจะเล่าเกี่ยวกับเดย์ด้วยละ
อยากรู้รึเปล่า'
'@Darinee ขอเตือนก่อนว่าคุณควรทำใจดีๆก่อนนะ
ภาพนี้ Exclusive ที่สุด ผมไปเจอในกระทู้ก็อตซิปมา'
'@Darinee ภาพนี้เขาว่ากันว่าเป็นภาพกล้องวงจรปิดที่คอนโดฯของจีซุน
เดย์ถือเบียร์เข้าห้องมินซูคู่หมั้นของจีซุนล่ะ คุณว่าใช่ไหม?'
'@Darinee เรื่องมีแค่นี้ล่ะ แต่ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้อยู่แล้ว'
'@Darinee ผมใกล้จะกลับเกาหลีแล้ว
ไว้เจอกันที่เกาหลีนะครับ'
ผมเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยอารมณ์โกรธที่เชี่ยวกราด ในทันทีที่อ่านข้อความจบ
มือกำโทรศัพท์ไว้แน่น จนผมอยากจะปามันทิ้งให้แตกเป็นเสี่ยงๆไปเสีย
ใครกันมันช่างกล้าแฮคยูเซอร์เนมส่วนตัวที่ผมตั้งขึ้นมาเพื่อคุยกับดาริณ
...ที่สำคัญก็คือ
ใครกันที่ปล่อยภาพนี้?
ใครกันที่จ้องจะทำลายหน้าที่การงานของผม? อย่าให้ผมได้รู้เชียวนะ!
“ทำอะไรน่ะเดย์!” ผมได้ยินเสียงเล็กตวาดจากด้านหลังก็ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก!
“ก็.....ก็.....”
“เอาโทรศัพท์ฉันคืนมาเดี๋ยวนี้!” ร่างสมส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายและกางเกงสกินนี่ยีนส์สีอ่อนเดินตรงดิ่งมาที่ผมอย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่ให้!” ผมแผดเสียงเข้มใส่
ขอโทษนะ ผมยังให้ไม่ได้ ยังไม่ใช่ตอนนี้
“โทรศัพท์ฉันนะ เอาคืนมาเดี๋ยวนี้!”
เธอพูดพลางพยายามคว้าโทรศัพท์ไปจากมือของผม
“ไม่ให้!” ผมแสร้งแผดเสียงเข้มใส่เธออีกครั้ง
“เดย์ไม่มีสิทธิ์จะยุ่งกับโทรศัพท์ส่วนตัวของฉันนะ!”
“ผมไม่มีสิทธิ์นั้นเหรอ
เรามาถึงขั้นนี้แล้ว ผมยังไม่มีสิทธิ์อะไรอีกเหรอ?! ถ้าคุณท้องขึ้นมาลูกในท้องคุณก็คือลูกของผมด้วยซ้ำ”
ผมแผดเสียงเข้มพลางจ้องตาเธอเขม็ง
เธอยืนอึ้งกะพริบตาปริบๆไปอยู่ครู่หนึ่ง พลันหลบสายตา
“ฉันไม่ใช่ทาสของคุณนะเดย์”
“ดาริณมันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ....คือผมแค่....ผมไม่อยากให้คุณคุยกับซงอะไรนี่อีก”
“คุณมีสิทธิ์อะไรอ่านข้อความของฉัน!”
เธอตวาดเสียงดัง ก่อนจะใช้มือเล็กๆผลักผมจนเซ
ผมจึงคว้าเธอมากอดไว้
“ถ้าผมมีสิทธิ์ล่ะ”
“ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาคอยส่งข้อความหาแฟนได้ตลอดเวลา
ผมเคยบอกแล้วไงว่า ไม่ให้คุยกับใครนอกจากผม ผมไม่มีสิทธิ์โกรธเหรอ”
ผมกอดปลอบเธอ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ ทำอย่างไรดี
เธอคิดมากอีกแล้ว....
“........” เธอเอาแต่มองจ้องพื้น
ไม่ฟังอะไรผมทั้งนั้น ผมจึงจัดการผลักเธอลงเตียง กดมือเธอเอาไว้ไม่ให้เธอดิ้นหนี
ร่างกำยำที่เปลือยเปล่านอนทับร่างเล็กจนเกือบมิด
“เราเป็นแฟนกันนะ”
ผมจ้องลึกเข้าไปนัยน์ตาสวยคมของดาริณ
ก่อนจะเลื่อนใบหน้าประทับจูบอย่างดื่มด่ำ ไม่รีรอให้เธอได้ตอบรับรักของผม จัดการถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เธอพึ่งสวมใส่ออกจนหมดเกลี้ยง
กดทับเรือนร่างประสานรักพิศสวาสร่วมกันบนเตียงหนานุ่มผืนนี้อีกครั้ง ไม่สิ กี่ครั้งก็ไม่เคยพอสำหรับผม
รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเห็นเธอร้องไห้ เธอคงยังไม่พร้อมที่จะเปิดประตูใจรับรักผม
ทว่าหากการเป็นคนดีมันไม่ได้ทำให้ผมได้ดี ผมก็ไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว
ผมแอบรักและชื่นชมมาเนิ่นนาน แม้จะต้องเป็นคนเลวก็ตาม ผมยอม
ว่าแล้วจึงคว้าเธอมาแนบชิดกาย เบียดตัวสอดแทรกลิ้มรักพิศวาสให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
แม้เธอจะไม่ค่อยเต็มใจนัก
ผมก็ยังคงอยากให้เธอได้รับรู้ว่าผมอยากปกป้องเธอมากแค่ไหน และนี่คือวิธีที่ผมจะทำ
“เราเป็นแฟนกันแล้วนะครับดาริณ” สาวร่างสมส่วนเบื้องหน้ายังคงร่ำไห้สะอื้นอยู่อย่างนั้น ผมไม่เข้าใจเลย
เธอไม่ต้องการผมขนาดนี้เชียวหรือ?
“ค่ะ...เราเป็นแฟนกัน"
เสียงเล็กเน้นย้ำแต่กลับไร้ความรู้สึกยินดียินร้ายในคำพูด
ทำเอาผมรู้สึกหน่วงใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ดาริณ...ไม่อยากเป็นแฟนของเดย์เหรอ”
“อยากสิ.....เราเป็นแฟนกันแล้วไงคะ”
เธอยังคงเน้นย้ำในคำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบโทนเดิม
ทำเอาผมรู้สึกน้อยใจโชคชะตาความรัก
ผมรักเธอผมผิดอะไร? เธอยังไม่พร้อมจะมีคนใหม่อย่างนั้นใช่ไหม?
หรือผมควรปล่อยเธอไป
ให้เธอได้เดินบนเส้นทางที่เธออยากเดิน
ทว่าคนเราจะมีโอกาสโชคดีได้เจอคนที่ใช่สักกี่หน
มันสมควรแล้วหรือที่จะยอมถอดใจไปง่ายดายแบบนี้ ไม่...ผมทำไม่ได้หรอก ผมแอบรักเธอมานานเกินกว่าจะยอมให้เธอเดินจากไปดื้อๆแบบนั้น
ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาใช่ไหม แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ?
ลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเดินตึงตังเข้าห้องน้ำไปในทันทีที่เสพย์รักสมใจอยาก
เปิดฝักบัวราดท้ายทอย ปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวชำระล้างความไม่สบายใจ ทว่ามันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
---------------------------------------------------------
หลังจากที่ทำมึนตึงใส่กันได้สักพัก
เราสองจึงเดินทางมาที่ปราสาทโอซาก้าตามแผนการที่ดาริณวางไว้ โดยมีผู้ติดตามหน้ามึนอย่างผมคอยเดินเคียงข้าง
ต่อให้เธอจะพยายามยิ้มแย้มชวนผมดูนั่นดูนี่
ก็ไม่สามารถทำให้ผมหายรู้สึกน้อยใจเธอไปได้เลย
“เดย์คะ...”
“หืม?”
“เราเป็นแฟนกันจริงๆแล้วเหรอคะ แฟนแบบไหน?”
“แฟนก็คือแฟนสิดาริณ
ถ้าไม่อยากเป็นนักก็บอกกันตรงๆเถอะ”
ผมหยุดเดินพลันดึงมือออกจากเธอแล้วหันมองทางอื่น
“ฉันกลัวว่าทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่อารมณ์เหงาชั่ววูบของเดย์”
เธอจับมือผมแน่นก่อนจะประทับจูบลงบนต้นแขนและซบไหล่ของผม
“ในสายตาของดาริณ
ผมคงดูเป็นผู้ชายที่แย่มากเลยใช่ไหม”
“ฉันกลัวว่าเดย์จะมาทำให้ฉันรักมากๆ
แล้วสุดท้ายก็มาทิ้งกันไปอยู่ดีต่างหาก เราค่อยเป็นค่อยไปได้ไหมคะ ค่อยๆเรียนรู้กันไป”
“ช่างเถอะครับ
ความรักอาจต้องการใช้เวลาจริงๆนั่นแหละ”
ผมถอนหายใจทั้งๆที่ยังกุมมือเดินไม่ยอมปล่อย
บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้ใบเขียวขนาบข้าง
อากาศอบอุ่นในฤดูร้อนทำให้เรารู้สึกห่อเหี่ยวใจชอบกล
แม้แต่ต้นซากุระเองบัดนี้ได้ผลิใบสีเขียวมาแทนที่
ก็ยังไร้เงากลีบดอกบานสะพรั่งตามคำล่ำลือ ปล่อยบรรยากาศชวนเหงาพาเราเข้าห้วงภวังค์ไปพร้อมกัน
แชะ!
เธออมยิ้มให้กับรูปของผมที่เธอแอบถ่ายเอาไว้ได้
หยอกล้อยิ้มทะเล้น แต่ผมก็ยังไม่มีอารมณ์ร่วม จึงหยิบสมุดโน้ตคู่ใจออกมาจากกระเป๋า
บรรจงเขียนบทกวีที่พึ่งนึกขึ้นได้
ปล่อยใจไปตามอารมณ์หม่นและบรรยากาศชวนเหงานี้แทนที่จะสนใจสาวตาคมที่ซบไหล่อิงแอบ
ได้โปรดโกหกผมทีว่าผมยังเป็นที่หนึ่งของคุณ
ได้โปรดโกหกผมที แค่ตอนนี้ก็ยังดี
ผมต้องการเพียงเท่านี้ คุณทำให้ผมได้ไหม
แสงดวงดาวกลับเจิดจ้า ภายใต้เงามืดบนตัวผม
ระหว่างเราคือความรักใช่ไหม
หรือสักวันมันจะเป็นความรักใช่ไหม
หากความมืดมิดนี้จะช่วยให้คุณโกหกผมได้
ผมคงไม่ต้องการแสงสว่างในชีวิตอีกแล้ว
ได้โปรดโกหกผมที'
---------------------------------------------------------------
ฉันเก็บภาพบรรยากาศชวนเหงา พลางชำเลืองมองชายหนุ่มอยู่เป็นระยะๆ
เขากำลังนั่งเหม่อมองบรรยากาศรอบข้างอย่างนิ่งเงียบ
คว้าสมุดโน้ตที่ฝากไว้ในกระเป๋าของฉันออกมาและนั่งจดอะไรบางอย่างลงไป ฉันพยายามจ้องมองพร้อมเอาคางเกยไหล่กว้าง
ทว่าเดย์กลับไม่มีทีท่าที่จะเล่นด้วยเลยสักนิด
“เดย์คะ” ฉันวางหัวซบไหล่
“หืม?” เขาขานรับในขณะที่มือของเขากำลังง่วนเขียนอะไรบางอย่างอยู่
“คุณคิดว่า ....เราจะเป็นแฟนกันได้จริงๆเหรอคะ”
“..............”
“ไม่รู้สิ... แต่ผมรู้สึกว่าผมชอบคุณมาก
ผมแอบดูโปรไฟล์ในโซเชียลของคุณมานานพอๆกับที่คุณคอยมาตามผม
ผมคิดว่าเรามีอะไรคล้ายกันมากเลยนะ พวกเราไม่สมควรที่จะลองเปิดใจคบกันดูสักหน่อยเหรอครับ”
เขายังคงนั่งเหม่อมองและดื่มด่ำบรรยากาศชวนเหงาอยู่อย่างนั้น
เบือนหน้าบึ้งตึงหันมาสบตาฉันเนิ่นนาน
“คุณจะชอบฉันได้ยังไง
คุณยังไม่รู้จักตัวตนของฉันเลย”
“ผมรู้จักคุณมากกว่าที่คุณคิดนะ ดาริณ....”
“ยังไงเหรอคะ” ฉันผูกคิ้วขมวดเป็นปมอย่างสงสัย
“คุณชอบหิ้วแฟนไปบาร์ฝรั่งบ่อยๆ”
เขา...ยังจำได้หรือ?
เขา...จำฉันได้ด้วยหรือ?
“ผมรู้จักคุณนานมากพอที่จะทำให้ผมรู้ว่าคุณมีงานอดิเรกชอบถ่ายรูปและวาดภาพ
คุณฟังดนตรีแนวไหน คุณชอบทานอะไร นิสัยใจคอของคุณ”
ฉันกะพริบตาปริบๆไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คนอย่างเดย์นี่เหรอจะมาชอบคนอย่างฉันได้
“คุณน่ะเป็นคนคิดมาก
จะทำอะไรต้องมีแบบแผนและต้องเป็นไปตามที่คุณคาดหวังเอาไว้
หากไม่เป็นไปตามนั้นคุณจะมานั่งคิดวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอะไร
คุณเคยมีคู่หมั้นและเลิกรากันไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ผมติดตามอ่านสถานะของคุณผ่านสื่อโซเชียล ผมไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับคุณไปมากกว่านี้
จึงอยากรู้จักคุณไงครับ”
เขาคว้ามือของเธอมากุมเอาไว้
ลูบนิ้วนางข้างซ้ายที่ไร้แหวนมาจับจองแล้วจึงถอนหายใจ
“เป็นยังไงครับ....ผมพอจะมีสิทธิ์เป็นแฟนคุณได้บ้างหรือยัง”
“...........”
“อย่าเงียบแบบนี้สิครับดาริณ........เฮ้อ! ที่คุณคอยมาตามหาข้าวหาน้ำให้ผมตอนซ้อมดนตรีดึกๆ
คอยส่งโปสการ์ดภาพที่คุณถ่ายให้ผมดู คอยส่งเพลงรักให้ผมฟัง
มันไม่ใช่เป็นเพราะคุณก็รู้สึกเหมือนกันหรอกเหรอ” เขาก้มหน้าจ้องมือของฉันอย่างคนสิ้นหวัง
ฉันกะพริบตาปริบๆ
ก่อนจะหลบสายตาพลางนั่งครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล
“แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเหรอครับ” เขาเองก็หลบตามองสมุดโน้ตของเขาพลางเอาปากกาขีดเขียนกระดาษอย่างเหม่อลอย
“ก็ใช่ค่ะ” ฉันพึมพำตอบเขาไปอย่างไม่เป็นศัพท์
“ผมรู้จักคุณมากกว่าที่คุณคิดนะ ดาริณ....”
“ยังไงเหรอคะ” ฉันผูกคิ้วขมวดเป็นปมอย่างสงสัย
“ระยะเวลาตามอ่านสื่อโซเชียล
อ่านบล็อคไดอารี่ของคุณมันก็ไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ” เขายังคงขีดเขียนกระดาษไม่เป็นรูปเป็นร่างอยู่แบบนั้น
“...................”
คิ้วของฉันยังคงผูกขมวดกันเป็นปมอย่างรู้สึกสับสน
พลางนั่งนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นที่เมืองโอซาก้าแห่งนี้
มันเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงแล้วฉันเองก็ยังไม่มั่นใจในตัวของเขาสักเท่าไหร่ การเข้าหาฉันแบบนี้
หากจะลองคิดตามหลักและเหตุผล
ฉันว่าอย่างไรมันก็เข้าข่ายคนขี้เหงาเอาแต่ใจ
อยากหาอะไรแก้ขัดไปก่อนอยู่ดี
ซึ่งสำหรับที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีเพียงฉันที่น่าจะใจง่ายที่สุดแล้ว
แอบเห็นเขาชำเลืองมองฉันพลางถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะหลุดประโยคที่ทำเอาฉันอึ้ง
“คุณคงคิดว่าผมมาหลอกคุณอยู่ใช่ไหมครับ......”
เขาอ่านได้แม้กระทั่งความคิดของฉันอย่างนั้นหรือ?
“เอ่อ...เดย์คะ
คือว่า...”
“คุณเป็นแบบนี้เสมอเลย
ทุกอย่างต้องมีเหตุผล คุณจะคิดวิเคราะห์อย่างแยบยลในทุกเรื่อง
ทำอะไรต้องมีแบบแผนที่ชัดเจนเสมอ
คุณจะหงุดหงิดทุกครั้งที่งานหรืออะไรก็แล้วแต่มันไม่เป็นไปตามแบบแผนที่คุณวางไว้
แล้วคุณก็จะต้องกลับมานั่งคิดทบทวนหาเหตุผลให้มันเสมอ ผมพูดถูกไหม”
เขาอ่านฉันจนทะลุปรุโปร่งขนาดนี้เลยเหรอ
ดูเหมือนว่าเขาจะมองเราออกแทบทุกอย่าง
มีแต่เรานี่สิที่มองหรือเดาความคิดเขาแทบไม่ได้เลย
“ตอนนี้ผมว่ามีแต่คุณที่ยังคงมองไม่เห็นข้างในจิตใจของผม
นึกแล้ว...มันก็แอบน่าน้อยใจอยู่เหมือนกัน” เขาหันมามองจ้องผ่านม่านตาสีน้ำตาลอ่อน
เผยอาการเศร้าสร้อยซึ่งผิดไปจากเขาคนเดิม
“ก็คุณเป็นนักร้อง สิ่งที่ฉันได้รับรู้
สิ่งที่คุณแสดงออกมามันก็เป็นไปได้ยากที่จะเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์
อีกอย่างฉันไม่เคยเห็นพวกคุณในตำแหน่งข้างหลังภาพแบบนี้นี่คะ
และก็พึ่งจะได้มาเห็นแค่ไม่กี่วันเอง ขอเวลาฉันหน่อยนะคะ” ฉันเอามือลูบผมรองทรงต่ำเส้นตรงสลวย ที่บัดนี้สะบัดพลิ้วไหวไปตามแรงลมจนกระเซอะกระเซิง
ขยับตัวเข้าไปหอมแก้มโดยไมรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร รู้แต่เพียงว่า
มันเป็นสิ่งที่ฉันอยากทำ
“ครับ... เข้าใจแล้ว
งั้นตอนนี้ก็หมายความว่า...เรา...เอ่อ.... เป็นแฟนกันแล้วนะครับ” เขาคว้ามือของฉันไปกุมไว้ก่อนจะก้มลงประทับจูบ
พลางจ้องมองและลูบมันราวกับหวงแหน
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ....ถ้าคุณอยากเป็นแฟนฉัน ฉันก็คงไม่ปฏิเสธค่ะ” ฉันตอบออกไปอย่างลังเล
แต่ในเมื่อฉันเลือกแล้วก็คงจะต้องยอมรับในผลที่ตามมา
สิ้นเสียงบทสนทนาอันเคร่งเครียด เราสองจึงนั่งซบกันพลางกุมมือเสพความสุขปนเศร้า
ปล่อยกายและใจไปตามบรรยากาศชวนเหงาตรงหน้าของปราสาทโอซาก้ากันอย่างนิ่งเงียบเนิ่นนาน.....
--------------------------------------------------------------
วันเวลาล่วงเลยผ่านมาแล้วเกือบอาทิตย์
ผมและเธอได้ทำอะไรหลายอย่างร่วมกันมากมาย
ทั้งกิจกรรมทางกายและกิจกรรมสานสัมพันธ์กันทางใจ
เราใช้เวลาท่องเที่ยวด้วยกัน โดยไม่มีการวางแผนเดินทางใดๆ ใครอยากไปไหนก็ไปตามใจคิด
ไร้ซึ่งผู้คนติดตาม ไร้ซึ่งเสียงโทรศัพท์ ไร้ซึ่งสิ่งรบกวนใจ
แม้แต่โทรศัพท์ของเธอที่ผมยึดไว้ก็ไม่มีการสั่นเตือนเพิ่มตั้งแต่นั้นมา
ฉากหน้าคือความสุขกายสบายใจที่เราสองปั้นแต่ง
ทว่ามันกลับพ่วงมาพร้อมฉากหลังที่มีแต่ความรู้สึกหน่วงและหนักอึ้งในใจ
เพราะเวลาของเราในเมืองโอซาก้าใกล้หมดลงทุกที
ผมไม่แน่ใจนักว่าต่อจากนี้ชีวิตรักของเราทั้งคู่จะยังมีโอกาสได้พบเจอและกอดกันแบบนี้อีกหรือไม่
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอ่อนล้า ผมระบายความรู้สึกนี้กับใครไม่ได้
จึงมักจะพกสมุดโน้ตกับปากการาคาถูกคู่ใจติดตัวไปด้วยทุกที่
เมื่อไหร่เกิดบรรยากาศชวนเหงาผมจะได้มีที่ระบาย
ผมเขียนเนื้อเพลงได้เกือบยี่สิบเพลงแล้วภายในหกวัน ผมเก่งดีใช่ไหม
มันคือความรู้สึกที่ผมระบายกับใครไม่ได้เลยแม้แต่หญิงสาวอันเป็นที่รักของผม ผู้ซึ่งบัดนี้กำลังยืนอมยิ้มมองเหม่อดูเหล่าฝูงปลาทะเลหลากหลายนานาพันธุ์ภายใต้ผืนน้ำสีฟ้าครามในตู้กระจกขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างโลกคู่ขนาน
ผมกระชับจับสายสะพายกีตาร์รุ่นมาร์ติน มาร์คัสซาร์ที่เธอเป็นคนเลือกให้ในวันนี้
พลางมองเธออย่างเหม่อลอยเช่นเดียวกัน
'อะไรบางอย่างในตัวเธอได้ดึงดูดฉันมา
เพื่อตามมาพบเธอจากดินแดนอันแสนไกล
เพียงหวังเพื่อจะทำให้ทุกอย่างมันดี
คำพูดของเธอได้ทิ้งน้ำหนักลงอย่างหนักหน่วงในใจฉัน
ยิ่งฉันพยายามจะลืม
แต่มันกลับฝังรากลึกหนักอึ้งอยู่ที่ใจ
ฉันทำได้เพียงแต่ยืนมองและปล่อยมันไป
ราวกับฉันกำลังเปลือยเท้าเปล่ายืนรอเธอท่ามกลางสายฝนพรำ
ฉันเอาแต่ยืนตะโกนร้องเรียกชื่อของเธอท่ามกลางฝูงชนนั้น
แต่เสียงเรียกของฉันกลับไปไม่ถึงเธอ
ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่ความทรงจำเล็กๆที่พร้อมจะเลือนลางและจางหาย
ใช่ ฉันลืมไป....เธอคงไม่มีวันมองเห็นฉัน'
คอร์ดผสมเมโลดี้อันหนักหน่วงและเจ็บปวดดังก้องขึ้นมาในใจของผม ถึงห้องพักเมื่อไหร่ผมคงจะต้องรีบระบายความรู้สึกหนักอึ้งผ่านกีตาร์โปร่งตัวนี้ออกไปบ้าง
....
ดูเหมือนว่าเธอคงรู้สึกตัวว่าผมกำลังมองเธออยู่ในความเงียบ พลันหันมาจ้องกลับแล้วเขย่งตัวขึ้นมาจุ๊บผมเข้าที่มุมปาก
ผมยืนรับสัมผัสจูบนั้นอย่างรู้สึกรักใคร่
จูบของเธอมันไม่เคยเพียงพอเลยสำหรับผมเลย
“แหม จับสายสะพายกีตาร์ไม่ปล่อยเลยนะ”
เธอหยิกแก้มของผมเบาๆ
“คุณเป็นคนเลือกให้ผมนี่นา และดันเลือกของดีให้ซะด้วย เก่งจัง” ผมย่อตัวลงเพื่อที่จะได้ยืนซบไหล่อ้อนเธอ
“ก็แค่เลือกให้เองนะ ไม่ได้ซื้อให้สักหน่อย
ขอฉันทำงานเก็บตังสักระยะจะซื้อตัวแพงๆให้นะคะ" เธอลูบหัวของผมอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องหรอกนะ แค่เลือกให้ผมก็ดีใจแล้ว”
ผมจูบไหล่มนของเธอ
จนผมได้กลิ่นสบู่มิกซ์เบอร์รี่ที่เธอชอบใช้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
ผลันรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่เราก็พึ่งจะประสานบทเพลงรักร้อนร่วมกันเมื่อเช้า
ทว่าทำไมผมกลับไปเคยรู้จักพอ
“ชอบก็ดีแล้ว เรากลับกันเถอะนะคะ
นี่มันก็เย็นมากแล้วค่ะ” เธอเตือนผมพลางก้มลงมองนาฬิกาของเธอ
“ก็ได้ครับ”
“เตือนฉันเพื่อแวะซื้ออาหารก่อนกลับบ้านด้วยนะคะ”
เธอพูดพลางเอามือลูบหัวของผมอีกครั้ง
“ได้ครับ”
------------------------------
ในที่สุดเราสองก็เดินทางออกจากไคยุกัน อควาเรียมซึ่งเป็นศูนย์จัดแสดงสัตว์น้ำนานาพันธุ์และแวะซื้อของก่อนจะกลับถึงโรงแรมอย่างพะรุงพะรัง
ทันทีที่เราทั้งคู่จัดวางของเสร็จ
ผมคว้าตัวเธอมากอดรัดไว้แน่นพลางบดจูบเธออย่างรู้สึกโหยหาในบทเพลงรักอีกครั้ง
เธอตอบรับสัมผัสของผมกลับอย่างมิขัดขืน
เราสองใช้มือทั้งสองข้างพยุงใบหน้าซึ่งกันและกันไว้
สัมผัสลิ้มชิมรสจุมพิตรักที่ไม่เคยเพียงพอสำหรับหัวใจเลย
“เอ่อ... เดย์คะ
พอก่อนนะคะ...” เธอตีอกกว้างกำยำเพื่อเตือนสติ
“ดาริณ...” ผมส่งสายตาออดอ้อน
ปรารถนาจะได้เธอมาเป็นภรรยาทางพฤตินัยของผมอีกครั้ง
“ไหนบอกว่าจะอาบน้ำกินข้าวกันก่อนยังไงล่ะคะ”
“งั้นก็ไปอาบน้ำกันเลยสิครับ”
“แต่เดย์คะ….ฉัน…”
เธอแย้งขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูอิดโรย
ส่งสายตาคมกลมโตมองผมอย่างอ้อนวอน เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้จึงจำใจยอมหยุดทุกสัมผัส
ก่อนจะประทับริมฝีปากบนหน้าผากมนแทน
“งั้นไปอาบน้ำเถอะครับ
เดี๋ยวเดย์จัดอาหารใส่จานให้เองนะ” ผมฉีกอมยิ้มมองเธออย่างเอ็นดู
“ขอบคุณค่ะ”
เธอใช้เวลาอาบน้ำนานมากพอที่ผมจะจัดเตรียมอาหารที่ซื้อมาจนเสร็จสรรพ
พลันคว้ากีตาร์รุ่นมาร์ติน มาคัสซาร์ตัวใหม่ซึ่งเธอเลือกให้มาลองจับคอร์ดดีดเล่น
ผมเปิดสมุดโน้ตที่ผมจดบทกวีของผมไว้ก่อนจะเลือกบทกวีที่ผมแต่งมาสักบท
และคลำหาคอร์ดที่เข้ากันมากที่สุด
ครืด ครืด!
โทรศัพท์ของดาริณสั่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันนั้น ผมค่อยๆวางกีตาร์ลงบนเตียงอย่างเบามือ
พลางคว้าโทรศัพท์มือถือที่เสียบไว้ในกระเป๋ากางเกงขาโปร่งสีดำสนิทขึ้นมาเพื่อตรวจเช็คการแจ้งเตือน
@Darinee เงียบหาย
รีบกลับมาทำงานได้แล้วนะ!
มีแต่ข้อความจากที่ทำงานของเธอ จนกระทั่งผมเลื่อนมาเจอข้อความจากยูเซอร์เนม
Songsaboutyou ซึ่งเป็นยูเซอร์เนมส่วนตัวของผมที่ตั้งแยกมาจากยูเซอร์เนมหลักของวง
ทว่าผมเปลี่ยนรหัสไปแล้วนี่นา
'@Darinee วงชาร์มิ่งฯ
ออกซิงเกิ้ลใหม่พึ่งไปโปรโมทในรายการวิทยุมา คุณดูรึยังครับ นี่ลิ้งก์นะ Xxxx'
ผมลองกดเข้าไปดูตามคำเชิญชวน
‘ขอเสียงปรบมือต้อนรับวงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์หน่อยเร้ววววว' เสียงพิธีกรหนุ่มกล้ามปูเร่งเร้าสร้างบรรยากาศให้รายการดูครึกครื้นมากขึ้น’
‘สวัสดีครับพวก เราวงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์ครับ’
‘ว้าว ซิงเกิ้ลใหม่นี่ดูโตขึ้นมากเลย
ว่าแต่เดย์ นักร้องนำ ไปไหนซะล่ะ’
ทุกคนในวงของผมมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
‘เดย์ยังติดภาระกิจที่โอซาก้ามาไม่ได้ครับวันนี้
ผมก็เลยมาร้องแทน เพราะไหมฮะ’
นักร้องนำแทนยิ้มตาหยีอย่างออดอ้อน
‘เฮ้ย! เอาจริงๆนะ
ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณร้องเพลงได้ด้วย
นึกว่าจะเล่นกีตาร์สะบัดผมเท่ๆเป็นอย่างเดียวนะเนี่ย เสียงคุณดีมากเลยอะ’
ผมกดปิด
ลบข้อความบทสนทนาระหว่างดาริณและผู้ไม่หวังดีคนนี้ แล้วจึงเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่อีกครั้ง
ก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียงอย่างหัวเสีย ใครกัน? เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งจุ้นจ้านกับผมและวงของผมสักที
ผมชักจะเหลืออดแล้วนะ!
ความคิดเห็น