คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 5
CHAPTER 5
"จอดตรงนี้แหละครับ"
เดย์เปล่งเสียงภาษาญี่ปุ่นตามที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างดีจากค่ายเพลง
พลางตีเบาะของคนขับแท็กซี่เบาๆเป็นการส่งสัญญาณ รถจึงหยุดจอดกะทันหันตามคำสั่ง
ภาพผ่านกระจกปรากฏร้านเสื้อผ้าหลายคูหา ฉันกอดอกหันมองเขา ขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม
"พาเดย์ไปซื้อเสื้อผ้าหน่อยสิครับ
จะอยู่กับดาริณอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์ มาตามหัวใจก็มาแต่ตัว ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไร
ยอมทำเพื่อรักขนาดนี้จะไม่พาผมไปซื้อเสื้อผ้าสักหน่อยเลยเหรอครับคนสวย"
เขาทำหน้าเว้าวอนราวกับลูกสุนัขเศร้าสร้อยหลงทาง
"อืม" ฉันพยักหน้าเบาๆก่อนจะหันไปทางอื่น
เขายื่นเงินให้คนขับและพาฉันลงจากรถแท็กซี่ คว้ามือของฉันมากุมกระชับไว้แน่นพร้อมดึงมันมาประทับรอยจูบไว้บนหลังมืออีกครั้งคล้ายแสดงตนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
แม้จะรู้สึกเคอะเขินมากแค่ไหนก็ยังคงทำหน้านิ่ง พยายามแกะมือออกแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล
ฉันจะไปสู้แรงผู้ชายได้อย่างไร
"เฮ้อ! เจ้ามือจ๋า
แม่ของหนูยังไม่หายงอนป๊าเลยทำยังไงดี"
เขาลูบมือฉันแล้วประทับจูบลงบนหลังมืออีกครั้ง
พลางจ้องมองฉันตาละห้อย
"ไม่หายโกรธก็ไม่เป็นไรหรอกเนอะ เดี๋ยวคืนนี้ก็.... หายเองนั่นแหละ"
ร่างกำยำเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้
ก่อนจะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างมีเลศนัย
ตึกตัก! ตึกตัก!
ฉันเผลอจ้องเข้าไปนัยน์ตาเฉี่ยวคู่นั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม รู้ตัวแล้วว่ากำลังทำพลาดอย่างมหันต์
รีบสะบัดความรู้สึกหลงใหลในตัวเขาออกจากหัว
"ใครจะให้ ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว"
"ผมขอโทษ
ผมรู้สึกหงุดหงิดที่คุณจะไปเจอเพื่อนผู้ชาย
ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจของคุณหรอกนะครับ ให้อภัยผมเถอะนะ"
เขาก้มหน้าถอนหายใจอย่างรู้สึกอ่อนล้า
เห็นเขาทำหน้าหงอยแบบนั้นฉันก็อดสงสารไม่ได้ ในที่สุดฉันจึงยอมอ่อนข้อให้
ลากเขาเข้าร้านเพื่อพาไปเลือกซื้อเสื้อผ้าตามที่เขาต้องการ
เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นเสื้อผ้าใส่สบายตัว อาทิ เสื้อยืดคอวีสีขาวกับกางเกงยีนส์ที่เข้าชุดกัน
ทว่ามันกลับดูมีราคาแพงขึ้นมาทันทีเมื่อถูกสวมใส่อยู่บนตัวของเดย์
'เราไม่สามารถเลิกหลงใหลเขาได้สักทีสินะ'
ฉันชำเลืองมองเขาเป็นระยะๆ ระหว่างทางที่เราเดินเท้ากลับโรงแรม
คิดตั้งคำถามคาใจมากมาย
ฉันกับเขามาไกลถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เหตุใดเขาถึงได้มาตามหาฉันตอนอยู่บนเครื่องบิน
เขาเหตุใดเขาถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่อาร์ตแกลเลอรี ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ ตลอดเวลาเกือบห้าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีวี่แววหรือท่าทีที่จะสนใจในตัวฉัน เหตุใดทุกอย่างมันถึงเกิดขึ้นพร้อมกันไปเสียหมด
แล้วที่เขามาอ้อนมาทำเหมือนว่าต้องการฉันมากมาย เขาทำไปเพื่ออะไร? หรือเพราะเห็นว่าฉันใจง่ายอย่างนั้นเองหรือ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกสับสนจนรู้สึกเหนื่อยใจ
พาลจะหมดแรงกายเอาเสียดื้อๆ
"ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ"
ฉันตัดสินใจเลือกคำถามคาใจ เอ่ยถามไปสักคำถาม
"หือ?"
"คุณไปทำอะไรที่อาร์ตแกลเลอรีเหรอคะ"
เขาหันมามองฉันก่อนจะหลบสายตา ถอนหายใจราวกับเขากำลังพยายามตั้งสติ
"เอ่อ...ก็....ไป...."
"อะไรนะคะ?"
“ไปชมภาพถ่ายไงครับ”
ฉันก้มลงมองพื้น พยักหน้าอย่างเข้าใจ นั่นสินะ
เขาคงไปเที่ยวของเขา ส่วนเราน่ะหรือ...คงคิดไปเอง
"ดาริณ...."
เขาหยุดฝีเท้า ปล่อยมือจากฉัน
ก้มหน้าลงมองพื้นทำสีหน้าเคร่งขรึม ชำเลืองมองตาฉันครู่หนึ่งแล้วจึงก้าวเดินต่อไป
".........."
“ทำไมคุณถึงชอบส่งเพลงให้ผมฟังเหรอ”
“มันเพราะดีค่ะเลยอยากแบ่งปัน”
“แต่มันมีแต่เพลงรัก
ทำไมถึงต้องเป็นเพลงรักล่ะ”
“มัน....เพราะดีค่ะ”
ฉันชำเลืองมองเขาที่กำลังกัดริมฝีปากของตัวเอง
พร้อมวางสายตาจ้องมองพื้น หันหน้าหนีไปทางอื่นในทันทีที่สบตาฉัน
“ไม่มีความหมายแอบแฝงใช่ไหม”
เขาหยุดฝีเท้าอีกครั้ง
หันกลับมาจ้องมองฉันลึกเข้าไปนัยน์ตาสุกสกาว หากลองสังเกตดู จะเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นมีน้ำตาเอ่อล้นอยู่
ร้องไห้เหรอ?
ไม่เอาน่า....อย่ามาทำเหมือนว่ามีใจเลย ฉันไม่เชื่อหรอก
“ถ้าบอกว่าไม่มี...ก็คงโกหกค่ะ”
“คุณชอบผมเหรอ”
เขาคว้ามือของฉันไปกุมเอาไว้อีกครั้ง
“ชอบสิคะ คุณน่าจะรู้อยู่แล้วนี่คะเดย์”
ฉันวางสายตาไปทางอื่น
พยายามสะกดกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
เหตุใดคำถามเพียงไม่กี่ประโยคถึงได้มีอิทธิพลต่อจิตใจมากมายจนรู้สึกหน่วงจิตได้ถึงเพียงนี้
"ชอบจริงๆน่ะเหรอครับ"
"ค่ะ"
"ดีใจจัง"
เขาอมยิ้ม ดูอารมณ์ดีขึ้นมาผิดถนัด
ปล่อยความรู้สึกของฉันให้ค้างเติ่งอยู่บนเส้นด้าย
มีฉันเพียงฝ่ายเดียวที่เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ในฐานะแฟนคลับเราก็จะนึกอยู่เสมอค่ะว่ามันเป็นไปไม่ได้....เพราะเขาคงมีใครในใจอยู่แล้ว แค่เขาจะบอกเราเมื่อไหร่เท่านั้นเองค่ะ”
เขาอมยิ้มราวกับกำลังเขิน
พลันคว้ามือของฉันไปหอมแล้วหอมอีก
“คุณคิดถูกแล้วล่ะดาริณ....”
“นั่นสินะคะ ฉันคงคิดถูกแล้ว”
คำพูดของเขาไม่ได้ช่วยทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เรียนมาก็มากแต่กลับไม่สามารถมีสติสัมปชัญะที่จะเดาเส้นทางรักนี้ได้เลย
มันเป็นความรู้สึกที่แย่ที่สุด.....
---------------------------------------------------------
บัดนี้ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบมืดสนิท
เราทั้งสองเดินมาถึงโรงแรมพอดี บรรยากาศภายในยามค่ำคืนช่างเงียบสงัด โถงทางเดินโล่งไร้ผู้คนสัญจร
เหลือเพียงพนักงานชายหนุ่มร่างผอมบางยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์เพื่อรอให้บริการ
ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองจึงรีบหลบสายตาและพยายามจูงมือดาริณเพื่อเดินหนี
แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว
“เฮ้! ยู! ซิงเกอร์! ชามมิง พริซอนอ?” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเปล่งเสียงภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นเพื่อเรียกผม
พลันรีบเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ตัวเองแล้วจ้องเขม็ง
“Pardon?” -อะไรนะครับ-
ผมตอบกลับไปด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษแบบบริทิชอย่างกระอักกระอ่วน
รีบผละมือออกจากดาริณทันที
"ว้าว! ร็อก
แบน ไอโน! ไอโนยู! ไอไลค์ยัวมิวชิก!"
เขาไม่ได้แค่พูดเฉยๆ แต่รอบนี้เขาจับไหล่ผมเขย่าด้วย ผมฉีกยิ้มจนปากของผมโค้งได้รูปสี่เหลี่ยม รีบหันกลับมาขยิบตาให้เธอเป็นการส่งสัญญาณให้เดินจากไป
โชคดีที่เธอพยักหน้าเข้าใจผม
“วาตาชิโนะ โก ยู คอนเสิร์ต ร็อกเฟส
ยูโนว?.... เวรี่ ฟัน!”
แย่แล้ว ทั้งรู้จักทั้งไปคอนเสิร์ตของเรามาซะด้วย
ซวยแล้วเดย์เอ๋ย เขาคงจะเห็นผมเดินจับมือดาริณแล้วแน่ๆ ถ้าเป็นข่าวขึ้นมาพี่จิมมี่ต้องฆ่าผมตายแน่
“Thank you. I’m glad you liked our show” -ขอบคุณครับ ดีใจนะครับที่คุณชอบโชว์ของพวกเรานะครับ-
ยิ้มเข้าไว้เดย์ ยิ้มชนะทุกอย่าง
“ไอวอนไซน์... ไซน์
แอนด์ เอ่อ... โฟโต้....พลีส?” เขาทำไม้ทำมือผสมกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อทำให้ผมเข้าใจ
“อ่อ เซ็นกับถ่ายรูปใช่ไหมครับ”
"เอ้า พูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็ไม่บอกผม
คุณเดย์ คุณเป็นไอดอลผมเลยนะครับ น้ำตาจะไหลเลยครับ
ได้เจอเทพเจ้าแห่งวงการดนตรีสักที"
เขาคว้ามือของผมไปหอม อึ๋ย! บางทีผมก็ขนลุกนะแบบนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงอกอวบสะโพกแน่นมาหอมผมนี่จะไม่ว่าสักคำเลย
เฮ้อ! นึกแล้วก็...
"ไหนคุณจะให้ผมเซ็นตรงไหนดีครับ"
"ตรงเสื้อเลยครับ ตรงใจผมนี่เลย"
ผมจัดการเซ็นลายเซ็นให้ตรงกลางหน้าอกด้านซ้ายของเขา ก่อนที่เขาจะถือโทรศัพท์ชูขึ้นเพื่อถ่ายรูปกับผม
จากนั้นผมจึงรีบโบกมือลาวิ่งขึ้นบันไดเพราะกลัวเขาจะชวนคุยต่อความยาวสาวความยืดหากผมยังยืนรอลิฟต์อยู่ตรงนั้น
ทว่าหูไม่รักดีของผมดันไปได้ยินบทสนทนาหนึ่งเข้า “ฉันเจอวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ว่ะ
เจอเดย์ไง นักร้องนำอะ แอบพาผู้หญิงมาด้วย......"
ผมถึงกับหยุดชะงักยืนตะลึงงันอยู่เพียงลำพังตรงบันไดนั้น
'แย่แล้ว'
------------------------------------------------------
ก็อก ก็อก!
เสียงฝีเท้าของสาวสะโพกอวบมาจากในห้อง ก่อนที่ประตูจะเปิดออก
เผยให้เห็นดาริณเกล้าผมสูงโชว์แผงคอสีแทน พึ่งสังเกตจริงจังว่าชุดเดรสแขนยาวลายดอกไม้สีน้ำเงินที่เธอใส่มาในวันนี้มันช่างทำให้เธอดูเซ็กซี่มากเพียงใด
อาการร้อนรุ่มคล้ายมีไข้กลับมาอีกครั้ง
อยากจะเอาหน้าลงมุดไถหอมฟัดรักษาอาการป่วยเสียเหลือเกิน
“เดย์คะ ไม่เข้าห้องเหรอ”
เธอดีดนิ้วตรงหว่างคิ้วพลันทำให้ผมตื่นจากห้วงภวังค์ จึงก้าวขาเข้าห้องโดยดีราวกับต้องมนต์สะกดไว้
“ครับ...ดาริณ”
ขานเรียกชื่อเธอเสียงอ่อยพร้อมล็อคกลอนประตูให้ปิดสนิทมิดชิด
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงแค่ได้สบตามองเธอแบบนี้
ก็สามารถทำให้ชายอกสามศอกรู้สึกอ่อนระทวยขึ้นมาเสียดื้อๆ
หลังพิงชนฝาราวกับหมดกำลังวังชา แถมสาวเจ้ายังเข้ามาประชิดตัวพร้อมไล้มือรอบอกกำยำ
แล้วไต่ขึ้นมาโอบรอบคอ โอ๊ย! เดี๋ยวก็จับกินแทนข้าวเย็นเสียเลย
“ดาริณ”
ผมใช้มือลูบส่วนเว้าโค้งของเรือนร่างสมส่วน
ร่างกายสองเราจึงแนบชิดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เราทานข้าวเย็นก่อนดีไหมคะ”
เธอกระซิบข้างหู ลมหายใจอุ่นร้อนรดต้นคอ
ทำเอาผมขนลุกชูชันอ่อนระทวย
มือเล็กลูบไล้โอบคอแล้วบีบนวดเบาๆ
อดใจไม่ไหวจึงเผลอกัดปากหลับตาพริ้ม
สัมผัสอ่อนโยนจากดาริณทำเอาผมแทบละลายลงไปกองอยู่บนพื้น
“ขอกินที่รักแทนข้าวได้ไหมครับ” แค่สบตาก็ระทวยไปหมดแล้วพี่สาว
“งั้น...อาบน้ำกันดีไหมคะ”
“อืม.... ”
เธอปล่อยชุดเดรสลายดอกไม้ให้หล่นไปกองอยู่บนพื้น ปล่อยผมลอนสลวยพริ้วที่เกล้าไว้ให้สยายระเนินอกอย่างเย้ายวน ผมจึงรีบถอดเสื้อผ้าเดินตามเธอเข้าไปในห้องน้ำ
ไม่รีรอให้เชื้อเชิญ สาวสวยเปิดฝักบัวชำระร่างกาย เห็นทีได้จังหวะเลยรีบสวมกอดเธอจากด้านหลัง
ฝังเขี้ยวลงบนแผงคอแรงอย่างอดใจไม่ไหว
“ที่รัก….”
ร่างกายเบียดชิดภายใต้สายน้ำกระเซ็นจากฝักบัว ปัดผมลอนไพล่หลังแล้วจึงฝังเขี้ยวลงทุกอณูผิว ให้ความรู้สึกร้อนรุ่มแผ่ซ่านทำให้ร่างสมส่วนกลับมาร้อนระอุดั่งไฟอีกครั้ง
“เดย์....”
ภาพของใบหน้าสวยคมหลับตาพริ้มรับสัมผัส มือใหญ่ทับมือเล็กติดผนังห้อง
บทเพลงรักอ่อนหวานกำลังดังกึกก้อง กลิ่นอายรักคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
“อย่าเป็นของใครนอกจากผมคนเดียวนะ ดาริณ”
สายตาจับจ้องเรือนร่างของดาริณด้วยความปรารถนาแรงกล้า
“ดาริณ ...”
นัยน์ตาสีดำหันกลับมาจับจ้องผมท่ามกลางสายน้ำสาดกระเซ็น
ประสานรักกลืนกิน เราสองเสพย์สรรบทเพลงรักแสนเร่าร้อนที่แม้แต่น้ำเย็นก็มิอาจดับไฟรักนี้เอาไว้ได้
จึงปล่อยใจเลยตามเลย ให้แววตาสุกสกาวได้เชยชมบทรักพิศวาสผ่านสายน้ำไหลธารเชี่ยวกราด
ประสานรักของเราทั้งคู่ให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวจนถึงฝั่งฝัน
“มีความสุขไหมครับ”
ผมประทับจูบลงบนหน้าผากของเธอ
พร้อมจ้องลึกเข้าไปนัยน์ตาแสดงออกให้ชัดแจ้งว่ารู้สึกรักใคร่เพียงใด
“ความสุขของเราคงไม่เหมือนกันค่ะ”
เอาอีกแล้ว...ทำเย็นชาใส่กันอีกแล้ว
ไหนปากบอกว่าชอบผม?
ได้ยินอย่างนี้แล้วมันน่าน้อยใจนัก
เธอคงลืมรักเก่าไม่ได้
อยู่กับผมเธอคงไม่มีความสุขสินะ.....
-------------------------------------------------------------------------------
'ความสุขของเขาคือความสุขทางกาย
แต่สำหรับฉัน ความสุขนั้นคือการได้รับความรัก
สิ่งที่ฉันไม่เคยได้รับจากชายใดอย่างแท้จริง'
ฉันชำเลืองมองร่างกำยำที่กำลังชำระร่างกายอยู่เคียงข้าง บัดนี้เขาทำให้ฉันรู้สึกราวกับเป็นธาตุอากาศ
ไร้ซึ่งตัวตนแม้จะยืนแอบอิงเคียงข้าง อาบน้ำเสร็จแล้วจึงเปลี่ยนเป็นชุดนอน
สวมใส่เสื้อกล้ามสีเทาหม่นกับกางเกงขาขั้นสีดำ
ส่วนคนร่างสูงกำยำใส่เสื้อยืดตัวโคร่งสีเทากับกางเกงขาโปร่งสามส่วนสีน้ำตาลเข้ม
พลันขึ้นเตียงนอนดูโทรทัศน์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย แม้จะคอยชำเลืองมองเขาเป็นระยะๆ
เขาก็ยังไม่สนใจหรือปริปากพูดสักคำจนฉันเริ่มรู้สึกหมั่นไส้ ยักไหล่เดินไปที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่าง
จัดเตรียมอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อด้านหน้าโรงแรมก่อนที่เราจะขึ้นห้อง
กระแทกกระทั้นจานชามให้เกิดเสียงดัง ไม่อยากสนใจก็อย่าสนใจ คืนนี้ต่างคนต่างนอน
ฉันไม่แคร์
“เดย์คะ
มาทานข้าวกันเถอะค่ะ”
ยิ้มหวานให้อีกสักนิดเผื่อสถานการณ์จะดีขึ้นมาบ้าง
ทว่าเขากลับเมินเฉยและจ้องมองโทรทัศน์อยู่อย่างนั้น
เปลี่ยนช่องแล้วช่องเล่าโดยไม่หันมาสนใจเสียงเรียกของฉันเลยสักนิด ดีจริงๆ
“เดย์มาทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะคะ”
คำออดอ้อนทำให้เขาชำเลืองมองมาทางฉันแวบหนึ่ง
แล้วจึงลุกขึ้นเดินส่งฝีเท้าตึงตังมานั่งตรงหน้า
ตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากราวกับไปโกรธใครมาเป็นสิบชาติ
เห็นแบบนี้แล้วฉันก็อดขำไม่ได้จริงๆ
“ไม่ตลกนะ ขำอะไรนักหนา” เขาวางช้อนข้าวเสียงดังพลางทำตาขึงขังใส่ฉันอย่างเอาเรื่อง
“ไม่เอาสิคะ ไม่เหวี่ยงสิ ตลกจะตาย
เดย์น่ารัก งอนบ่อยๆนะ ฉันชอบค่ะ”
ฉันยังขำไม่หยุด
พลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มเนียนของเขาเบาๆ
“ไม่เห็นจะตลกเลย”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
ทำไมเดย์ถึงทำเหมือนโกรธ”
ฉันแสดงสีหน้าอย่างเป็นกังวลเพื่อให้เขาได้รับรู้บ้างว่าฉันนั้นรู้สึกหน่วงใจมากแค่ไหน
“คุณทำเหมือนว่าอยู่กับผมแล้วไม่มีความสุข...แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันนะครับ”
คนหน้ามุ่ยก้มหน้างุดตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลย
“ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าไม่มีความสุข
แค่บอกเดย์ว่า ความสุขของเราไม่เหมือนกันเฉยๆนะคะ”
“แต่...ความสุขของคุณคงไม่ใช่ผม”
“แล้วความสุขของคุณคือการได้ปลดปล่อยอารมณ์กับฉันหรือไงคะ
ไม่ใช่เหรอคะ....”
ก่อชนวนแล้วจึงหลบสายตาไปทางอื่น
พยายามอดกลั้นน้ำตาไว้ให้ถึงที่สุด ได้เพียงแต่หวังให้เขาลองหันมามองในมุมของฉันดูเสียบ้าง
ความรักไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากไม่คิดจะรักกันก็ไม่ควรล้อเล่นกับหัวใจของใครแบบนี้
“ดาริณ...”
เขาจ้องตาฉันนิ่งงัน
คว้ามือของฉันไปกุมไว้แล้วจึงประทับจูบ
“ผมขอโทษที่ทำให้รู้สึกแย่....ได้โปรดอย่ารู้สึกแย่เลยนะ”
ความรู้สึกหนักใจถาโถมทำให้ฉันคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป
พลันดึงมือออกมากุมหน้าร่ำไห้
ก่อนจะได้รับสัมผัสโอบกอดจนได้กลิ่นครีมโกนหนวดอ่อนๆทำให้ฉันหัวใจเต้นแรง
มันคงดีกว่านี้ หากเราสองรู้สึกรักกันอย่างแท้จริง
ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คู่นอนที่รักกันแค่ยามเหงาแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“คุณมีค่าสำหรับผมนะ”
ขอบคุณนะที่ทำให้เชื่อว่าเป็นคนดีที่ให้คุณค่าสำหรับทุกเรื่องในชีวิตของเขา แม้กระทั่งเรื่องอย่างว่า
จู่ๆ
เสียงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์คู่ใจของฉันที่วางอยู่ข้างโทรทัศน์จอแบนนั้นดังขึ้น
ดึงความสนใจของเราทั้งคู่ไปได้ในที่สุด เขาจึงเขยิบเก้าอี้เพื่อให้ทางฉันไปคว้ามัน
“ใครเหรอ”
“เพื่อนค่ะ”
“คนที่นัดคุณไปโทดงโบริวันนี้เหรอ”
“ค่ะ”
‘@Darinee ทานข้าวเย็นหรือยังครับ
ผมเลื่อนไฟลท์กลับวันพรุ่งนี้เช้าแล้วนะครับ’*
ในขณะที่ฉันกำลังจะพิมพ์ตอบยูเซอร์เนม Songsaboutyou อยู่นั้น
โทรศัพท์ของฉันก็โดนปัดออกจากมือ รู้ตัวอีกทีมันได้ไปอยู่ในกำมือของเดย์เสียแล้ว
“เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”
เขาไม่คืนแถมยังโยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียง พลันคว้าฉันมากระชับกอดไว้แน่น
“ห้ามคุยกับผู้ชายคนอื่นนอกจากผม
เข้าใจไหม!”
“ก็นี่มันเพื่อนฉัน!” ฉันเริ่มจะหงุดหงิดกับความงี่เง่าไม่เข้าท่าบ้างแล้ว
“แต่เขาเป็นผู้ชาย
ผู้ชายคนไหนก็คุยไม่ได้ทั้งนั้น!”
“ปล่อยนะ”
“ไม่ปล่อย....ไม่รู้ล่ะผมไม่ให้คุยแล้ว”
“........”
ฉันไม่พูดอะไรต่อเพราะกำลังใช้แรงดิ้นสู้ร่างสูงกำยำให้ออกห่าง
แต่ก็อย่างว่า ผู้หญิงจะไปสู้แรงของผู้ชายได้อย่างไรกัน
“มือถือนี่จะเป็นของผมไปตลอดหนึ่งอาทิตย์นี้
รู้ไว้ด้วย!”
“เฮ้ย!”
นี่หรือคนที่ฉันเฝ้าตามติดด้วยความคลั่งไคล้มาโดยตลอด
เขาเป็นคนเผด็จการแบบนี้เองหรือ ฉันมองเขาผิดไปมากทีเดียว
ความคิดเห็น