คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 4
CHAPTER 4
เธอยังคงยืนนิ่งเงียบไร้ซึ่งคำตอบกับสิ่งที่ยังคาใจของผม
'ผมสับสนไปหมดแล้ว ขอร้องล่ะ
ช่วยแสดงออกให้ผมเห็นสักหน่อยเถอะว่าทั้งหมดที่ผ่านมา...ผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ...ใช่ไหม'
ผมบรรจงจูบหน้าท้องนุ่มของดาริณ
บัดนี้ยืนขยำหัวของผมแรงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บ
แต่มันกลับเป็นเชื้อเพลิงเติมพลังไฟรักได้เป็นอย่างดี
ราวกับน้ำมันที่ค่อยๆไหลรินลงมาบนเปลวไฟร้อน พร้อมที่จะจุดติดเผาไหม้ได้ทุกเมื่อ
"ทำไมกันดาริณ ผมมาหาคุณถึงที่แล้ว
แต่คุณก็ยังไม่ต้องการผมอย่างนั้นเหรอ"
ผมเปล่งเสียงทุ้มต่ำออกไปอย่างอ่อนแรง เพราะเธอยังคงยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น
"ดาริณ ...."
บัดนี้ผมอดกลั้นความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวอีกต่อไป พรมจุมพิตฝังทุกอณูผิวกาย
พลางโปรยตามองใบหน้าสวยคม มือเล็กกดจิกไหล่กว้างจนรู้สึกเจ็บ
ผมไล้มือขึ้นไปสัมผัสเรือนร่าง ช้อนตามองสาวเจ้าที่กำลังเว้าวอนขอหยุดการกระทำ
เราสองประสานสายตานิ่งงัน
"ดาริณ...."
ทันใดนั้นเองเธอใช้แรงผลักผมนอนราบไว้ด้วยร่างสรีระสมส่วน
นัยน์ตาสีดำส่งผ่านความรู้สึกที่ว่างเปล่า ผมไม่สามารถเดาความความคิดของเธอได้เลย
สองเราประสานสายตากัน พยายามค้นให้ลึกสุดใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ผมน้อมรับให้มือเล็กกดข้อมือใหญ่เอาไว้
ยอมให้เธอบรรจงพรมจุมพิตทวนทั่ว ให้เธอได้รับรู้ว่าร่างกายและหัวใจขอยอมเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว
หัวใจเต้นรัวจนจะหลุดออกมานอกอก เพลิดเพลินไปกับทุกสัมผัสจนร้อนรุ่ม
ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งกลับอ่อนไหว ราวกับต้นกล้าที่กิ่งก้านสาขายังไม่แข็งแรงพอที่จะช่วยพยุงต้นให้มั่นคงได้
"อื้อ ตอบผมที...ทั้งหมดที่ผ่านมาคืออะไรกันดาริณ คุณมาห่วงใยผมไปทำไม"
ผมส่งสายตาอ้อนวอนขอคำตอบที่คาใจ พร้อมโดนสาวเจ้าบรรจงจูบกระตุ้นอารมณ์เพิ่มบทรักตอนต่อไป
"ต้องการฉันใช่ไหมคะ"
เธอกระซิบเสียงสั่นคลอน แสดงทีท่าดูเย็นชาจนผมน้อยใจตัวเอง
ที่ผ่านมาเธอคอยเข้ามาดูแลห่วงใยผมเพื่ออะไร? ถ้าไม่ได้รู้สึกเหมือนกันจะทำแบบนี้ไปทำไม? ผมรู้สึกเจ็บปวดกับห้วงความคิด ผิดเองที่ผมตกหลุมรักคนง่ายเกินไป
ผิดเองที่ผมไม่ควบคุมหัวใจตัวเองให้ดี ช่างเถิด
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็จงปล่อยให้มันเป็นไปตามอารมณ์ ความร้อนรุ่มทำให้ผมอดกลั้นอารมณ์พิศวาสรักไม่ไหว
จับคนร่างสมส่วนมาพรมจูบทั่วแผงคอ เรือนร่างสมส่วนทำเอาหัวใจชายทั้งแท่งนั้นอ่อนแรง
ช้อนตามองประสานนัยน์ตาสีดำสนิท ภาวนาจิตขอให้ล่วงรู้ว่ายังรู้สึกเช่นเดียวกันก็ยังดี
ผมพยายามสื่อความในใจที่มี เพียงหวังให้เธอได้รับรู้และสัมผัสได้ว่ายังมีผมที่เฝ้ามองเธอมาโดยตลอดไม่เคยห่างใจไปไหน
ทว่าเธอเคยมองเห็นผมบ้างไหม นี่ต่างหาก คือสิ่งที่ผมอยากรู้
"ดาริณ..."
ผมประคองใบหน้าเรียว ฝังริมฝีปากสอดประสานรักพยายามสำรวจซึ่งกันและกัน
เสียงเรียกขานชื่อทำให้ร่างกายของผมตอบสนองรุนแรงขึ้น
"เดย์......"
สองเราปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิง หัวใจมิอาจต่อต้านร่างกายที่ร้อนระอุดั่งไฟจึงยอมจำนนท์ให้แก่บทบรรเลงเพลงรักอันแสนเร่าร้อน
พาสองเราหลอมละลายไปกับผืนเตียงหนานุ่มจนร่างกายอ่อนล้าไปด้วยกันในที่สุด
—————————————
'มาขอคำยืนยันในความรักอะไรจากฉัน
ในเมื่อเธอยังมีคนอื่นอยู่ในใจถึงขั้นแต่งเพลงให้แบบนั้น เธออยากได้อะไรจากฉันกันแน่
ความต้องการของเธอมันก็แค่นี้เองไม่ใช่เหรอเดย์.....'
ฉันปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินอาบแก้ม
ภายใต้อ้อมกอดแนบแน่นจากชายร่างสูงกำยำที่บัดนี้นอนหายใจแผ่วรดต้นคออยู่เบื้องหลัง
พิจารณาสีผิวเนียนผ่องของอ้อมแขนอันกำยำทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นี่หรือคือความเหงา จุดจบมันเป็นเช่นนี้เองหรือ
การที่ร้างมือผู้ชายมาเนิ่นนานทำให้ฉันกลายเป็นคนใจง่ายเพียงนี้เชียวหรือ
ปาดน้ำตาอีกครั้งด้วยความเจ็บใจในความอ่อนแอของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆหันกลับมามองเส้นผมกระเซอะกระเซิงสีน้ำตาลเข้มที่ปรกทั่วหน้าผากของเดย์
โผกอดเขาแนบแน่นแล้วจึงประทับจุมพิตมุมริมฝีปากอิ่มอีกครั้งอย่างรู้สึกหวงแหน
ได้แต่ท่องไว้ในใจ เขาเป็นของฉันไม่ได้ ให้จำฝังลึกในใจ ฉันรักเขาไม่ได้
โทรศัพท์คู่ใจเกิดสั่นขึ้นภายใต้หมอนใบนุ่ม ฉันผละออกจากอ้อมกอดเขา
แล้วจึงลุกขึ้นแตะนิ้วเลื่อนดูการแจ้งเตือนนั้นในทันที
'@Darinee พร้อมไหมครับ'
ฉันลังเลใจที่จะไปเจอกับซงเหลือเกิน ทำไมเขาช่างตื๊อได้ขนาดนี้กันนะ
พลางแอบชำเลืองมองคนที่กำลังหลับใหลไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วกลับเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
ในเมื่อเขาก็มีผู้หญิงอยู่ในใจของเขา ฉันจะไปทำความรู้จักกับชายอื่นบ้าง
จะเป็นไรไป
'@Songsaboutyou คุณอยากไปไหนเหรอคะ'
'@Darinee งั้นไปโดทงโบริ* กันไหม เห็นเพื่อนคนญี่ปุ่นแนะนำว่าแถวนั้นมีของกินเยอะแยะเลยครับ’ (แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังในเมืองโอซาก้า)
'@Songsaboutyou งั้นเจอกันตอนหกโมงครึ่งนะคุณซง'
'@Darinee ได้เลย'
ฉันเหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์
บัดนี้แสดงเวลาห้าโมงเย็นแล้วที่เมืองโอซาก้า
จึงรีบลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำหวังจะจัดการชีวิตและไปให้ทันตามนัด
ทว่ากลับได้รับสัมผัสจากมือใหญ่ที่คว้าเอวของฉันไปกอดรัด แรงดึงทำให้ฉันเซล้มหงายลงไปนอนขนาบข้างเขาอีกครั้ง เห็นรอยยิ้มที่มุมปากพลางทำตาปรือจ้องมองมาที่ฉันอย่างเคลิบเคลิ้ม
ว่าแล้วก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้จริงๆ
"จะไปไหนเหรอครับ"
เขาฝังริมฝีปากลงมาที่ไหล่ของฉันอย่างแผ่วเบา
"ไปเจอเพื่อนค่ะ"
"ไปด้วยสิครับ อืม...."
เขายังคงยุ่มยามบนหัวไหล่มน
ก่อนจะค่อยๆเลื่อนริมฝีปากฝังจูบที่ติ่งหู
"จะดีเหรอคะ อย่าเลย
นอนพักผ่อนอยู่ในห้องนี่แหละ"
"ให้ผมไปด้วยเถอะนะครับ"
คนร่างสูงยังคงรุ่มร่ามกับแผงคอของฉันไม่เลิกรา
จนหัวใจที่เคยด้านชากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
"ไม่ดีกว่าค่ะ..."
"ทำไมล่ะ....ก็ผมอยากไปด้วยนี่นา"
เมื่อไม่ได้ดั่งใจจึงเริ่มทำหน้ามุ่ย
“เฮ้อ! ก็ได้ค่ะ” เขายิ้มยิงฟันโค้งได้รูปสี่เหลี่ยม
วางหัวลงซบไหล่ฉันอย่างดีอกดีใจ
“งั้น...ไปอาบน้ำกันเถอะครับ”
"ไม่เอาอะ! อาบใครอาบมันดีกว่านะคะ" ฉันใช้นิ้วชี้ดันหัวเขาเบาๆ
"อย่าทำเฉยชาแบบนี้ได้ไหม"
เดย์ผละกอดพลางทำหน้ามุ่ยมองมาที่ฉันอย่างไม่พอใจ
"ไม่ได้เฉยชาอะไรสักหน่อยนี่คะ"
ฉันหันไปมองเขาพลันทำตาแป๋ว
"ผมรู้สึกได้นะ
ถึงผมจะไม่ค่อยฉลาดนัก" เขาหลบตามองต่ำก่อนจะถอนหายใจ
“............”
"เอาเถอะ ของแบบนี้มันคงต้องใช้เวลา"
เขาคว้ามือของฉันไปจูบ ทว่าสายตากลับจ้องมองเรือนร่างดั่งเสือที่กำลังคิดจะขย้ำเหยื่ออีกครั้งให้หนำใจ
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ใสซื่ออย่างที่คิดไว้จริงๆ
"นี่แน่ะ! คนทะลึ่ง!"
พลันตีแขนของเขาแล้วจึงรีบผละออกมา
คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปอาบน้ำในทันที
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จแล้ว เราสองจึงช่วยกันอำพรางหน้าตาด้วยการใส่หมวกและหน้ากากเพื่อใม่ให้คนจดจำใบหน้าพวกเราได้ชัดเจนนัก โดยฉันจัดการอาสาเดินออกไปเรียกแท็กซี่ให้เสร็จสรรพ
แม้จะเรียกให้หยุดจอดได้แต่ก็สื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจนัก ก็ได้เขานี่แหละเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ในยามคับขัน
จนได้ขึ้นมานั่งอยู่บนรถแท็กซี่ได้ในที่สุด บรรยากาศภายในห้องผู้โดยสารปกคลุมไปด้วยความเงียบ จนฉันและเขาเริ่มทำตัวไม่ถูก ต่างคนต่างหันมองหน้าต่างของฝั่งตนมองเหม่อและปล่อยให้หัวใจล่องลอยตามภาพข้างทางที่เคลื่อนผ่านไป
'อย่าไปหลงเขาสิ เราต้องใจแข็งเข้าไว้'
ฉันแอบชำเลืองมองใบหน้าหล่อเหลา
แววตาเฉี่ยวฉบับคนเกาหลีนั้นช่างดูย้อนแย้งกับจมูกโด่งเป็นสันในแบบฝรั่ง
ทว่าเมื่อนำมารวมอยู่ในใบหน้าเดียวกันแล้ว กลับทำให้เขาดูหล่อขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หัวรีบสะบัดความคิดหลงใหลได้ปลื้มทิ้ง ได้แต่คิดว่าไม่อยากปล่อยหัวใจไปให้เขาครอบครอง เนื่องด้วยกลัวจะรักจะหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น จ้องมองอยู่เนิ่นนานก็ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าโดนแอบมอง ทันใดนั้นเองฉันจึงได้รับสัมผัสจากมือเรียวใบใหญ่ที่บัดนี้วางทาบอยู่บนมือเรียวเล็ก
จำต้องหันไปสบนัยน์ตาเฉี่ยวพร้อมใบหน้าของเขาที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่แล้ว
ก่อนจะตบเบาะเบาๆ และยิ้มทะเล้นเป็นการชักชวนให้ฉันเขยิบไปนั่งกอดซบกัน
"ไม่เอาน่าเดย์... อายเขา” ขมวดคิ้วทำเป็นหงุดหงิด
"ก็ผมอยากกอดดาริณนี่” เขาทำหน้าออดอ้อนพลางส่งสายตาเศร้าสร้อยมาให้ฉันจนอดสงสารไม่ได้
คิ้วขมวดจึงค่อยคลายปม
'ก็แค่คนคลายเหงา
คงไม่ได้สำคัญอะไร อย่าไปหลงกล'
แต่แล้วฉันก็ยอมใจอ่อน....
"เฮ้อ! ก็ได้ๆ"
ฉันถอนหายใจก่อนจะเขยิบและเอนตัวไปกอดซบเขาตามที่ต้องการ ส่วนเขาก็ไม่รีรอที่จะโอบฉันแน่นพร้อมฝังจูบลงบนหน้าผากไปในคราเดียวเลย
"รู้สึกดีจัง"
ทิ้งน้ำหนักหัวลงซบจนฉันเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
การกระทำของเขาทำให้ฉันอ่อนระทวย เขาคือแม่เหล็กที่ดูดพลังงาน
เพราะไม่ว่าสิ่งใดจะมาเข้าใกล้เขาก็คงพาลหมดแรงไปเสียดื้อๆ
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าคาดสีน้ำตาลใบเล็กของฉันสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
เราทั้งคู่ถึงกับต้องหันมาสนใจ ฉันจึงรีบเปิดกระเป๋าคว้ามันออกมาดูการแจ้งเตือน
'@Darinee ผมถึงแล้ว อยู่ที่ร้านอาหารชื่อว่ากันโกะนะครับ'
"เฮ้ย!" จู่ๆคนที่โอบกอดฉันก็อุทานออกมาราวกับกำลังตกใจสุดขีด
"มีอะไรเหรอคะ" ฉันหันไปมองหน้าเขาด้วยความฉงนสงสัย
"ปะเปล่า..." เขารีบหันไปมองข้างทางในทันที
"คุณแอบอ่านข้อความของฉันเหรอคะ"
"เปล่านะครับ" สีหน้าเลิ่กลั่กนั้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ก่อนจะนั่งกัดเล็บและไม่หันกลับมามองฉันอีกเลย
เอ้ะ? แปลกคน ทำไมถึงอุทานออกมาอย่างนั้นล่ะ?
------------------------------------------------------------
บัดนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วที่เมืองโอซาก้า
ท้องฟ้ายามเย็นได้คลายสีฟ้าครามและเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อน
อากาศอบอุ่นในฤดูร้อนเริ่มจางหาย สลับพาเอาลมเย็นสบายพัดโชยมาแทน แสงไฟตามตึกรามบ้านช่องเริ่มส่องสว่าง
ทำให้เห็นผู้คนเดินสัญจรสวนกันไปมาอย่างประปราย หนึ่งในกลุ่มผู้คนคือหนุ่มหล่อหน้าหวานจากวงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์ ซึ่งบัดนี้พากันเดินเอ้อระเหยชมภาพบรรยากาศกันอยู่อย่างเรื่อยเปื่อย
"เร็วเข้าสิ เดินช้ากันจังเลยวะ ไอ้เด็กพวกนี้ หิวแล้วนะ"
"เรียกใครเด็กวะ บังอาจมากนะซงโฮ”
เนลสันที่เดินตามมาทันเป็นคนแรกยืนพักกางขาท้าวเอว
พลางเอียงคอมองซงโฮอย่างเอาเรื่อง
"ปะเปล่าพี่
ผมก็หมายถึงเด็กอีกสามคนนั่นต่างหาก"
ซงโฮฉีกยิ้มแห้งให้เนลสัน
ก่อนจะรีบเดินผ่านเขาไปยืนกวักมือตะโกนเรียกทั้งเคน โจ
และจีซุนที่ตอนนี้กำลังเดินเอ้อระเหยลอยชาย
หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศกันอย่างสบายใจเฉิบ
"เฮ้ย! ให้มันเร็วๆหน่อย
หิวแล้วโว้ย!" สิ้นเสียงตะโกนเรียกในที่สุดพวกเขาก็เดินตามมา
"ดีจังเลย เมาได้สะดวกเลยเนอะ"
เคนมองบรรยากาศรอบๆถนนคนเดินอย่างหลงใหล
"เฮ้ย! นานๆจะได้มาเล่นดนตรีแล้วไม่มีงานต่อจนได้เที่ยวสามวันแบบนี้ เมามันสามวันเลยดีไหม” จีซุนหันมากอดคอเคนชวนกันยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม
เมื่อนึกถึงภาพบรรยากาศยามได้ดื่มสุราเมามายกับเพื่อนสนิทของเขาแล้ว
มันช่างทำให้เขามีความสุขเหลือเกิน
"นี่แน่ะ! วันๆคิดแต่เรื่องอบายมุข เมาทีนึงงานก็เละทีนึง พวกแกนี่มัน..." ซงโฮบ่นอุบพลางเอามือผลักหัวเคนอย่างรู้สึกหมั่นไส้
"โห่ย! พี่อะ!
ทำไมไม่เข้าใจวัยรุ่นแรกแย้มบ้างเลยวะ
มันก็ต้องมีกันบ้างอะไรบ้างเนอะ"
ซงโฮได้ยินอย่างนั้นถึงกับต้องท้าวเอวมองตาขวางไปทางโจ
"พี่ก็เห็นพวกแกมีกันทุกวันอะ
วันละสามกระป๋อง"
"ศิลปินมันก็ต้องทำอารมณ์กันบ้างปะวะพี่
บางทีมันก็ต้องการแรงบันดาลจายยย"
โจทำหน้าเคลิ้มราวกับคนที่ดื่มหนักมาจนเมามายแล้ว
"โห พี่แม่งเอาซะเนียนเลยนะครับ"
จีซุนทำหน้าเคลิ้มเมาไปด้วย
"เดี๋ยวนะ
ขึ้นแม่งขนาดนี้ก็เก็บคำว่าพี่ใส่กระเป๋าแกเถอะ" โจหน้ามุ่ยพลางผลักหัวจีซุนก่อนจะหลุดขำออกมา
ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานกับมุกตลกร้ายของทั้งสามหนุ่ม
จู่ๆเสียงการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ใครสักคนก็ดังขึ้น
"เดี๋ยวเฮ้ย! จะรีบไปไหนวะ"
ซงโฮเอ่ยปากถามขึ้นทันควัน
"เอ่อ... ไปเข้าห้องน้ำอะ"
“เฮ้ย! รอด้วยดิ”
ยังไม่ทันที่ซงโฮจะได้ฟังคำตอบอย่างชัดเจนดีนัก
รู้ตัวอีกทีสองหนุ่มพี่น้องก็เดินจ้ำอ้าวจากไปเสียแล้ว
“โอ๊ย! ค่อยๆหายกันไปทีละคน ดูแลวงนี้นี่ยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้งอีก ฉันล่ะเครียด”
--------------------------------------------------------------------------------------------------
‘@Songsaboutyou ฉันถึงร้านแล้วนะคะ’
โทรศัพท์ดังขึ้นในระหว่างที่ผมกำลังเดินออกมาจากบริเวณที่สมาชิกวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ยืนเสวนากันอยู่
เมื่อผมเห็นข้อความแล้วจึงรีบเดินจ้ำอ้าวเพื่อไปให้ถึงร้านที่นัดกับดาริณไว้ในทันที
‘@Darinee โทษ’ทีครับ
พอดีผมมีธุระด่วนมากจริงๆ ผมคงทานข้าวด้วยไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะครับ’
‘@Songsaboutyou ไม่เป็นไรค่ะ
ขอโทษที่มาสายนะคะ’
ผมแอบยืนมองหญิงสาวร่างสมส่วนซึ่งมีผมหยักศกเป็นลอนผ่านกระจกหน้าร้านอาหาร บัดนี้เธอกำลังนั่งเหม่อลอยสายตาจับจ้องไปที่ใดมิอาจรู้ได้
ทว่าเธอตัดสินใจเดินออกจากร้านทันทีที่ได้รับข้อความของ ส่วนผมยังคงยืนมองเธออยู่ในระยะไกลเพื่อดูว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไร
หญิงสาวสรีระสมส่วนในชุดเดรสลายดอกแขนยาวทรงกระบอกสีน้ำเงินเข้มแบบผ่าอกเล็กน้อย
เดินอย่างรีบเร่งจนผมหยักศกเป็นลอนของเธอสะบัดไหวแรง ราวกับว่าเธอกำลังเดินมองหาใครสักคนอยู่ ในที่สุดผมก็ได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นมาทันที
ว่าแล้วเชียว..
แชะ! แชะ!
ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อบันทึกภาพนี้ไว้ เป็นภาพที่เธอเดินเข้าไปหาชายร่างสูงกำยำในชุดเอี๊ยมสีดำพร้อมสวมหมวกไบเล่
บัดนี้ปกปิดใบหน้าของตัวเองด้วยหน้ากากผ้า ก่อนที่เขาจะนำมือมาลูบผมของเธอพลางเอาผมทัดหูให้อย่างเป็นห่วงเป็นใย เดินจับมือเดินไปด้วยกัน ทว่าชายร่างสูงกำยำที่ผมคุ้นเคยดันหันมามองหาอะไรบางอย่างจนเขาได้มาสบตากับผมได้
ผมจึงรีบปลีกตัวเดินไปทางอื่นเพื่อหลบใบหน้าไม่ให้เขารู้ว่าผมเป็นใคร
‘@Songsaboutyou นี่มันยูเซอร์เนมส่วนตัวของฉันนะ!’
‘@Songsaboutyou เดย์... นายทำแบบนี้ทำไม’
‘@Songsaboutyou ฉันไปทำอะไร? นี่เป็นยูเซอร์เนมส่วนตัว มีแค่ฉันกับเพื่อนที่รู้... นายไปเอารหัสมาจากไหน? นายเป็นใคร?’
‘@Songsaboutyou ฉันไม่ปล่อยให้นายได้เสพย์สุขนานนักหรอก
จำเอาไว้’
‘@Songsaboutyou นายเป็นใคร? ถ้าไม่บอกฉันจะแจ้งตำรวจให้สืบหาตัวตนของนายนะ’
ผมยืนจ้องโทรศัพท์พลางกำมันแน่นเพื่อระบายอารมณ์โกรธที่กำลังครุกรุ่นก่อนจะรีบเดินต่อไปไม่อ่านข้อความให้รู้สึกเสียอีก
'เดย์... ฉันไม่อยากทำลายใครหรอกนะ
แต่ในเมื่อนายกำลังฆ่าพวกเรา....ฉันเองก็ไม่มีทางเลือก'
-------------------------------------------------------------
เขาโอบกอดฉันแล้วเร่งฝีเท้าของเราราวกับว่ากำลังพยายามหนีอะไรบางอย่าง
พลันหยุดเดินและผละอ้อมกอดออก
ถอดหน้ากากผ้าโยนทิ้ง คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความต่อ
แล้วปาโทรศัพท์ราคาแพงนั้นทิ้งอย่างไม่ไยดีจนหน้าจอแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ
พร้อมใช้เท้าเตะมันดั่งเศษขยะที่ไร้ค่า
"เรากลับโรงแรมเถอะ
ผมไม่มีอารมณ์ทานข้าวแถวนี้แล้ว"
เขายังคงจ้องมองโทรศัพท์ที่แตกร้าวนั้นอย่างหัวเสีย
จนฉันเริ่มกลัวอารมณ์ร้อนของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว
“แต่....”
“ผมบอกให้กลับไง!” เขาส่งสายตาขึงขังไม่พอใจ
แถมยังใช้อารมณ์ลากแขนฉันให้เดินตามอย่างเอาแต่ใจอีก
"ฉันเจ็บนะเดย์"
“เดินชักช้าแบบนี้ก็สมควรจะทำให้เจ็บ”
ฉันสะบัดแขนออกจากเขาอย่างรุนแรงเพราะเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน
"คุณไม่มีสิทธิ์มาเหวี่ยงหรือหงุดหงิดฉันยังไงก็ได้แบบนี้นะ
เดย์!"
"ผมไม่มีสิทธิ์
แต่ผู้ชายที่นัดมาเมื่อกี้มีสิทธิ์รึยังไง
นี่ถ้าผมไม่ตามมาด้วยจะเป็นยังไงต่องั้นเหรอ หึ! ก็คงทำแบบที่ทำกับผมเมื่อกี๊ใช่ไหม
ใช่รึเปล่า?!"
เพียะ!
ฉันตบหน้าเขาอย่างแรงด้วยอารมณ์โทสะที่ขึ้นสูงปรี๊ดดั่งปรอทแตก
“อยากเจอผู้ชายคนนั้นมากสินะ
พอไม่ได้เจอแล้วหงุดหงิดหรือไง?”
เราจ้องตากันขึงขัง ฉันกำมือสั่นระริกด้วยความโกรธ
น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันรู้สึกไร้ค่า ไม่คิดเลยว่าผู้ชายที่ฉันชื่นชมมานานจะไม่เห็นคุณค่าอะไรของฉันเลย
นอกเสียจากเป็นคู่นอนที่เขาจะพูดอย่างไรให้เจ็บช้ำก็ได้ตามอำเภอใจ
ฉันหันขวับเดินก้าวฉับหนีคนร่างสูงกำยำในทันที พอกันทีกับการเฝ้าตามชื่นชมคนที่ไม่เห็นค่าของเรา
ฉันยอมเดินจากมาเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า ทว่าเดินไปไม่เท่าไหร่กลับโดนกระชากแขนอย่างแรง ถูกคว้าตัวเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น ชายผู้มีกลิ่นคล้ายครีมโกนหนวดอ่อนๆเบียดอกกว้างกำยำโอบกอดฉันไว้แน่นจนรู้สึกอึดอัด
"เดย์... เดย์ขอโทษ
เดย์ผิดไปแล้ว เดย์ขอโทษ"
เขาซบหน้าลงบนไหล่ของฉันก่อนจะก้มลงฝังจูบอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงพยุงใบหน้าของฉันขึ้นมาจ้องมองลึกเข้าไปนัยน์ตาเนิ่นนาน
"ให้อภัยเดย์เถอะนะครับ ..."
เขาประทับจูบลงบนเปลือกตาของฉัน
ฉันปาดน้ำตานิ่งเงียบ ยังคงรู้สึกสับสนในตัวเองจนพูดไม่ออก ยืนปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดอยู่แบบนั้นจนเขาเป็นฝ่ายจูงมือและลากฉันขึ้นแท็กซี่เสียเอง พลางนั่งมองวิวข้างทางไร้ซึ่งความสนใจใดๆต่อผู้ชายร่างสูงที่บัดนี้กำลังนั่งกุมมือฉันอยู่เคียงข้าง
ทว่าฉันยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาอ้อนวอนที่ส่งมาไม่หยุด
จนในที่สุดก็ได้รับสัมผัสอันหนักหน่วงบนไหล่
เหลือบไปมองก็พบว่าตอนนี้เขาได้ทิ้งตัวลงมาซบฉันเรียบร้อยแล้ว
"ผม.. ขอโทษ"
เขาพึมพำพลางก้มมองมือของสองเราที่กำลังกุมกันไว้อย่างหละหลวม
ก่อนจะนำมันขึ้นมาหอมอีกครั้ง
ความคิดเห็น