ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าลืมรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 63


    ครั้งหนึ่งในห้วงแห่งความทรงจำ...

    คุณเดย์คะ

    ในขณะที่ผมและซงโฮเดินกลับมาจากซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อไปซื้อของว่างเล็กน้อยยามดึก  ก่อนจะต้องกลับไปคิดเมโลดี้กันต่ออีกทั้งคืน  อยู่ๆกลับมีเสียงเรียกปริศนาดังขึ้นจากมุมมืดข้างประตูรั้วของตึกค่ายเพลง  ทว่าเมื่อหันไปมองจึงพบสาวตาคมคนเดิมที่คอยเฝ้าติดตามผมมาตั้งแต่สมัยที่พวกเราเป็นวงใต้ดินเช่าห้องทำเพลงและเล่นดนตรีประจำที่บาร์ฝรั่ง จนบัดนี้ได้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ฉุดพวกเราให้โผล่พ้นดินขึ้นมาเป็นที่รู้จักในหมู่กว้าง เธอก็ยังไม่เคยย่อท้อที่จะนำของขวัญมาให้ จนในบางครา ด้วยความเบื่อหน่าย ผมแอบมีความรู้สึกอยากแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารสาวเจ้าที่ยืนรอคอยจะได้เจอผมมานานหลายชั่วโมงไม่ได้เช่นกัน

    เดย์ พี่ว่าแกเข้าตึกไปก่อนไป เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง” 

    ซงโฮกระซิบกับผมพลางส่งสายตาขึงขังดุดันให้สาวคนนั้นเพื่อเป็นการตักเตือน

    พี่ แต่เธอก็น่าสงสารออกนะ ยืนรอตั้งหลายชั่วโมงแล้วมั้งนั่น อีกอย่าง เธออยากเจอผมไม่ได้อยากเจอพี่สักหน่อย” 

    ผมฉีกยิ้มทะเล้นจนตาเฉี่ยวโค้งขึ้นอย่างยียวนกวนอารมณ์ พลันทำให้ผมได้รับสัมผัสมืออันหยาบกร้านที่ส่งแรงมายังหัวของผมจนเกือบหน้าหัน

    โอย เจ็บนะ!” ผมแสร้งทำเป็นไม่พอใจ ก่อนจะเอามือลูบหัวตัวเองเพื่อบรรเทาอาการแสบคัน

    ขึ้นเสียงกับใครไอ้เดย์ เดี๋ยวจะโดนดีซงโฮใช้นิ้วทั้งสี่ผลักหัวผม

    ไม่ได้ขึ้นเสียงกับพี่สักหน่อย ผมแค่อยากให้พี่เห็นใจเธอ ก็เธอน่าสงสารนี่นา เธอแค่อยากส่งของให้ถึงมือผมเท่านั้นเอง ครั้งก่อนที่พี่ลากลับบ้าน ผมแวะมาซ้อมดนตรีกับวง ผมก็เอาช็อคโกแลตเธอมากิน ก็อร่อยดีนะ หมดเกลี้ยงเลย หรือบางวันตอนดึกๆก็มีชีสเบอร์เกอร์ให้กินด้วย ดีจะตาย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยผมพูดไปพลางคว้าหมากฝรั่งในถุงแก๊ปมาแกะเคี้ยว ยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีขึงขังของซงโฮมากนัก

    ก็เพราะแบบนี้ไง เธอถึงได้ใจเอานั่นเอานี่ให้แกกินจนอ้วนน่ะ หืม? ถึงจะเป็นวงร็อกก็ต้องรักษาภาพลักษณ์บ้างนะเว้ย!ซงโฮใช้มือหยิกติ่งหูผมจนเจ็บไปหมด

    โอ! พอแล้ว บ่นอยู่ได้ กีดกันนักก็ไปคุยกันเองเลยพี่ แต่...ฝากเอาของกินมาให้ผมด้วยแล้วกันนะพี่ผมทิ้งท้ายและเดินผ่านหน้าเธอไปอย่างเมินเฉย ส่วนหนึ่งผมก็แอบเห็นด้วยกับซงโฮที่ว่าผมไม่ควรให้ความสนิทสนมกับเธอมากจนเกินไป เพราะผมเองก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเธอหวังดีประสงค์ร้ายหรือเปล่า

     

    --------------------------------------------------------

     

    แสงแดดอ่อนยามเช้าของโอซาก้าส่องกระทบใบหน้าจนผมรู้สึกอุ่นร้อนไปทั่ว  ป่านนี้แล้วยังคงนอนตะแคงกอดหมอนฟังเพลงยุคเจ็ดศูนย์เหม่อมองตรงหน้านิ่งงัน ไร้จุดหมาย  ไร้ซึ่งความอ่อนเพลียใดๆแม้ผมจะเล่นโทรศัพท์มาทั้งคืน  หวนย้อนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา  ดาริณคอยติดตามผมด้วยความห่วงใยมาโดยตลอด  เธอมักจะส่งของขวัญมาให้ผมเสมอ  บ้างมายืนคอยให้ของขวัญกับมือหน้าตึกค่ายเพลง  บ้างส่งมาทางไปรษณีย์  วันไหนที่ผมขึ้นเวทีแสดงดนตรีในผับแล้วเธอสัมผัสได้ว่าผมเสียงแหบไป เธอจะรีบไปซื้อยาแล้วส่งผ่านมือทีมงานให้ผมทันที   หรือตอนที่ผมซ้อมดนตรีจนดึกดื่นก็มีเธอนี่แหละที่คอยซื้ออาหารมาให้  หรือในบางคราหากเธอได้มีโอกาสไปเที่ยวในสถานที่สวยๆ เธอจะถ่ายรูปทำเป็นโปสการ์ดส่งมาให้ผมได้ชื่นชมผลงาน  แม้ใครต่อใครจะขนานนามให้เธอเป็นซาแซงโรคจิต (แฟนคลับโรคจิตในภาษาเกาหลี) ทว่าสำหรับผม ผมเปรียบเธอเป็นเสมือนดั่งเพื่อนคนหนึ่งที่เติบโตมาด้วยกัน เพราะเรามีความความชอบและไลฟ์สไตล์ที่คล้ายกัน 

    ผมสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ภายใต้กรอบลายสกรีนรูปโลโก้ของวงคู่ใจใต้หมอน  คว้ามันออกมาเพื่อตรวจดูการแจ้งเตือน ซึ่งเป็นข้อความสถานะล่าสุดของดาริณผ่านสื่อโซเชียล ได้เห็นแล้วก็ทำให้ไม่สามารถนอนอยู่เฉยได้อีกต่อไป  จึงเด้งลุกออกจากเตียงอย่างกระตือรือร้น  รีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาวและกางเกงเอี๊ยมสีดำ เสยผมตรงสลวยไพล่หลังก่อนสวมหมวกไบเล่ทับลงไป  เมื่อเสร็จแล้วจึงรีบคว้าคีย์การ์ดที่ซงโฮให้ผมไว้เมื่อคืน  สอดส่องทั่วห้องเพื่อรีบปลุกใครสักคนที่พร้อมไปที่นั่นเป็นเพื่อนกัน

    ทันทีที่ผมแตะคีย์การ์ดเข้าไปในห้องของซงโฮ   ผมได้เห็นสภาพแต่ละคนเมามายไม่ได้สติ  เคนนอนกางแขนกางขากองอยู่บนพื้นโดยมีจีซุนกอดซบอยู่เคียงข้าง มันช่างเป็นภาพที่อุจาดตาน่าชวนอ้วกยิ่งนัก ส่วนโจนั่งพิงขอบเตียงเงยหน้าหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว เนลสันก็นอนคว่ำขวางเตียงเสียเฉยๆ ซงโฮกอดโถส้วมหลับคาชักโครก ผมละคันไม้คันมืออยากจะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกนัก แต่สิ่งที่แล่นมาในหัวของผมเมื่อนึกถึงข้อความของดาริณจึงต้องอดใจเอาไว้ เพราะการไปเจอดาริณนั้นสำคัญเกินกว่าจะมาเล่นพิเรนทร์อะไรทั้งนั้น

    "ตื่นเร็ว" ผมทั้งตบก้นทั้งผลักหัแต่พวกเขาก็ไร้วี่แววที่จะตื่น

    "งืม อารายของแกวะไอ้เดย์ คนจะน๊อน" ดั่งสวรรค์ฟ้าทรงโปรด เนลสันขยับปากด่าผมแล้ว เขานี่แหละจะต้องไปอาร์แกลเลอรีกับผม เขาคือคนที่ถูกเลือก!

    "ตื่นเร็วป๋า ไปอาร์ตแกลเลอรีเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ" ผมดึงแขนแทบจะฉุดกระชาก นาทีนี้ผมขอวิธีไหนก็ได้เพื่อทำให้เขาลุกออกจากเตียงขึ้นมาให้จงได้

    "มาอาร์ตอะไรของแกแต่เช้าว๊า คนจะนอน" เนลสันตอบผมเสียงเอื่อย

    "นะพี่เนล พาผมไปอาร์แกลเลอรีหน่อย"

    คนขี้เซากลับหันหน้าหนีฟุบแขนนอนต่อ

    "ถ้าไม่ไป ผมจะแฉว่าป๋า...."

    ได้ผล... ในที่สุดก็ยอมตื่นและเด้งตัวขึ้นมาล็อคคอผมไว้แน่น

    "งั้นแกก็ตายก่อนจะไปอาร์ตแกลเลอรีบ้าบออะไรนั่น" เนลสันกัดฟันกรอดที่ข้างหู

    "จะ...ใจเย็นๆ ป๋า ผมแค่อยากทำให้ป๋าตื่นเฉยๆหรอกน่า เร็วป๋า ลุกเถอะ ไปกับผมหน่อยนะ"

    ในที่สุดจึงยอมปล่อยผมและลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นเราสองคนก็ออกจากโรงแรมเพื่อไปอาร์ตแกลเลอรีด้วยกันทันที

                           --------------------------------------------------------------------------

    หลังจากที่ฉันเก็บข้าวของเสร็จ จึงรีบออกจากพื้นที่คอนเสิร์ตเพื่อหาห้องอาบน้ำ  หวังที่จะได้ชำระร่างกายก่อนจะตะลุยเที่ยวต่อในวันนี้  เดินตระเวนหาจนทั่วก็เจอกับห้องอาบน้ำรวมที่ผู้หญิงทุกคนต้องแก้เสื้อผ้าเข้าไปแช่อ่างร่วมกันด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่า ฉันเดินลงแช่ในอ่างอย่างทุลักทุเลพลางวางสายตดูกระอักกระอ่วน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วมาขนาดนี้เห็นทีคงต้องหลิ่วตาตาม  เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินลากกระเป๋าไปตามทางฟุตบาทอย่างเอ้อระเหย เกิดคำถามผุดขึ้นในหัวมากมายจนรู้สึกสับสนใจ  จุดประสงค์ที่ฉันมาถึงที่โอซาก้านั้นคืออะไร เพียงเพื่อที่จะได้ตามติดชีวิตร็อกเกอร์แค่นั้นเองเหรอ? ไร้ค่าสิ้นดี เป็นอย่างไรล่ะ? ตอนนี้เขามีคนอื่นในใจ ฉันจะไปมีความสำคัญอะไรอีก?

    'งั้นเราเลื่อนตั๋วกลับวันพรุ่งนี้ไปเลยดีไหม?'

    ฉุกคิดขึ้นได้ดังนั้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายขวางใบเล็กสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาเพื่อจะโทรเลื่อนไฟลท์ แต่แล้วกลับมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาจาก ซงแฟนคลับวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ คนเดิมที่สนทนากันค้างไว้จากเมื่อคืน และบัดนี้เขาก็ได้ทิ้งข้อความให้ฉันมาตอบ......

    ‘@Darinee วงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ ของพวกเราไม่มีการแสดงต่อแล้วนี่ คุณจะกลับรึยังครับ

    ‘@Darinee ผมว่าผมจะอยู่ต่อล่ะ สนใจมาเที่ยวด้วยกันไหม

    ‘@Darinee ผมยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหนดี ตอนแรกว่าจะไปเดินเล่นคนเดียวที่โดทงโบริ แต่มันก็ไม่น่าจะต่างจากมยองดงบ้านเรามากนักหรอกเนอะ

    ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ฉันติดตามวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกหน่วงและเหงาใจมากที่สุด เห็นทีการมีเพื่อนนั่งคุยข้างกายบ้างคงทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย หรือฉันควรไปเที่ยวกับซงดีล่ะ?

    ‘@Darinee คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างไหมครับ

    ‘@Songsaboutyou เอ่อ...ตอนนี้ฉันกำลังเที่ยวอยู่ค่ะ

    ‘@Darinee อ๋อ งั้นเดี๋ยวเรานัดกันอีกทีก็ได้ครับ

    ‘@Songsaboutyou ยังไงก็ ทักมาแล้วกันนะคะคุณซง ตอนนี้ฉันขอเที่ยวอาร์แกลเลอรีก่อนนะคะ

    ‘@Darinee อาร์แกลเลอรีที่ไหนเหรอดาริณ?’

    ‘@Songsaboutyou ชื่อว่า กาเซะน่ะ ไปก่อนนะ

    แผนการมาโอซาก้าเพื่อคอยดูแลร็อกเกอร์ในดวงใจเป็นอันต้องพับเก็บ เพราะฉันได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าฉันจะเลิกติดตามเดย์อย่างจริงจังเสียที จึงทำให้ต้องหาที่เที่ยวที่ไหนสักแห่งที่พอจะสามารถทำให้ฉันลืมภาพของเขาได้  นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ค้นหาอาร์แกลเลอรีที่น่าสนใจ และในที่สุดฉันก็ไปสะดุดตากับอาร์แกลเลอรีนามว่า "กาเซะ" ซึ่งเปิดให้ชมในช่วงเวลานี้พอดิบพอดี  ภาพถ่ายตัวอย่างที่แสดงบนโทรศัพท์มือถือนั้นชวนน่าหลงใหล ว่าแล้วจึงพับเก็บตารางแผนการเดินทางติดตามวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ โดยไม่กลับไปสนใจมันอีกเลย

     

    ฉันมุ่งหน้าไปยังกาเซะ อาร์แกลเลอรีเพื่อชมงานศิลปะและภาพถ่ายเพียงลำพัง  อย่างน้อยการได้มาเยือนที่นี่มันก็ทำให้จิตใจของฉันไร้ความกังวล  รู้สึกสงบลงมาบ้าง  ฉันถ่ายรูปสถานที่พร้อมลงรูปไว้ในสื่อโซเชียลอย่างเพลิดเพลิน  ผ่านมาได้ชั่วโมงเศษจึงรู้สึกอิ่มเอิบกับสถานที่แห่งนี้และกำลังตัดสินใจที่จะกลับ  ทว่าสายตาอันไม่รักดีดันแอบเห็นชายสองคนที่แต่งตัวกันมาคนละสไตล์ราวกับไม่ได้นัดกันมา  คนหนึ่งใส่เอี๊ยมสีดำกับเสื้อยืดสีขาวพร้อมสวมหมวกไบเล่  ส่วนชายอีกคนมาในสไตล์ร็อกเกอร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า   ด้วยเสื้อสีดำลายโลโก้แลบลิ้นของวงร็อคชื่อดังสมัยยุคเจ็ดศูนย์และกางเกงยีนส์ขาดๆ เพียงแวบเดียวเท่านั้นก็ทำให้ฉันระลึกชาติขึ้นมาได้ในทันที

    'นั่นมัน เดย์กับเนลนี่!'

    ฉันยืนตะลึงงันกับภาพที่เห็นตรงหน้าในระยะไกล  เหม่อมองพวกเขาเนิ่นนานจนทั้งสองหนุ่มรู้สึกได้ว่ากำลังมีคนจ้องมองพวกเขาอยู่ และหนึ่งในนั้นหันกลับมาจ้องมองฉันเช่นกัน....

    'เดย์มองฉันเหรอ?'

    ตึกตัก! ตึกตัก!

    เดย์หนุ่มร่างสูงกำยำเลิกดวงตาเฉี่ยวและคิ้วหนาขึ้นราวกับจะหาเรื่อง

    "เจอคุณอีกแล้วนะ จะมาตามติดชีวิตผมไปถึงไหนครับ" ฉันหลบใบหน้าของเขาเพราะตอนนี้ใจฉันเต้นแรงจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

    "คุณ...."

    "เฮ้ย! ไอ้เดย์ แกยืนคุยกับสาวแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นข่าวหรอก"

    เนลสันรีบเดินตามมาประชิดตัวของดันแคน ก่อนจะมองฉันด้วยสีหน้าราวกับฉันเป็นตัวประหลาด

    "ใครวะ คุ้นๆ"

    "แฟนคลับเราไงพี่"

    ดันแคนพยายามจ้องมองฉันในขณะที่ฉัน เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสู้ดวงตาเฉี่ยวคู่นั้น

    เขาคงรู้สึกโกรธและรังเกียจฉันมากใช่หรือเปล่า?

    ฉันจะไม่ตามแล้วนี่ไง พอใจหรือยัง?

    "ทำไมฉันไม่เห็นมีแฟนคลับหน้าตาดีมาตามเหมือนแกเลยวะ"

    "พี่ไปก่อนได้ไหม ขอฉันคุยกับเธอก่อน ที่นี่ไม่น่าจะมีใครรู้จักเราขนาดนั้นหรอก"

    "เป็นข่าวขึ้นมา ฉันนี่ล่ะจะโดนพี่จิมมี่ฆ่าเอาเพราะพาแกมาเนี่ย"

     

    จิมมี่ หรือ วอลเธอร์ เจมส์ ลูกครึ่งอังกฤษ-เกาหลี ประธานบริษัทค่ายเพลงที่เป็นต้นสังกัดของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ ค่ายเพลงอินดี้สาขาย่อยที่มาลงทุนในประเทศเกาหลีใต้ ส่งตรงประธานบริษัทฯจากสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ขึ้นชื่อในเรื่องการคอยดันศิลปินและนักดนตรีเกาหลีที่มีฝีมือให้ได้ขึ้นเล่นดนตรีบนเวทีดังระดับโลก และแน่นอนว่าการที่ศิลปินในสังกัดของเขามีข่าวฉาว  เขาคงไม่อภิรมย์นัก

    "คุณจะไปไหน"

    เสียงห้าวทุ้มต่ำดังขึ้นทำให้ฉันหยุดชะงักครู่หนึ่ง แต่ในเมื่อพวกเขายังซุบซิบคุยกัน ฉันจึงใช้จังหวะนี้หันหลังกลับเดินหนีทันที

    "ฉันขอโทษสำหรับที่ผ่านมา ฉันขอโทษที่ตามคุณไปทุกที่ แต่ต่อจากนี้ฉันคงจะไม่มารบกวนคุณอีกแล้ว คุณสบายใจได้เลย ขอให้คุณมีชีวิตที่ดีกับความสำเร็จของคุณนะคะ"

    ฉันโค้งตัวก่อนจะเดินก้มหน้าจากไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า

    "นี่คุณ เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ กลับมาก่อนสิ ..." 

    ฉันไม่ฟัง กึ่งวิ่งกึ่งเดินหนีให้เร็วที่สุด

    "ดาริณ...จะไปไหน? กลับมาก่อน"

    เดินไปได้ไม่กี่ก้าวกลับได้รับสัมผัสไออุ่นจากอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังเอาหน้ามุดไถและฝังจุมพิตลงไปที่ไหล่ของฉันจนร่างกายหยุดยืนตัวแข็งทื่อ กลิ่นครีมโกนหนวดอ่อนๆของเดย์มันทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนอ่อนล้า

    เขาจำชื่อของฉันได้ด้วยเหรอ?

    เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหู โสตประสาทการรับรู้ของฉันมันได้สูญเสียไปแล้วโดยสิ้นเชิง

    ฉันสับสนไปหมดแล้ว…..

     

    ____________________________

     

     

    'ฉันขอรักเธอแบบนี้ต่อไปได้ไหม

    แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม'

     

    ผู้ชมต่างพากันปรบมือพร้อมตะโกนโห่ร้องชื่นชมในฝีมือการแสดงสดของพวกเรา เมื่อสิ้นเสียงคอร์ดสุดท้ายจากกีตาร์ของจีซุน  ผมจึงลืมตาขึ้นและพยายามกวาดสายตามองให้ทั่วบริเวณหน้าเวที ทว่ากลับไร้ซึ่งเงาของสาวตาคมคนคุ้นเคย การหายตัวไปของเธอทำให้ผมรู้สึกอ่อนแรงขึ้นมา  ราวกับมีใครสักคนได้มากดสวิทซ์ปิดพลังงานในร่างกายของผมที่ตอนนี้มันเหลือน้อยเต็มที

    'ดาริณคงไม่จำเป็นต้องมีเราไว้เป็นที่พึ่งทางใจอีกแล้วใช่ไหม?'

    นั่นสิ เธอไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรกับบทเพลงนี้เลยด้วยซ้ำ วงของผมมันก็เป็นแค่แนวเพลงหนึ่งที่เธอชอบเท่านั้น และการที่เธอซื้อของขวัญหรือคอยมาตามดูแลก็เพราะเธอชอบผลงาน...เธอไม่ได้ชอบผม

    ผมเหม่อลอยโอบกอดดาริณจากด้านหลัง รู้สึกวูบวาบจนต้องฝังหน้าลงบนไหล่เล็กของเธอเพื่อระบายความรู้สึกทั้งหมดที่มี ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสของมือใหญ่ที่กระทบกับบ่าของผมเบาๆ จากเนลสัน  ผมจึงหันไปพยักหน้ากับเขาเพื่อบอกเป็นนัยว่าขอบคุณ ก่อนที่ผมจะหันกลับมาหอมไหล่ดาริณและโอบกอดเนิ่นนาน

    "ปล่อยฉันก่อนได้ไหมคะ"

    ฉันชำเลืองมองแขนกำยำที่ประสานกอดบนหน้าท้อง วางสายตาวอกแวกอย่างรู้สึกสับสน คำถามร้อยแปดพันเก้าวิ่งวนชนกันมั่วในหัวสมอง ตอนนี้ได้สร้างความรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าจนเริ่มเกิดอาการปวดหัวตุบๆ

    เรากับเขามาถึงขั้นนี้อย่างไรกัน?

    หรือนี่เป็นเรื่องปกติที่ศิลปินจะทำกับแฟนคลับของเขาเพื่อขอ.....

    เขาเป็นคนแบบนี้เองหรือ?

    ไม่ปล่อยได้ไหมดาริณ”  เขาประทับจูบลงบนไหล่ของฉันอีกครั้ง

    "ก่อนอื่น ฉันขออธิบายก่อนว่ารอบนี้ฉันไม่ได้ตามคุณแล้วนะคะ และฉันก็คิดว่าฉันคงจะไม่ตามคุณอีกแล้ว ฉันต้องขอโทษที่กวนใจคุณตลอดเวลาที่ผ่านมา....แต่"

    ฉันวางสายตาวอกแวก ยืนก้มหน้าพยายามควบคุมน้ำเสียงสั่นคลอนให้เป็นปกติ

    "แต่อะไรเหรอครับ

    ช่างเถอะ! หากเขาจะมองฉันมีค่าเพียงแค่นี้....ก็คงไม่เป็นไร

    ไม่มีอะไรค่ะ ....สรุปว่าฉันไม่ได้ตามคุณ เราเจอกันโดยบังเอิญค่ะ

    "ช่างเถอะดาริณ....ตอนนี้ผมอยากคุยกับคุณ เราคุยกันหน่อยได้ไหม"

    เขาจัดการผละกอดแล้วจึงหมุนตัวฉันให้ประจันหน้ากับเขา

    "ทำไมถึงจะเลิกตามผมแล้วล่ะ"

    เขาเลิกคิ้วถามฉัน ทว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำอันทรงเสน่ห์ของเขาที่เปล่งออกมากลับแฝงไปด้วยความอ่อนแรง

    "เอ่อ...คือ

    หืม?

    ฉันก็แค่คิดว่า คุณควรได้รับในสิ่งที่คุณควรได้รับมาตั้งนานแล้ว นั่นก็คือความส่วนตัว

    ฉันตอบอย่างกระอักกระอ่วน  รู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลแท้จริงที่ฉันต้องการเลิกติดตามเขา เพราะฉันตระหนักได้แล้วว่าความรักที่มีให้บัดนี้มันได้ถลำลึกจนข้ามเส้นคู่ขนานที่ฉันขีดไว้ไปแล้ว ฉันทนเห็นใบหน้าอันแสนเจ็บปวดของเขาตอนที่ร้องเพลงถึงผู้หญิงคนอื่นบนเวทีไม่ได้จริงๆ

    "ผมไม่เคยพูดนะครับว่าผมต้องการความส่วนตัว" เดย์หลบตาลงพลางหันมองไปทางอื่น

    "อะไรนะคะ?" 

    "คือ.....ผมหมายถึง คุณเป็นแฟนคลับของผมมานาน อยู่ๆจะหายไปดื้อๆแบบนี้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่"

    คำตอบของเขาพลันทำให้ฉันรู้สึกหน่วงพิกล  เพราะการที่คิดได้ว่าเขาพรวดเข้ามากอดฉันแบบนี้อาจมีความต้องการอะไรบางอย่างแอบแฝงดั่งที่ผู้ชายเห็นแก่ตัวหลายคนมี  มันจึงก่อเกิดเป็นความรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย  อย่างไรเสียการที่เขาตัดสินใจเข้าหาฉันด้วยวิธีนี้ อาจเป็นเพราะเขาคงมองเห็นในสิ่งที่ฉันทำเพื่อเขามาตลอดอยู่บ้าง ฉันควรดีใจไม่ใช่เหรอ  เราไม่ควรหวังอะไรไปมากกว่านี้....ไม่ควรเลย

    "..........."

    คุณอยู่เที่ยวที่นี่กับผมสักหนึ่งอาทิตย์ได้ไหมครับ เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณคอยดูแลผมมาตลอด" เขาถามฉันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ดวงตาเฉี่ยวเบิกกว้างราวกับตื่นเต้น

    "แต่...ฉันต้องทำงาน แล้วคุณเองก็ต้องกลับเกาหลีเพราะวงคุณมีถ่ายรายการโปรโมทซิงเกิ้ลใหม่ไม่ใช่เหรอคะ

    ฉันหันมองไปทางอื่น   ในใจกลับรู้สึกลังเลที่จะตอบรับ  ฉันรู้สึกผิดหวัง  เนื่องจากความเป็นจริงมันไม่เหมือนดั่งที่ฉันเคยวาดฝันเอาไว้  ฉันคิดมาโดยตลอดว่าเขาจะต่างไปจากชายอื่น....แต่ไม่เลย

    "สมแล้วที่เป็นแฟนคลับของผม รู้ทุกเรื่องเลยนะครับเนี่ย"

    เดย์อมยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะนำมือทั้งสองของเขามาพยุงใบหน้าแล้วมองลึกเข้าไปนัยน์ตาฉัน

    อยู่ด้วยกันหนึ่งอาทิตย์ ตัวเราจะยิ่งถลำลึกเข้าไปอีกขั้น แล้วเราจะทนความเจ็บปวดใจได้เหรอดาริณ มองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหวานของเขาแล้วจึงถอนหายใจฝืนยิ้มให้

     

    ______________________________________________

     

    "พี่ซงโฮ... ได้ยินผมไหม.... คือผมว่าจะอยู่โอซาก้าต่ออีกสักพัก"

    ได้ยินเสียงปลายสายดังนั้นซงโฮถึงกับน้ำพุ่งใส่หน้าเคนในชุดเสื้อกล้ามสีเทาและกางเกงขาสั้นผ้ามันสีดำ ซึ่งบัดนี้กำลังซดน้ำซุปเต้าหู้อย่างเอร็ดอร่อยเพื่อบรรเทาอาการเมามายของพิษสุรามาทั้งคืน  จนกระทั่งได้รับหยดน้ำสาดกระเซ็นจากปากของซงโฮทั่วใบหน้าขาวเนียนของเขา  ทำให้เขาถึงกับต้องหยุดชะงัก

    "ไอ้เดย์ แกจะบ้าเหรอ? สักพักของแกนี่มันกี่วันกี่เดือนห้ะ?!"

    ซงโฮวางแก้วลงบนโต๊ะดังปลัก!

    "ก็แค่หนึ่งอาทิตย์เองพี่ ได้ไหมพี่ ได้โปรด"

    "ไม่ได้! แกมีถ่ายรายการเข้าใจไหม แล้วอยู่ตั้งอาทิตย์หนึ่งเนี่ย จะถ่ายกันได้ยังไง เราเป็นวงดนตรี พวกแกมีกันห้าคนนะ ขาดไปคนหนึ่งได้ที่ไหนเล่า!"

    ซงโฮเอ่ยเสียงดังลั่นก่อนจะผลักโต๊ะกินข้าวอย่างหัวเสีย ส่วนเคนก็พยายามประคองถ้วยซุปเต้าหู้ของตัวเองอย่างหวงแหนพลางชำเลืองมองหน้าเขาตาปริบๆ แล้วจึงค่อยๆโอบถ้วยซุปเดินออกไปจากบริเวณอย่างเงียบเชียบ ตรงไปหาโจซึ่งบัดนี้กำลังนอนฟังเพลงสบายใจเฉิบ

    "ฮัลโหล? พี่ ไม่ได้ยินเลย สัญญาณมันไม่ค่อยดี ... ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด"

    "งานเข้าแล้วไง โธ่เว้ย!" สิ้นเสียงสัญญาณโทรศัพท์ซงโฮถึงกับหน้าแดงไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะนำมือขยำหัวตัวเองอย่างรุนแรง

    "มีใครในนี้รู้ไหมว่าไอ้เดย์มันอยู่ที่ไหน" ทุกคนในวงได้แต่มองซงโฮตาปริบๆ ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกัน

    ตี๊ด!

    ทุกคนพลันหันไปตามต้นเสียงพร้อมกันที่หน้าประตู บัดนี้มันได้ถูกเปิดออก เผยให้เห็นชายไว้ผมรองทรงต่ำสีดำสนิทกระเซอะกระเซิงตามสไตล์ร็อกเกอร์ รูปร่างสันทัดรับกับเสื้อยืดลายโลโก้แลบลิ้นสีแดงของวงร็อคชื่อดังในอดีต ยืนกังขาส่งสายตาประสานกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่เขาในตอนนี้อย่างสับสน

    "พี่ไปไหนมา" ซงโฮยิงคำถามคาใจขึ้นในทันที

    "ก็ไปซื้อบุหรี่...นี่ไง" เนลสันยื่นถุงพลาสติกสีขาวให้ซงโฮได้มองเห็นอย่างชัดๆ

    "เดย์ไปไหน พี่รู้ไหม"

    "ไม่รู้ พวกเราก็เมากันหมด มันหายออกไปจากห้องมันตั้งแต่ตอนไหนแล้วใครจะไปรู้วะ"

    ถ้าอย่างนั้นพี่เอาคีย์การ์ดห้องผมมาจากไหน ผมให้คีย์การ์ดห้องผมกับมันแค่คนเดียวเองนะ"

    "ก็..... ขอมาจากฟรอนท์สิ ใจเย็นๆก่อนนะซงโฮ กินข้าวกินปลา ค่อยๆคิดแล้วกัน เอ้า! เอาบุหรี่ไปสูบให้ใจเย็นก่อน"

    เนลสันใจสู้ยื่นบุหรี่ในถุงพลาสติกสีขาวที่บัดนี้โดนขยำจนเปียกชื้น  ซงโฮทำหน้ามุ่ยมองหน้าเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเดินไปคว้าถุงซองบุหรี่มาจุดสูบ ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากันในความเงียบ

    'ไอ้เดย์ ฉันช่วยแกได้แค่นี้จริงๆ แกตายแน่แล้วงานนี้ ทั้งฉันและแก ตายกันหมดแน่

     

    ----------------------------------------------

     

    "เราไปไหนกันดีครับ"

    ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้รับสัมผัสอ้อมกอดอันอบอุ่น พลางได้กลิ่นครีมโกนหนวดอ่อนๆจากคนข้างหลัง มันได้ทำให้ฉันใจเต้นแรงอีกครั้งอย่างไม่คุ้นชินนัก

    "ละแล้วแต่เลยค่ะ"

    "แล้วแต่ผมเหรอ ถ้าอย่างนั้นไปห้องคุณกันก่อนดีไหมครับ" ฉันเบิกตากว้างรู้สึกตกใจกับคำพูดของเขา

    ว่าแล้วเชียว....

    "ไปทำไมเหรอคะ ไปเที่ยวดีกว่าไหมคะ" ฉันรีบผละกอดหันหน้ากลับมามองเขาอย่างเลิ่กลั่ก

    "คุณ...ไม่เอากระเป๋าเดินทางไปเก็บก่อนเหรอครับ" เขาพูดพลางเบิกตากว้างอย่างไร้เดียงสา

    ก็ได้ค่ะ"

    "เอ่อ ....ดาริณครับ..... จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะนอนห้องเดียวกับคุณไปตลอดทั้งอาทิตย์นี้ คือ...... ผม..... เพื่อนทิ้งหมดแล้ว โรงแรมก็ไม่มี จะกลับก็ไม่ได้ อีกอย่างคือผมไม่มีเสื้อผ้าอื่นนอกจากชุดนี้แล้ว คือ... ผมขอโทษ ผมไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ผม..."

    จากประสบการณ์ความรักที่ผ่านมา  มีไม่กี่เรื่องในชีวิตหรอกที่ผู้ชายจะยอมลงทุนเสี่ยงหน้าที่การงานขนาดนี้...เห็นทีจะไม่พ้นเรื่องอย่างว่า  เขาช้อนตามองหน้าฉันอย่างออดอ้อน สีหน้านั้นเศร้าสร้อยคล้ายลูกสุนัขหลงทางที่มาอ้อนเพื่อขอที่อยู่และเจ้านายคนใหม่  เอาเถอะ...ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเลือกฉันแล้ว กลับเกาหลีใต้เราคงไม่ได้เจอกันอีก เราควรเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆแบบนี้เอาไว้ไม่ใช่หรือ....สั่งลาอย่างไรล่ะ

    "ฉัน...เอ่อคือ ... "

    "กังวลเรื่องเงินเหรอครับ  ผมยังมีเงินติดตัวอยู่นะ เยอะมากด้วยไม่ต้องห่วงเลย"

    เดย์ควักกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาโชว์ให้ฉันดู พร้อมยิ้มยิงฟันจนปากของเขาโค้งได้รูปสี่เหลี่ยม

    "ที่ไม่อยากเปิดห้องเพิ่มเพราะกลัวคนจะเห็น และกลัวจะมีหลักฐานว่าผมมาเปิดห้องเพิ่มที่นี่ ผมแค่ไม่อยากเป็นข่าวโดยที่มีหลักฐานชัดเจนแบบนั้นแค่นั้นเอง นะครับ ให้ผมนอนด้วยได้ไหม"

    ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว….

    ฉันก้มหน้าครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้ามองตาเฉี่ยวและพยักหน้าให้

    "ป่ะ! งั้นเราไปกันเถอะ โรงแรมดาริณอยู่ไหนกันน้า"

    ไม่รอช้า เขาคว้ากระเป๋าเดินทางของฉันไปลากต่อ คว้ามือมาจับไว้แน่นก่อนจะเดินนำทางฉันทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน

    "เดย์คะ ทางนี้ค่ะ"

     

    และแล้วเราก็มาถึงห้องพักของฉัน เขาวางกระเป๋าเดินทางลงใกล้ตู้เสื้อผ้า  ทิ้งตัวล้มลงนอนหงายที่เตียงคิงไซส์ผืนกว้าง พลันนึกขึ้นได้ว่าห้องนี้เป็นแบบซิงเกิ้ลซึ่งมีเพียงเตียงแค่ผืนเดียว 

    คงไม่รอดเงื้อมมือเสือแล้วล่ะงานนี้....

    "เตียงคุณนุ่มจังเลย ผมนอนด้วยคนได้ไหม"

    ".........."

    ฉันหลบสายตามองไปทางอื่น สีหน้าบึ้งตึงนั้นแฝงไปด้วยความกังวลใจ

    "ได้ไหมครับ ได้โปรด ผมนอนพื้นก็ไม่ได้ ผมปวดหลัง ผมอยากนอนเตียงนุ่มๆ ได้ไหมครับดาริณ น้า"

    เดย์รีบเด้งลุกขึ้นมาคว้ามือของฉันไปกุมพร้อมทำตาออดอ้อน สายตาสอดประสานอย่างลึกซึ้ง แล้วโทนของสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยดั่งคนหมดอาลัยตายอยากในทันที ก่อนจะเขย่าแขนฉันราวกับเด็กน้อยงอแงจะเป็นจะตายเสียให้ได้หากไม่ได้นอนบนเตียงนุ่มๆผืนนี้

    "เฮ้อ! ก็ได้ค่ะ ยังไงก็ได้" ฉันรีบผละมือออกจากเขาเพราะชักจะกลัวใจตัวเองขึ้นมาทุกที

    เหม่อจ้องมองดวงตาเฉี่ยวคู่นี้ด้วยน้ำตาที่กำลังคลอเบ้าเพราะเป็นกังวลอย่างหนัก กลัวว่าฉันจะแพ้ทางตกหลุมรักเขาอย่างหัวปกหัวป กลัวใจตัวเองจะยอมให้เขาหลอกไปมากกว่านี้ ฉันรู้สึกกลัวไปหมด เราสองประสานสายตาเหม่อมองใบหน้าซึ่งกันและกันนิ่งงันจนทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างกาย เขาค่อยๆคว้าเอวฉันเข้ามาประชิดกับสันจมูกโด่งที่บัดนี้มุดไถอยู่ที่หน้าท้อง เสียงหายใจแผ่วผสมกับเสียงทุ้มต่ำของเขามันทำให้ฉันยิ่งโหยหาและอยากจะครอบครองเขาไว้เป็นของฉันเสียเอง แต่ความเป็นจริงตรงหน้านั้นทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจชอบกล เพราะเขาคือนักดนตรีชื่อดังที่ไม่แน่ว่าอาจมีแฟนเก็บอยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่พร่ำเพ้อแต่งเพลงให้ ส่วนฉันคนตัวเล็กจะไปมีสิทธิ์อะไรในตัวเขาได้  ทว่ายิ่งสัมผัสเนื้อหนังกับเป็นกำลังจุดไฟเพลิงให้ประทุ ฉันกลัวตัวเองจะหักห้ามใจเอาไว้ไม่ไหวเหลือเกิน

    "เดย์จะทำอะไรคะ"

    ฉันเอ่ยถามเสียงแผ่วพลางขยำไหล่กำยำ ก่อนจะใช้ความพยายามดันเขาออกไป

    "ดาริณไม่ได้ต้องการผมเหรอ"

    เสียงทุ้มต่ำของเขาเปล่งออกมาอย่างอ่อนแรงนัก แต่กระนั้นสันจมูกโด่งก็ยังคงถูไถมุดไปทั่วหน้าท้องของฉัน

    "อย่าทำแบบนี้ ฉันเป็นแค่แฟนคลับ ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้ ฉัน...."

    น้ำตาไม่รักดีพลันอาบแก้มอย่างช่วยไม่ได้ ทรมานเหลือเกิน ทรมานที่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ฉันกับเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป การที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อเพียงแค่ใช้ร่างกายของฉันเป็นที่ระบายความเจ็บปวดจากสาวคนนั้นหรือไม่ มิอาจรู้ได้

    "งั้นดาริณต้องการอะไรจากผม ทำไมถึงมาตามผมทุกที่ ทำไมต้องคอยเอาของขวัญมาให้ ทำไมต้องอยากมาดูแล ทำไมถึงมาใส่ใจกับคนอย่างผมขนาดนี้.... ทำไมกัน"

    เขาเริ่มบรรจงพรมจุมพิตอย่างนุ่มนวลไปทั่วส่วนเว้าโค้ง ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ใจฉันเต้นแรงราวกับกลองที่ตีสะบัดอย่างเร็วรัว เรียวนิ้วสอดขยำกลุ่มเส้นผมของเขาโดยไม่รู้ตัว แค่สัมผัสผิวกายเพียงเล็กน้อยกลับแปรเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงพิศวาสมหาศาล ทำให้ร่างกายของฉันร้อนรุ่มได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ.........

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×