คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3
ครั้งหนึ่งในห้วงแห่งความทรงจำ...
“คุณเดย์คะ”
ในขณะที่ผมและซงโฮเดินกลับมาจากซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อไปซื้อของว่างเล็กน้อยยามดึก ก่อนจะต้องกลับไปคิดเมโลดี้กันต่ออีกทั้งคืน อยู่ๆกลับมีเสียงเรียกปริศนาดังขึ้นจากมุมมืดข้างประตูรั้วของตึกค่ายเพลง
ทว่าเมื่อหันไปมองจึงพบสาวตาคมคนเดิมที่คอยเฝ้าติดตามผมมาตั้งแต่สมัยที่พวกเราเป็นวงใต้ดินเช่าห้องทำเพลงและเล่นดนตรีประจำที่บาร์ฝรั่ง
จนบัดนี้ได้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ฉุดพวกเราให้โผล่พ้นดินขึ้นมาเป็นที่รู้จักในหมู่กว้าง
เธอก็ยังไม่เคยย่อท้อที่จะนำของขวัญมาให้ จนในบางครา ด้วยความเบื่อหน่าย ผมแอบมีความรู้สึกอยากแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง
แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารสาวเจ้าที่ยืนรอคอยจะได้เจอผมมานานหลายชั่วโมงไม่ได้เช่นกัน
“เดย์ พี่ว่าแกเข้าตึกไปก่อนไป
เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง”
ซงโฮกระซิบกับผมพลางส่งสายตาขึงขังดุดันให้สาวคนนั้นเพื่อเป็นการตักเตือน
“พี่ แต่เธอก็น่าสงสารออกนะ
ยืนรอตั้งหลายชั่วโมงแล้วมั้งนั่น อีกอย่าง เธออยากเจอผมไม่ได้อยากเจอพี่สักหน่อย”
ผมฉีกยิ้มทะเล้นจนตาเฉี่ยวโค้งขึ้นอย่างยียวนกวนอารมณ์ พลันทำให้ผมได้รับสัมผัสมืออันหยาบกร้านที่ส่งแรงมายังหัวของผมจนเกือบหน้าหัน
“โอ๊ย เจ็บนะ!” ผมแสร้งทำเป็นไม่พอใจ
ก่อนจะเอามือลูบหัวตัวเองเพื่อบรรเทาอาการแสบคัน
“ขึ้นเสียงกับใครไอ้เดย์ เดี๋ยวจะโดนดี”
ซงโฮใช้นิ้วทั้งสี่ผลักหัวผม
“ไม่ได้ขึ้นเสียงกับพี่สักหน่อย ผมแค่อยากให้พี่เห็นใจเธอ
ก็เธอน่าสงสารนี่นา เธอแค่อยากส่งของให้ถึงมือผมเท่านั้นเอง
ครั้งก่อนที่พี่ลากลับบ้าน ผมแวะมาซ้อมดนตรีกับวง ผมก็เอาช็อคโกแลตเธอมากิน
ก็อร่อยดีนะ หมดเกลี้ยงเลย หรือบางวันตอนดึกๆก็มีชีสเบอร์เกอร์ให้กินด้วย ดีจะตาย
ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ผมพูดไปพลางคว้าหมากฝรั่งในถุงแก๊ปมาแกะเคี้ยว
ยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีขึงขังของซงโฮมากนัก
“ก็เพราะแบบนี้ไง เธอถึงได้ใจเอานั่นเอานี่ให้แกกินจนอ้วนน่ะ
หืม? ถึงจะเป็นวงร็อกก็ต้องรักษาภาพลักษณ์บ้างนะเว้ย!” ซงโฮใช้มือหยิกติ่งหูผมจนเจ็บไปหมด
“โอ๊ย! พอแล้ว บ่นอยู่ได้ กีดกันนักก็ไปคุยกันเองเลยพี่ แต่...ฝากเอาของกินมาให้ผมด้วยแล้วกันนะพี่”
ผมทิ้งท้ายและเดินผ่านหน้าเธอไปอย่างเมินเฉย
ส่วนหนึ่งผมก็แอบเห็นด้วยกับซงโฮที่ว่าผมไม่ควรให้ความสนิทสนมกับเธอมากจนเกินไป
เพราะผมเองก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเธอหวังดีประสงค์ร้ายหรือเปล่า
--------------------------------------------------------
แสงแดดอ่อนยามเช้าของโอซาก้าส่องกระทบใบหน้าจนผมรู้สึกอุ่นร้อนไปทั่ว ป่านนี้แล้วยังคงนอนตะแคงกอดหมอนฟังเพลงยุคเจ็ดศูนย์เหม่อมองตรงหน้านิ่งงัน
ไร้จุดหมาย ไร้ซึ่งความอ่อนเพลียใดๆแม้ผมจะเล่นโทรศัพท์มาทั้งคืน
หวนย้อนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ดาริณคอยติดตามผมด้วยความห่วงใยมาโดยตลอด
เธอมักจะส่งของขวัญมาให้ผมเสมอ บ้างมายืนคอยให้ของขวัญกับมือหน้าตึกค่ายเพลง
บ้างส่งมาทางไปรษณีย์ วันไหนที่ผมขึ้นเวทีแสดงดนตรีในผับแล้วเธอสัมผัสได้ว่าผมเสียงแหบไป
เธอจะรีบไปซื้อยาแล้วส่งผ่านมือทีมงานให้ผมทันที
หรือตอนที่ผมซ้อมดนตรีจนดึกดื่นก็มีเธอนี่แหละที่คอยซื้ออาหารมาให้ หรือในบางคราหากเธอได้มีโอกาสไปเที่ยวในสถานที่สวยๆ
เธอจะถ่ายรูปทำเป็นโปสการ์ดส่งมาให้ผมได้ชื่นชมผลงาน แม้ใครต่อใครจะขนานนามให้เธอเป็นซาแซงโรคจิต
(แฟนคลับโรคจิตในภาษาเกาหลี) ทว่าสำหรับผม ผมเปรียบเธอเป็นเสมือนดั่งเพื่อนคนหนึ่งที่เติบโตมาด้วยกัน
เพราะเรามีความความชอบและไลฟ์สไตล์ที่คล้ายกัน
ผมสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ภายใต้กรอบลายสกรีนรูปโลโก้ของวงคู่ใจใต้หมอน คว้ามันออกมาเพื่อตรวจดูการแจ้งเตือน
ซึ่งเป็นข้อความสถานะล่าสุดของดาริณผ่านสื่อโซเชียล
ได้เห็นแล้วก็ทำให้ไม่สามารถนอนอยู่เฉยได้อีกต่อไป จึงเด้งลุกออกจากเตียงอย่างกระตือรือร้น
รีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาวและกางเกงเอี๊ยมสีดำ
เสยผมตรงสลวยไพล่หลังก่อนสวมหมวกไบเล่ทับลงไป เมื่อเสร็จแล้วจึงรีบคว้าคีย์การ์ดที่ซงโฮให้ผมไว้เมื่อคืน
สอดส่องทั่วห้องเพื่อรีบปลุกใครสักคนที่พร้อมไป ‘ที่นั่น’ เป็นเพื่อนกัน
ทันทีที่ผมแตะคีย์การ์ดเข้าไปในห้องของซงโฮ
ผมได้เห็นสภาพแต่ละคนเมามายไม่ได้สติ เคนนอนกางแขนกางขากองอยู่บนพื้นโดยมีจีซุนกอดซบอยู่เคียงข้าง
มันช่างเป็นภาพที่อุจาดตาน่าชวนอ้วกยิ่งนัก
ส่วนโจนั่งพิงขอบเตียงเงยหน้าหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เนลสันก็นอนคว่ำขวางเตียงเสียเฉยๆ ซงโฮกอดโถส้วมหลับคาชักโครก
ผมละคันไม้คันมืออยากจะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกนัก
แต่สิ่งที่แล่นมาในหัวของผมเมื่อนึกถึงข้อความของดาริณจึงต้องอดใจเอาไว้
เพราะการไปเจอดาริณนั้นสำคัญเกินกว่าจะมาเล่นพิเรนทร์อะไรทั้งนั้น
"ตื่นเร็ว" ผมทั้งตบก้นทั้งผลักหัว แต่พวกเขาก็ไร้วี่แววที่จะตื่น
"งืม
อารายของแกวะไอ้เดย์ คนจะน๊อน" ดั่งสวรรค์ฟ้าทรงโปรด
เนลสันขยับปากด่าผมแล้ว เขานี่แหละจะต้องไปอาร์ตแกลเลอรีกับผม
เขาคือคนที่ถูกเลือก!
"ตื่นเร็วป๋า ไปอาร์ตแกลเลอรีเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ"
ผมดึงแขนแทบจะฉุดกระชาก
นาทีนี้ผมขอวิธีไหนก็ได้เพื่อทำให้เขาลุกออกจากเตียงขึ้นมาให้จงได้
"มาอาร์ตอะไรของแกแต่เช้าว๊า
คนจะนอน" เนลสันตอบผมเสียงเอื่อย
"นะพี่เนล พาผมไปอาร์ตแกลเลอรีหน่อย"
คนขี้เซากลับหันหน้าหนีฟุบแขนนอนต่อ
"ถ้าไม่ไป ผมจะแฉว่าป๋า...."
ได้ผล... ในที่สุดก็ยอมตื่นและเด้งตัวขึ้นมาล็อคคอผมไว้แน่น
"งั้นแกก็ตายก่อนจะไปอาร์ตแกลเลอรีบ้าบออะไรนั่น"
เนลสันกัดฟันกรอดที่ข้างหู
"จะ...ใจเย็นๆ
ป๋า ผมแค่อยากทำให้ป๋าตื่นเฉยๆหรอกน่า เร็วป๋า ลุกเถอะ ไปกับผมหน่อยนะ"
ในที่สุดจึงยอมปล่อยผมและลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
จากนั้นเราสองคนก็ออกจากโรงแรมเพื่อไปอาร์ตแกลเลอรีด้วยกันทันที
--------------------------------------------------------------------------
หลังจากที่ฉันเก็บข้าวของเสร็จ จึงรีบออกจากพื้นที่คอนเสิร์ตเพื่อหาห้องอาบน้ำ หวังที่จะได้ชำระร่างกายก่อนจะตะลุยเที่ยวต่อในวันนี้ เดินตระเวนหาจนทั่วก็เจอกับห้องอาบน้ำรวมที่ผู้หญิงทุกคนต้องแก้เสื้อผ้าเข้าไปแช่อ่างร่วมกันด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่า
ฉันเดินลงแช่ในอ่างอย่างทุลักทุเลพลางวางสายตาดูกระอักกระอ่วน
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วมาขนาดนี้เห็นทีคงต้องหลิ่วตาตาม เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินลากกระเป๋าไปตามทางฟุตบาทอย่างเอ้อระเหย
เกิดคำถามผุดขึ้นในหัวมากมายจนรู้สึกสับสนใจ จุดประสงค์ที่ฉันมาถึงที่โอซาก้านั้นคืออะไร
เพียงเพื่อที่จะได้ตามติดชีวิตร็อกเกอร์แค่นั้นเองเหรอ? ไร้ค่าสิ้นดี เป็นอย่างไรล่ะ?
ตอนนี้เขามีคนอื่นในใจ ฉันจะไปมีความสำคัญอะไรอีก?
'งั้นเราเลื่อนตั๋วกลับวันพรุ่งนี้ไปเลยดีไหม?'
ฉุกคิดขึ้นได้ดังนั้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายขวางใบเล็กสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาเพื่อจะโทรเลื่อนไฟลท์
แต่แล้วกลับมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาจาก ‘ซง’ แฟนคลับวงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์ คนเดิมที่สนทนากันค้างไว้จากเมื่อคืน
และบัดนี้เขาก็ได้ทิ้งข้อความให้ฉันมาตอบ......
‘@Darinee วงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์
ของพวกเราไม่มีการแสดงต่อแล้วนี่ คุณจะกลับรึยังครับ’
‘@Darinee ผมว่าผมจะอยู่ต่อล่ะ
สนใจมาเที่ยวด้วยกันไหม’
‘@Darinee ผมยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหนดี
ตอนแรกว่าจะไปเดินเล่นคนเดียวที่โดทงโบริ
แต่มันก็ไม่น่าจะต่างจากมยองดงบ้านเรามากนักหรอกเนอะ’
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ฉันติดตามวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกหน่วงและเหงาใจมากที่สุด
เห็นทีการมีเพื่อนนั่งคุยข้างกายบ้างคงทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
หรือฉันควรไปเที่ยวกับซงดีล่ะ?
‘@Darinee คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างไหมครับ’
‘@Songsaboutyou เอ่อ...ตอนนี้ฉันกำลังเที่ยวอยู่ค่ะ’
‘@Darinee อ๋อ
งั้นเดี๋ยวเรานัดกันอีกทีก็ได้ครับ’
‘@Songsaboutyou ยังไงก็
ทักมาแล้วกันนะคะคุณซง ตอนนี้ฉันขอเที่ยวอาร์ตแกลเลอรีก่อนนะคะ’
‘@Darinee อาร์ตแกลเลอรีที่ไหนเหรอดาริณ?’
‘@Songsaboutyou ชื่อว่า กาเซะน่ะ
ไปก่อนนะ’
แผนการมาโอซาก้าเพื่อคอยดูแลร็อกเกอร์ในดวงใจเป็นอันต้องพับเก็บ
เพราะฉันได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าฉันจะเลิกติดตามเดย์อย่างจริงจังเสียที จึงทำให้ต้องหาที่เที่ยวที่ไหนสักแห่งที่พอจะสามารถทำให้ฉันลืมภาพของเขาได้ นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ค้นหาอาร์ตแกลเลอรีที่น่าสนใจ
และในที่สุดฉันก็ไปสะดุดตากับอาร์ตแกลเลอรีนามว่า
"กาเซะ"
ซึ่งเปิดให้ชมในช่วงเวลานี้พอดิบพอดี ภาพถ่ายตัวอย่างที่แสดงบนโทรศัพท์มือถือนั้นชวนน่าหลงใหล
ว่าแล้วจึงพับเก็บตารางแผนการเดินทางติดตามวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์
โดยไม่กลับไปสนใจมันอีกเลย
ฉันมุ่งหน้าไปยังกาเซะ อาร์ตแกลเลอรีเพื่อชมงานศิลปะและภาพถ่ายเพียงลำพัง อย่างน้อยการได้มาเยือนที่นี่มันก็ทำให้จิตใจของฉันไร้ความกังวล
รู้สึกสงบลงมาบ้าง ฉันถ่ายรูปสถานที่พร้อมลงรูปไว้ในสื่อโซเชียลอย่างเพลิดเพลิน
ผ่านมาได้ชั่วโมงเศษจึงรู้สึกอิ่มเอิบกับสถานที่แห่งนี้และกำลังตัดสินใจที่จะกลับ
ทว่าสายตาอันไม่รักดีดันแอบเห็นชายสองคนที่แต่งตัวกันมาคนละสไตล์ราวกับไม่ได้นัดกันมา
คนหนึ่งใส่เอี๊ยมสีดำกับเสื้อยืดสีขาวพร้อมสวมหมวกไบเล่
ส่วนชายอีกคนมาในสไตล์ร็อกเกอร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ด้วยเสื้อสีดำลายโลโก้แลบลิ้นของวงร็อคชื่อดังสมัยยุคเจ็ดศูนย์และกางเกงยีนส์ขาดๆ
เพียงแวบเดียวเท่านั้นก็ทำให้ฉันระลึกชาติขึ้นมาได้ในทันที
'นั่นมัน เดย์กับเนลนี่!'
ฉันยืนตะลึงงันกับภาพที่เห็นตรงหน้าในระยะไกล เหม่อมองพวกเขาเนิ่นนานจนทั้งสองหนุ่มรู้สึกได้ว่ากำลังมีคนจ้องมองพวกเขาอยู่
และหนึ่งในนั้นหันกลับมาจ้องมองฉันเช่นกัน....
'เดย์มองฉันเหรอ?'
ตึกตัก! ตึกตัก!
เดย์หนุ่มร่างสูงกำยำเลิกดวงตาเฉี่ยวและคิ้วหนาขึ้นราวกับจะหาเรื่อง
"เจอคุณอีกแล้วนะ
จะมาตามติดชีวิตผมไปถึงไหนครับ" ฉันหลบใบหน้าของเขาเพราะตอนนี้ใจฉันเต้นแรงจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
"คุณ...."
"เฮ้ย! ไอ้เดย์
แกยืนคุยกับสาวแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นข่าวหรอก"
เนลสันรีบเดินตามมาประชิดตัวของดันแคน
ก่อนจะมองฉันด้วยสีหน้าราวกับฉันเป็นตัวประหลาด
"ใครวะ คุ้นๆ"
"แฟนคลับเราไงพี่"
ดันแคนพยายามจ้องมองฉันในขณะที่ฉัน
เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสู้ดวงตาเฉี่ยวคู่นั้น
เขาคงรู้สึกโกรธและรังเกียจฉันมากใช่หรือเปล่า?
ฉันจะไม่ตามแล้วนี่ไง พอใจหรือยัง?
"ทำไมฉันไม่เห็นมีแฟนคลับหน้าตาดีมาตามเหมือนแกเลยวะ"
"พี่ไปก่อนได้ไหม
ขอฉันคุยกับเธอก่อน ที่นี่ไม่น่าจะมีใครรู้จักเราขนาดนั้นหรอก"
"เป็นข่าวขึ้นมา ฉันนี่ล่ะจะโดนพี่จิมมี่ฆ่าเอาเพราะพาแกมาเนี่ย"
จิมมี่ หรือ วอลเธอร์ เจมส์ ลูกครึ่งอังกฤษ-เกาหลี
ประธานบริษัทค่ายเพลงที่เป็นต้นสังกัดของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์
ค่ายเพลงอินดี้สาขาย่อยที่มาลงทุนในประเทศเกาหลีใต้
ส่งตรงประธานบริษัทฯจากสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ขึ้นชื่อในเรื่องการคอยดันศิลปินและนักดนตรีเกาหลีที่มีฝีมือให้ได้ขึ้นเล่นดนตรีบนเวทีดังระดับโลก
และแน่นอนว่าการที่ศิลปินในสังกัดของเขามีข่าวฉาว เขาคงไม่อภิรมย์นัก
"คุณจะไปไหน"
เสียงห้าวทุ้มต่ำดังขึ้นทำให้ฉันหยุดชะงักครู่หนึ่ง
แต่ในเมื่อพวกเขายังซุบซิบคุยกัน ฉันจึงใช้จังหวะนี้หันหลังกลับเดินหนีทันที
"ฉันขอโทษสำหรับที่ผ่านมา
ฉันขอโทษที่ตามคุณไปทุกที่ แต่ต่อจากนี้ฉันคงจะไม่มารบกวนคุณอีกแล้ว คุณสบายใจได้เลย
ขอให้คุณมีชีวิตที่ดีกับความสำเร็จของคุณนะคะ"
ฉันโค้งตัวก่อนจะเดินก้มหน้าจากไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า
"นี่คุณ เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ
กลับมาก่อนสิ ..."
ฉันไม่ฟัง กึ่งวิ่งกึ่งเดินหนีให้เร็วที่สุด
"ดาริณ...จะไปไหน?
กลับมาก่อน"
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวกลับได้รับสัมผัสไออุ่นจากอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง
ที่ตอนนี้กำลังเอาหน้ามุดไถและฝังจุมพิตลงไปที่ไหล่ของฉันจนร่างกายหยุดยืนตัวแข็งทื่อ
กลิ่นครีมโกนหนวดอ่อนๆของเดย์มันทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนอ่อนล้า
เขาจำชื่อของฉันได้ด้วยเหรอ?
เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหู โสตประสาทการรับรู้ของฉันมันได้สูญเสียไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ฉันสับสนไปหมดแล้ว…..
____________________________
'ฉันขอรักเธอแบบนี้ต่อไปได้ไหม
แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม'
ผู้ชมต่างพากันปรบมือพร้อมตะโกนโห่ร้องชื่นชมในฝีมือการแสดงสดของพวกเรา
เมื่อสิ้นเสียงคอร์ดสุดท้ายจากกีตาร์ของจีซุน ผมจึงลืมตาขึ้นและพยายามกวาดสายตามองให้ทั่วบริเวณหน้าเวที
ทว่ากลับไร้ซึ่งเงาของสาวตาคมคนคุ้นเคย
การหายตัวไปของเธอทำให้ผมรู้สึกอ่อนแรงขึ้นมา ราวกับมีใครสักคนได้มากดสวิทซ์ปิดพลังงานในร่างกายของผมที่ตอนนี้มันเหลือน้อยเต็มที
'ดาริณคงไม่จำเป็นต้องมีเราไว้เป็นที่พึ่งทางใจอีกแล้วใช่ไหม?'
นั่นสิ
เธอไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรกับบทเพลงนี้เลยด้วยซ้ำ
วงของผมมันก็เป็นแค่แนวเพลงหนึ่งที่เธอชอบเท่านั้น และการที่เธอซื้อของขวัญหรือคอยมาตามดูแลก็เพราะเธอชอบผลงาน...เธอไม่ได้ชอบผม
ผมเหม่อลอยโอบกอดดาริณจากด้านหลัง
รู้สึกวูบวาบจนต้องฝังหน้าลงบนไหล่เล็กของเธอเพื่อระบายความรู้สึกทั้งหมดที่มี
ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสของมือใหญ่ที่กระทบกับบ่าของผมเบาๆ จากเนลสัน ผมจึงหันไปพยักหน้ากับเขาเพื่อบอกเป็นนัยว่าขอบคุณ
ก่อนที่ผมจะหันกลับมาหอมไหล่ดาริณและโอบกอดเนิ่นนาน
"ปล่อยฉันก่อนได้ไหมคะ"
ฉันชำเลืองมองแขนกำยำที่ประสานกอดบนหน้าท้อง
วางสายตาวอกแวกอย่างรู้สึกสับสน คำถามร้อยแปดพันเก้าวิ่งวนชนกันมั่วในหัวสมอง ตอนนี้ได้สร้างความรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าจนเริ่มเกิดอาการปวดหัวตุบๆ
เรากับเขามาถึงขั้นนี้อย่างไรกัน?
หรือนี่เป็นเรื่องปกติที่ศิลปินจะทำกับแฟนคลับของเขาเพื่อขอ.....
เขาเป็นคนแบบนี้เองหรือ?
“ไม่ปล่อยได้ไหมดาริณ” เขาประทับจูบลงบนไหล่ของฉันอีกครั้ง
"ก่อนอื่น
ฉันขออธิบายก่อนว่ารอบนี้ฉันไม่ได้ตามคุณแล้วนะคะ
และฉันก็คิดว่าฉันคงจะไม่ตามคุณอีกแล้ว ฉันต้องขอโทษที่กวนใจคุณตลอดเวลาที่ผ่านมา....แต่"
ฉันวางสายตาวอกแวก
ยืนก้มหน้าพยายามควบคุมน้ำเสียงสั่นคลอนให้เป็นปกติ
"แต่อะไรเหรอครับ"
ช่างเถอะ! หากเขาจะมองฉันมีค่าเพียงแค่นี้....ก็คงไม่เป็นไร
“ไม่มีอะไรค่ะ ....สรุปว่าฉันไม่ได้ตามคุณ
เราเจอกันโดยบังเอิญค่ะ”
"ช่างเถอะดาริณ....ตอนนี้ผมอยากคุยกับคุณ เราคุยกันหน่อยได้ไหม"
เขาจัดการผละกอดแล้วจึงหมุนตัวฉันให้ประจันหน้ากับเขา
"ทำไมถึงจะเลิกตามผมแล้วล่ะ"
เขาเลิกคิ้วถามฉัน
ทว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำอันทรงเสน่ห์ของเขาที่เปล่งออกมากลับแฝงไปด้วยความอ่อนแรง
"เอ่อ...คือ”
“หืม?”
“ฉันก็แค่คิดว่า
คุณควรได้รับในสิ่งที่คุณควรได้รับมาตั้งนานแล้ว นั่นก็คือความส่วนตัว"
ฉันตอบอย่างกระอักกระอ่วน รู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลแท้จริงที่ฉันต้องการเลิกติดตามเขา
เพราะฉันตระหนักได้แล้วว่าความรักที่มีให้บัดนี้มันได้ถลำลึกจนข้ามเส้นคู่ขนานที่ฉันขีดไว้ไปแล้ว
ฉันทนเห็นใบหน้าอันแสนเจ็บปวดของเขาตอนที่ร้องเพลงถึงผู้หญิงคนอื่นบนเวทีไม่ได้จริงๆ
"ผมไม่เคยพูดนะครับว่าผมต้องการความส่วนตัว"
เดย์หลบตาลงพลางหันมองไปทางอื่น
"อะไรนะคะ?"
"คือ.....ผมหมายถึง
คุณเป็นแฟนคลับของผมมานาน อยู่ๆจะหายไปดื้อๆแบบนี้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่"
คำตอบของเขาพลันทำให้ฉันรู้สึกหน่วงพิกล เพราะการที่คิดได้ว่าเขาพรวดเข้ามากอดฉันแบบนี้อาจมีความต้องการอะไรบางอย่างแอบแฝงดั่งที่ผู้ชายเห็นแก่ตัวหลายคนมี
มันจึงก่อเกิดเป็นความรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย อย่างไรเสียการที่เขาตัดสินใจเข้าหาฉันด้วยวิธีนี้
อาจเป็นเพราะเขาคงมองเห็นในสิ่งที่ฉันทำเพื่อเขามาตลอดอยู่บ้าง ฉันควรดีใจไม่ใช่เหรอ
เราไม่ควรหวังอะไรไปมากกว่านี้....ไม่ควรเลย
"..........."
“คุณอยู่เที่ยวที่นี่กับผมสักหนึ่งอาทิตย์ได้ไหมครับ
เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณคอยดูแลผมมาตลอด" เขาถามฉันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ดวงตาเฉี่ยวเบิกกว้างราวกับตื่นเต้น
"แต่...ฉันต้องทำงาน
แล้วคุณเองก็ต้องกลับเกาหลีเพราะวงคุณมีถ่ายรายการโปรโมทซิงเกิ้ลใหม่ไม่ใช่เหรอคะ"
ฉันหันมองไปทางอื่น
ในใจกลับรู้สึกลังเลที่จะตอบรับ
ฉันรู้สึกผิดหวัง เนื่องจากความเป็นจริงมันไม่เหมือนดั่งที่ฉันเคยวาดฝันเอาไว้
ฉันคิดมาโดยตลอดว่าเขาจะต่างไปจากชายอื่น....แต่ไม่เลย
"สมแล้วที่เป็นแฟนคลับของผม
รู้ทุกเรื่องเลยนะครับเนี่ย"
เดย์อมยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะนำมือทั้งสองของเขามาพยุงใบหน้าแล้วมองลึกเข้าไปนัยน์ตาฉัน
อยู่ด้วยกันหนึ่งอาทิตย์
ตัวเราจะยิ่งถลำลึกเข้าไปอีกขั้น แล้วเราจะทนความเจ็บปวดใจได้เหรอดาริณ มองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหวานของเขาแล้วจึงถอนหายใจฝืนยิ้มให้
______________________________________________
"พี่ซงโฮ... ได้ยินผมไหม....
คือผมว่าจะอยู่โอซาก้าต่ออีกสักพัก"
ได้ยินเสียงปลายสายดังนั้นซงโฮถึงกับน้ำพุ่งใส่หน้าเคนในชุดเสื้อกล้ามสีเทาและกางเกงขาสั้นผ้ามันสีดำ
ซึ่งบัดนี้กำลังซดน้ำซุปเต้าหู้อย่างเอร็ดอร่อยเพื่อบรรเทาอาการเมามายของพิษสุรามาทั้งคืน จนกระทั่งได้รับหยดน้ำสาดกระเซ็นจากปากของซงโฮทั่วใบหน้าขาวเนียนของเขา
ทำให้เขาถึงกับต้องหยุดชะงัก
"ไอ้เดย์ แกจะบ้าเหรอ? สักพักของแกนี่มันกี่วันกี่เดือนห้ะ?!"
ซงโฮวางแก้วลงบนโต๊ะดังปลัก!
"ก็แค่หนึ่งอาทิตย์เองพี่ ได้ไหมพี่
ได้โปรด"
"ไม่ได้! แกมีถ่ายรายการเข้าใจไหม
แล้วอยู่ตั้งอาทิตย์หนึ่งเนี่ย จะถ่ายกันได้ยังไง เราเป็นวงดนตรี พวกแกมีกันห้าคนนะ
ขาดไปคนหนึ่งได้ที่ไหนเล่า!"
ซงโฮเอ่ยเสียงดังลั่นก่อนจะผลักโต๊ะกินข้าวอย่างหัวเสีย
ส่วนเคนก็พยายามประคองถ้วยซุปเต้าหู้ของตัวเองอย่างหวงแหนพลางชำเลืองมองหน้าเขาตาปริบๆ
แล้วจึงค่อยๆโอบถ้วยซุปเดินออกไปจากบริเวณอย่างเงียบเชียบ ตรงไปหาโจซึ่งบัดนี้กำลังนอนฟังเพลงสบายใจเฉิบ
"ฮัลโหล? พี่ ไม่ได้ยินเลย
สัญญาณมันไม่ค่อยดี ... ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด"
"งานเข้าแล้วไง โธ่เว้ย!"
สิ้นเสียงสัญญาณโทรศัพท์ซงโฮถึงกับหน้าแดงไปด้วยความหงุดหงิด
ก่อนจะนำมือขยำหัวตัวเองอย่างรุนแรง
"มีใครในนี้รู้ไหมว่าไอ้เดย์มันอยู่ที่ไหน"
ทุกคนในวงได้แต่มองซงโฮตาปริบๆ ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกัน
ตี๊ด!
ทุกคนพลันหันไปตามต้นเสียงพร้อมกันที่หน้าประตู
บัดนี้มันได้ถูกเปิดออก เผยให้เห็นชายไว้ผมรองทรงต่ำสีดำสนิทกระเซอะกระเซิงตามสไตล์ร็อกเกอร์
รูปร่างสันทัดรับกับเสื้อยืดลายโลโก้แลบลิ้นสีแดงของวงร็อคชื่อดังในอดีต
ยืนกังขาส่งสายตาประสานกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่เขาในตอนนี้อย่างสับสน
"พี่ไปไหนมา" ซงโฮยิงคำถามคาใจขึ้นในทันที
"ก็ไปซื้อบุหรี่...นี่ไง" เนลสันยื่นถุงพลาสติกสีขาวให้ซงโฮได้มองเห็นอย่างชัดๆ
"เดย์ไปไหน พี่รู้ไหม"
"ไม่รู้ พวกเราก็เมากันหมด
มันหายออกไปจากห้องมันตั้งแต่ตอนไหนแล้วใครจะไปรู้วะ"
“ถ้าอย่างนั้นพี่เอาคีย์การ์ดห้องผมมาจากไหน
ผมให้คีย์การ์ดห้องผมกับมันแค่คนเดียวเองนะ"
"ก็..... ขอมาจากฟรอนท์สิ
ใจเย็นๆก่อนนะซงโฮ กินข้าวกินปลา ค่อยๆคิดแล้วกัน เอ้า! เอาบุหรี่ไปสูบให้ใจเย็นก่อน"
เนลสันใจสู้ยื่นบุหรี่ในถุงพลาสติกสีขาวที่บัดนี้โดนขยำจนเปียกชื้น ซงโฮทำหน้ามุ่ยมองหน้าเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเดินไปคว้าถุงซองบุหรี่มาจุดสูบ
ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากันในความเงียบ
'ไอ้เดย์ ฉันช่วยแกได้แค่นี้จริงๆ
แกตายแน่แล้วงานนี้ ทั้งฉันและแก ตายกันหมดแน่’
----------------------------------------------
"เราไปไหนกันดีครับ"
ฉันสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้รับสัมผัสอ้อมกอดอันอบอุ่น
พลางได้กลิ่นครีมโกนหนวดอ่อนๆจากคนข้างหลัง
มันได้ทำให้ฉันใจเต้นแรงอีกครั้งอย่างไม่คุ้นชินนัก
"ละแล้วแต่เลยค่ะ"
"แล้วแต่ผมเหรอ
ถ้าอย่างนั้นไปห้องคุณกันก่อนดีไหมครับ" ฉันเบิกตากว้างรู้สึกตกใจกับคำพูดของเขา
ว่าแล้วเชียว....
"ไปทำไมเหรอคะ ไปเที่ยวดีกว่าไหมคะ"
ฉันรีบผละกอดหันหน้ากลับมามองเขาอย่างเลิ่กลั่ก
"คุณ...ไม่เอากระเป๋าเดินทางไปเก็บก่อนเหรอครับ"
เขาพูดพลางเบิกตากว้างอย่างไร้เดียงสา
“ก็ได้ค่ะ"
"เอ่อ ....ดาริณครับ.....
จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะนอนห้องเดียวกับคุณไปตลอดทั้งอาทิตย์นี้ คือ......
ผม..... เพื่อนทิ้งหมดแล้ว โรงแรมก็ไม่มี
จะกลับก็ไม่ได้ อีกอย่างคือผมไม่มีเสื้อผ้าอื่นนอกจากชุดนี้แล้ว คือ... ผมขอโทษ ผมไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ผม..."
จากประสบการณ์ความรักที่ผ่านมา มีไม่กี่เรื่องในชีวิตหรอกที่ผู้ชายจะยอมลงทุนเสี่ยงหน้าที่การงานขนาดนี้...เห็นทีจะไม่พ้นเรื่องอย่างว่า เขาช้อนตามองหน้าฉันอย่างออดอ้อน
สีหน้านั้นเศร้าสร้อยคล้ายลูกสุนัขหลงทางที่มาอ้อนเพื่อขอที่อยู่และเจ้านายคนใหม่
เอาเถอะ...ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว
เขาเลือกฉันแล้ว กลับเกาหลีใต้เราคงไม่ได้เจอกันอีก
เราควรเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆแบบนี้เอาไว้ไม่ใช่หรือ....สั่งลาอย่างไรล่ะ
"ฉัน...เอ่อคือ
... "
"กังวลเรื่องเงินเหรอครับ
ผมยังมีเงินติดตัวอยู่นะ เยอะมากด้วยไม่ต้องห่วงเลย"
เดย์ควักกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาโชว์ให้ฉันดู
พร้อมยิ้มยิงฟันจนปากของเขาโค้งได้รูปสี่เหลี่ยม
"ที่ไม่อยากเปิดห้องเพิ่มเพราะกลัวคนจะเห็น
และกลัวจะมีหลักฐานว่าผมมาเปิดห้องเพิ่มที่นี่
ผมแค่ไม่อยากเป็นข่าวโดยที่มีหลักฐานชัดเจนแบบนั้นแค่นั้นเอง นะครับ ให้ผมนอนด้วยได้ไหม"
ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว….
ฉันก้มหน้าครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้ามองตาเฉี่ยวและพยักหน้าให้
"ป่ะ! งั้นเราไปกันเถอะ
โรงแรมดาริณอยู่ไหนกันน้า"
ไม่รอช้า เขาคว้ากระเป๋าเดินทางของฉันไปลากต่อ
คว้ามือมาจับไว้แน่นก่อนจะเดินนำทางฉันทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน
"เดย์คะ ทางนี้ค่ะ"
และแล้วเราก็มาถึงห้องพักของฉัน เขาวางกระเป๋าเดินทางลงใกล้ตู้เสื้อผ้า ทิ้งตัวล้มลงนอนหงายที่เตียงคิงไซส์ผืนกว้าง
พลันนึกขึ้นได้ว่าห้องนี้เป็นแบบซิงเกิ้ลซึ่งมีเพียงเตียงแค่ผืนเดียว
คงไม่รอดเงื้อมมือเสือแล้วล่ะงานนี้....
"เตียงคุณนุ่มจังเลย ผมนอนด้วยคนได้ไหม"
".........."
ฉันหลบสายตามองไปทางอื่น
สีหน้าบึ้งตึงนั้นแฝงไปด้วยความกังวลใจ
"ได้ไหมครับ ได้โปรด
ผมนอนพื้นก็ไม่ได้ ผมปวดหลัง ผมอยากนอนเตียงนุ่มๆ ได้ไหมครับดาริณ น้า"
เดย์รีบเด้งลุกขึ้นมาคว้ามือของฉันไปกุมพร้อมทำตาออดอ้อน
สายตาสอดประสานอย่างลึกซึ้ง แล้วโทนของสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยดั่งคนหมดอาลัยตายอยากในทันที
ก่อนจะเขย่าแขนฉันราวกับเด็กน้อยงอแงจะเป็นจะตายเสียให้ได้หากไม่ได้นอนบนเตียงนุ่มๆผืนนี้
"เฮ้อ! ก็ได้ค่ะ ยังไงก็ได้" ฉันรีบผละมือออกจากเขาเพราะชักจะกลัวใจตัวเองขึ้นมาทุกที
เหม่อจ้องมองดวงตาเฉี่ยวคู่นี้ด้วยน้ำตาที่กำลังคลอเบ้าเพราะเป็นกังวลอย่างหนัก
กลัวว่าฉันจะแพ้ทางตกหลุมรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ กลัวใจตัวเองจะยอมให้เขาหลอกไปมากกว่านี้
ฉันรู้สึกกลัวไปหมด
เราสองประสานสายตาเหม่อมองใบหน้าซึ่งกันและกันนิ่งงันจนทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างกาย
เขาค่อยๆคว้าเอวฉันเข้ามาประชิดกับสันจมูกโด่งที่บัดนี้มุดไถอยู่ที่หน้าท้อง
เสียงหายใจแผ่วผสมกับเสียงทุ้มต่ำของเขามันทำให้ฉันยิ่งโหยหาและอยากจะครอบครองเขาไว้เป็นของฉันเสียเอง
แต่ความเป็นจริงตรงหน้านั้นทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจชอบกล เพราะเขาคือนักดนตรีชื่อดังที่ไม่แน่ว่าอาจมีแฟนเก็บอยู่แล้ว
มิเช่นนั้นคงไม่พร่ำเพ้อแต่งเพลงให้ ส่วนฉันคนตัวเล็กจะไปมีสิทธิ์อะไรในตัวเขาได้ ทว่ายิ่งสัมผัสเนื้อหนังกับเป็นกำลังจุดไฟเพลิงให้ประทุ
ฉันกลัวตัวเองจะหักห้ามใจเอาไว้ไม่ไหวเหลือเกิน
"เดย์จะทำอะไรคะ"
ฉันเอ่ยถามเสียงแผ่วพลางขยำไหล่กำยำ
ก่อนจะใช้ความพยายามดันเขาออกไป
"ดาริณไม่ได้ต้องการผมเหรอ"
เสียงทุ้มต่ำของเขาเปล่งออกมาอย่างอ่อนแรงนัก แต่กระนั้นสันจมูกโด่งก็ยังคงถูไถมุดไปทั่วหน้าท้องของฉัน
"อย่าทำแบบนี้ ฉันเป็นแค่แฟนคลับ
ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้ ฉัน...."
น้ำตาไม่รักดีพลันอาบแก้มอย่างช่วยไม่ได้
ทรมานเหลือเกิน ทรมานที่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ฉันกับเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป
การที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อเพียงแค่ใช้ร่างกายของฉันเป็นที่ระบายความเจ็บปวดจากสาวคนนั้นหรือไม่
มิอาจรู้ได้
"งั้นดาริณต้องการอะไรจากผม
ทำไมถึงมาตามผมทุกที่ ทำไมต้องคอยเอาของขวัญมาให้ ทำไมต้องอยากมาดูแล
ทำไมถึงมาใส่ใจกับคนอย่างผมขนาดนี้.... ทำไมกัน"
เขาเริ่มบรรจงพรมจุมพิตอย่างนุ่มนวลไปทั่วส่วนเว้าโค้ง
ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ใจฉันเต้นแรงราวกับกลองที่ตีสะบัดอย่างเร็วรัว
เรียวนิ้วสอดขยำกลุ่มเส้นผมของเขาโดยไม่รู้ตัว
แค่สัมผัสผิวกายเพียงเล็กน้อยกลับแปรเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงพิศวาสมหาศาล
ทำให้ร่างกายของฉันร้อนรุ่มได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ.........
ความคิดเห็น