ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าลืมรัก

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 63


    CHAPTER 2

     

     

     

    ฉันชื่อ ดาริณ ณติวากุล มีชื่อเล่นแบบไทยๆว่า ดาว ปัจจุบันทำอาชีพเป็นพนักงานออฟฟิศในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้  อดีตนักศึกษาชาวไทยที่ได้รับทุนเรียนต่อปริญญาโท  ทำให้ชีวิตของฉันต้องห่างจากครอบครัวอันแสนอบอุ่น ระหกระเหินเดินทางมาใช้ชีวิต ณ แดนโสมเพียงลำพัง  ฉันเป็นบุตรสาวคนสุดท้องแห่งตระกูลณติวากุล เจ้าของกิจการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังปลากระเบนแสนใหญ่โต  ทว่าฉันไม่เคยสนใจที่จะกลับไปสานต่อธุรกิจครอบครัวสักเท่าไหร่  ชีวิตนี้คงไม่ต้องการร่ำรวยเงินทองมากมายขนาดนั้น  ฉันจึงปล่อยให้พี่ชายรคิณ”  เป็นผู้สานต่อความฝันของครอบครัวแทน  ตอนนี้อายุอานามของฉันก็ปาเข้าไปเกือบสามสิบแล้ว   ฉันคงใช้ชีวิตอยู่และยังไม่มีแผนที่จะกลับไทยเพราะคงต้องทำงานที่นี่ไปอีกนาน 

     

    ฉันเชื่อเสมอว่า หากเราต้องการอะไรสักอย่างในชีวิต เราต้องมีความมุ่งมั่นและพยายามเหวี่ยงชีวิตตัวเองเข้าไปในโลกของสิ่งที่เรารัก  แล้วความต้องการของฉันคืออะไรน่ะเหรอ  มันช่างเป็นสิ่งที่ยากเกินอธิบาย  หากจะเล่าความฝันของฉันให้ทุกคนฟัง  มันคงฟังดูไร้สาระชอบกล  เพราะสิ่งที่ฉันฝันในตอนนี้มีเพียงแค่อย่างเดียว  คือการได้อยู่ใกล้ชิดและชื่นชมเดย์ นักร้องนำวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ ร็อกเกอร์ตาเฉี่ยวรูปหล่อของฉันเพียงเท่านั้นเอง

     

    ในที่สุดการติดตามศิลปินอันเป็นที่รัก ก็ได้เหวี่ยงให้ฉันได้ขึ้นมานั่งอยู่บนเครื่องบินลำเดียวกับเขา ซึ่งมันเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยแต่มันก็ได้เป็นไปแล้ว  ระหว่างรอเวลาลงจอด ฉันก็นั่งจ้องตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดในมือไปพลาง  พลิกมันไปมาอย่างเหม่อลอยตรงที่นั่งริมหน้าต่าง  คิดไปต่างๆนาๆจนสรุปได้ว่า ตอนนี้ฉันรู้สึกขึ้นมาแล้วจริงๆว่านี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี  ทั้งสิ้นเปลืองเงินทองและเวลา แต่ตัวฉันอีกคนยังคงคอยส่งเสียงเชียร์อยู่ในใจว่าการติดตามศิลปินมันเป็นสิ่งที่ฉันรักแสนรัก แล้วฉันจะยังต้องแคร์อะไร? สู้มีความสุขกับสิ่งที่ทำไปไม่ดีกว่าหรือ? เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันเลือกและตั้งใจไว้แล้วนี่นา

    "อะแฮ่ม! ขอโทษนะครับ คนเกาหลีใช่ไหมครับ"

    เสียงคุ้นหูจากชายคนหนึ่งดังก้องขึ้นในห้วงภวังค์จนทำให้ฉันสะดุ้ง  สายตาชำเลืองมองชายที่ปกปิดใบหน้าของเขาด้วยหน้ากากสีดำภายใต้หมวกแก๊ปเจาะห่วง เขาเป็นใคร และมานั่งข้างฉันตั้งแต่เมื่อไหร่?

    "คะ?"

    "มาคนเดียวเหรอครับ" เขายังคงยิงคำถามต่อจนฉันเริ่มรู้สึกกลัวกับความสอดรู้สอดเห็นของเขาขึ้นมา

    "ค่ะ

    ฉันจึงทำเมินเฉยเพื่อส่งสัญญาณให้เขารู้ตัวว่าไม่ได้มีอารมณ์จะเสวนากับคนแปลกหน้ามากเท่าไหร่นัก

    "จะไปเทศกาลดนตรีที่โอซาก้าเหรอครับ" เขายังคงชวนคุยต่อแบบไม่ได้ใส่ใจในอากัปกริยาของฉันเลยแม้แต่น้อย

    "เปล่า" ปากพึมพำพร้อมถอนหายใจอย่างรู้สึกรำคาญ

    "สงสัยไม่เข้าใจภาษาเกาหลีมั้ง"

    "ขอโทษนะคะ"

    ฉันหันไปมองเขา ตั้งใจจะให้เขาได้เห็นสีหน้าที่ดูเหมือนหงุดหงิดของฉัน ทว่า..เมื่อเพ่งมองใบหน้าของเขาภายใต้หน้ากากสีดำดูอีกทีแล้ว กลับทำให้ฉันต้องนั่งครุ่นคิดอีกครั้ง หูใบใหญ่ที่ได้รับการเจาะรูใส่ห่วงที่ติ่งหู  ผิวสีน้ำผึ้งเนียนผ่องที่รับกับสันจมูกโด่งและตาเฉี่ยวคู่นี้ดูคุ้นตาจัง

    'เดย์... นี่เดย์ไม่ใช่เหรอ'

    เมื่อนึกขึ้นได้ดังนั้นจึงรีบหันกลับมาขึงตาโตจ้องตั๋วเครื่องบิน ราวกับเป็นคนเมาที่เจอผีจนเกิดอาการตกใจแล้วสร่างเมาไปในที่สุด

    'เดย์มานั่งข้างเราได้ยังไง เขาต้องนั่งเฟิร์สคลาสกับเพื่อนๆไม่ใช่เหรอ?'

    ใจของฉันเต้นแรงจนจะหลุดออกมานอกอก เหงื่อเริ่มซึมออกมาที่จอนผมจนเขาสังเกตได้

    "ร้อนเหรอครับคุณ

    "คุณจองที่นั่งตรงนี้แต่แรกแล้วเหรอคะ"

    ก็... ไม่รู้จะต้องถามอะไรแล้วนี่นา

    "เปล่าหรอกครับ ผมมาตามหาคุณเพราะผมรู้สึกผิดที่ทำเสื้อยืดของคุณเลอะ คือ.... ผมคิดแล้วว่าเสื้อยืดโลโก้ของแท้ที่คุณใส่อยู่มันคงมีราคาแพงพอสมควร และมันก็คงมีคุณค่าต่อจิตใจสำหรับชาวร็อกมาก และผมเข้าใจ ผมมาคิดๆดูแล้วเงินที่ผมควักให้ก่อนขึ้นเครื่องตอนทำน้ำหกใส่คุณมันไม่น่าจะพอ คุณคงต้องโกรธมากแน่ๆ ผมไม่อยากมีเรื่องเพราะความซุ่มซ่าม คือผมต้องทำยังไงให้คุณไม่เอาเรื่องผม คือ....." 

    ฉันพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะที่ไม่ค่อยจะมีในตอนนี้  นั่งฟังเขาพร่ำไม่หยุดก่อนจะรวบรวมความกล้าที่มีตอบเขาไปในที่สุด

    "ไม่เป็นไรหรอกนะคะ" แยกเขี้ยวยิ้มอย่างเกร็งๆ

    "ไม่ได้สิครับ เสื้อมันแพงมากนะ และแบบนี้ผมก็มีตัวหนึ่ง ยังไม่ค่อยกล้าใส่เลย"

    "มะ...ไม่เป็นไรหรอกนะคะ มันซักได้"

    "ไม่เป็นไรจริงๆเหรอครับ แล้วนี่จะไปเทศกาลดนตรีใช่ไหม งั้นผมให้บัตรดูคอนเสิร์ตแบบฟรีๆเลย ตกลงไหมครับ"

    "คุณรู้ได้ยังไงคะ"

    "ก็ ... ก็...คือ..... นี่ไง คุณใส่เสื้อยืดตัวนี้ไงครับ ไปดูดนตรีร็อกก็ต้องใส่เสื้อวงร็อกถูกไหมล่ะครับ" เขาเอามือถูคอตัวเองอย่างเก้อเขิน  พลันทำให้ฉันขมวดคิ้วอย่างสงสัยในการกระทำแปลกๆของเขา

    "เอาเป็นว่าไม่เป็นไรหรอกนะคะ" ฉันพยายามควบคุมโทนเสียงให้เป็นปกติเพื่อแสร้งว่าไม่ได้รู้จักเขาดีเท่าไหร่นัก ทั้งที่ภายในใจนั้นแทบอยากจะตะโกนโห่ร้องในชัยชนะที่ได้นั่งใกล้และพูดกับเดย์แบบนี้

    ถ้าคุณบอกว่าไม่เป็นไรก็แปลว่าคุณไม่โกรธแล้ว ผมสบายใจแล้วล่ะ งั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ"

     

    เดย์หันมาโค้งให้ฉันเล็กน้อยตามแบบฉบับวัฒนธรรมเกาหลีก่อนจะลุกจากไป ทิ้งให้ฉันครุ่นคิดถึงเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อที่พึ่งได้พบเจอในวันนี้ เพราะฉันตามวงของเขามานานมาก ไปเกือบทุกที่ที่ฉันมีกำลังเงินมากพอที่จะส่งตัวเองตามไปหาได้ แต่กลับไม่มีครั้งไหนที่ชิดใกล้เท่าครั้งนี้ ฉันจึงได้แต่มองเหม่ออย่างเพ้อฝันตามหลังคนร่างสูงกำยำที่บัดนี้กำลังเร่งฝีเท้าเดินกลับไปยังชั้นเฟิร์สคลาสที่นั่งของเขาตามเดิม

    -----------------------------

     

    'เราปิดใบหน้าของเรามากไปจนเขาจำไม่ได้หรือเปล่า ทำไมเขาถึงดูเฉยชาราวกับไม่รู้จักกัน'

    ผมนั่งครุ่นคิดพลางกัดเล็บที่ตอนนี้มันสั้นกุดจนเจ็บแสบ พลันรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากมือสากที่ตั้งใจตบสีข้างหัวของผมให้เกิดเสียงที่คาดว่าคงทำไปเพื่อเรียกสติ (มั้ง)

     

    "เป็นอะไรของแก กัดเล็บจนเลือดจะออกอยู่แล้ว คาดเข็มขัดเร็ว ไม่ได้ยินที่เขาประกาศหรือไง

    "นี่! ไอ้จีซุน แกบอกฉันดีๆก็เข้าใจแล้ว บอกดีๆอะเป็นบ้างไหม

    ผมหน้ามุ่ยบ่นเพื่อนรักก่อนจะพิงพนักหลับตาไปอย่างอ่อนเพลีย ยิ้มเคลิ้มอย่างพึงพอใจเพียงลำพัง

    'ดาริณ....ขอบคุณที่มาดูผมนะ'

    สิ้นเสียงประกาศสำเนียงภาษาญี่ปุ่นแสนสดใส ในที่สุดล้อเครื่องบินก็แตะพื้นอย่างสวัสดิภาพ ผู้โดยสารต่างเริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันไปพลางรอเวลาปลดเข็มขัด

    "ยิ้มพริ้มอะไรคนเดียววะ แล้วเมื่อกี๊ไปไหนมา"

    จีซุนมันจะต้องมาขัดจังหวะผมแบบนี้ไปเสียทุกทีเลยเหรอ ผมถามจริง?

    "......ไม่รู้

    "ก็ไปนั่งข้างสาวที่ไหนก็ไม่รู้อะไรแบบนี้ใช่ไหมจีซุนฉีกรอยยิ้มกว้างเหมือนเย้ยหยัน

    "เดี๋ยวนะ นี่แกตามฉัน?" 

    "เออสิ ก็อยากรู้ว่าไปหาใคร ที่แท้ก็... คนเดิมๆเนอะจีซุนยิ้มทะเล้นจนตาหยี

    "เฮ้ย! ป๋าไปหม้อสาวคนนั้นมาเหรอ"

    เอาแล้วอย่างไรเล่า ในที่สุดจีซุนก็ปลุก เคน ฮิโรชิขึ้นมากินเผือกที่เผาไว้ซะเหม็นไหม้ไปถึงที่นั่งของมันแล้วจนได้ ผมล่ะเบื่อจริง นอกจากจะไม่เว้นพื้นที่ส่วนตัวให้ผมแล้ว ยังจะมาแซวผมอีก

    หมอนี่เป็นใครน่ะเหรอ เขาคือมือเบสอายุน้อยที่สุดของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ เป็นชาวญี่ปุ่นโดยกำเนิด ลูกชายคนโตของเลขาเอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศเกาหลีใต้ เด็กหนุ่มผู้มีความคิดแหวกแนวดูโตเป็นผู้ใหญ่คนนี้ตามผมเข้าวงการเพราะมีผมเป็นไอดอลทางด้านดนตรี เขามักติดสอยห้อยตามผมไปทุกที่ตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลนานาชาติด้วยกัน  อายุอานามของพวกเราห่างกันเพียงแค่สองปี จึงทำให้เราสามารถคุยได้ทุกเรื่อง และเราก็รักกันดั่งพี่น้องแท้ๆ

     

    ใครจะไปคาดคิดว่าสองหนุ่มหล่ออย่างจีซุนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักจะใช้ทีเด็ดในการเสยผมให้ดูเท่กระชากใจสาว  และเคนผู้ที่มีใบหน้าเรียวเล็กขาวใส  ใบหน้าอ่อนหวานราวกับผู้หญิงนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่ได้เป็นลมล้มทับกันมานักต่อนักแล้ว  แต่ความเป็นจริงคือเบื้องหลังนั้นพวกเขากลับเป็นพวกเกรียนตัวพ่อที่ทิ้งคราบเท่ๆไว้บนเวที  และย่ำยีมันอย่างไม่มีชิ้นดีเลย

     

    "เปล่า"

    "หมั่นไส้ว่ะป๋า พวกเรารู้กันตั้งนานแล้วหรือเปล่าว่ามีสาวมาติดป๋าน่ะ ระวังไว้เถอะ ทำเป็นมึนมากๆระวังหมาจะมาคาบไปกินให้ได้ช้ำใจเล่น" คำพูดยียวนกวนประสาทของเคนทำให้ผมรู้สึกคันเท้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    "จะมีหมาคาบไปกินก็กินไปดิ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยวะเคน"

    ครับลูกพี่ ทำมึนให้ได้ตลอดนะครับ ไม่งั้นผมจะขอถือว่าดาริณส่งเพลงรักให้ผมด้วยแล้วกันเนอะ"

    เฮ้ย! งี้เธอก็ส่งเพลงรักให้พี่ด้วยเหมือนกันสิ เราใช้แอคเคาท์เดียวกันทั้งวงนี่หว่า

    ทีเรื่องแซะผมนี่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะไอ้สองคนนี้

    "อยากจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่เลยนะ" ผมยังคงทำหน้ามึนไม่ใส่ใจในสิ่งที่พวกเขาพูดหยอกล้อผมกันสักเท่าไหร่

    "นี่! ไอ้เดย์ นี่มันก็หลายปีแล้วนะ ไม่คิดจะทำอะไรกับเธอบ้างเหรอวะ"

    "ก็ไม่ได้จะชอบอะไรขนาดนั้นจะให้ทำอะไรเล่า?" ผมเถียงกลับพลางทำหน้าหงุดหงิดใส่อย่างไม่สบอารมณ์

    งั้นผมลุยจีบแทนป๋าได้ดิแบบเนี้ย ป๋าไม่หวงใช่ป่ะ

    ได้ยินแบบนั้นแล้วทำเอาผมถึงกับอารมณ์ขึ้นจึงเผลอชูนิ้วกลางให้เจ้าเคนเป็นการตอบโต้ปากของมันเบาๆ

    พวกเขาหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนานกับเรื่องที่ผมมีคนมาคอยตามเฝ้าทุกที่มาเป็นเวลาหลายปี แรกๆผมรู้สึกอาย  เพราะวงดนตรีแนวอินดี้ร็อกแบบผม สมควรจะได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงผู้ชายที่มองผมเป็นเทพเจ้าทางด้านดนตรีเสียมากกว่าจะมีสาวมาเดินตามต้อยๆแบบนี้  แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันเลยว่าหลังจากที่มีเธอเข้ามาคอยติดตามชีวิตผม ผมกลับมักรู้สึกอุ่นใจที่ได้เห็นเธอมาคอยป้วนเปี้ยนสายตา จนผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า หากวันหนึ่ง ดาริณ สาวตาคมผมลอนยาวสลวยดั่งสาวฟิลิปปินส์  แฟนคลับผู้หญิงคนเดียวของผมคนนี้ เกิดมีแฟนใหม่และไม่ตามติดผมแบบนี้อีกแล้ว จะเป็นอย่างไรกันนะ

    ผมจ้องมองนาฬิกาเรือนโตของแบรนด์เนมชื่อดังที่มีสายสีน้ำตาลไหม้ดูเรียบหรู ซึ่งผมใส่แทบตลอดเวลา  มันเป็นเรือนที่ดาริณลงทุนซื้อและนำมาส่งให้ผมถึงรังหนูเป็นของขวัญวันเกิด พร้อมกระดาษการ์ดเขียนข้อความในใจที่ผมอ่านแล้วจำได้เป็นอย่างดีในสมัยที่พวกเรายังเป็นวงใต้ดิน

     

    'สุขสันต์วันเกิดนะคุณเดย์ นาฬิกาเรือนนี้ฉันตั้งใจซื้อให้คุณ หากคุณรู้สึกท้อแท้ก็ให้คิดเสียว่าอย่างไรคุณก็ยังมีวันพรุ่งนี้ และมีฉันคอยให้กำลังใจคุณอยู่ในที่ของฉันตรงนี้

    หวังว่าคุณคงจะชอบมัน

    ขอให้คุณมีแต่ความสุข

    Darin'

     

    ผมมองนาฬิกาเรือนนี้ทีไรมันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างไรไม่รู้

    บอกตามตรงผมไม่อยากให้เธอหายไปไหนเลย แค่คิดหัวใจของผมก็ห่อเหี่ยวมากแล้ว น่าเสียดายที่วันนี้ แม้ทุกอย่างจะเป็นใจให้ผมได้ใกล้ชิดดาริณแล้วแท้ๆ เธอกลับเฉยชาราวกับว่าไม่รู้จักกัน ทำไมมันช่างต่างจากข้อความที่เธอพร่ำเพ้อเรียกหาผมทุกวันขนาดนั้นกันนะ

    เธอเบื่อผมแล้วหรือเปล่า

    เธอจะเลิกติดตามผมแล้วใช่ไหม

    ได้โปรดอย่าเลิกตามผมเลยนะ....ดาริณ

     

    -----------------

     

    สติสัมปชัญญะของฉันค่อยๆกลับคืนมาเป็นปกติในทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะถึงพื้นดินของเมืองโอซาก้าโดยสวัสดิภาพ หลังจากเหตุการณ์ที่จะเรียกว่าพรหมลิขิตก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก ที่ทำให้ฉันได้พบกับร็อกเกอร์ตาเฉี่ยวในระยะใกล้ที่สุดเท่าที่ฉันประสบมา อันที่จริงแล้วฉันไม่ได้เข้าใจเขาทั้งหมดเพราะความตื่นเต้นมันดันทำให้โสตประสาทการรับรู้ของฉันนั้นแย่ลงมาก แค่เขากุมมือเพื่อเอาเงินยัดใส่ในมือ ฉันก็แทบจะเป็นลมล้มกองลงไปตรงนั้นแล้ว

    'เดย์สุภาพบุรุษจัง ทำน้ำหกแค่นี้ถึงขนาดต้องมาตามหาฉันเพื่อขอโทษ น่ารักจังเลย'

    ฉันอมยิ้มพรุ้มพริ้มคนเดียว มือข้างหนึ่งลากกระเป๋าไปตามทาง เดินออกนอกเกทเพื่อหาแท็กซี่ที่จะพาฉันไปรับบัตรหน้างานเทศกาลดนตรีร็อกที่ฉันจองไว้  อากาศในช่วงฤดูร้อน พร้อมแสงอาทิตย์ส่องฟ้าแจ่มใสพอให้รู้สึกอบอุ่น มันทำให้คนที่ทำงานมาอย่างเหนื่อยล้าแบบฉันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ในที่สุดแท็กซี่ก็ได้พาฉันมาถึงหน้างาน ทว่ายังคงไร้เงาของวงดนตรีใดๆที่จะมาขึ้นแสดง มีเพียงผู้คนสัญจรไปมา บ้างกางเต็นท์นอนรับแสงแดดกลางสนามหญ้าผืนกว้าง บ้างจับกลุ่มกันดื่มของมึนเมา ที่นี่คือศูนย์รวมการเสพย์ความสุขจากเสียงดนตรีอย่างแท้จริง  ได้เห็นบรรยากาศแล้วก็ทำให้ฉันรู้สึกโล่งและสบายใจ มองหาพื้นที่ว่างเพื่อเสพย์บรรยากาศอย่างคนอื่นเขาบ้าง รอคอยเวลาที่จะได้เห็นวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ขึ้นแสดงบนเวที

    เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงพบค่ำ ฉันนั่งเช็คตารางการแสดงดนตรีของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ และเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาจะขึ้นแสดงที่เวทีนี้ในเวลาสองทุ่ม ก่อนจะเริ่มเช็คสถานที่ต่างๆ  ที่คาดว่าพวกเขามีแผนจะไปเยือนในวันรุ่งขึ้น เหตุใดพวกเขาจึงไม่กลับเกาหลีในวันพรุ่งนี้ แต่เลื่อนกลับในอีกสามวันข้างหน้ากันล่ะ?  ก็เพราะพวกเขามีแผนจะท่องเที่ยวตามความฝันที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างไรเล่า

    และแล้วเวลาแห่งความสนุกก็มาถึง  ฉันเดินไปยืนติดชิดขอบเวทีดั่งที่ฉันตั้งใจไว้เพื่อรอคอยคนสำคัญของฉันขึ้นแสดงบนเวที  และในที่สุดฉันก็ได้เห็นสมาชิกวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ขึ้นเวทีในชุดสุดเท่มีสไตล์  ร็อกเกอร์ตาเฉี่ยวของฉันมาในมาดเซอร์  ผมสีน้ำตาลเข้มเส้นตรงสลวยยาวระต้นคอนั้นถูกหวีแสกกลางเปิดหน้าผากเนียน  เขาใส่เสื้อกล้ามสีดำลายโลโก้ตายิ้มสีเหลืองซึ่งเป็นโลโก้ของวงร็อกชื่อดังในอดีตเหมือนที่ฉันใส่  เผยให้เห็นรอยสักรูปมังกรที่ต้นแขนขวา แถมยังใส่กางเกงสกินนี่ยีนส์ที่มีรูขาดขนาดใหญ่กลางหัวเข่า ช่างเท่และเร้าใจ  ม่านตาของฉันเบิกกว้างจ้องมองเขาตะลึงงัน  เลือดสูบฉีดร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า  นี่แค่เพลงแรกก็สามารถทำให้ใจฉันสั่นรัวจนส่งเสียงกรี๊ดไม่ออกได้ขนาดนี้เชียวหรือคุณเดย์ที่รัก

    ส่วนเคน มือเบสรูปหล่อยังคงรักษามาดเนี้ยบของเขาไว้ได้เช่นเคย ด้วยผมรองทรงสูงไถข้างใส่เจลเพื่อให้ผมเรียบแปล้ ใส่ชุดแจ็คเก็ตยีนส์ที่จรดกระดุมจนถึงคอและกางเกงสกินนี่ยีนส์สีเข้ม กำลังร่ายมือรัวเสียงเบสพลางมอง “เนลสัน ลี” มือกลองคล้ายกำลังดวลเพลงอย่างถึงพริกถึงขิง  ส่วนจซุน มือกีตาร์สุดฮอตนั้นมาในมาดเซอร์  เขาดูคล้ายมีอาการมึนเมาอยู่ตลอดเวลา แต่งกายด้วยชุดสบายๆอย่างเสื้อยืดแขนยาวทรงกระบอกสีดำสนิท พร้อมสร้อยห้อยคอสีเงินมันวาวที่มีจี้เป็นแหวนสองวงคล้องใจห้อยอยู่ที่คอ ยิ่งช่วยตอกย้ำข่าวลือของเขาที่หมั้นกับสาวนอกวงการ  ซึ่งคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลเรียบร้อยแล้ว  แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมของเขาในหมู่สาวๆนั้นลดลงเลยแม้แต่น้อย  ผมรองทรงต่ำสีดำสนิทปลิวไสวไปตามแรงสะบัดนั้น  ยังคงสามารถทำให้สาวแฟนคลับสาวๆด้านล่างเวทีส่งเสียงกรี๊ดอย่างเสียสติจนลืมฟังดนตรีได้อีกเช่นเคย  ส่วนโจ มือกีตาร์หลักอีกคนของวงมาด้วยมาดสบายๆ กับผมรองทรงสูงที่มัดผมเป็นจุกเล็ก เขาใส่เสื้อยืดสีไข่เยี่ยวม้ารัดรูปและกางเกงสกินนี่ยีนส์สีดำเช่นเดียวกับเดย์  กำลังใช้นิ้วเรียวร่ายกีตาร์โซโล่กัดปากเมามันอยู่เพียงลำพัง 

    ด้านหลังสุดคือมือกลองผู้มีใบหน้ากลม  ตาตี่  ผิวขาวใสดั่งหิมะ มีอายุอานามมากที่สุดในวง แม้ชื่อออกฝรั่งแต่เขาเป็นชาวเกาหลีโดยแท้ แต่เนื่องด้วยครอบครัวของเขา พื้นเพนั้นได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงทำให้เขาได้ชื่อภาษาอังกฤษและสัญชาติอเมริกันติดสอยห้อยมาไปโดยปริยาย เขาคือสมาชิกคนสุดท้ายที่เดย์ตัดสินใจเชิญเข้าร่วมวงในวันงานประกวดดนตรีสมัยเรียนไฮสคูล เพราะเขาเป็นเด็กต่างโรงเรียน เป็นเรื่องราวจุดเริ่มต้นจากการสัมภาษณ์ต่างๆที่มักจะให้เล่าชีวิตความเป็นมา ส่วนระยะเวลาที่อยู่ร่วมเป็นวงกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงทำให้ทุกคนสนิทกันราวกับเป็นพี่น้องที่เดินคลานตามกันมา  บัดนี้เขาคงเมามันกับเสียงดนตรีมากพอที่จะทำให้เขาแสดงความดุดันในทางตรงกันข้ามกับหน้าตา  ด้วยการทำหน้ามึนแบบไม่สนโลก  พร้อมถอดเสื้อเล่นดนตรีไปพลาง เผยให้เห็นรอยสักลายเต็มตัว มันยิ่งทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมอย่างน่าประหลาด

    การแสดงดำเนินไปจนถึงเกือบเพลงสุดท้าย  แต่ก่อนที่จะกระโดดโลดเต้นไปกับความมันในเสียงดนตรี  เดย์นักร้องนำกลับขอนำเสนอเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาใหม่เอง  ซึ่งเขาเล่าว่าเขาได้แรงบันดาลใจจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จัก  และเพลงนี้ยังไม่เคยแสดงสดที่ไหนมาก่อน  จากนั้นจึงพยักหน้าให้สัญญาณเพื่อนในวง  ก่อนที่เคนจะเริ่มขึ้นทำนองเสียงเบสเพื่อให้เพื่อนๆได้ตามจังหวะเนิบช้า  แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดที่ใจอย่างแปลกประหลาดเมื่อได้ยินท่อนนี้ของเขา

     

    'ฉันคนนี้จะยังคงปักใจรักเธอต่อไป เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันอยากทำ

    ฉันไม่อยากหลับใหล  ความรักของฉันมันยังคงล้นหัวใจ

    ฉันขอรักเธอแบบนี้ต่อไปได้ไหม แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม'

     

    แววตาของเดย์ตอนที่ร้องเพลงนี้มันช่างดูเศร้าสร้อย พลางทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาว่าเขาอาจจะกำลังรักใครสักคนอยู่เป็นแน่ เกิดความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ใจ แม้ฉันจะรู้ดีเพียงใดว่าวันนี้มันต้องมาถึง ทว่าสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ ฉันดันรู้สึกผูกพันกับการเป็นคนรักบนเส้นคู่ขนานของเขาแบบนี้ไปเสียแล้ว ฉันควรจะได้รับรู้แค่เพียงว่าเขาเองก็ยังไม่มีใครเช่นเดียวกัน หรือหากอยากมีก็ขอวอนจงอย่าประกาศให้แฟนเพลงอย่างฉันได้รับรู้เลย

    'หรือฉันควรจะเลิกติดตามเขาแบบนี้จริงๆจังๆเสียที'

    เสียงความคิดหนึ่งดังขึ้นดั่งไฟกระพริบ เสริมความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจให้มากขึ้นเป็นทวิคูณจนไม่สามารถทนฟังและมองใบหน้าของเขาที่คล้ายกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจได้อีกต่อไป  จึงรีบปลีกตัวออกมาจากคอนเสิร์ตเพื่อกลับมานอนเหงาในเต็นท์เพียงลำพัง

    เวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม ทุกคอนเสิร์ตเลิกไปแล้ว เหลือแต่ชาวร็อกผู้หลงใหลในอบายมุและของมึนเมาที่ยังคงนั่งเสวนากันท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงสายลมเย็นพัดแผ่วมาเป็นเพื่อนกัน  ฉันยังคงนอนไม่หลับและกำลังรู้สึกลังเลว่าฉันยังควรส่งเพลงรักที่ฉันชอบให้เดย์ฟังอยู่หรือไม่  บางทียิ่งฉันทำแบบนี้ก็เหมือนยิ่งถลำลึกลงไปในหลุมพรางรักที่ฉันขุดขึ้นและเกรงว่าฉันจะปีนกลับขึ้นมาไม่ได้  เลยตัดสินใจแน่วแน่ที่จะข่มตาหลับและไม่ใส่ใจที่จะส่งเพลงให้เขาอีก 

    นั่นสิ เขาเหนื่อยมาทั้งคืน เขาควรได้รับการพักผ่อนและไม่ควรได้รับการรบกวนจากฉันอีก

    โทรศัพท์สั่นขึ้นในทันทีที่ฉันหลับตาลง  จึงคว้ามันมาดูก็ปรากว่ามีการแจ้งเตือนข้อความผ่านสื่อโซเชียลจากชายผู้เป็นแฟนคลับ วงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ คนหนึ่ง ใช้ยูเซอร์เนมว่า Songsaboutyou เราคุยกันมาได้สักพักจนรู้สึกสนิทใจกันในระดับหนึ่ง

    '@Darinee ดาริณมาตาม วงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ ที่โอซาก้าด้วยใช่ไหมครับ'

    ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าควรจะบอกเขาไปตามตรงดีหรือไม่ เพราะฉันเกรงว่าเขาเองก็เดินทางมาตาม วงชาร์มมิ่ง  พริซอนเนอร์ เช่นเดียวกัน  หากเป็นเช่นนั้นจริง  มิวายเขาจะเอ่ยปากชวนให้ออกมาเจอกันอีก  ซึ่งฉันยังไม่อยากให้พวกเรามีความสัมพันธ์สนิทสนมกันไปมากกว่านี้

    '@Songsaboutyou ค่ะ'

    '@Darinee ผมก็มาที่นี่เหมือนกัน เราเจอกันหน่อยไหมครับ'

    ว่าแล้วเชียว….

    '@Songsaboutyou โทษนะคะ ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ค่ะ'

    '@Darinee ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ'

    '@ Darinee ดาริณเห็นเดย์ชัดไหม เป็นยังไงบ้าง ถ่ายรูปมาหรือเปล่า'

    '@Songsaboutyou เห็นค่ะ แต่รอบนี้ไม่ทันได้ถ่ายรูปดีๆเลยค่ะ ฉันออกมาก่อน'

    '@Darinee ทำไมล่ะ'

    '@Songsaboutyou ฉันไม่ชอบให้เดย์ร้องเพลงเศร้าแบบนั้นเลยนี่คะ'

    '@Darinee ไม่มีอะไรหรอก ผมว่าก็แค่อารมณ์ติสท์เฉยๆ'

    '@Songsaboutyou เหรอคะ หรือว่าเขาแอบมีแฟนแล้วจริงๆ

    ‘@Darinee คิดมากน่าดาริณ ผมว่าไม่มีอะไรหรอกนะครับ

    ‘@Songsaboutyou งั้นขอนอนก่อนนะคะ ง่วงมากแล้วค่ะ'

    '@Darinee ฝันดีนะครับ ขอให้ฝันถึงเดย์นะ'

    เหตุใดฉันกลับรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ร่วมบทสนทนากับแฟนคลับชายแปลกหน้าคนนี้  เป็นระยะเวลาเกือบสองปีเศษแล้วที่ฉันได้รับข้อความจากเขา  คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ  คอยเป็นเพื่อนคุยในยามเหงา  ทว่า..มันคงดีไม่น้อยหากเขาเป็นคนที่ฉันรู้จักมักจี่กันแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง  เพราะการที่ไม่เห็นหน้ากันแบบนี้มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะสามารถสานต่อความสัมพันธ์ไปให้ไกลกว่านี้ได้  คุยเสร็จแล้วจึงละสายตาจากโทรศัพท์และผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลียไปในที่สุด

     

    ............................................................

     

    ผมใช้นิ้วแตะหน้าจอโทรศัพท์เพื่อเข้าไปดูสถานะหนึ่งในสื่อโซเชียลของดาริณที่ผ่านตา มันปรากเป็นรูปภาพสีดำสนิท พร้อมข้อความชมเชยความน่ารักของลูกใครสักคนหนึ่ง

    ‘The baby is surely going to be cute….’

    ผมไม่แน่ใจนักว่าผมตีความถูกหรือไม่ ทว่าหากเธอรู้สึกยินดีจริงเธอคงไม่ลงภาพสีดำสนิทแบบนี้ เหตุใดจึงพิมพ์ข้อความชมเชยเด็กโดยใช้ภาพในโทนสีตรงกันข้าม ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักใช้เพื่อแสดงความรู้สึกอาลัยและเสียใจ

    เสียใจหรือ? เสียใจเรื่องอะไร?

    อาลัยรักหรือ? ก็เห็นรักกันดี

    ส่องดูความเป็นไปกลับปรากฏอีกหนึ่งข้อความในภาษาเกาหลีใต้ภาพสีดำสนิทนั้น ผมหายข้องใจทันที

    อย่าเศร้าไปเลยดาริณ อย่าให้คุณค่ากับใครที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา

    เธอเลิกกับคู่หมั้นของเธอเหรอ?

    ผมมีสิทธิ์แล้วใช่ไหม?

    ตีสามกว่าแล้วแต่กลับไร้วี่แววข้อความส่งเพลงจากดาริณที่คุ้นเคย แม้วันนี้มันจะเป็นวันที่ผมรู้สึกเหนื่อยล้าจนอยากจะสลบไสลไปมากเพียงใด แต่น่าแปลกที่ผมกลับหลับไม่ลงเลย ความรู้สึกหน่วงเกาะกินหัวใจและร่างกายจนห่อเหี่ยว หลังจากที่ผมได้ร้องเพลงที่ผมแต่งมันขึ้นมาเพื่อหวังจะให้ ดาริณ แฟนคลับสาวตาคมคนนั้นได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผม ทว่ากลับต้องผิดหวังเพราะดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ใส่ใจกับบทเพลงที่ผมแต่งเท่าไหร่นัก สุดท้ายเธอก็เดินหายลับออกไปจากคอนเสิร์ตของผม ความรู้สึกไม่สบายใจทำให้ผมนอนพลิกตัวก่ายหน้าผากในห้องพักโรงแรมอยู่นานสองนาน ครุ่นคิดไปว่าผมควรจะทำอย่างไรกับชีวิตดี ระยะเวลาที่ผมแอบเฝ้าติดตามเธอผ่านสื่อโซเชียลนั้นเนิ่นนานมากพอที่จะทำให้ผมตกหลุมรักเธอ ซึ่ง.... ผมก็ตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้ว แต่ปัญหาก็คือผมจะรักแฟนคลับได้อย่างไร ในเมื่อความรักอาจทำลายอาชีพของผม

    แต่...คนเราจะมีโอกาสเจอคนที่ถูกใจในชีวิตอีกสักกี่หนอย่างนั้นหรือ

    ผมจะได้เจอคนที่ใช่อีกครั้งไหม หากครั้งนี้ผมยอมปล่อยเธอไป

    แล้วถ้าผมยึดถือเธอไว้ในความครอบครอง จะถือเป็นความผิดบาปต่อผู้อื่นมากเลยหรือเปล่า?

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×