คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1
CHAPTER 1
ผมง่วนร่ายนิ้วโซโล่กีตาร์ไม้รุ่นกิ๊ปสัน เลส
พอลสีแดงสดตัวเก่งให้เข้ากับจังหวะเพลงบรรเลงที่ดังก้องในหู มันเป็นบทเพลงซิงเกิ้ลใหม่ที่พวกเราทำสำหรับโปรโมทลงในสื่อโซเชียลของวง ขณะที่ผมกำลังอัดเสียงกีตาร์แบคกิ้งแทรคอยู่เพียงลำพังภายในห้องนอนเก่าที่ถูกเนรมิตให้เป็นห้องซ้อมดนตรี
มีฟองน้ำเก่าและลังไข่ที่ใช้แล้วแปะติดฝาผนังจนมิดเพื่อกันไม่ให้เสียงเล็ดลอด
กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระทบของกล่องผ้ากำมะหยี่ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีกรมท่ากับโต๊ะทำงาน
ตรงหน้าจนทำให้ผมสะดุ้ง จำเงยหน้าขึ้นมาหาเหตุต้นตอของเสียง จึงได้พบชายร่างสมส่วนขมวดคิ้วหรี่ตาตี่เพ่งมองโทรศัพท์มือถือสีหน้าดูบึ้งตึง
ยืนกดโทรศัพท์อย่างมันมือ ไม่ได้สนใจไยดีผมเลยสักนิด
"ทำหน้ามึนไร’วะ ของขวัญชิ้นที่สี่สิบห้าของวง...มีแฟนคลับฝากมาให้ไง"
ผมรู้สึกประหลาดใจ
เพราะการมีแฟนคลับตามมาให้ของขวัญผมติดกันถึงห้าครั้งมันไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไหร่ เนื่องจากพวกผมยังคงอยู่ในสถานะเป็นวงดนตรีใต้ดิน
พึ่งลงเพลงบนสื่อโซเชียลไม่ทันได้ใช้เวลาขมักเขม้นในการเรียกร้องความสนใจในวงกว้างมากนัก ใครมันจะไปนึกเล่าว่า
จะมีคนสนใจเข้ามาฟังผลงานของพวกผมอย่างจริงจังถึงขั้นตามมาให้ของขวัญที่รังหนูแล้ว
ทว่าแม้จะตื่นเต้นเพียงใดผมคงต้องเก็บอาการไว้
เพราะงานอัดเสียงที่เร่งด่วนนั้นสำคัญต่อชีวิตในตอนนี้เสียมากกว่า
“ไอ้นี่ เอาหูฟังออกก่อนไหม ....บอกว่ามีแฟนคลับเอาของขวัญมาให้ไง”
ซงโฮแสดงสีหน้าหงุดหงิดอีกครั้ง
พลันตะโกนข้างหู จนเสียงของเขาเล็ดลอดเข้ามาทำให้ผมเสียสมาธิจนได้ กระนั้นผมกลับไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดและยังคงเล่นกีตาร์ต่อไป
จนกระทั่งโดนดึงหูฟังออกเข้าให้ คราวนี้จำต้องวางมือและทำหน้ามึนงง เลิกคิ้วมองเขาเป็นการตอบแทน
"อ่า...แล้วมันเป็นของขวัญของผมเหรอ"
“ก็วางไว้ให้แกเนี่ย ของขวัญไอ้จีซุนมั้ง?”
ดวงตาเบิกกว้างนึกว่าได้ยินผิดไป แต่เมื่อดึงสติกลับมาได้จึงเริ่มหยิบกล่องผ้ากำมะหยี่ขึ้นมาพิจารณาอย่างสนอกสนใจ
ก่อนจะยักไหล่วางมันลงดังเดิม เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญอะไรที่ต้องเอาใจใส่ในตอนนี้
“ผมมีแฟนคลับกับเขาด้วยเหรอ
เห็นของขวัญมาส่งทีไร ก็ทู...จีซุน ทู...เคน คราวนี้มีทูเดย์ด้วยเหรอ”
“ถามมากจริง เออ...ทูเดย์
นี่ไง”
ซงโฮยื่นกระดาษการ์ดใบเล็กให้ผมอ่าน
ข้อความภาษาเกาหลีที่เขียนด้วยลายมือนี้ พอจะทำให้เดาได้ไม่ยากว่าผู้เขียนไม่ใช่ชาวเกาหลี
หรือหากเป็นชาวเกาหลีก็คงอายุไม่เกินสิบขวบแน่ เพราะลายเส้นดูไม่มั่นคงนัก
“แฟนคลับผมเป็นเด็กเหรอป๋า” คำถามนี้ทำให้คนหน้ามึนอย่างผมโดนนิ้วทั้งสี่ผลักหัวเข้าให้
“เด็กบ้าที่ไหนจะฟังเพลงเรา
และเด็กบ้าที่ไหนจะมีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงขนาดนี้ให้แก.... ผู้ใหญ่สิวะ”
....เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่ชาวเกาหลี
ทำไมอยู่เกาหลี แปลกจัง
ผมเลิกดวงตาเฉี่ยวสีน้ำตาลคล้ายกำลังสับสน
เนื่องจากซงโฮฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย
“แต่ก็มีแค่คนเดียวนะที่มาชอบแก
ก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะว่าหลงใหลอะไรในใบหน้ามึนๆ บอกบุญไม่รับแบบแก
เอาเป็นว่าช่างเถอะ อย่างน้อยก็มีคนฟังงานของพวกเราบ้างล่ะนะ"
ผมชะโงกหน้ามองกล่องอย่างอยากรู้อยากเห็น
อดใจไม่ไหวจึงเปิดกล่องดู ก็พบนาฬิกาเรือนประดับระยิบระยับ สายหนังสีน้ำตาลเข้มหรูหราราคาแพง
พลางชำเลืองมองการ์ดและอ่านข้อความ
‘Darin’
แต่ลงท้ายแบบนี้มีอยู่คนเดียวที่ผมรู้จัก....
สาวคนนั้นที่มักมานั่งจิบเบียร์ด้วยกันกับคู่หมั้น
ในบาร์ฝรั่งที่วงของพวกผมเป็นนักดนตรีประจำอยู่
ภาพจำเลือนลางหายไป เหลือคงไว้แต่หน้าต่างบนเครื่องบิน
ที่ผมยังคงวางสายตามองท้องฟ้านภากาศอย่างเหม่อลอย ปล่อยน้ำตาไหลรินอาบแก้ม
ความรู้สึกยังคงหนักอึ้งตรงกลางอกคล้ายมีก้อนหินยักษ์กดทับมันไว้ ชำเลืองมองนาฬิกาบนข้อมือแล้วใบหน้าสวยคมกลับชัดเจนในห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้ง
ผมคิดถึงเจ้าของมันอย่างจับใจ....
----------------------------------------------------------
เมื่อนานมาแล้ว....
เสียงการสั่นสะเทือนจากวัตถุที่โดนทับอยู่ใต้หมอน
โทรศัพท์ภายใต้กรอบสีดำสนิทลายสกรีนรูปกุญแจมือไขว้กันพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงตัวเขียนหวัดสีขาวล้อมรอบ
ซึ่งเป็นโลโก้ของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ ทำให้ผมสะดุ้งตื่นตอนกลางดึกแบบนี้อยู่ทุกค่ำคืน
มือคลำหามันด้วยอาการงัวเงีย พยายามเพ่งสายตาไปยังหน้าจอท่ามกลางความมืดมิดในห้องนอนของผม
‘3.45 A.M.’
'ฉันรู้ค่ะว่าคุณหลับอยู่ แต่...ฉันอยากให้คุณได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดใส
ด้วยเพลงที่ฉันชอบฟัง หวังว่าคุณคงจะชอบมันนะ อรุณสวัสดิ์ยามเช้ามากๆค่ะคุณเดย์
‘Darin'
นี่ก็เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้วที่ผมต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกในเวลาเดียวกันแบบนี้ทุกคืน
มันน่าหงุดหงิดอยู่บ้างในบางครา ทว่าผมกลับต้องยอมรับตามตรงว่า ผมก็ยังมีความกระตือรือร้นกดโทรศัพท์เข้าไปฟังเพลงที่ดาริณ
ผู้เป็นอดีตลูกค้าประจำบาร์ฝั่งที่ผมเคยทำงาน และเป็นแฟนคลับในปัจจุบันของผมอย่างไม่มีทีท่ารีรอ
เพราะบทเพลงที่เธอส่งให้ฟังมักเป็นแนวเพลงเก่ายุคเจ็ดศูนย์ที่ผมคลั่งไคล้มาก
ผมจึงแอบสร้างเพลย์ลิสต์ในโทรศัพท์มือถือเก็บเพลงของเธอไว้ฟังคนเดียว
เป็นแฟนคลับของเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยเช่นกัน
และแล้ว...ผมก็ฟังเพลงที่เธอส่งมาจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
"เฮ้ย! เดย์ตื่นได้แล้ว
เรามีไฟลท์บินไปญี่ปุ่นเช้านี้นะ นอนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ได้ไอ้บ้า!"
เสียงห้าวสบถที่คุ้นเคยของรูมเมทผู้มีชื่อเล่นในวงการดนตรีว่า
"โจ"
หรือชื่อจริง จามัว โจ วิลเลี่ยมส์ หนุ่มลูกครึ่งแอฟริกัน-อเมริกัน ผสมเชื้อชาติเกาหลีจากผู้เป็นแม่ มือกีตาร์โซโล่แห่งวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์
วงดนตรีแนวอินดี้ร็อกชื่อดังแห่งวงการดนตรีสากลโลก ที่ล่าสุดได้รับขนานนามว่าเป็น “จิตวิญญาณแห่งเจนวาย”
เขาเกิดในตระกูลของนักดนตรีแนวบลูส์ชื่อดังแห่งวงการดนตรีใต้ดินในดินแดนแห่งเสรีภาพ
เป็นคนที่ผมนับถือเสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ เนื่องจากพวกเรานั้นรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลนานาชาติด้วยกัน
ผมรักที่เขาเป็นคนที่จริงใจ มีนิสัยโอบอ้อมอารี
ยามมีปัญหาเขาสามารถให้ความช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งพิงได้
เขาให้ใจกับทุกคนเกินร้อย หากมองย้อนกลับไปในสมัยเรียนไฮสคูล
การรวมกลุ่มเพื่อนชายนั้นเรียกได้ว่าเป็นเพียงการรวมตัวกันของเด็กกะโปโลหน้าหม้อทั้งห้าคนจะดีกว่าเรียกว่าฟอร์มวง
เพราะความตั้งใจในการฟอร์มวงดนตรีของพวกเรานั้นฟังดูโหลยโท่ยมากในความคิดผม
เพราะเราเพียงแค่อยากเรียกร้องความสนใจจากสาวๆเท่านั้นเอง ใครจะไปคาดคิดว่าเราจะสามารถมาไกลได้ถึงเพียงนี้
"พี่โจ ขออีกยี่สิบนาทีไม่ได้เหรอ"
"ได้! ไม่ตื่นใช่ไหมครับคุณดันแคน
ฮวัง"
"เฮ้ย! จีซุน
มาลากเพื่อนแกไปหน่อยดิ๊"
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของโจมันได้รบกวนโสตประสาทของหูผมขึ้นมาแล้ว
หึ! แต่อย่าได้แคร์เลย นอนต่อไปเดย์ นายยังนอนได้อยู่
พลั่ก! อึก!
ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสของคนรูปร่างสันทัดที่กระโดดมานอนทับ
พร้อมสัมผัสถึงแรงกดจากมือเล็กๆที่แนบแน่นบนหัวของผมได้เป็นอย่างดี เสียงกระทบกันของมือที่กดลงมาข้างหูผมดังขึ้น
ทำเอาผมอยากจะเป็นบ้าตาย
"ตื่นโว้ย!"
"คิม จีซุน" ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดกำยำ ไว้ผมรองทรงต่ำสีดำสนิทผู้เป็นมือกีตาร์โซโล่ของวง
เพื่อนรักสมัยเรียนไฮสคูลนานาชาติของผม ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลข้าราชการ
ผู้มีอาชีพเสริมทำธุรกิจนำเข้าเวชสำอางจากอเมริกาจนร่ำรวยมหาศาล พวกเราฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมามากกว่าจะได้เดบิวต์เป็นวงดนตรีอย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเราต้องยอมเสียสละและอุทิศตนให้กับผลงานเพลง
ถึงขั้นยอมหยุดเรียนต่อและทะเลาะกับครอบครัว เพื่อทำตามความฝันให้เป็นจริงในที่สุด
แม้นปลายทางฝันของเราอาจจะแตกต่างกันไปบ้างก็ตามที
จีซุน เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มฮอตที่สุดในวง จากท่าเสยผมเวลาดีดกีตาร์บนเวทีนั้นมันคงน่าหลงใหลเป็นที่ต้องตาต้องใจในหมู่สาวๆมาก
จนทำให้พวกเธอหลงลืมฟังดนตรีไปเสียทุกที ใครจะไปนึกล่ะว่าเบื้องหลังความเท่บนเวทีนั้นจะถูกย่ำยีด้วยความเกรียนแตกอย่างไม่มีชิ้นดี
เสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ต้องเล่าอะไรมากนักหรอก เพียงแค่ตอนนี้เขาทิ้งร่างกำยำลงมานอนทับบนตัวผม
โดยที่เขาแทบจะไม่ได้ใส่ใจสักนิดเลยว่าน้ำหนักตัวของเขาอาจคร่าชีวิตคนได้
ก็น่าจะสามารถบ่งบอกจิตใจของเขาได้ไม่มากก็น้อยล่ะนะ แต่ช้าก่อน...หากจะเข้าใจไปได้ว่าผมต้องตื่นเพราะหวาดกลัวการใช้กำลังของเพื่อนนั้น
คิดผิดถนัด ผมบอกได้เลยว่าไม่มีอะไรมาทำให้ผมสะทกสะท้านได้หรอก
นอกเสียจากผู้หญิงคนนั้น
"จะขี้เซาไปถึงไหนวะ คนอื่นเขาแต่งตัวเซทผมกันหมดแล้ว
เหลือแกคนเดียวเนี่ยไอ้เดย์!"
แล้วอย่างไรล่ะ?
จะให้ผมตื่นในขณะที่กำลังดื่มด่ำความรู้สึกกับบทเพลงของดาริณน่ะเหรอ
ไม่มีทางเสียหรอก
"จีซุน ถ้ามันยังไม่ตื่น พี่ว่าเราใช้วิธีนี้ดีกว่าว่ะ"
"ถอดกางเกงแล้วดีดไข่มันใช่ป่ะ"
ให้ตายสิ! พวกเขาจะทำอะไรพิเรนทร์กันอีกแล้วเหรอ
ผมละเบื่อพวกเขาจริงๆ
ฟึบ!
"ตื่นก็ได้ อะไรกันนักกันหนาวะ
ไอ้พวกทะลึ่ง!"
ผมหน้านิ่วคิ้วขมวดเพื่อเป็นการหยุดการกระทำพิเรนทร์นี้ไว้
หากไม่ทำเป็นโกรธบ้าง ผมคงโดนดีเข้าสักวัน
"จะให้ทำยังไงได้วะ
ก็มันเหลือทางเดียวแล้ว ขนาดจีซุนนอนทับขนาดนั้นแกยังไม่ตื่นเลย ใช่ไหม จีซุน"
"ใช่! รีบเลย
อย่าอาบน้ำนานด้วย มันสายแล้วเข้าใจไหมไอ้เดย์"
พลันโดนผ้าเช็ดตัวฟาดตรงใบหน้าเข้าเต็มเปา ผมจึงโต้ตอบด้วยนิ้วกลางไปเสียเลย
-----------------------------------------------------------------
‘8.10 น.’
รถตู้สีดำคันใหญ่ดูหรูหราจอดหน้าประตูทางเข้าประตูหนึ่งของสนามบิน
ซึ่งเป็นทางเข้าที่ฉันสืบมาแล้วว่ารถตู้ที่ใช้ขับมาส่งร็อกเกอร์ตาเฉี่ยวกับผองเพื่อนของเขาจะมาจอดตรงนี้
ฉันยืนปรับเลนส์กล้องตัวเก่งหลังเสาต้นที่มีระยะห่างจากบริเวณที่รถตู้จะมาจอดไม่ไกลมากนัก
พลางยืนเล่นกล้องรุ่นใหม่ราคาแพงที่ฉันอดทนทำงานตรากตรำในการเก็บหอมรอมริบซื้อมันมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็เป็นที่น่าพอใจ เพราะมันทำให้ฉันได้รูปภาพร็อกเกอร์ตาเฉี่ยวที่หล่อที่สุดเท่าที่เคยถ่ายได้มา
คนที่ฉันคลั่งไคล้มานานนั้นมีนามว่า
"ดันแคน ฮวัง" หรือชื่อเล่นในวงการดนตรีว่า
“เดย์” เขานักร้องนำ
และโคโปรดิวเซอร์ของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์ วงอินดี้ร็อกชื่อดังก้องโลก
ผู้สามารถพิชิตรางวัลต่างๆตามเส้นทางดนตรีของสากลโลกมานับไม่ถ้วน จากความพยายามอันหาญกล้า
ยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง ทำให้ฉันตกหลุมรักเขาอย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ เขาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-เกาหลี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “คิม ฮวัง”
อดีตพระเอกชื่อดังแถวหน้าของวงการ แต่งงานกับนางแบบสาวชาวอังกฤษและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างผาสุกในสหราชอาณาจักร
ฉันคอยเฝ้าติดตามมาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นวงใต้ดินต๊อกต๋อยและมีงานเสริมเป็นนักดนตรีประจำที่บาร์ฝรั่งที่ฉันชอบไปนั่งจิบสุราฟังเพลงอย่างสุนทรีกับคู่หมั้นของฉันจนกระทั่งตอนนี้แม้จะเลิกรากันไปนานแล้ว
แต่ความรักที่ฉันมีให้เดย์ยังคงไม่ลดราวาศอกไปไหนแน่ เดย์นั้นแม้นทุนเดิมจะมีชื่อเสียงมาจากการเป็นลูกของดารา ทว่าเขากลับมีนิสัยที่ติดดินและไม่ห่วงหล่อหรือถือตัวเลย
แม้ดวงตาเฉี่ยว จมูกโด่งเป็นสัน
ริมฝีปากอิ่มสวยจะช่วยเสริมให้เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา เหมาะกับการแต่งตัวเนี้ยบ
ทว่าเขากลับปล่อยตัว ปล่อยให้ตัวเองมีเคราและมีผมกระเซอะกระเซิงตามธรรมชาติ
ไม่ยึดถือกระแสเป็นที่ตั้ง ทำอะไรตามใจและจิตวิญญาณของตนเองเป็นหลัก จนในบางมุมก็ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงเอามากๆ
เขามักทำหน้ามึนงง หรือในบางคราก็แสดงสีหน้าบึ้งตึงราวกับไม่สบอารมณ์ จึงทำให้ใบหน้าหล่อคมของเขาไม่เป็นที่ต้องตาในหมู่สาวๆชาวเกาหลีมากนัก
เพราะมันคงดูโหดเกินไป แต่สำหรับฉัน เขา...คือผู้ชายที่ทรงเสน่ห์มากที่สุด
แชะ! แชะ!
ฉันมัวเพลิดเพลินไปกับการถ่ายภาพของร็อกเกอร์ตาเฉี่ยว จนเขารู้สึกตัวหันมามองทางฉัน จนฉันตกใจรีบกลับเข้าไปหลบหลังเสาดังเดิม
ทว่าเขายังพยายามชะเง้อมองหา และโบกมือทักทายฉันราวกับสนิทกัน ทำเอาฉันใจสั่น
หลงใหลไปกับความน่ารักและเป็นกันเองที่ลึกๆก็แอบหวังว่าคงจะมีให้เฉพาะฉันเพียงเท่านั้น
ฉันรีบหลบหน้าให้พ้นสายตาทุกคน เพราะเกรงว่า “ปาร์ค ซงโฮ” ผู้จัดการวงจะเดินมาไล่สาวโรคจิตคนเดิมที่กำลังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของเดย์อยู่หลังเสาต้นนี้
ซึ่งขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีเมื่อโชคยังเข้าข้างฉันบ้าง
เนื่องจากตอนนี้พวกเขาเดินเข้าประตูไปแล้ว พร้อมเสียงเชียร์เฮดังสนั่นจากแฟนคลับด้านในที่พากันตะโกนเรียกชื่อวง
ในขณะที่ฉันกุมกระเป๋าเดินทางรอจังหวะที่จะเดินเข้าประตูสนามบินไปเช่นเดียวกัน
บัดนี้ทางสะดวกเนื่องจากแฟนๆส่วนใหญ่เริ่มวงแตกแยกย้ายกันไปตามทางใครทางมันแล้ว ถึงคราวที่ฉันจะเดินเข้าไปเช็คอินตั๋วเครื่องบินที่ฉันวางแผนซื้อมันมาเพื่อตามไปดูคอนเสิร์ตของวงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์ที่ไปเปิดการแสดง ณ เทศกาลดนตรีร็อกในประเทศญี่ปุ่นบ้าง ฉันรีบถอดหน้ากากเดินจ้ำอ้าวไปยังเคาน์เตอร์เช็คอินตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัด
ซึ่งตั้งใจจองไว้เพื่อบินไฟลท์ เดียวกับเขาในวันนี้ มันใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นเครื่องเข้าไปทุกนาที
เมื่อเช็คอินเสร็จแล้วจึงรีบก้าวฉับเพื่อไปเข้าเกทตามหมายเลขที่ระบุไว้บนตั๋ว
พลางถอดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีแดงสลับขาวตัวหนาเพื่อมาผูกเอวเดินอย่างทะมัดทะแมง
ก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบเพื่อไปขึ้นเครื่องโดยเร็วที่สุด
สิ่งที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้น ฉันเดินชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่รูปร่างสูงกำยำ
มองไล่ลงไปเห็นเรียวขาหนาในกางเกงขาโปร่งสีดำสนิทเข้าอย่างจัง
จนสัมผัสได้ถึงความเย็นจากน้ำบูลเบอร์รี่โซดาที่หกลงบนเสื้อยืดสีดำลายโลโก้หน้ายิ้มสีเหลืองของวงร็อคชื่อดังยุคเก้าศูนย์ในอดีตเข้า
"ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ
เสื้อคุณเปียกไปหมดแล้ว ทำยังไงดี"
ฉันยังคงก้มลงมองเสื้อตัวโปรดของฉันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำบูลเบอร์รี่โซดา
พลางรู้สึกหงุดหงิดเพราะมันส่งกลิ่นคละคลุ้งหอมหวานเต็มหน้าอก แต่เดี๋ยวนะ...เสียงทุ้มต่ำแบบนี้มันช่างคุ้นหูเสียจนฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
ทันใดนั้นเองจึงได้พบกับคิ้วหนาเข้มพร้อมดวงตาเฉี่ยวคม ที่ทำเอาฉันตกอกตกใจเกือบเสียขวัญ
'ดะ..เดย์'
ฉันพึมพำเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาอย่างไร้สติ เพราะตอนนี้ฉันยังคงยืนอึ้งตะลึงงันจนพูดแทบไม่ออก ราวกับว่าฉันกำลังติดอยู่ในห้วงภวังค์ของโลกในอีกมิติ แม้แต่เสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์พร่ำบอกขอโทษอยู่ตรงหน้าของฉันแล้วแท้ๆ ฉันก็ไม่มีสติพอที่จะรับรู้
"คุณๆ" เดย์พยายามโบกมือผ่านหน้าและจับไหล่ฉันเขย่าเบาๆเพื่อเรียกสติ
"ขอโทษนะครับ แต่ผมต้องรีบไปแล้ว
ช่วยรับเงินนี้ไว้ด้วยเถอะนะครับ"
เขาคว้ากระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกงและหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่ง
จับมือฉันแบและวางเงินนั้นลงบนมือพร้อมม้วนมันเพื่อให้ฉันกำเงินของเขาเอาไว้
แล้วจึงยิ้มยิงฟันจนปากโค้งได้รูปสี่เหลี่ยมอย่างเกรงใจ
ก่อนจะกำชับมือฉันเขย่าอีกครั้งเพื่อส่งสัญญาณว่าเขาต้องไปแล้วจริงๆ
"ดะ... เดี๋ยวค่ะ"
ฉันยังคงยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก
ไม่มีสติมากพอที่จะปะติปะต่อเรื่องราวได้ แม้ฉันจะติดตามชื่นชมเขากับวงร็อกของเขามาเนิ่นนาน
แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะได้เห็นเขาในระยะใกล้ชิด ได้โดนเขากุมมือ แถมยังได้ยินเสียงทุ้มต่ำอันทรงเสน่ห์ของเขาพร่ำบอกขอโทษฉันแบบที่ฉันเจอในวันนี้
'นี่มัน...บ้าไปแล้วดาริณ’
ความคิดเห็น