คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 11
CHAPTER 11
ผมยืนจ้องลูกบิดประตู
กำมือแน่นอย่างรู้สึกปวดร้าว ร่างกายกลับด้านชาอย่างไร้เรี่ยวแรง มันก็จริงอยู่ที่ผมอาจจะผิดเพราะผมไม่เคยบอกใครว่ามินซูกับผมเคยเป็นแฟนคนแรกของกันและกัน
แต่หลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลาย ผมกับมินซูก็กลับมาเป็นเพื่อน เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมสามารถร้องไห้ด้วยได้โดยไม่ต้องห่วงภาพพจน์
เพื่อนที่ผมปรึกษาได้ทุกเรื่อง แค่เพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิต ผมก็มีไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ...
ฟากฟ้าพรากคนที่ผมรักให้เธอเดินจากผมไปแล้ว ท่านจะใจร้ายไม่เหลือเพื่อนไว้ให้ผมสักคนเลยอย่างนั้นหรือ
"หยุดเลย! พูดจริงๆนะพี่
ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่เดย์จะกล้าทำอะไรแบบนั้น พวกเราก็รู้ว่าพี่เดย์ซื่อขนาดไหน
วันๆก็อยู่แต่กับกีตาร์ เหล้าไม่กินบุหรี่ก็ไม่สูบ ไม่เคยคิดจะมานั่งร่วมวงอบายมุขอะไรกับเราเลยด้วยซ้ำ
ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่พวกเราตั้งวงแล้วจริงไหม พอมีแฟนคลับนั่นมาตาม
มาทำดีด้วยก็หลงเธอง่ายดาย คิดจริงๆเหรอวะพี่ว่าคนแบบนี้จะทำเลวอะไรแบบนั้นได้อะ พวกพี่ใจเย็นๆกันก่อนสิ
หลักฐานก็ไม่มี" เสียงห้าวเล็กของเคนรีบแย้งขึ้นในทันที
"ถึงจะเป็นคนดี
แต่ได้เจอผู้หญิงสวยมันก็อดใจไม่ไหวกันทั้งนั้นแหละวะ" ผมอารมณ์ฉุนขึ้นมาในทันที
กำมือแน่นด้วยความรู้สึกหน่วงใจ เศร้า และโกรธ ผสมปนเปกันอย่างว้าวุ่น
"แต่ยิ่งคิดมันก็น่าแปลกจริงๆนั่นแหละ อะไรมันจะบังเอิญขนาดที่คนสองคนจะหายไปพร้อมกันทั้งคืนวะ"
เสียงห้าวของเนลสันแทรกขึ้นอีกครั้งอย่างฉงนสงสัย
"ช่างเถอะ คนมันเลวมันรู้อยู่แก่ใจ
เดี๋ยวกรรมก็ตามสนองมันเอง"
จีซุนถอนหายใจอย่างอ่อนล้า
"คุณเดย์เข้าห้องแต่งตัวไม่ได้เหรอครับ
เดี๋ยวผมเปิดให้"
เสียงทีมงานชายคนหนึ่งดังขึ้น
ปลุกผมให้หลุดออกมาจากห้วงภวังค์
"อะเอ่อ...."
ผมมัวแต่อ้ำอึ้งเพราะสิ่งที่ผมได้ยินเมื่อครู่มันได้บั่นทอนจิตใจของผมจนหมดเรี่ยวแรงจะต่อปากต่อคำอะไร
ทีมงานคนนั้นผายมือเชิญผมเข้าไปในห้อง เป็นการขัดจังหวะบทสนทนาอันแสนเข้มข้น
บัดนี้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่ผม ก่อนจะแยกย้ายนั่งประจำที่เดิมของใครของมันบรรยากาศเงียบเชียบชวนมาคุ
เว้นเสียแต่เสียงจ้ำจี้จ้ำไชของซงโฮที่คอยเร่งช่างแต่งหน้าและช่างทำผมให้รีบทำหน้าที่ให้เสร็จโดยเร็ว
ในที่สุดก็ได้เวลาที่ผมและสมาชิกวงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์ต้องเข้าไปในฉากที่ถูกเนรมิตขึ้นมาราวกับว่ากำลังมีการจัดคอนเสิร์ตเล็กๆในผับเนื่องจากมีเคาน์เตอร์บาร์วางตั้งอยู่ติดกับเวทีฐานเตี้ยที่ปูพื้นพรมสีแดงพร้อมแสงไฟสีส้มอ่อนดูมืดสลัว นักแสดงสมทบที่ได้รับบทเป็นบาร์เทนเดอร์จำเป็นเพื่อให้ดูสมจริงกำลังทำท่าทางเสิร์ฟน้ำหลากสีให้กับแฟนคลับหน้าม้าที่ยืนติดชิดขอบเวทีเพื่อรอชมพวกเราขึ้นแสดง
พวกเรายืนเตรียมตัวกันอยู่ด้านหลังเวทีก้มหน้ามองพื้น
ไร้ซึ่งเสียงคุยเล่นเฮฮากันอย่างเช่นเคย
ทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศจากพิธีกรที่เชิญพวกเราขึ้นเวที พวกเราจึงขึ้นไปตามบท
ก่อนจะประจำที่เครื่องดนตรีของใครของมัน ผมสวมสายสะพายกีตาร์สีครีมพาดไว้ที่บ่า
ร่ายนิ้วลองเล่นกีตาร์ไปพลาง เพราะเกรงจะเกิดเสียงเพี้ยนตอนเล่นจริง
พวกเราลองเครื่องดนตรีของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสร้างความเคยชินกับเครื่องดนตรีที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมไว้ให้ เมื่อถึงเวลา
จีซุนในชุดเสื้อกล้ามสีดำลายสกรีนตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวที่ปกปิดรอยสักรูปมังกรคู่บนแผ่นหลังของเขาไว้ได้สนิท
จึงเริ่มดีดกีตาร์ลายสีดำพาดกลางตัดกับสีครีมเพื่อเริ่มขึ้นทำนองเพลงเร็วอันหนักหน่วง
จากนั้นโจในชุดเสื้อแขนยาวทรงกระบอกสีเทาจะเริ่มดีดกีตาร์เพิ่มเสียงโซโล่ประสานกับของจีซุน
ก่อนที่จะถึงตาผมดีดกีตาร์ใส่เสียงโซโล่เพิ่ม มันเป็นเสียงดนตรีที่ให้อารมณ์ผู้เสพย์ราวกับว่าเสียงทำนองค่อยๆแล่นมาจากดินแดนอันแสนไกล
จนกระทั่งมาดังก้องกังวานขึ้นเพราะผม ส่วนทางด้านเคนและเนลสันนั้นผสมทำนองดนตรีร็อกนี้ด้วยเสียงเบสทุ้มอันหนักหน่วงและเสียงตีกลองรัวดังเน้นจังหวะหนัก
ก่อนที่ผมกับจีซุนจะเปล่งเสียงประสานเพิ่มความหนักแน่นของเพลงไปด้วยกัน
ดูเหมือนคอนเซ็ปต์การแต่งตัวของอัลบั้มชุดใหม่นี้จะทำให้เราดูโตและเร่าร้อนมากขึ้น คนที่เห็นจะเป็นที่ฮือฮามากที่สุดก็คือเนลสัน
ซึ่งได้ถูกช่างทำผมไถผมด้านข้างจนเลี่ยนเตียน
เหลือไว้แต่เพียงกลุ่มผมสลวยตรงกลางที่บัดนี้ถูกปาดให้เรียบแปล้ เขามาในชุดเสื้อเชิ้ตยีนส์แขนยาวสีเข้มที่จดกระดุมจนถึงคอ
ปกปิดร่องรอยสักลายเต็มตัวของเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ทำให้เขาเปลี่ยนลุคดูเป็นนักเลงสุดเนี้ยบและน่าเกรงขามขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
จากเรื่องราวที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้
ก็ทำให้ผมร้องและเล่นกีตาร์ได้อย่างไร้ซึ่งอารมณ์สนุกร่วมกับบทเพลง
ราวกับผมเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้จิตวิญญาณ เนื่องจากได้ปลดปล่อยจิตโบยบินหนีหายออกไปในอากาศแล้ว
แววตาของผมนั้นไร้ชีวิตชีวา ทำให้ผมไม่มีการเล่นกับคนดูอย่างเช่นเคย
แม้บทเพลงจะสนุกและเมามันมากแค่ไหน แต่ถ้าหากคุณเป็นแฟนคลับของพวกเรา คุณจะรู้ได้ในทันทีว่าบัดนี้เคมีมันได้ก่อให้เกิดปฏิกริยาที่ต่างออกไป
จนไม่สามารถกลับมาผสมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกแล้ว ซึ่งคนที่สามารถสังเกตเห็นอาการผิดปกตินี้ได้ก็คือซงโฮ
ผู้จัดการวงของเรานั่นเอง
"ขอประชุมทีมช่วงพักเบรคหน่อย
ตอนนี้เลย"
ซงโฮทำสีหน้าเคร่งเครียด
ขานเรียกพวกเราที่กำลังนั่งกินข้าวกันในห้องอาหารอย่างเงียบเชียบ
ก่อนที่พวกเราจะพากันลุกขึ้นเดินตามหลังเขาเข้าไปในห้องแต่งตัว
"เอ้า! เดย์...จีซุน...พวกแกมีอะไรคุยกันเลย" เขายืนกอดอกสั่งทั้งผมและจีซุนที่บัดนี้ยืนหลบสายตาซึ่งกันและกันอยู่
"ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคนที่เป็นชู้กับเมียของเพื่อน"
จีซุนเลี่ยงที่จะมองหน้าผมโดยการหันกลับไปตอบซงโฮแทน
"ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดหรอก
เพราะตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเลวกว่ากันแน่
ระหว่างคนที่คอยปลอบใจเมียเพื่อน ซึ่งเราก็เป็นเพื่อนกัน
หรือคนที่ชอบทำร้ายเมียตัวเองให้บอบช้ำ โดยการไปมีอะไรกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า"
ผมหรี่ตาจ้องจีซุน กอดอกอย่างไม่เกรงกลัว
"เฮ้ย! ใจเย็นๆกันหน่อยสิ
คุยกันดีๆ" เนลสันรีบเข้ามาปราม เพราะเห็นทีท่าเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว
"ฉันกับมินซูจะมีปัญหาอะไรกันมันก็ไม่เกี่ยวกับแก
ไม่ต้องมาหวังดี!"
จีซุนตะโกนใส่ผมด้วยอารมณ์โกรธ
"ก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งอะไรหรอก
ถ้ามินซูไม่คอยมาร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายเพราะแกแบบนี้"
"หึ! ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งงั้นเหรอ
แล้วภาพนี้มันคืออะไร ที่แกกอดกันกับเมียฉันแล้วพากันเข้าห้องไปอะ แหกตาดูซะ ไอ้เลว!"
จีซุนฉุนจัด จึงคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดภาพกล้องวงจรปิดที่น้องชายสุดที่รักส่งมาให้เขาดู
มันเป็นภาพที่มินซูกำลังยืนกอดซบผมที่หน้าห้องของเธอ
เมื่อได้เห็นภาพนี้ทุกคนถึงกลับต้องอ้าปากค้าง
"แล้วแกได้ถามตัวเองไหมว่าวันนั้นแกไปนอนกับผู้หญิงคนไหน
จนทำให้มินซูต้องขอให้ฉันซื้อเบียร์เข้าไปให้เพื่อให้ลืมเรื่องเลวร้ายที่แกคอยทำไว้กับเธอน่ะ!!...”
“อ่อ.. อีกเรื่องนะ...
ที่มินซูหายไปทั้งคืน นั่นก็เพราะ เธอใช้เวลาทำใจจะจากโลกนี้
แล้วก็เป็นฉันที่ไปห้ามเอาไว้ เรื่องที่เราสองคนเป็นแฟนคนแรกของกันและกัน
ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากเท่ากับการที่ความเลวของแก .... กำลังฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งให้ตายทั้งเป็นหรอก
เชื่อฉันเถอะ คนที่น่ารังเกียจของเรื่องนี้ไม่ใช่ฉัน ฉันมั่นใจ”
ผมปัดมือจีซุนที่ถือโทรศัพท์จนหล่นลงบนพื้น ก่อนผลักเขาอย่างแรง
ส่วนเขากำลังยืนอึ้งกับคำพูดของผมอยู่ แต่ผมกลับไม่รอที่จะให้ใครมาซักไซ้อะไรได้อีกแล้ว จึงรีบเดินตึงตังออกจากห้องไปในทันที ทิ้งความสงสัยเคลือบแคลงใจให้ทุกคนไว้เบื้องหลัง
"เฮ้ย! พี่เดย์รอผมด้วย!"
พลันได้ยินเสียงของเคนวิ่งไล่ตามหลังผมมาทันควัน
----------------------------------------------------------------
'9.00 P.M.'
โครก! คราก!
เสียงคำรามดังขึ้นจากท้องไม่รักดี ในเวลาที่ฉันกำลังยุ่งอยู่กับงานกองเต็มโต๊ะแบบนี้
กลับมาส่งเสียงประท้วงรบกวน ปั่นป่วนสมองให้เรารู้สึกหิวขึ้นมาเสียให้ได้
ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ผิดนักหรอกที่ร่างกายของฉันคิดอยากประท้วงจิตใจขึ้นมา
เนื่องจากมันไม่ได้รับอะไรตกถึงท้องนอกเสียจากกาแฟดำแบบไม่ใส่น้ำตาลและขนมแคร็กเกอร์จำนวนหนึ่งชิ้นถ้วน
ลากยาวตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้
ในที่สุดฉันก็ยอมจำนนต่อเสียงประท้วงจากร่างกาย จึงปิดโน้ตบุ๊คเลิกทำงานแต่โดยดี เหลือเพียงฉันที่ยังคงเปิดไฟส่องสว่างในออฟฟิศอยู่เพียงผู้เดียว
เห็นที...มันคงถึงเวลาของฉันที่จะต้องกลับบ้านเหมือนมนุษย์เงินเดือนคนอื่นเขาบ้างเสียที
ฉันคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้โอ้ตสีน้ำตาลอ่อน ค่อยๆแตะนิ้วพิมพ์ข้อความส่งถึงดงวุกให้ขับรถมารับฉันที่ออฟฟิศ
ก่อนจะเลื่อนนิ้วเช็คความเคลื่อนไหวอย่างอื่นต่อไป
จนกระทั่งเจอข้อความจากคุณซงเข้า
‘@Darinee อรุณสวัสดิ์ครับ
วันนี้ผมต้องทำงานตั้งแต่ 6.30 น. เลย
น่าสงสารไหมครับ’
‘@Darinee ทำงานยุ่งไหมครับ
เที่ยงแล้ว อย่าลืมทานข้าวนะครับ สู้ๆครับ’
‘@Darinee ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย
ช่วยคุยกับผมหน่อยได้ไหมครับ ทำงานอยู่เหรอครับ’
‘@Darinee ดูสิสามทุ่มกว่าแล้วผมยังไม่เลิกงานเลย
มาตั้งแต่เช้าคงได้กลับเกือบเที่ยงคืน ทานข้าวเย็นด้วยนะครับ’
ฉันขมวดคิ้วผูกเป็นปม พลางรู้สึกสับสนภายในใจ กลัวสักวันจะตกหลุมพรางความน่ารักของคุณซงนี่เข้าให้เสียแล้ว
ทำไมกันนะ ฉันถึงชอบไปตกหลุมพรางแห่งรักของคนที่เรารักไม่ได้ตลอดเลย คนหนึ่งก็อยู่สูงเกินจะคว้าไขว่
และอีกคนหนึ่งที่กำลังพยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
ก็เป็นคนที่ฉันไม่เคยได้เจอหรือเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน
‘@Songsaboutyou ขอโทษนะคะ
พอดีฉันเองก็ทำงานยุ่งมากเช่นกัน ขอบคุณที่คอยเตือนให้ทานข้าวนะคะ
แต่ด้วยความที่ฉันไม่มีเวลาเลย จึงไม่ได้ทานข้าวและไม่ได้เล่นโทรศัพท์ค่ะ’
‘@Darinee เย้!!!!!! ในที่สุดก็ตอบผมแล้วดูแลตัวเองหน่อยนะครับ
อย่าลืมทานข้าวอีก กลับบ้านรึยังครับ กลับยังไงเหรอ’
‘@Songsaboutyou เพื่อนมารับค่ะ
ว่าแต่...ทำไมคุณถึงรู้สึกไม่ดีล่ะคะ’
‘@Darinee ผม...มีเรื่องให้ต้องตัดขาดกับเพื่อนรักครับ เรามีเรื่องเข้าใจผิด
และยังคงบาดหมางเกินกว่าจะให้อภัยกันได้’
‘@Songsaboutyou ใจเย็นๆนะคะคุณซง’
‘@Darinee ผมน่ะ
ไม่เคยใจร้อนด่วนตัดสินใครเลย มีแต่คนอื่นที่ชอบด่วนตัดสินผม’
‘@Songsaboutyou สู้ๆนะคะ สักวันทุกคนจะเห็นความจริงเองค่ะ’
‘@Darinee ขอบคุณครับ กลับบ้านดีๆนะ –ส่งรูปอิโมติคอนริมฝีปากจุ๊บ-‘
ฉันขมวดคิ้วอย่างรู้สึกสับสนในการกระทำของชายหนุ่มปริศนาคนนี้
พลันเหลือบเห็นเงาของใครสักคน
ค่อยๆคืบคลานเข้ามาจากด้านหลังจนทำให้สะดุ้ง
"กลับบ้านได้แล้วย่ะหล่อน"
ดงวุกพักมือไว้บนไหล่ของฉัน ก่อนจะบีบนวดเล็กน้อย
"บ้าจริง! ตกใจหมด"
พลันเอามือวางทาบหน้าอก
"ขวัญอ่อนเหรอยะ ปะกลับบ้านได้แล้ว"
"มีแกเป็นรูมเมทก็ดีเหมือนกันเนอะ
คนอื่นมองจะได้คิดว่าฉันมีแฟนหล่อมาก"
"แหวะ! ขยะแขยงอะ
อารมณ์เหมือนเลสเบี้ยน แค่คิดก็ขนลุกแล้ว กลับเถอะ"
ดงวุกเบะปากใส่ฉันเมื่อนึกภาพไปตามเนื้อเรื่อง
ก่อนที่เราสองคนจะพากันออกจากออฟฟิศนี้ไป
เรานั่งคุยหยอกล้อเล่นกันไประหว่างทางที่ดงวุกขับรถพาฉันกลับคอนโดฯ จนกระทั่งมาติดกลางสี่แยกไฟแดง
ที่ขณะนี้รถบนถนนยามค่ำคืนในกรุงโซลนั้นเริ่มมีให้เห็นบางตาเหลือเกิน
บัดนี้มีเพียงแต่รถของดงวุกและรถสปอร์ตคันหรูสีดำด้านทีจอดขนาบอยู่เคียงข้าง
จึงทำให้ดงวุกรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
"โอ๊ย! ต้องรวยขนาดไหนถึงมีเงินซื้อรถแบบนี้ขับอะเธอ"
ดงวุกสะกิดไหล่ของฉันให้หันไปมองรถคันหรูนั้นให้ได้
"คงทำธุรกิจจนรวยมั้ง?"
ครืด! ครืด!
ฉันรีบคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายหนังสีน้ำตาลเข้มใบเล็กออกมาก่อนจะกดเช็คข้อความแจ้งเตือน
‘@Darinee เย้!
ผมเลิกงานแล้ว กำลังขับรถกลับบ้านนะครับ คุณถึงหรือยังครับ
บอกผมด้วยนะครับ’
‘@Songsaboutyou ยังเลยค่ะ
ถ้าถึงแล้วจะบอกนะคะ’
‘@Darinee –ส่งรูปอิโมติคอนริมฝีปากจุ๊บ-‘
อีกแล้ว…..
"อยากเห็นหน้าคนขับจัง จะหล่อขนาดไหนอะ
คิดดูสิแก"
ดงวุกเอาแต่จ้องรถคันหรูที่ติดฟิล์มกระจกสีดำมืดสนิทไปทั้งคันรถ พลันขยำไหล่ของฉันเพื่อระบายอารมณ์ตื่นเต้นนี้
จ้องมองรถคันหรูอย่างไม่ละสายตา
"คนรวยมักไม่หล่อฉันบอกเลย"
ฉันกอดอกนั่งมองดงวุกแสดงสีหน้าเย้ยหยันเล็กน้อย
"แกนี่นะ ขัดความสุขของฉันอยู่เรื่อยเลย
ฮึ่ย!"
รถสีดำด้านคันหรูนั้นก็ขับแล่นจากไปอย่างรวดเร็วในทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
จึงทำให้ฉันได้เห็นเลขทะเบียนรถอย่างชัดเจน....
'นี่มันรถของเดย์นี่!'
ความรู้สึกจุกอกกลับมาอีกครั้ง....
อยากลืมกลับจำ
อยากหนีก็หนีไม่พ้น
อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้นะ?
--------------------------------------------------
‘มินซู...จะฆ่าตัวตายเพราะเราอย่างนั้นเหรอ'
ได้ยินดังนั้นมันก็ทำให้ผมถึงกับทรุดตัวนั่งชันเข่าลงในทันที
ก่อนจะเริ่มรู้สึกจุกและตัวชาจนพูดแทบไม่ออก
'ไม่จริง... เดย์มันโกหกใช่ไหม
มินซูจะคิดสั้นทำไมกัน'
บัดนี้สายตาทุกคู่เริ่มจับจ้องมาที่ผม
พวกเขาค่อยๆทยอยเดินออกจากห้อง พลางเอามือบีบไหล่เพื่อเป็นกำลังใจ
"พวกแกนี่จริงๆเลย ทำไมไม่คุยกันดีๆ
มัวใช้อารมณ์คุยกันแบบนี้แล้วมันจะเข้าใจกันสักทีไหม" ซงโฮทิ้งท้ายพลางส่ายหัวอย่างเอือมระอา
ก่อนจะเดินจากไปเป็นคนสุดท้าย ทิ้งให้ผมมองมือที่สั่นระรัวด้วยอารมณ์โทสะปะปนกับอารมณ์เศร้า
ผมโกรธตัวเองที่โง่ จนความโง่นั้นได้ทำลายแก้วความสัมพันธ์อย่างแตกละเอียดยากที่จะมีใครมาประสานรอยร้าวนี้ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้
คนที่เลวที่สุด มันอาจเป็นผมเอง.....
ผมรีบคว้าโทรศัพท์มือถือที่ตกพื้นขึ้นมาเช็คดูความเคลื่อนไหวของสื่อโซเชียล
จนได้เห็นข้อความใหม่ถูกส่งมาจากผู้หญิงอันเป็นที่รักของผม อย่างน้อยการมีเธออยู่เคียงข้างแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นและอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ทว่า....
'จีซุน เราถอนหมั้นกันเถอะ'
ข้อความล่าสุดที่ผมได้รับจากเธอมันทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน
พาลหมดเรี่ยวหมดแรงจนเผลอทำโทรศัพท์ตกอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เธอจะรู้บ้างไหม? เนื้อความเชิญชวนของเธอนั้นกำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น...
ในทันทีที่รถตู้สีดำคันหรูของบริษัทฯจอดลงที่หน้าคอนโดฯ ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงภวังค์
ที่กำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดจนกระทั่งตอนนี้ เมื่อได้สติแล้วจึงไม่รีรอที่จะรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องทันที ผมคิดง่ายมาก แค่เพียงหวังจะได้เจอร่างเล็กผู้ซึ่งเป็นเสมือนดวงใจ
ผมรู้ตัวแล้วว่าผมได้ทำพลาดไป และผมเข้าใจ หากเธอจะไม่ยอมให้อภัยกับสิ่งที่ผมทำ
ผมยอมให้เธอโกรธผมเป็นปี
ดีกว่าต้องมารู้ว่าเธอจะไม่ยืนอยู่เคียงข้างของผมอีกต่อไปแล้ว ทว่าผมมาช้าเกินไป
ดูเหมือนมันจะสายเกินไป เมื่อผมเปิดห้องมาเพื่อสอดส่องตามหาดวงใจ
กลับต้องมาพบกับความเป็นจริง เธอได้เก็บเสื้อผ้า
เก็บของใช้ส่วนตัวของเธอออกไปจนหมด ไม่เหลืออะไรไว้ให้ผมได้ชื่นชมหรือเก็บไว้ดูต่างหน้า
เธอจากผมไปแล้ว
ปกติถอนหมั้นกันเขายังต้องได้เจอหน้ากันก่อนไม่ใช่หรือ?
ทว่าดวงใจของผมกลับหนีหายไปไม่ลาสักคำ
ภาพของห้องที่กว้างใหญ่แต่กลับว่างเปล่าเพราะไร้เงาของมินซูทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน ผมก้มตัวลงทุบกำปั้นร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
ราวกับมีใครสักคนกำลังเอามีดค่อยๆกรีดแทงลงไปที่หัวใจของผมทีละแผลสองแผลจนกลายเป็นแผลฉกรรจ์ไปทั่วตัว
มันเจ็บ....
เจ็บยากเกินบรรยาย....
------------------------------------------------------
แกร๊ง!
"หมดแก้วเว้ย!"
เสียงกลุ่มแก้วกระทบกันกลางร้านเนื้อย่างชื่อดังแห่งหนึ่งย่านเมียงดง ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องแหล่งช้อป
กิน เที่ยว ของกรุงโซล
ก่อนที่ผู้ถือแก้วนั้นจะเทกรอกน้ำสุราสีใสเข้าปากไปจนหมดเกลี้ยง พลันทำหน้าเหยเกเพราะพิษของมันได้ทำให้พวกเขารู้สึกแสบร้อนไปถึงทรวง
"โซจูนี่กินกับอะไรก็อร่อยเนอะ"
เคนคีบชิ้นเนื้อที่ถูกย่างค้างไว้บนเตากระทะทรงสี่เหลี่ยมเข้าปากเคี้ยวตุ่ยๆ
"เฮ้อ! ทำไมพี่กินอะไรก็ไม่ค่อยอร่อยเลยวะช่วงนี้"
ซงโฮนั่งเท้าคางอย่างเหม่อลอย
"อึดอัดจังเลยโว้ย!
เมื่อไหร่พวกเราจะกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิมสักที" ซงโฮขยำผมตัวเองจนกระเซอะกระเซิง
"ถ้าไอ้เดย์ถึงขั้นกลับมาเก็บเสื้อผ้าข้าวของออกไปอยู่รังหนูที่เดิมของมันขนาดนี้แล้ว
ฉันบอกได้เลยว่ายาก"
เนลสันเทโซจูพลางกระดกเข้าปากไปอีกช็อต
"ไม่เข้าใจเลยวะพี่เนล
นี่ก็ผ่านมาสามอาทิตย์ได้แล้วตั้งแต่ที่ผมเรียกให้พวกเรามาเคลียร์ปัญหากันที่ห้องแต่งตัว
ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าถ้ามาซ้อมดนตรีครบคนทีไรนะ บรรยากาศมาคุทุกที"
"ทำยังไงได้ ....เดย์มันก็มีศักดิ์ศรีของมัน มันก็ได้แต่ยืนกรานว่ามันบริสุทธิ์ใจ
แต่เรื่องนี้พวกเราก็รู้เรื่องแค่ผิวเผินเท่านั้น มันก็...พูดยากว่ะ"
เนลสันใช้ตะเกียบเขี่ยเนื้อย่างบนเตากระทะอย่างเหม่อลอย
"แต่ผมสงสารจีซุนว่ะพี่
ช่วงนี้ดูมันเงียบผิดปกติ วันนั้นที่ชวนผมไปกินเหล้าด้วย
มันก็เอาแต่กระดกเหล้าจนเมา ระบายกับผมว่าโดนเมียทิ้งแล้ว
ถึงมันจะไม่พูดอะไรมาก แต่ผมก็พอจะเดาได้อยู่หรอก คิดดูสิว่าไอ้เดย์ก็รีบเก็บข้าวของย้ายออกไปไม่กี่วันให้หลัง
มันก็คิดได้แค่มุมเดียวเท่านั้นแหละว่า..."
"ว่าอะไรพี่โจ... หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ!" เคนใช้ตะเกียบชี้หน้าโจอย่างหัวเสีย
"แกจะทำไมห้ะ! ก็มันชัดเจนขนาดนี้แล้ว มันจะคิดเป็นอะไรไปได้อีก
จะเข้าข้างใครก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ พอพูดถึงไอดอลของแกเข้าหน่อยนี่แตะไม่ได้เลยเหรอไง
มันเป็นใครวิเศษวิโสมาจากไหน?" โจเชิดหน้าขึ้นพลางเอ่ยปากถามเชิงหาเรื่อง
"แต่ก็ไม่มีหลักฐาน พี่จะมาปักใจเชื่อว่าพี่เดย์ทำเลวแบบนั้นมันก็ไม่ถูกนะเว้ย!"
"พอได้แล้ว! แค่จีซุนกับเดย์ทะเลาะกันฉันก็ปวดหัวจะแย่แล้ว
พวกแกยังจะมาทะเลาะอะไรกันอีก..."
ซงโฮยกมือปรามศึก ทำให้ชายทั้งสองคนหยุดชะงักกันไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะเทโซจูลงในแก้วของตัวเองพลางยกแก้วดื่มจนหมด
"ถามหน่อยเถอะ
แกอยู่กับเดย์เยอะกว่าใคร ไปช่วยมันขนของกลับรังหนูขนาดนี้
มันไม่พูดถึงเรื่องมันกับมินซูบ้างเลยเหรอ"
เคนส่ายหัวเป็นคำตอบ ซงโฮจึงทำสีหน้าเคร่งเครียดเพราะสถานการณ์ในวงไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้ว่าจะมีงานให้วงร็อกของพวกเขาได้แสดงฝีมือ
และสร้างความบันเทิงมากมายหลายเวทีในช่วงนี้ก็ตาม ทว่าศิลปินภายใต้ความดูแลของเขาก็ยังคงสามารถรักษามาตรฐานในการเล่นดนตรี
และสร้างความบันเทิงได้อย่างไร้ที่ติเช่นเคย
ไร้ร่องรอยให้เหล่าแฟนเพลงได้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยถึงฉากเบื้องหลังความบาดหมางที่เกิดขึ้นภายในวง
แต่ถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สักวันพวกเขาเองนั่นแหละที่จะทนอยู่ต่อไปไม่ไหว จนเป็นอันต้องเลิกราและแยกย้ายไปตามทางเดินของใครของมัน
ซึ่งเขาไม่อยากให้มีวันนั้นเลย
"แต่เท่าที่ผมใช้เวลาอยู่กับพี่เดย์
ผมไม่เคยเห็นพี่มินซูแวะมาหาเลยนะ บางวันผมไปคอนโดฯพี่เดย์โดยไม่ได้โทรบอกด้วยซ้ำ
ก็ไม่เห็นพี่มินซูอยู่ดี ...ถ้าพวกเขาแอบเป็นชู้กันจริงๆ
มันต้องมีหลุดบ้างสิพี่"
"ก็เรื่องมันพึ่งเกิด...ใครจะหิ้วผู้หญิงมากินให้แกเห็นเล่า" โจยังคงเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอยู่แบบนั้น
"แปลกดีนะ...พี่เดย์ไม่เคยเพ้อหาชู้ของตัวเองเลย
แต่ดันกลับไปเพ้อหาผู้หญิงที่เขาไปเที่ยวด้วยกันที่โอซาก้านู่น"
ต่อให้เคนจะพยายามอธิบายให้ตายก็คงไม่มีใครเชื่อลมปากของเขาอย่างจริงจัง
เพราะตอนนี้ทุกคนมัวแต่สนใจขวดโซจูตรงหน้า
พลางรินใส่แก้วตัวเองแล้วกระดกเพิ่มไปอีกคนละกึ๊บ เขาจึงถอนหายใจด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายพลันลุกขึ้นอย่างหัวเสีย
เขารู้ดีว่าอย่างไรก็ไม่มีใครคิดฟังความคิดเห็นของเขากันอยู่แล้ว
"ผมกลับล่ะ"
"อ้าวเฮ้ย! อะไรของแกวะ
ทำไมรีบกลับ"
“เบื่อ”
เคนกระชับฮู้ดสีขาวที่ถูกเย็บเชื่อมกับแจ็คเก็ตยีนส์สีอ่อนขึ้นมาปกปิดผมของเขา
ก้าวฉับไปคว้าหมวกกันน็อคสีดำด้านมาสวมแล้วจึงสตาร์ทรถชอปเปอร์สีดำสนิทและขับมุ่งหน้าออกจากร้านในทันที
“อะไรของมันวะไอ้เด็กคนนี้”
ความคิดเห็น