คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 10
CHAPTER 10
เสียงพิมพ์ดีดต๊อกแต๊กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดภายในอพาร์ทเมนท์สไตล์วินเทจที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนที่เข้าชุดกัน
บัดนี้ฉันกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่บนโต๊ะกินข้าวลายหินแกรนิตที่ทำงานประจำของฉันอย่างเคร่งเครียด
"งานเธอยังไม่เสร็จอีกเหรอ
ให้ช่วยไหม"
เสียงใหญ่ดังขึ้น
ก่อนที่แก้วโกโก้ร้อนจะถูกวางลงตรงหน้าฉัน
"ช่วยก็ดีสิ แล้วเธอไม่กลับบ้านหรือไงดงวุก"
ฉันหยิบโกโก้ขึ้นมาจิบแก้กระหาย สายตายังคงจับจ้องที่ตัวหนังสือภาษาเกาหลีบนหน้าจอโน้ตบุ๊ค
"เฮ้อ!...ฉัน...ว่าจะคุยกับเธอเรื่องนี้แหละ"
ร่างสูงลากเก้าอี้ไม้อีกตัวที่สอดไว้ใต้โต๊ะกินข้าวอีกด้าน ก่อนจะเขยิบมานั่งข้างกัน
พลันก้มหน้ามองมืออย่างครุ่นคิด สีหน้าดูเป็นกังวล จนฉันต้องหยุดงาน จึงวางแก้วโกโก้ร้อนเพื่อหันมาฟังเขา
"คือ.....ฉันทะเลาะกับแบร์.....เราไม่คุยกันมาเดือนหนึ่งแล้วทั้งๆที่อยู่ด้วยกัน"
น้ำตาใสเริ่มไหลรินอาบแก้มของเขาอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันรีบปลอบด้วยการกุมมือฟังเขานิ่งๆ
"แล้ววันนี้.... เขามาบอกว่าเราควรห่างกันสักพัก ทำไมเขาทำกับฉันแบบนี้
ดาริณ ฉันทำอะไรผิดอะไร....ฮือ
เขาพูดมาซะขนาดนี้ฉันจะอยู่ต่อได้ยังไง"
ฉันคว้าเขาเข้ามาซบที่อก
ลูบผมปลอบปะโลมอย่างเห็นอกเห็นใจ
"ฉันเข้าใจเธอนะดงวุก เดี๋ยวมันคงมีทางออก ค่อยๆคิดนะ"
"ฉันไม่มีที่ไป ฉันขอย้ายมาอยู่กับเธอไปก่อนได้ไหม ฉันอึดอัด ฉันอยู่แบบนั้นไม่ไหว
ขอร้องล่ะ"
"ไม่มีที่ไปก็อยู่เป็นรูมเมทของฉันไปก่อนสิ
ห้องฉันตั้งกว้าง อยู่คนเดียวมันก็เหงา
มีเธอมาอยู่ด้วยมันคงดีนะ"
ฉันฉีกยิ้มหวานให้แล้วจึงใช้นิ้วปาดน้ำตาของเขา
"ไม่อยากกลับก็อยู่นี่แหละ..."
"ขอบคุณนะดาริณ ไม่มีเธอฉันก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ไหนๆ
ดูงานของเธอหน่อย มาสิเดี๋ยวทำต่อให้"
เขารีบเด้งลุกขึ้น พลันให้ความสนอกสนใจที่หน้าจอโน้ตบุ๊คของฉันในทันที
"ถ้าไม่ลำบากเธอ
ฉันขอรบกวนเธอด้วยนะดงวุก"
"ไม่ลำบากเลย มาฉันช่วยนะ"
"งั้น....ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"
เขาพยักหน้าตอบรับ วางสายตาจับจ้องไปที่ตัวหนังสือบนหน้าจอโน้ตบุ๊คอย่างเคร่งเครียดบ้าง
ฉันคว้าโทรศัพท์ในเคสลายสกรีนรูปกีตาร์ไฟฟ้าสีแดง ร่ายนิ้วเคลื่อนหน้าจอเพื่อเช็คสื่อโซเชียล
หลังจากที่ไม่มีเวลาแตะมันเลยตั้งแต่ที่คนตาเฉี่ยวยึดโทรศัพท์ฉันไปไว้ในครอบครองตอนอยู่โอซาก้าด้วยกันจนมาถึงตอนนี้
มันปรากฏข้อความของชายปริศนาคนเดิมนามว่า
‘ซง’ ที่ส่งมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบนับตั้งแต่กลับมาจากโอซาก้าหมาดๆได้
‘@Darinee เป็นยังไงบ้างครับ
ไม่ได้คุยกันเลย คุณได้ฟังซิงเกิ้ลใหม่ของวงชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์
หรือยังครับ’
มันอาจดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว
แต่ฉันคิดว่าควรตอบกลับไปเป็นพิธีคงไม่น่าเกลียดนัก
‘@Songsaboutyou ก็...สบายดีค่ะ ยังไม่ได้ฟังเลยค่ะ ฉันไม่มีเวลาเลย ทำแต่งาน คุณได้ฟังแล้วเหรอคะเป็นยังไงบ้าง’
ตึง!
เสียงเตือนโทรศัพท์ดังขึ้นแทบจะในทันทีที่ฉันส่งข้อความกลับไป
‘@Darinee งั้นลองฟังนะครับ
ผมยุ่งๆอยู่ ไว้จะมาคุยใหม่นะครับ พักผ่อนบ้างนะครับ
อย่าหักโหมล่ะ’
‘@Songsaboutyou ค่ะ’
ฉันหลุดอมยิ้มให้กับข้อความที่แสดงสีท่าราวกับเป็นห่วงเป็นใยของชายหนุ่มแฟนคลับปริศนานามว่า
"ซง"
ซึ่งในบางมุมของเขานั้นก็แอบทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจอยู่ไม่น้อย
ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำ
พลางเลื่อนนิ้วบนหน้าจอดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเดินมาถึงโต๊ะกินข้าว
"ถึงไหนแล้ว เสร็จแล้วเหรอดงวุก"
ฉันใช้มือเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งประจำที่เดิมเช่นเคย พลันให้ความสนใจกับสิ่งที่ดงวุกกำลังอ่านอยู่
"ตอนนี้ก็เหลือสามหน้าสุดท้ายเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว
เธอไปนอนพักเถอะ" เขายังคงง่วนอ่านอะไรบางอย่างต่อไปโดยไม่สนใจที่จะหันมามองฉันเลย
"ถ้าไม่มีเธอฉันแย่แน่เลย
ขอบคุณมากเลยนะดงวุก" ฉันซบไหล่เขาอย่างอ้อนๆ
"ก็....แลกกับที่ซุกหัวนอนก็ถือว่าคุ้มนะ"
เขาจ้องมองฉันแล้วเท้าคางพลางยกยิ้มให้เล็กน้อย มันเป็นภาพที่น่ารักเกินบรรยาย
ชายหนุ่มร่างสูงสมส่วนในเสื้อเชิ้ตรัดรูปสีครีมและกางเกงยีนส์สีเข้ม
เขามีหน้าตาคมคายไปเสียทุกส่วน คิ้วหนาเข้มรับกับดวงตากลมโต ส่วนจมูกโด่งนั้นก็เข้ากันกับปากอวบสวยได้รูป เขาไว้ผมรองทรงต่ำสีดำสนิท
เส้นผมหยักศกถูกหวีปาดข้างให้ดูเนี้ยบในแบบฉบับผู้ชายสมาร์ท
ซึ่งขัดกับอากัปกริยาอันแสนอ่อนหวานนี้โดยสิ้นเชิง
"แล้วนี่อ่านอะไรอยู่เหรอ"
"ซุบซิบดาราอะ..... เขาเมาท์กันให้แซดเลยว่า นักร้องนำวงดนตรีตัวย่อซีแอบหนีบสาวไปกินตับที่ญี่ปุ่น...
เหมือนจะมีภาพหลุดแต่โดนลบไปแล้วละ ฮึ่ย! เสียดาย"
ฉันยืนอึ้งให้กับสิ่งที่พึ่งได้ยินอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะรีบสะบัดหัวตัวเอง รู้สึกไม่อยากเชื่อหู
'ข่าวมันดังมากขนาดนี้เชียวหรือ'
"ฉันว่าฉันจะหาภาพหลุดมาส่องดูสักหน่อย
แต่หายากมากเลย...ดูเหมือนว่าเขาจะลบไปหมดแล้ว"
"อย่ามัวเสียเวลาหาเลย...คงไม่มีภาพอะไรหรอก ฉันไปนอนก่อนนะ" ฉันรีบตอบกลับไป
แต่สายตาของฉันกลับวอกแวกด้วยความกระวนกระวายใจยากเกินอธิบาย
"เพลียก็ไปนอนเถอะดาริณ
เดี๋ยวฉันทำงานให้"
"เสื้อผ้าอยู่ในตู้นะ
ยังพอมีเสื้อผ้าของแฟนเก่าอยู่บ้าง น่าจะใส่ด้วยกันได้...ลองดูนะ"
"หา? เธอเก็บเสื้อผ้าแฟนเก่าไว้ทำไมกัน"
เขาพลันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
"จะเผาทิ้งก็เป็นมลพิษ จะเอาไปบริจาคก็เสียดายราคา
หึ!"
ฉันยังคงจำภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน วันที่ “พิศณุ”
หรือ “พีท” ผู้ซึ่งอดีตนั้นเคยเป็นคู่หูทำวิจัยสมัยเรียนปริญญาโทที่เกาหลี
เขาเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดี ผิวสีแทนผ่องใสนั้นทำให้ใบหน้าคมที่มีดวงตาสองชั้นกลมโต
ริมฝีปากบางที่มีเคราขึ้นประปรายโดยรอบของเขานั้นน่ามองจนดึงดูดฉันให้เข้ามาติดกับความรักจอมปลอมของเขาได้
ภาพในความทรงจำยังคงชัดเจน เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันในขณะที่เรากำลังทานดินเนอร์ร่วมกันในยามค่ำคืน
ณ ร้านอาหารชื่อดังในโซลทาวเวอร์ วิวทิวทัศน์เบื้องล่างที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟระยิบระยับราวกับแสงดาวบนท้องฟ้าสร้างบรรยากาศสุดโรแมนติกชวนน่าหลงใหล
มือใหญ่คว้ามือของฉันไปประทับจูบ
ก่อนจะค่อยๆสวมแหวนเพชรบนนิ้วนางเรียว รู้ตัวอีกทีฉันก็โดนเขาจับหมั้นเสียแล้ว...หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย จนกระทั่งไปเจอรูปแต่งงานของเขากับสาวในที่ทำงานเดียวกัน
เสมือนมีคมมีดมากรีดแทงหัวใจให้เลือดไหลอย่างเชื่องช้า เราหมั้นกันไปทำไมหากอย่างไรเขาก็จะไปแต่งงานใหม่
ฉันเฝ้ารอคอยเขามาตลอดเพื่ออะไร?
"เลิกกันไม่ดีเหรอ
ถึงได้ดูแค้นขนาดนี้"
"เฮ้อ! อย่าไปพูดถึงคนพันธุ์นั้นเลย
ฉันไปนอนดีกว่า... สู้ๆนะดงวุก"
ไม่รีรอให้ดงวุกได้ชวนคุยต่อ
พลันรีบหันหลังกลับเข้าห้องนอนของฉันไปในทันที
'มีข่าวหลุดแบบนี้....เดย์จะเป็นยังไงบ้างนะ เป็นห่วงจัง แต่เราก็ทำถูกแล้วไม่ใช่หรือที่เดินจากมา'
ภาพของคนตาเฉี่ยวนั้นได้คืบคลานกลับเข้ามาในห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึงอีกครั้ง
มือกลับซนอยากกดโทรศัพท์ดูอัลบั้มภาพถ่ายของเราสองที่เที่ยวด้วยกันในเมืองโอซาก้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น สายตาจับจ้องมองรูปที่เราสองถ่ายคู่กัน
โดยที่ฉันอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของชายร่างสูงโปร่งในเสื้อลายสก็อต หัวของเราสองซบกัน
แสดงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหวานให้กับกล้องที่ชายร่างสูงเป็นคนถือ
'อยากได้มือถือคืนไหม....ดาริณต้องจูบผมก่อน'
ชายร่างสูงโปร่งวางตาเฉี่ยวทรงเสน่ห์จ้องมองมาที่ปากอวบของฉัน พร้อมกัดปากตัวเองราวกับกำลังหิว
'บอกแบบนี้มากี่รอบแล้วก็ไม่เห็นจะได้คืนสักรอบเลย
แถมเดย์ยังได้จูบฟรีอีก....'
'แต่รอบนี้ผมจะคืนให้จริงๆนะครับ....ถ้าดาริณยอมจูบผมดีๆ' เขาแสดงสีหน้าราวกับจริงจังในสิ่งที่พูด
ฉันโอบคอหนาของเขาก่อนจะก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน พลันถูกเขาใช้สองมือเรียวใหญ่ประคองใบหน้าของฉันเอาไว้
ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วบรรจงจูบอย่างโหยหา จนฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างกาย
'เอาคืนมาได้แล้วค่ะ' ฉันรีบผละจูบก่อนจะแบมือทวงโทรศัพท์มือถือคืนในทันที
'ไม่ให้...ฮ่าๆ'
ไม่ให้ไม่พอ ยังมาทำหน้าทะเล้นใส่
จึงโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดลงไปที่แขนแรงๆหนึ่งที
'โอ๊ย! สามีเจ็บนะครับ'
เขาทำหน้าราวกับเจ็บปางตายจนหน้าหมั่นไส้
ฉันจึงง้างมือขึ้นอีกครั้งอย่างหาเรื่อง
'ไม่เอาไม่ดุสิครับดาริณ
เรามาถ่ายรูปกันดีกว่า...เก็บไว้ในมือถือของคุณ...เวลาคิดจะมีคนอื่นจะได้มีภาพของผมเตือนใจว่าคุณมีสามีและลูกแล้ว'
ฉันอดไม่ไหว ฟาดฝ่ามืออรหันต์ลงบนอกหนากำยำของเขาแรงๆหนึ่งที
คำพูดแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของเขามันฟังดูน่าหมั่นไส้เสียเกินทน
'นี่แหนะ! คนมีน้ำยาเขาไม่พูดมากหรอกนะ'
'ตีอีกแล้วดาริณอ่า....ผมเจ็บนะครับ’
‘เฮ้อ! .....มาถ่ายรูปกันเถอะครับ'
เขาโอบไหล่ฉันก่อนจะยื่นกล้องออกไปเพื่อเก็บภาพของเรา
ภาพในวันวานยังคงฉายซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ทว่าสิ่งที่ทำได้คือการปาดน้ำตาที่ไหลรินทิ้งไปพอให้หายปวดใจ
ก็... ฉันรักเขาไม่ได้
---------------------------------------------------------------
"มินซู!"
ผมตะโกนเรียกเธอพลางเดินมองหาร่างเล็กในทันทีที่ผมไขกุญแจห้องเข้าไปได้ ในที่สุดผมก็เจอเธอนั่งจ้องมีดปลอกผลไม้ในมือของเธออยู่ในห้องครัว
"เฮ้ย! ยัยต๊อง
จะทำอะไรน่ะปล่อยมีดเดี๋ยวนี้"
ผมรีบถลาวิ่งเข้าไปคว้ามีดในมือของเธอออกมา
เพราะกลัวว่าเธอจะคิดสั้นจริงๆ
"ปล่อยฉันนะ เดย์!" เธอไม่ยอม แต่กลับยังคงดิ้นรั้งมือที่ถือมีดไว้กับเธออยู่แบบนั้น
"มินซู! ปล่อย!
เธออย่าบ้าไปหน่อยเลยน่า!"
ในที่สุดเธอก็แพ้แรงผู้ชายอย่างผม
และยอมส่งมีดคืนให้แต่โดยดี
ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
"ฮือ...เดย์....ฉันมันคนขี้ขลาด....ขนาดจะฆ่าตัวตายยังไม่กล้าทำเลย"
มินซูโผเข้ากอดผมร้องไห้ฟูมฟาย
"เปล่าเลย
เธอกล้าหาญมากต่างหาก...ผู้ชายคนเดียว
เธอจะตายเพื่อเขาทำไม....ขนาดเขายังไม่เห็นอยากตายเพื่อเธอเลยมินซู
อย่าทำแบบนี้อีกนะ"
ผมจับไหล่เธอให้ห่างออก
เพื่อที่จะทำให้ผมได้มองเธออย่างถนัด
"อย่าให้คุณค่ากับคนที่ไร้ค่า...จำไว้มินซู"
"เดย์....ฮือ....ฉันเจ็บเหลือเกิน...ทำไมฉันต้องรักเขามากขนาดนี้
รู้ทั้งรู้ว่าจีซุนเจ้าชู้...."
"ฉันเข้าใจเธอนะ....จะให้เลิกรักใครสักคนมันทำได้ยาก....ฉันเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน"
ผมมองเหม่ออย่างไร้ทิศทางเมื่อนึกถึงเรื่องราวความรักของตัวเอง ผมรู้สึกปวดร้าวไม่ต่างจากเธอในตอนนี้สักเท่าไหร่
น้ำตาลูกผู้ชายกลับรินไหลอาบแก้มบ้างอย่างไม่อาย
"เดย์...เธอเป็นอะไร"
"ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครแล้ว ฉันเหลือเธอเพียงคนเดียวที่เป็นเพื่อนของฉัน"
"เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น!"
"เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ...ปลอบใจฉันก็พอแล้ว"
ผมกระชับกอดมินซูแน่นแฟ้น หลับตาพลันปล่อยให้น้ำใสๆไหลรินอาบแก้ม
ผมรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน
"เฮ้อ! เราไปขับรถเล่นกันไหม...."
ผมผละกอดจากเธอ
แล้วจึงใช้นิ้วเรียวจิ้มที่หัวตาเพื่อให้น้ำตาที่ไหลรินนั้นแห้งเหือด
“ฉันไม่อยากมีปัญหากับใครอีก...”
"ได้โปรดเถอะเดย์
ฉันได้หยุดตั้งเกือบเดือน แต่ดันกลับต้องมาใช้ชีวิตเส็งเคร็งอยู่ในคอนโดฯ
เพื่อรอให้ใครสักคนแวะมาหา แต่เขาก็ไม่มา...."
ผมก้มลงมองมือตัวเองอย่างครุ่นคิด
“ฉันอยากออกไปสูดอากาศบ้าง พาฉันไปเถอะนะ”
"เฮ้อ! เอางั้นก็ได้..."
ผมขับรถพามินซูวนรอบเมืองในยามค่ำคืนเงียบสงัดนี้อย่างไร้จุดหมาย เราสองคนได้แต่นั่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่
เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเราทั้งคู่นั้นได้สร้างรอยแผลสดที่ยังยากเกินเยียวยาให้หายในเร็ววัน
พลันรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง
"เดี๋ยวเราจะแวะริมแม่น้ำฮันกันนะ
ฉันอยากเล่นกีตาร์ว่ะ"
เธอพยักหน้าให้ผมได้ทำตามใจ
ในที่สุดผมก็ขับพามินซูมาถึงริมแม่น้ำฮันดั่งที่ตั้งใจไว้ ก่อนจะเอี้ยวตัวหยิบกระเป๋ากีตาร์คู่ใจและเปิดประตูลงจากรถสปอร์ตสีดำด้านของผม
บรรยากาศยามค่ำคืนของริมฝั่งแม่น้ำฮันช่างแตกต่างจากตอนกลางวันที่เราพบเห็นได้โดยสิ้นเชิง
ผู้คนที่เคยเดินกันอย่างขวักไขว่บัดนี้เหลือไว้เพียงแสงสลัวที่ส่องเงากระทบเราเพียงแค่สองคน
อากาศในฤดูร้อนตอนกลางวันกลับแปรเปลี่ยนเป็นสายลมเย็นที่โบกโชยพัดมากระทบใบหน้าของเราจนทำให้เส้นผมปลิวไสวไปตามแรงลม
สามารถสร้างบรรยากาศชวนเหงาให้กับเราได้อย่างน่าประหลาด
พวกเราหาที่นั่งจับจองบนลานกว้างใต้เสาไฟที่สองแสงไฟสลัว
ก่อนจะนั่งมองผืนน้ำสีดำมืดตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
บรรยากาศชวนเหงาพลันทำให้ผมต้องหยิบกีตาร์รุ่นมาร์ติน
มาร์คัสซาร์ที่ดาริณเป็นคนเลือกให้ผม นั่งจับคอร์ดดีดเล่นจนกระทั่งผมนึกถึงเพลง
Feel ของ Robbie Williams ที่ผมชื่นชอบขึ้นมาได้
มันเป็นเพลงที่ผมจะร้องทุกครั้งในยามที่ผมรู้สึกอกหัก หรือรู้สึกเหงาจับใจเช่นตอนนี้ ลมพัดโชยมาพอทำให้เราสองรู้สึกสงบใจขึ้นมาได้บ้าง ผมจึงวางมือจากกีตาร์และก้มมองมันอย่างเศร้าซึม
เพราะกีตาร์ตัวนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีดาริณอยู่เคียงข้างกายตลอดเวลา
ต้องขอบคุณมินซูที่คิดแทรกคำถามขึ้นเพื่อทลายความเงียบสงัดนี้ลง
มิเช่นนั้นผมคงน้ำตาตกในอีกครั้งแน่
"สรุป....แกจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น
ยังเล่าให้ฉันฟังไม่จบเลยตั้งแต่วันนั้น"
"เฮ้อ! เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งจีซุนและทุกคนในวงคิดว่าฉันเป็นชู้ของเธอ"
"ห้ะ? ทุกคนในวงเลยเหรอ
บ้าน่า! พวกเราเนี่ยนะจะเป็นชู้กัน เอาอะไรคิด ....สิ้นคิดที่สุด"
คนตัวเล็กนั่งขัดสมาธิทำหน้ามุ่ยอย่างรู้สึกหงุดหงิดอยู่ข้างผม
"จะโทษพวกเขามันก็ไม่ถูกหรอก....พวกเขาไม่เคยรู้เลยนี่นาว่าเราสนิทกันขนาดนี้ได้ยังไง"
ผมก้มหน้าลงมองพื้น พลางใช้นิ้วเขี่ยพื้นปูนซีเมนต์อย่างครุ่นคิด
"งั้นจะให้ฉันไปช่วยอธิบายกับพวกเขาด้วยไหม
ฉันยินดีนะ"
"ไร้ประโยชน์...ไม่มีใครมองว่าชายกับหญิงจะเป็นเพื่อนกอดคอกันได้โดยไม่มีอะไรกัน
ดูอย่างจีซุนที่ต่อยฉันซะน่วมอย่างวันนั้นสิ" ผมนั่งขัดสมาธิ
พลางเท้าคางมองผืนน้ำสีดำตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
"งั้นเราจะทำยังไงกันดีล่ะเดย์ เรามีกันแค่นี้ ฉันไม่มีเพื่อนคนไหนที่สนิทใจเท่ากับแกอีกแล้ว แกเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ
เราจะเจอกันอีกไม่ได้อย่างนั้นเหรอ มันไม่ยุติธรรมเลย"
"ไม่มีอะไรยุติธรรมสำหรับพวกเราอยู่แล้วล่ะ"
ผมก้มลงมองพื้นอย่างเศร้าสร้อย สายตาจับจ้องอยู่ที่ผืนปูนซีเมนต์ราวกับจะกลืนกิน
"เรื่องนั้นช่างมันเถอะ
เธอช่วยอะไรฉันสักอย่างสิมินซู" ผมหันมองมินซูด้วยสายตาอ้อนวอน
"ว่ามาสิ"
"เธอช่วยฉันตามหาผู้หญิงที่ฉันเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม..."
"แล้วเราจะตามหาผู้หญิงของเดย์ได้ยังไงกันล่ะ"
มินซูคิ้วขมวดอย่างสงสัย
ผมใช้นิ้วเขี่ยพื้นพลางครุ่นคิดแต่กลับคิดไม่ออก
"มินซู...ฉันควรจะเริ่มจากตรงไหนดี
ทางเดียวที่ฉันจะติดต่อกับดาริณได้ตอนนี้ มีเพียงแค่ผ่านยูเซอร์เนมหลอกที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อคุยกับเธอ
แต่เธอก็ไม่ค่อยใส่ใจจะตอบฉันนักหรอก"
ผมคว้ามือเล็กของมินซูมากุมไว้อย่างอ้อนวอน จากนั้นจึงคลำหาโทรศัพท์แล้วจึงยื่นให้เธอดูทั้งภาพถ่ายและข้อความเก่าๆที่ผมมักส่งให้ดาริณ
มินซูจึงเริ่มนั่งไล่อ่านมัน
"แกต้องค่อยๆจีบเธอสิรู้ไหม
นี่ฉันนั่งอ่านแล้วก็ตลกชะมัด ยังไม่ทันไรก็ชวนผู้หญิงเธอออกมาเที่ยวทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน
แล้วใครมันจะกล้าออกมาเจอเล่า ...บ้าจริง"
มินซูยกยิ้มก่อนจะหลุดขำออกมาเล็กน้อย ส่วนผมรู้สึกอายและหงุดหงิด
"ก็ฉันไม่รู้ว่าต้องจีบผู้หญิงยังไงนี่
ผู้หญิงที่ฉันคบคนแรกก็คือเธอจริงไหม
ฉันก็อยู่ของฉันเฉยๆแล้วเธอก็เข้ามาเองนี่หว่า
หลังจากนั้นก็ไม่ได้คบใครจริงจังอีกเลย มีแต่เดทไปวันๆ"
"โอ๊ย! แกนี่จริงๆเลย ต้องให้สอนทุกเรื่องเลยรึยังไง"
ผมโดนมินซูผลักหัวเบาๆ
"ก็ฉันจีบใครไม่เป็นนี่เธอก็รู้
ผู้หญิงที่ผ่านมานอกจากเธอก็ไม่มีใครได้เป็นแฟนของฉันอีกเลยนะ
เดทได้ไม่ถึงห้าครั้งแล้วก็จบ" ผมนั่งก้มหน้ามองพื้นอย่างรู้สึกเบื่อหน่ายในความเป็นตัวเองของผมเสียเหลือเกิน
"แล้วที่มีอะไรกันได้เนี่ย
แกไปทำอีท่าไหนดาริณถึงยอมล่ะ" มินซูจ้องมองผมอย่างมีเลศนัย
ทำเอาผมถึงกับต้องหลบสายตาของเธอ พลันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า
"ดาริณเป็นแฟนคลับของฉัน
เธอตามฉันทุกที่อยู่แล้ว พอมีโอกาสได้อยู่ใกล้กันฉันก็เลยแค่ถามว่า
คุณไม่ได้ต้องการผมหรอกเหรอ หลังจากนั้นฉันก็เล้าโลมไปเลย"
เล่าไปก็ทำให้ผมนึกย้อนถึงวันวานครั้งแรกอันแสนเร่าร้อนของผมและดาริณ ในวันนั้นที่ผมใช้หน้าของผมมุดไถหน้าท้องของเธอ
จนในที่สุดพวกเราก็ปล่อยอารมณ์รักไปตามใจอยาก ยิ่งนึกก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่ม...ผมคิดถึงดาริณอีกแล้ว
แต่ก็มันก็น่าแปลกใจที่มินซูกลับจ้องผมด้วยสีหน้าดูหงุดหงิด
"แกนี่มันจริงๆเลย! ใครสั่งใครสอนให้เข้าหาผู้หญิงแบบนั้นห้ะ?"
"เอ้า! ฉันเป็นคนตรงๆ
ฉันชอบดาริณฉันก็แสดงออกตรงๆ อยากมีอะไรด้วยก็แสดงออกตรงๆ ผิดตรงไหนกันล่ะ" ผมตอบกลับมินซูอย่างไร้เดียงสา
"ไม่แปลกใจเลยที่ดาริณรีบตัดความสัมพันธ์กับแก
เธอคงนึกว่าแกมาหลอกฟันอยู่แล้ว"
ได้ยินดังนั้นก็พลันทำให้ผมกลับมานั่งเศร้าใจอีกครั้ง
มันอาจเป็นเพราะผมที่ทำทุกอย่างพังเอง
"เธอช่วยบอกฉันทีสิว่าฉันควรทำยังไง"
ผมรีบคว้ามือของมินซูมากุมไว้อีกครั้งเชิงอ้อนวอน ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วผูกเป็นปมอีกครั้งเพื่อใช้ความคิด
"ไม่เห็นจะยากเลย แกก็ใช้ยูเซอร์เนมนั่นแหละ จีบดาริณและขอเบอร์โทรของเธอมาให้ได้"ผมต้องแฝงตัวเป็นซงจีบดาริณก่อนใช่ไหม...ได้เลย
------------------------------------------------------------------------------------
'01.45 A.M.'
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังขึ้นภายใต้หมอนใบนุ่มของโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง หญิงสาวร่างเล็กผิวขาวสะอาดนอนโอบกอดผมไว้
พลันสร้างความหนักอึ้งไปทั่วอกเปลือยกำยำของผม แม้เราจะร่วมรักหลายครา
ทว่าเธอก็ไม่สามารถครอบครองใจของผมไว้ได้เลยสักนิด เพราะสำหรับผม
เธอเป็นเพียงแค่คนที่ผมมาใช้เวลาอยู่ด้วยเพื่อคลายความเหงาและความคิดถึงที่มีให้แก่มินซูในยามที่เธอต้องไปทำงานบนฟ้าเท่านั้น
ผมเจอเธอคนนี้ในผับลับใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ประจำที่ผมชอบไป
ซึ่งเธอมักจะเข้ามาในตอนที่อารมณ์ของผมนั้นร้อนรุ่มจากการดื่มเตกีล่าไปหลายช็อตจนเริ่มรู้สึกมึนหัว
สุดท้ายทุกอย่างมันก็จะมาบรรจบลงที่เตียงของโรงแรมม่านรูดแบบนี้ไปเสียทุกที
'กลับดีกว่า....มินซูคงรออยู่'
คิดได้ดังนั้นแล้วผมจึงค่อยๆเขยิบตัวลุกออกจากเตียง พยายามที่จะไม่ให้สาวร่างเล็กที่กำลังนอนทับผมอยู่นั้นรู้สึกตัว
รีบใส่เสื้อผ้าและทิ้งกระดาษโน้ตใบเล็กไว้ให้เธอดูต่างหน้าแทน
'ขอบคุณที่ช่วยทำให้หายเหงานะ'
ก่อนจะคว้ากุญแจรถและสัมภาระคู่กายอย่างโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ติดตัวแล้วจึงเดินออกจากห้องม่านรูดนั้นมา
'ที่รักครับ นอนหรือยัง ผมพึ่งซ้อมดนตรีเสร็จ
อยากทานอะไรไหม หิวหรือเปล่า'
ส่งข้อความเสร็จแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เหลือบมองโทรศัพท์มือถือพลางจับพวงมาลัยบังคับทิศทาง
'มินซูคงนอนแล้วล่ะมั้ง'*
ในที่สุดผมก็ขับมาถึงคอนโดฯ
ไขกุญแจเข้าห้องอย่างคุ้นชิน
พร้อมเดินสอดส่องหาคนตัวเล็กร่างสูงโปร่งน่าทะนุถนอมของผมจนทั่วห้องแต่กลับไร้วี่แวว
'เธอไปไหนกันนะ มีบินด่วนอย่างนั้นเหรอ ไม่เป็นไร...รอก็ได้'
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีครีม ยกขาทั้งสองข้างพาดกับโต๊ะรับแขกไม้โทนสีเทา
ก่อนจะกดรีโมทเปิดดูทีวี
รอแล้วรอเล่าเธอก็ยังไม่กลับมาจนในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไป
'ฉันคิดถึงเธอจังเลยมินซู....กลับมาหาฉันเถอะนะ.....ฉันขอโทษ'
-----------------------------------------------------------------------------------------
แสงแดดสีทองยามเช้าในกรุงโซลได้ส่องแสงประชันกับความมืดมิด ก่อนจะค่อยๆจางหายและแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าครามใกล้สว่าง
ดวงอาทิตย์ทรงกลมสีส้มอ่อนโผล่พ้นผืนน้ำมาเพียงครึ่ง เราสองยังคงนั่งเหม่อมองบรรยากาศจากริมฝั่งแม่น้ำฮันเพื่อซึมซับความสดชื่นในยามเช้า
เผื่อจะทำให้เรากลับมาสดใสและลืมความเศร้าซึมภายในใจขึ้นมาได้บ้าง
ตี๊ด! ตี๊ด!
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อฮู้ดสีดำที่มินซูกำลังสวมใส่ ดึงความสนใจของพวกเราไว้ครู่หนึ่ง
เธอหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนที่ผมจะหันกลับไปเหม่อมองผืนแม่น้ำฮันอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง
'ที่รักครับ นอนหรือยัง ผมพึ่งซ้อมดนตรีเสร็จอยากทานอะไรไหม
หิวหรือเปล่า'
'ที่รักหายไปไหน ทำไมยังไม่กลับมาอีก
นี่เช้าแล้วนะ'
'ผมมีอัดรายการมินิคอนเสิร์ตทั้งวันตั้งแต่
8.30 น. ไว้เจอกันตอนหัวค่ำนะครับ'
"เฮ้! เดย์
วันนี้แกมีถ่ายรายการมินิคอนเสิร์ตทั้งวันไม่ใช่เหรอ ไม่รีบไปรึยังไง"
ได้ยินดังนั้นผมถึงกับสะดุ้งเฮือก พลันยกนาฬิกาข้อมือเรือนใหญ่สายสีน้ำตาลไหม้ที่ถูกรัดสายไว้บนข้อมือข้างขวาขึ้นมาดู
'6.20 A.M.'
"เฮ้ย! แย่แล้วมินซู
ฉันต้องไปแต่งหน้าทำผมตอนหกโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกแค่สิบนาทีเองอะ ทำยังไงดี
ถ้าฉันไปสายต้องโดนพี่ซงโฮว่าอีกแน่เลย" ผมทำหน้าราวกับจะร้องไห้
"ไม่ต้องขับไปส่งฉันก็ได้นะ
รีบไปเถอะ" เธอพึมพำตอบผม พลางมองเหม่อไปยังผืนน้ำ
"เอางั้นเหรอ ขอโทษทีนะ"
ผมเด้งลุกขึ้นยืน
พลางคว้ากระเป๋ากีตาร์และรีบเดินจ้ำอ้าวไปที่รถสปอร์ตหรูสีดำด้าน
ก่อนจะสตาร์ทรถขับออกไปในทันที
ส่วนมินซูยังคงนั่งขัดสมาธิท้าวคางเหม่อมองบรรยากาศอยู่อย่างน่าสงสาร ขับรถออกมาได้ไม่นาน มือซนกลับอยากคลำหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็คข้อความแจ้งเตือน
ในขณะที่มืออีกข้างจับพวงมาลัยขับรถไปในคราวเดียวกัน
"เฮ้อ! มิน่าละโทรศัพท์เงียบไปเลย
แบตหมดหรอกเหรอเนี่ย"
ผมโยนโทรศัพท์ไว้ที่เบาะข้างคนขับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะใช้นิ้วชี้แตะที่แผงควบคุมเสียงบนรถ
เสียงเพลง Painter Song ของ Norah
Jones ที่ครั้งหนึ่งดาริณเคยส่งมาให้ผมฟังยามค่ำคืนดังขึ้นก้องกังวานไปทั่ว
If I were a painter
I would paint my reverie
If that's the only way for
you to be with me
We'd be there together
Just like we used to be
Underneath the swirling skies
for all to see
And I'm dreaming of a place
Where I could see your face
And I think my brush would
take me there But only.......
If I were a painter
ผมสัมผัสได้ถึงเสียงกีตาร์ที่เล่นทำนองอะคูสติกแจ็สแสนหวานหยดย้อย ราวกับว่าดาริณกำลังกระซิบบอกรักผมที่ข้างหู ทำให้รู้สึกอบอุ่นอยู่ในหัวใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ยกยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างรู้สึกเขินอยู่เพียงลำพัง
ขับพาใจล่องลอยไปตามเส้นทางและเสียงเพลง จนในที่สุดก็มาถึงสตูดิโอที่วงชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์มีคิวถ่ายรายการมินิคอนเสิร์ต ซึ่งบัดนี้สายมาได้เกือบสิบนาทีแล้ว
ทุกคนพลันจ้องมองมาที่ผมอย่างกระอักกระอ่วนใจ ก่อนจะรีบหันกลับไปอย่างเมินเฉยราวกับว่าผมนั้นไร้ตัวตน
บ้างก็หันกลับไปนั่งเล่นโทรศัพท์ปล่อยให้ช่างทำผมจัดเซ็ทผมตามหน้าที่
ส่วนคนที่แต่งตัวแต่งหน้าเสร็จแล้วอย่างเคน
ผู้มีผมรองทรงสูงไถข้างและถูกหวีให้ผมเรียบแปล้ในชุดเสื้อยืดคอวีสีเทาและกางเกงยีนส์ใส่คู่กับรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มนั้น ก็พลันก้มลงมองกล่องข้าวปั้นของตัวเอง
ก่อนจะคีบยัดข้าวปั้นคำใหญ่เข้าไปในปาก ไร้ซึ่งความสนใจของการมาถึงของผม
"ทำไมมาสายละไอ้เดย์
แกหายไปไหนมาทั้งคืน เขานัดให้มาแต่งหน้าตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว นี่ก็เหลือแกคนเดียวเนี่ย ฮึ่ย!" ซงโฮโพล่งคำถามคาใจขึ้นมาอย่างหงุดหงิดในทันทีที่ผมเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว
"ไปพักผ่อนหย่อนใจมา เอ่อ พี่
ผมขอโทษที่มาสายนะ แต่ผมอยากอาบน้ำมากเลย ผมขออาบน้ำก่อนได้ไหม"
ผมมุ่ยปากดมเสื้อของตัวเอง
"งั้นก็รีบๆเลย 8.30 น. เขาจะเริ่มถ่ายพวกแกเล่นสดเพลงแรกแล้ว
ไหนจะกินข้าวอีก วันนี้ถ่ายทั้งวันเลยนะ"
ซงโฮท้าวเอวอย่างจ้ำจี้จ้ำไช
ส่วนผมทำมือเป็นอักษรรูปตัวโอให้ซงโฮ
พลันรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเดินตามหลังของทีมงานคนหนึ่งไปยังห้องอาบน้ำในทันที อาบน้ำเสร็จแล้วผมจึงรีบคว้าชุดที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมไว้ให้
ซึ่งเป็นเสื้อยืดแขนสั้นสีเทาเกือบถึงหัวไหล่เผยให้เห็นรอยสักรูปมังกรสีดำที่ต้นแขนขวา
ใส่คู่กับกางเกงสกินนี่ยีนส์สีดำสนิทพร้อมรองเท้าบูธของดร.มาร์ตินที่เข้าชุดกัน
จากนั้นจึงเดินออกมาเพื่อจะเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่งตัว
แต่กลับต้องหยุดชะงักยืนอยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงบทสนทนาที่คุยกันภายในห้อง
"เมียแกหายไปทั้งคืนอย่างนั้นเหรอวะ
จีซุน" เสียงห้าวที่คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของเนลสัน ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
"ใช่
เลิกงานเสร็จผมก็กลับคอนโดฯไปรอเมียผม แต่เมียผมหายไปทั้งคืน
จนป่านนี้ยังไม่ตอบข้อความผมเลยอะ พี่ว่ามันแปลกไหมอะ"
"มินซูมีบินด่วนรึเปล่า คิดมากน่า"
เสียงห้าวขึ้นจมูกที่คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของซงโฮแย้งขึ้นมา
"ไม่รู้สิพี่ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี
แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้น ผมจะเจ็บใจมากเลยนะพี่"
เสียงแหบพร่าของจีซุนเปล่งออกมาอย่างอ่อนล้า
"หรือคู่หมั้นแกไปกับเดย์จริงๆวะ”
ความคิดเห็น