ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อย่าลืมรัก

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 9

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 63


    CHAPTER 9

     

     

     

                แป็ก! แป็ก!

    เสียงไม้กลองกระทบกันเป็นจังหวะ  บัดนี้เนลสันพยักหน้าส่งสัญญาณเป็นอันรู้กันกับโจ จึงดีดกีตาร์โปร่งเริ่มทำนองเพลง  ก่อนที่เนลสันจะตีกลองชุดและเคนดีดเบสเสียงทุ้มตาม  จากนั้นซงโฮมือกีตาร์ไฟฟ้าจำเป็นในตอนนี้ยืนตีคอร์ดเพื่อสร้างเมโลดี้หลักของเพลงเป็นลำดับต่อไป  ในที่สุดก็ถึงตาผมที่จะเสริมเมโลดี้อันหนักหน่วงนี้ด้วยโซโล่ซึ่งเป็นอินโทรเพิ่มอรรถรของเพลง  ร่ายนิ้วดีดกีตาร์เสียงหวานปนเศร้าเข้าไปผสมรวมกันเป็นแนวร็อก อะคูสติ  ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลใหม่ที่วงของพวกเราพึ่งปล่อยออกมาหมาดๆ ผมยืนหลับตาทำอารมณ์เล่นโซ่โล่กีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อกิ๊บสันสีน้ำตาลเงาสีดำเคลือบตรงขอบ  จังหวะดนตรีเบาลงเพื่อให้ผมได้เข้าท่อนร้องของผม  ซึ่งก็มีความยากลำบากอยู่ไม่น้อยเนื่องจากแผลบวมปวดที่ปากนั้นยังไม่หายสนิทดีนัก

     

    ฉันยืนเหม่อมองเธอท่ามกลางสายฝนพรำ

    วอนขอสายรุ้งช่วยส่องเสียงของฉันให้เธอได้รับรู้

    วอนฝนพรำช่วยฉันชำระล้างความรักอันสิ้นหวัง

    ให้ความเจ็บปวดที่มีได้มลายหายไป

    วอนฝนพรำช่วยฉันตามหาเธอในพายุนั้น

    ขอพลังให้ฉันสามารถต่อสู้ฟันฝ่าพายุร้าย ก่อนที่เธอ....จะหายไป...

     

    ทันทีที่หมดท่อนร้อง  ผมจึงปล่อยใจไปตามอารมณ์เพลง  ระบายความปวดร้าวอันแสนละมุนนี้ผ่านการโซโล่กีตาร์ออกมาให้เป็นเสียงหวานทุ้มปนเศร้า  ข่มตากลั้นกลืนน้ำใสๆที่อัดอั้นไว้ภายใต้เปลือกตาที่เตรียมพร้อมจะไหลรินออกมาเต็มที  เนื้อหาในเพลงคืออารมณ์หม่นของผมช่วงก่อนหน้าที่ผมจะยอมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง และตัดสินใจทำตามหัวใจตัวเองดูสักครั้ง   มันเป็นอารมณ์เหงาปนเศร้าที่หมายถึงการที่เรารอคอยจะได้พบคนที่ใช่  แต่กลับทำได้แค่ยืนมองอยู่ในพื้นที่อันแสนไกลเพียงเท่านั้น   ผมใช้เวลาร่วมกับวงช่วยกันแต่งแต้มเมโลดี้ให้เข้ากับกวีอันแสนเศร้า  ซึ่งเราใช้เวลาเถียงกันอยู่นานมากกว่าจะสำเร็จออกมาเป็นซิงเกิ้ลใหม่นี้ได้

    แอด!

    เสียงเปิดประตูห้องซ้อมดังขึ้น  เผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสันทัดพร้อมอกกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายอย่างหนัก  มาในชุดเสื้อยืดสีดำสมส่วนกับกางเกงยีนส์ธรรมดาตัวหนึ่ง  ผมรองทรงต่ำสีดำสนิทนั้นเรียงเส้นสลวยถูกแสกกลางมา จึงทำให้ผมปรกหน้าเขาเล็กน้อย  เขาใช้นิ้วดันแว่นตากันแดดกรอบสี่เหลี่ยมอันใหญ่  เผยให้เห็นจมูกกลมเล็กที่รับกับปากหนาอวบอิ่มสีชมพูที่บัดนี้แอบเปื้อนรอยช้ำเลือดสีคล้ำที่มุมปาก  ทุกคนชะงักจนต้องหยุดเสียงดนตรีที่เล่นไว้  ก่อนจะเพ่งมองที่ชายหนุ่มผู้มาเยือนทีหลังกันอย่างพร้อมเพรียง

    "โทษ'ทีที่มาสาย ซ้อมกันไปถึงไหนแล้วล่ะ"

    ทันทีที่ผมเห็นว่าผู้มาเยือนคนใหม่นั้นเป็นใคร  ผมจึงเบือนหน้าหนีก้มลงมองกีตาร์อย่างเมินเฉย

    "เออ! มาก็ดีแล้วไอ้จีซุน หึ! มาก็สาย ดูดิ๊พี่ต้องมาเล่นกีตาร์ตีคอร์ดแทนแกเลยเห็นไหม"

    ซงโฮบ่นอุบพร้อมถอดสายสะพายกีตาร์ไฟฟ้าออกจากตัว ก่อนจะยื่นคืนให้เจ้าของตัวจริงของมันไป

    "แล้วหน้าไปโดนอะไรมานั่น  พี่ว่าจะถามมาหลายวันแล้ว  ช่วงนี้ก็ไม่มีเวลากันเลย"

    ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นรอยแผลช้ำเลือดตรงมุมปากของจีซุนเข้า

    "ผึ้งต่อยอะพี่..เอ่อ.. ซ้อมดนตรีดีกว่าปะ! สายแล้ว เดี๋ยวออกงานตอนเย็นอีก"

    จีซุนหลบหน้าหลบตา  พลันรีบคว้ากีตาร์มาสวมสะพายดีดลองเสียง

    "เดี๋ยวนะ พวกแกฟัดกันมาเหรอ"

    ซงโฮมองพวกผม เพ่งพิจารณารอยแผลปวดบวมบนใบหน้าที่มีลักษณะคล้ายกัน

    "ห้ะ? ....หึ! เปล่าๆ

    พวกเราหันมามองหน้ากัน พลันรีบส่ายหัวแล้วก้มลงมามองกีตาร์ของใครของมัน

    ทุกคนในวงมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนใจท่ามกลางบรรยากาศมาคุ  จนซงโฮสั่งให้เราเริ่มซ้อมกันใหม่ เป็นการดึงความสนใจของพวกเราไปที่เรื่องอื่น  ทว่าหลังจากนี้เราคงต้องมีเรื่องให้คุยกันอีกยาว

    พวกเราทั้งห้าช่วยกันบรรเลงเสียงเพลงแนวร็อก อะคูสติที่ตั้งใจร่วมด้วยช่วยกันสร้างเมโลดี้อันหนักหน่วงนี้มาเกือบเดือน  ก่อนจะออกทัวร์คอนเสิร์ตเพลงจากอัลบั้มชุดก่อน  เมื่อเพลงแรกเสร็จ  พวกเราจึงหาเวลามาสร้างเมโลดี้ให้กับเพลงอื่นๆต่อ จนในที่สุดก็สามารถรวบรวมให้ออกมาเป็นอัลบั้มชุดใหม่  โดยหน้าที่หลักของผมคือการแต่งคำร้องและทำนองร่วมกับโปรดิวเซอร์มือฉมังอย่างซงโฮ  ก่อนจะส่งเดโมให้ทุกคนได้ฟัง และทำอารมณ์เพื่อบรรเลงเพลงตามหน้าที่ของตัวเองก่อนจะกลั่นกรองออกมาเป็นผลงานชิ้นดี

    ผมร่ายนิ้วโซโล่กีตาร์เสียงทุ้มหวานปนเศร้าอย่างเจ็บปวด  อาจเพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยผมระบายความปวดร้าวที่เกาะกินพื้นที่ในจิตใจ จากการเสียทั้งเพื่อนรักและหญิงสาวที่ผมมีใจให้ไปในเวลาเดียวกัน   บทเพลงนำผมเข้าท่อนร้องอีกครั้ง   เสียงทุ้มต่ำของผมประสานกับเสียงคอรัสของจีซุนอดีตเพื่อนรักได้ดีอย่างน่าประหลาด  ดูเหมือนว่าบทเพลงจะช่วยเยียวยาให้เราหันกลับมาทำงานได้ โดยสามารถทิ้งความบาดหมางไว้เบื้องหลัง

    จีซุนคือเพื่อนรักสมัยเรียน  เขากับผมร่วมก่อตั้งวงดนตรีนี้ขึ้นมา ก่อนที่เราจะตัดสินใจออกไปชักชวนคนที่เหลือให้มาร่วมวงกัน  เราผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย  ทั้งสุขเศร้าเหงาทุกข์  เราอยู่เคียงข้างกันมาตลอด  เขาคิดได้อย่างไรว่าผมกับมินซูจะแอบมาแทงข้างหลังเขา   แม้เราจะเคยเป็นคนแรกของกันและกัน แต่นั่นมันก็คืออดีตไปแล้ว  เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่เขาจะย้ายเข้ามาเรียนที่เดียวกันกับผมเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อมันเป็นอดีต ทำไมผมถึงจะต้องมาพร่ำเพ้อพรรณาทวงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคืนด้วยล่ะ  ผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนั้น ผม ดันแคน ฮวัง คนนี้น่ะ เป็นลูกผู้ชายมากพอ  ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ช่วยมินซูให้ได้รักกับจีซุนทั้งๆที่ตัวเองก็เจ็บปางตายแบบนั้นหรอก  แต่หมอนั่นน่ะ....ไม่เคยรู้เลยต่างหาก

                                            -----------------------------------------------------

    อากาศในฤดูร้อนอันแสนอบอุ่นของกรุงโซลทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด  จึงสูดอากาศบริสุทธิ์นี้เข้าไปให้เต็มปอดอีกสักที  หลังจากกลับมาจากเมืองโอซาก้าตั้งแต่วันนั้น ฉันก็กลายเป็นคนที่มีพลังล้นเหลือและบ้างานจนน่าตกใจ   ความบ้างานหนักที่ว่านี้คือการที่ฉันยอมอยู่ทำงานจนดึกดื่น และไม่เคยกลับบ้านต่ำกว่าสามทุ่มเลยสักคืนมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว   จนเพื่อนร่วมงานทั้งหมวยน้อยตี๋ใหญ่ในออฟฟิศต่างพากระซิบกระซาบกันจ้าละหวั่นว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่   นอกจากที่ฉันจะกลายมาเป็นคนบ้างานแล้ว   ผมยาวเป็นลอนสลวยสีน้ำตาลเข้มของฉันยังได้ถูกหั่นจนสั้นกุดระต้นคอ  เส้นผมยาวที่เคยเป็นลอนสลวยเพราะผ่านการบำรุงอย่างดีกลับกลายเป็นเส้นลอนฟูกระเซอะกระเซิง  ถูกมัดเป็นจุกเล็กเพื่อไม่ให้มันมาปรกตรงหน้าของฉันมากเกินไป  ชุดกระโปรงหลากสีสันที่ฉันเคยใส่มาทำงานบัดนี้มันได้ถูกเก็บไว้คาตู้  เพราะยูนิฟอร์มใหม่ประจำตัวในช่วงนี้ของฉันมีเพียงแค่เสื้อยืดแขนยาวสีมืดตัวบาง กับกางเกงยีนส์คู่กันกับรองเท้าผ้าใบเท่านั้น

    อยู่ๆฉันก็เกิดอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาเป็นคนใหม่  ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่นัก  ฉันรู้เพียงว่าฉันไม่มีอารมณ์อยากสวยเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว  ไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะจับเครื่องสำอางมาแต่งหน้า  จนบางทีฉันก็เริ่มรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้จิตวิญญาณเข้าไปทุกที

    '9.45 P.M.’

    ฉันเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่วางไว้ตรงมุมหนึ่งบนโต๊ะทำงาน นั่งง่วนหาข้อมูลเพื่อทำพรีเซนเทชั่นอย่างยากเย็น  เนื่องจากผู้ช่วยสาวชาวเกาหลีที่ปกติเป็นลูกมือในการหาข้อมูลทางการตลาด ดันลาหนีเที่ยวกับสามีไปเสียเรียบร้อยแล้ว   เหลือเพียงฉันที่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มเป็นสามเท่าในการหาข้อมูลเพื่อนำมาคิดวิเคราะห์ออกมาเป็นพรีเซนเทชั่นกลยุทธ์ด้านการตลาดให้เสร็จทันภายในบ่ายโมงของวันพรุ่งนี้  ชีวิตของฉันมันโหดดีใช่ไหม จะว่าไสำหรับฉันแล้ว มันก็ถือเป็นข้อดี เพราะมันช่วยทำให้ฉันลืมเรื่องที่ทำให้หน่วงใจจากความรักที่ไม่สมหวังไปได้บ้าง เวลาไหนที่ฉันแอบแวบคิดถึงคนตาเฉี่ยวนั้น ก็จะมีงานนี่ล่ะที่คอยอยู่เป็นเพื่อนกินเวลา จนในที่สุดฉันก็ลืมนึกถึงเขา

    พลันเหลือบเห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งดันหน้าจอโน้ตบุ๊คปิดลงมาอย่างดื้อๆ

    "เฮ้! ดงวุกฉันทำงานอยู่นะ" ฉันโวยวายเป็นภาษาเกาหลี ก่อนจะมองหน้าผู้มาเยือนด้วยสีหน้าหงุดหงิด

    "งานอะไรของเธอ นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว ดาริณ....." ชายหนุ่มผู้มาเยือนยิ้มให้ฉันเล็กน้อยคล้ายกับจะล้อเลียน

    "ก็งานฉันยังไม่เสร็จนี่นา" ฉันขมวดคิ้วอย่างกังวล ก่อนจะเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คขึ้นมาทำงานอีกครั้ง

    "ฉันจะให้เวลาเธอเซฟงานนะ ถ้าเธอยังไม่เลิก ฉันจะปิดมันเอง" เขายืนกอดอกพลางทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

    "เฮ้อ!..ก็ได้"

    ฉันถอนหายใจ ก่อนจะยอมเซฟงานค้าง และยอมปิดโน้ตบุ๊คเก็บของเดินตาม ชิน ดงวุกแต่โดยดี  เขาคือเพื่อนร่วมงานชาวเกาหลีที่ฉันสนิทมากที่สุดเพราะเราทำงานในแผนกเดียวกัน   เขาเป็นทุกอย่างของฉันที่นี่   คอยช่วยเหลือฉันในหลายๆด้าน ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่   อาจเป็นเพราะบนโลกแห่งความเป็นจริงนี้ก็คงมีแต่ฉันที่กุมความลับและเป็นที่พึ่งทางใจของเขาได้อย่างดีเยี่ยม  ซึ่งมันเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกินที่ชายรูปงามคนหนึ่งจะสามารถเปิดเผยตัวตนอีกด้านที่แท้จริงให้คนรอบข้างจากประเทศเดียวกัน  ซึ่งได้รับการถูกปลูกฝังให้จงเกลียดจงชังคนที่ออกอาการผิดเพี้ยนทางเพศแทบจะทุกบ้านทุกเรือนแบบนี้ ต่างกับฉันซึ่งเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเหล่าชาวสีม่วงรอบข้าง  ผู้ที่จะสร้างสีสันและมีมุมน่ารักๆสร้างความสุขและเสียงหัวเราะ ฉันคุ้นชินกับพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัยจึงเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ดงวุกเองก็รู้สึกสนิทใจกับฉันมากเป็นพิเศษ จนถึงกับต้องมาคอยเทคแคร์เอาใจใส่ว่าฉันจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร วันไหนหากเขาสังเกตได้ว่าฉันกลับดึก ก็มีเขานี่ล่ะที่จะอยู่รอ พร้อมพาฉันกลับไปส่งถึงคอนโดฯ  คนภายนอกอาจมองได้ว่าความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของเราต้องมีอะไรมากกว่านั้น  แต่อย่างไรพวกเราต่างคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า พวกเราเป็นใครและพวกเรา...รักใคร

    ดงวุก ชายหนุ่มรูปงามผู้มีใบหน้ารูปไข่  คิ้วหนาเข้มและตาชั้นเดียวกลมโตพร้อมแผงขนตายาวหนาเป็นแพ  แถมยังมีจมูกโด่งและปากอิ่มสวยได้รูปเข้ากันไปทั่วใบหน้า  ฉันเชื่อได้เลยว่าหากเขาเปลี่ยนรสนิยมทางเพศมาชอบเพศตรงข้ามได้จริงๆ  เขาคงมีสาวต่อคิวรอจะได้เคียงคู่โดยที่เขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ

    "ดาริณ...เหม่อลอยอะไรของเธอ"

    เสียงทุ้มปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงภวังค์ ในขณะที่นั่งมองข้างทางภายในรถที่มีดงวุกเป็นคนขับอยู่ข้างๆนั้น พลันทำให้ฉันหวนคิดถึงคนที่ฉันเคยใช้เวลาแสนสุขอยู่ด้วยกันที่โอซาก้า มันเป็นภาพจำที่เราจับมือพากันเดินเลือกซื้อกีตาร์ในแบบที่เขาอยากได้

    'ดาริณอยากให้ผมเลือกตัวไหน ผมก็จะซื้อตัวนั้นแหละ เลือกให้ผมทีสิครับ...นะครับ'

    ฉันยังคงจำได้ขึ้นใจว่าวันนั้นเขาต้องแอบมองว่าทางสะดวกหรือไม่  แล้วจึงสวมกอดจากด้านหลัง พลันหอมคอของฉันอย่างเพลิดเพลินกลางร้านขายกีตาร์ เป็นสิ่งที่เขาชอบทำเสมอเวลาอยู่กับฉัน และมันก็จะจบลงด้วยการที่เขาจะขอประทับจูบลงบนริมฝีปากไปเสียทุกที ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบ....เขา....จูบเก่งชะมัด

    'ชอบรุ่นมาร์ติน มาร์คัสซาร์ เดย์ว่ายังไงละคะ'

    'ดาริณชอบ...ผมก็ชอบครับ'

    เขาบรรจงจูบแล้วจึงไล่ฝังเขี้ยวลงบนแผงคอของฉัน ทำให้รู้สึกราวกับมีผีเสื้อบินว่อนอยู่ในท้องอีกครั้ง

    "เฮ้! ดาริณเหม่อเพ้ออะไรยะหล่อน" ฉันสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิดอันแฝงไปด้วยความรู้สึกโหยหาความเร่าร้อนนั้น

    "อะเอ่อ" ฉันกะพริบตาปริบๆ

    "ตั้งแต่กลับมาจากโอซาก้า ฉันว่าเธอแปลกๆไปนะดาริณ" ฉันมองเขาตาแป๋วราวกลับลูกแมวที่ไร้เดียงสา

    "แปลกยังไงเหรอ"

    "โอ้โห! ช่างกล้าถาม จะให้ร่ายตั้งแต่สารรูปส่วนไหนของเธอก่อนดีล่ะ โดนผู้ชายทิ้งรึไงไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย"

    ได้ยินว่าโดนทิ้งก็พลันทำให้ฉันรู้สึกจุกตรงกลางลิ้นปี่ขึ้นมาทันที

    "เฮ้อ! ...ก็ไม่เชิงหรอก มันแค่...ไม่มีทางเป็นไปได้เท่านั้นเอง"

    ฉันถอนหายใจดั่งคนหมดอาลัยตายอยาก ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย

    "ฉันขอโทษที่ถาม... อย่าเศร้าเลยนะ มันคงมีสักวันที่เธอกับชายที่เธอรักจะได้รักกันแบบสมหวังสักวันล่ะนะเขาปลอบใจพลางวางมือทาบลงบนมือของฉัน

    "ขอบคุณนะดงวุก" ฉันก้มลงมองมือที่เรากุมกันอยู่อย่างเศร้าสร้อย

    "ไม่เอา ไม่เศร้าสิ ฟังเพลงดีกว่าเนอะ"

    ดงวุกใช้มือปรับหมุนหาคลื่นสัญญาณวิทยุ จนไปเจอช่องหนึ่งที่ดันเป็นเสียงราวกับกำลังมีการสัมภาษณ์อะไรสักอย่างกันอยู่ ฉันขึงตาโตทันทีที่เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นหูดังแทรกขึ้นมา

    'ผมแต่งเพลงนี้เองครับ'

    'ใช่ๆ เพลงนี้เดย์เป็นคนแต่งคำร้องและทำนองเองครับ' เพื่อนๆในวงพากันเสริม

    'สุดยอดมากเลย คุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหนครับ เพราะเนื้อหาเพลงดูเศร้ากับความรักมากเลย'           

    'ก็จากความรักของคนรอบข้างครับ' เสียงทุ้มต่ำตอบอย่างไร้ชีวิตชีวา

    'ใช่ที่ไหน...บอกไปดิว่ามาจากผู้หญิงที่แกชอบอะเดย์' เสียงแหบพร่าของจีซุนแทรกขึ้นมากลางรายการ

    'จริงเหรอ ใช่คนที่เป็นข่าวในตอนนี้รึเปล่า'

    'ไม่ใช่ครับ พวกเราล้อเล่นกันเฉยๆ ใช่ไหมเดย์' เสียงแหบพร่ายังคงพูดต่อ

    'เล่นกันเองซะแล้ว... เอาเป็นว่าซิงเกิ้ลใหม่นี้มันสุดจริงๆนะครับท่านผู้ชม อย่ารอช้าเลย เราไปฟังกันดีกว่ากับเพลงที่มีชื่อว่า Through the storm of love'

    เขาจะเดือดร้อนเพราะฉันไหม ฉันเป็นห่วงเขาจัง.....

     

     

    -----------------------------------------------------------------

     

     

    "เฮ้ย! แกกับฉันอะคุยกันหน่อยดิ๊จีซุน มันอะไรกันนักกันหนาวะ ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันกับมินซูเราเป็นเพื่อนกัน แล้วทำไมแกฉีกหน้าฉันกลางรายการขนาดนี้ มันไม่มากไปหน่อยเหรอวะ"

     ในทันทีที่สัมภาษณ์รายการวิทยุเสร็จผมก็เกิดอารมณ์ฉุนจนฟิวส์ขาด  พลันกระชากเสื้อของหนุ่มร่างสันทัดตรงหน้าให้หันมาประจันหน้ากัน  เนื่องจากมันดันมาแซวผมเรื่องผู้หญิงที่กำลังเป็นข่าวอยู่ ด้วยฝีมือการปล่อยข่าวของผู้ไม่หวังดีกลางรายการวิทยุนั่น

    แกจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้ยังไงวะ ตอบมาสิ!”

    "อะไรของแก!" เขาตะโกนกลับมาด้วยสีหน้าขึงขัง  ผลักผมแรงจนทุกคนในวงต้องพากันรีบคว้าตัวของทั้งผมและจีซุนไว้แยกให้ห่างออกจากกัน

    "พวกแกมีอะไรไปคุยกันที่รถ ที่นี่มันคลื่นวิทยุ ไม่ใช่สถานที่ไว้ให้หมากัดกัน" โจพูดปรามอยู่ที่ข้างหูของผม ในขณะที่กำลังดิ้นภายใต้อ้อมแขนของโจที่กำลังล็อคตัวของผมไว้ไม่ให้ไปต่อยจีซุนเข้า

    "วันนี้ฉันจะไปนอนคอนโดฯ ฉันไม่อยู่กัดกับหมาที่ไหนทั้งนั้น ปล่อย!" 

    จีซุนยื่นคำขาดออกมาดังลั่น สะบัดแขนออกจากเคนซึ่งกำลังล็อคตัวเอาไว้ จนสามารถหลุดออกมาได้ในที่สุด  พลันเดินหันหลังออกไปจากกลุ่มเพื่อนอย่างไม่สนใจยดี

    "แกมีปัญหาอะไรกับฉันนักหนา มินซูกับฉันเป็นเพื่อนกันแล้วจะอะไรอีก อ๋อ! แกจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม แกจะทำลายเพื่อนแบบนี้ใช่ไหม"

    ผมโพล่งไล่หลังคนตัวสันทัดไปอย่างฟิวส์ขาด โจใช้มือปิดปากของผมไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปได้มากกว่านี้

    "หึ! เรื่องที่แกกับมินซูเคยเป็นแฟนคนแรกของกันและกัน แกตั้งใจจะบอกฉันเมื่อไหร่ ถ้าฉันไม่เห็นพวกแกกอดกันกลมด้วยตาของฉันเอง แกก็คงแอบตีท้ายครัวเมียชาวบ้านไปเรื่อยๆแบบนี้ใช่ไหม พอเถอะ มันจบแล้วไอ้เดย์!"

    ไม่ชอบเรื่องจริง ชอบฟังเรื่องโกหกใช่ไหม ดี....ลับหลัง ฉันกับมินซูก็มีอะไรกันบนเตียงพวกแกนั่นแหละ พอใจหรือยัง?”

    คนสันทัดหันกลับมาฟาดหมัดลงบนใบหน้าของผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป ยังดีที่โจจับผมเอาไว้แน่น มิเช่นนั้นตัวผมคงล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแน่ ทว่าบัดนี้คำพูดประชดประชันแบบไม่ยั้งคิดที่ผมพึ่งโพล่งออกไป ไม่ได้ทำให้จีซุนรู้สึกแย่เพียงฝ่ายเดียว แต่มันดันสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับทุกคนในบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นซงโฮ โจ เคน หรือเนลสัน ต่างพากันยืนกอดอกจ้องมองผมตาเขม็ง

    "เฮ้ย! เบาๆกันหน่อยสิวะ ที่นี่มันคลื่นวิทยุนะ กลับเดี๋ยวนี้ มีอะไรค่อยเคลียร์" ในที่สุดซงโฮก็ยอมทิ้งความสงสัยนี้ไป และพาพวกเราเดินออกมาจากคลื่นวิทยุ

    'จีซุน ...แกมันโง่ แกคิดได้ยังไงว่าฉันกับมินซูจะแทงข้างหลังแก เป็นเพื่อนกันแล้วไม่มีสิทธิ์ปรับทุกข์หรือปลอบกันรึยังไง แกอย่าเอาความเลวของแกเป็นบรรทัดฐานมาตัดสินคนอื่นสิ!'

    ยิ่งคิดมันก็ยิ่งน่าเจ็บใจนัก!

     

    ------------------------------------------------------------------

     

    ท่ามกลางบรรยากาศมาคุบนรถตู้สีดำคันหรูของบริษัทฯที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าพาศิลปินอย่างพวกเรากลับไปส่งหอพักเพื่อพักผ่อน  หลังจากเดินสายโปรโมทซิงเกิ้ลใหม่มาทั้งวันจนถึงตอนนี้ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนได้แล้ว ทุกคนต่างนั่งหันมองข้างทาง ไร้เสียงคุยเล่นใดๆเหมือนเช่นเคย  มีเพียงแต่สายตาของพวกเขาที่แอบชำเลืองมองผมเป็นระยะๆ ราวกับว่ากำลังมีคำถามคาใจอยู่พร้อมที่จะโพล่งออกมาเพื่อถามผมได้ทุกเมื่อ  แต่กลับโดนผมเมินเฉยด้วยการมัวแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ

    ทำไมถึงไม่อัพสถานะอะไรบ้างเลยนะ'

     

    ผมใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอพยายามค้นดูสื่อโซเชียลของดาริณ เพื่อดูว่าตอนนี้ชีวิตของคนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจจะเป็นเช่นไร  ชีวิตที่ไม่มีผมอยู่เคียงข้างมันดีสำหรับเธอจริงหรือเปล่า ยิ่งพยายามเลื่อนดูมากเท่าไหร่  ผมกลับพบแต่ความผิดหวัง  เมื่อสถานะสุดท้ายของเธอคือภาพถ่ายจากกาเซะ อาร์แกลเลอรี  ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันแสนหอมหวานของพวกเรา โดยไม่มีการอัพเดทอะไรเพิ่มเติมต่อจากนั้นอีกเลย

    ผมจ้องโทรศัพท์ด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย  ผมคิดถึงเธอเหลือเกิน  ผมอยากเจอเธอมากเหลือเกิน  ผมยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากใช้เวลาทำร่วมกับเธอ  หากมีพรประการใดที่จะสามารถช่วยให้ผมได้กอดเธออีกครั้ง  ผมขอสัญญาว่าผมจะกอดเธอไว้ให้แน่นและจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีก  แม้ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธอที่เมืองโอซาก้านั้นมันช่างสั้นนัก  แต่มันกลับฝังเป็นความทรงจำที่หยั่งรากลึกลงในใจของผม ยากเกินจะลืมเลือน

    เธออยู่ที่ไหน

    ผมจะหาเธอเจอได้อย่างไร

    ราวกับว่ามีคนมาสาดแสงจากกระบอกไฟฉาย ทำให้แสงนั้นแยงตาผมจนรู้สึกแสบตา  ซึ่งแหล่งที่มาของแสงนั้นก็มาจากรถคันหนึ่งที่ขับสวนผ่านไป  พลันทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันทีว่าผมยังมีอีกคนที่แฝงอยู่ในร่างของผม  เขาคือคนเดียวที่จะช่วยผมติดต่อพูดคุยกับเธอได้

    'ขนาดใช้ยูเซอร์เนมของซง เธอก็ยังไม่ตอบกลับมาเลย'

    แต่กระนั้นผมก็ยังไม่ลดละความพยายาม จึงพิมพ์ข้อความหาดาริณด้วยยูเซอร์เนม นามว่า 'Songsaboutyou' อีกครั้ง

    @Darinee เป็นยังไงบ้างครับ ไม่ได้คุยกันเลย คุณได้ฟังซิงเกิ้ลใหม่ของชาร์มมิ่ง พริซอนเนอร์รึยังครับ

    ผมยิ้มเล็กน้อยให้กับโทรศัพท์ในมือ  อย่างน้อยแสงริบหรี่ของความหวังก็กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ไปอีกหนึ่งก้าวแล้ว  ผมจะรอเธอต่อไป....

    "ถึงแล้วครับ" เสียงของคนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าดังขึ้น พลันทลายความเงียบสงัดบนรถตู้คันนี้ลงได้

    "คุณซงโฮจะให้ผมไปส่งคอนโดฯอยู่ไหมครับ" คนขับชะเง้อมองหาชายหนุ่มที่เขาจะเสวนาด้วยผ่านกระจกของคนขับ

    "ไม่ล่ะ  ฉันว่าวันนี้ฉันคงต้องนอนที่นี่ ขอบใจมากนะ"

    'เฮ้อ! คืนนี้คงโดนสอบสวนทั้งคืน ไม่ได้นอนง่ายหรอก'

    คิดได้ดังนั้นจึงถอนหายใจ  คงเป็นเพราะผมไม่มีอารมณ์จะเสวนากับใครทั้งนั้นในตอนนี้   หากจะมาซักไซร้เรื่องความบาดหมางของผมกับจีซุน  ผมก็คงไม่มีอะไรเล่าให้ฟังมากนัก  เพราะไม่มีทางที่ใครจะมาเข้าใจในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของผมกับมินซูหรอก  พวกเขาไม่เคยรู้เลยเสียด้วยซ้ำว่า  ผมกับมินซูเคยเป็นอะไรกัน  แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องมานั่งพร่ำเพ้อเล่าเรื่องอดีตที่ผ่านมานานแล้ว  หรือให้มาอธิบายเหตุผลที่ผมต้องไปหามินซูให้เสียเวลาไปทำไมกัน  ในเมื่อหากผมเล่าไป ก็คงไม่มีใครเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผมอยู่ดี

     

    ในที่สุดพวกเราก็กลับเข้าหอพักที่ทางบริษัทฯเช่าไว้ให้เราอยู่รวมกันทั้งวง  มันเป็นห้องคล้ายคอนโดฯที่ได้รับการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกแต่งแต้มเป็นโทนสีขาว  สีดำ  และสีเทาเข้าเซทกันไปทั้งหอ  ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ห้องนอน  โดยมีผมนอนห้องเดียวกับโจ  เคนนอนคู่กับจีซุน  ส่วนเนลสันนั้นขอห้องนอนเดี่ยวไว้นอนคนเดียว   และห้องนอนห้องสุดท้ายที่ทางบริษัทฯตั้งใจจัดไว้ให้ผู้จัดการส่วนตัวของเรานอน  แต่เขามักจะชอบกลับไปนอนคอนโดฯของเขาเสียมากกว่า

    ทันทีที่ผมถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้ และกำลังจะเดินนำผ่านโถงห้องนั่งเล่นเพื่อเดินกลับเข้าห้องนอนไป จู่ๆก็มีเสียงไล่หลังดังขึ้น

    "เรื่องวันนี้มันหมายความว่ายังไงวะ"

    เสียงห้าวของโจดังขึ้นไล่หลังจนทำให้ผมถึงกับต้องหยุดชะงัก  พลันหลับตาลงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

    "ปล่อยมันอยู่คนเดียวไปก่อนเถอะ อย่าพึ่งไปเซ้าซี้มันเลย"

    ซงโฮรีบกระซิบเพื่อปรามโจไว้  ผมจึงรีบเดินเพื่อไปให้ถึงประตูห้องของผมโดยเร็วที่สุด

    "ฉันถามน่ะ ได้ยินไหม ทำไมไม่ตอบวะ  ที่จีซุนพูดว่าแกแทงข้างหลังมันคืออะไร แล้วที่แกบอกว่าแกมีอะไรกับมินซูมันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ"

    ผมไม่สนใจ พลันบิดลูกบิดประตูเพื่อที่จะเปิดห้องนอน  ได้รับรู้ถึงแรงกระชากจากต้นเสียง  พลันทำให้ผมต้องหันกลับมาประจันหน้าตามแรง  เขากระชากคอเสื้อและผลักผมติดประตู ทุกคนที่เหลือได้แต่ยืนกอดอกจ้องมองมาที่ผม  ขมวดคิ้วผูกเป็นปม ก่อนที่เคนจะเดินเข้ามาล็อคแขนโจไว้

    "เฮ้ย! พี่ใจเย็นๆกันก่อนสิ... ทำไมพี่ไม่รอให้พี่เดย์อธิบายก่อนอะ ฟังก่อนสิพี่"

    "จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง จีซุนก็น้องฉันเหมือนกัน แกมีอะไรกับมินซูจริงๆใช่ไหม ตอบมาสิไอ้เดย์!

    ผมกับโจจ้องตากันอย่างเอาเรื่อง เพราะผมก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน  หากแม้กระทั่งพี่ชายที่ผมรักมากที่สุดยังไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผม ก็สุดแล้วแต่ ...ผมก็มีศักดิ์ศรีของผม....

    ทุกคนมองผมเลว  ผมก็จะเลว....

    "พูดอะไรหน่อยสิวะเดย์  วันนั้นแกไปหามินซูทำไม มีเหตุผลอะไรต้องไปตอนดึกแบบนั้นวะ  บอกพี่มาหน่อยเถอะ

    เนลสันยืนกอดอกจ้องตาเขม็ง ก่อนจะโพล่งคำถามคาใจขึ้นมาบ้าง

    "ห้ะ ว่าไงนะพี่เนล?" ซงโฮผู้ซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดพลันอุทานออกมาอย่างตกใจและสับสน

    "แกได้ยินไม่ผิดหรอกซงโฮ ... วันนั้นที่มันเมาจนเข้าโรงพยาบาล มันไปหามินซู คู่หมั้นของจีซุนจริงๆ..."

    เคนและซงโฮหันกลับไปมองเนลสัน พลันอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง พากันหรี่ตามองผม  เขาคงเริ่มปะติปะต่อเรื่องได้จนโมโหแทนจีซุนขึ้นมาแล้วสินะ ดี! ถ้าอย่างนั้น....คำอธิบายของผมมันก็คงไม่จำเป็นอะไรอีกแล้ว

    ผมกัดปากมองทุกคนด้วยอารมณ์ที่ผสมกันอย่างปนเป  ทั้งโกรธ  ทั้งเศร้า  และรู้สึกโดดเดี่ยว  ตอนนี้ผมคงไม่เหลือใครแล้วจริงๆ นอกจากตัวของผมเอง  ตัดสินใจผลักโจอย่างแรง ซึ่งความแรงนั้นก็มากพอที่จะทำให้คนร่างสูงใหญ่เซจนเคนต้องประคองเอาไว้ไม่ให้ล้ม  เขากับผมต่างคนต่างกำมือของตัวเองไว้แน่น  ก่อนที่ผมจะเดินเอาไหล่ชนโจอย่างแรง  คว้ากีตาร์รุ่นมาร์ติน มาร์คัสซาร์ที่ดาริณเลือกให้ผมตอนอยู่โอซาก้ามาจัดเก็บใส่กล่อง  แล้วจึงนำขึ้นมาสะพายไว้ด้านหลัง 

    "หึ! เรื่องจริงสินะ  เลวว่ะ  แกทำกับเพื่อนแกแบบนี้ได้ยังไงเดย์... แล้วผู้หญิงอีกคนที่แกชอบล่ะ ที่แกหนีไปกับเธอตอนอยู่โอซาก้าไปไหนแล้ว? ทำไมถึงมาตีท้ายครัวเพื่อนแบบนี้ แกทำได้ยังไง  เสียแรงที่ฉันคอยดูแลปกป้องแก ฉันผิดหวังว่ะ"  

    โจกำมือแน่นด้วยความโกรธ พลางหันมองไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด   ผมง่วนสะพายกีตาร์และกระเป๋าคู่ใจพลางจะเดินจากไป  

    "ผมมันเลว... จบไหม... ทุกคนอยากให้เลวกันนักก็จะเลว...พอกันที!"

    ผมหันมาจ้องตาพวกเขาแวบหนึ่งก่อนจะเดินตึงตังออกจากห้องนี้ไป

    ครืด ครืด!

    โทรศัพท์สั่นภายใต้กางเกงยีนส์ของผมไม่หยุด ราวกับกำลังมีใครมีเรื่องคอขาดบาดตายจะต้องคุยกับผมเสียให้ได้เดี๋ยวนี้  ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถสปอร์ตสีดำด้านของผมอย่างเหม่อลอย  น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลตกกระทบแก้ม ร้องไห้อย่างไม่อาย

    ครืด ครืด!

    โอ! ใครมันช่างโทรมาตอนนี้....

    ฮัลโหล!"

    "เดย์ ฮือ ฮึก!" เสียงสะอื้นอันคุ้นเคยของเพื่อนรักดังขึ้นจากปลายสาย

    "มินซู เกิดอะไรขึ้น? เธอเป็นอะไร?" ผมรีบปาดน้ำตาตัวเอง  หลุดตกใจกับน้ำเสียงสะอื้นอันเจ็บปวดของมินซู

    "จีซุน.....ไม่กลับคอนโดฯ แต่ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว  ฮือ เดย์..."

    "ใจเย็นๆนะมินซู เธอรู้ได้ยังไงอะ"

    "มีคนส่งข้อความมาเย้ยหยันฉัน...แล้ว...แล้ว ฮือ...เค้าส่งภาพจีซุนนอนหลับเปลือยอกอยู่ข้างๆมาให้ฉันดูอะ...ฮือ ฉันไม่ไหวแล้ว... อยู่ไม่ไหวแล้ว มันเจ็บปวดเหลือเกิน"

    "เฮ้ย! เดี๋ยวฉันไปหาเธอ  อย่าคิดสั้นนะเว้ย"

    ได้ยินเสียงสะอื้นอันแสนเจ็บปวดของปลายสายแบบนั้นแล้วก็ทำให้ผมอยู่เฉยต่อไปไม่ได้  จึงรีบสตาร์ทรถและขับออกจากหอพักของผมในทันที

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×