คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 9
CHAPTER 9
แป็ก! แป็ก!
เสียงไม้กลองกระทบกันเป็นจังหวะ บัดนี้เนลสันพยักหน้าส่งสัญญาณเป็นอันรู้กันกับโจ
จึงดีดกีตาร์โปร่งเริ่มทำนองเพลง ก่อนที่เนลสันจะตีกลองชุดและเคนดีดเบสเสียงทุ้มตาม
จากนั้นซงโฮมือกีตาร์ไฟฟ้าจำเป็นในตอนนี้ยืนตีคอร์ดเพื่อสร้างเมโลดี้หลักของเพลงเป็นลำดับต่อไป
ในที่สุดก็ถึงตาผมที่จะเสริมเมโลดี้อันหนักหน่วงนี้ด้วยโซโล่ซึ่งเป็นอินโทรเพิ่มอรรถรสของเพลง ร่ายนิ้วดีดกีตาร์เสียงหวานปนเศร้าเข้าไปผสมรวมกันเป็นแนวร็อก
อะคูสติก ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลใหม่ที่วงของพวกเราพึ่งปล่อยออกมาหมาดๆ
ผมยืนหลับตาทำอารมณ์เล่นโซ่โล่กีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อกิ๊บสันสีน้ำตาลเงาสีดำเคลือบตรงขอบ
จังหวะดนตรีเบาลงเพื่อให้ผมได้เข้าท่อนร้องของผม ซึ่งก็มีความยากลำบากอยู่ไม่น้อยเนื่องจากแผลบวมปวดที่ปากนั้นยังไม่หายสนิทดีนัก
ฉันยืนเหม่อมองเธอท่ามกลางสายฝนพรำ
วอนขอสายรุ้งช่วยส่องเสียงของฉันให้เธอได้รับรู้
วอนฝนพรำช่วยฉันชำระล้างความรักอันสิ้นหวัง
ให้ความเจ็บปวดที่มีได้มลายหายไป
วอนฝนพรำช่วยฉันตามหาเธอในพายุนั้น
ขอพลังให้ฉันสามารถต่อสู้ฟันฝ่าพายุร้าย
ก่อนที่เธอ....จะหายไป...
ทันทีที่หมดท่อนร้อง ผมจึงปล่อยใจไปตามอารมณ์เพลง ระบายความปวดร้าวอันแสนละมุนนี้ผ่านการโซโล่กีตาร์ออกมาให้เป็นเสียงหวานทุ้มปนเศร้า
ข่มตากลั้นกลืนน้ำใสๆที่อัดอั้นไว้ภายใต้เปลือกตาที่เตรียมพร้อมจะไหลรินออกมาเต็มที
เนื้อหาในเพลงคืออารมณ์หม่นของผมช่วงก่อนหน้าที่ผมจะยอมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
และตัดสินใจทำตามหัวใจตัวเองดูสักครั้ง
มันเป็นอารมณ์เหงาปนเศร้าที่หมายถึงการที่เรารอคอยจะได้พบคนที่ใช่ แต่กลับทำได้แค่ยืนมองอยู่ในพื้นที่อันแสนไกลเพียงเท่านั้น
ผมใช้เวลาร่วมกับวงช่วยกันแต่งแต้มเมโลดี้ให้เข้ากับกวีอันแสนเศร้า ซึ่งเราใช้เวลาเถียงกันอยู่นานมากกว่าจะสำเร็จออกมาเป็นซิงเกิ้ลใหม่นี้ได้
แอด!
เสียงเปิดประตูห้องซ้อมดังขึ้น เผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสันทัดพร้อมอกกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายอย่างหนัก
มาในชุดเสื้อยืดสีดำสมส่วนกับกางเกงยีนส์ธรรมดาตัวหนึ่ง
ผมรองทรงต่ำสีดำสนิทนั้นเรียงเส้นสลวยถูกแสกกลางมา
จึงทำให้ผมปรกหน้าเขาเล็กน้อย เขาใช้นิ้วดันแว่นตากันแดดกรอบสี่เหลี่ยมอันใหญ่
เผยให้เห็นจมูกกลมเล็กที่รับกับปากหนาอวบอิ่มสีชมพูที่บัดนี้แอบเปื้อนรอยช้ำเลือดสีคล้ำที่มุมปาก
ทุกคนชะงักจนต้องหยุดเสียงดนตรีที่เล่นไว้ ก่อนจะเพ่งมองที่ชายหนุ่มผู้มาเยือนทีหลังกันอย่างพร้อมเพรียง
"โทษ'ทีที่มาสาย
ซ้อมกันไปถึงไหนแล้วล่ะ"
ทันทีที่ผมเห็นว่าผู้มาเยือนคนใหม่นั้นเป็นใคร ผมจึงเบือนหน้าหนีก้มลงมองกีตาร์อย่างเมินเฉย
"เออ! มาก็ดีแล้วไอ้จีซุน
หึ! มาก็สาย ดูดิ๊พี่ต้องมาเล่นกีตาร์ตีคอร์ดแทนแกเลยเห็นไหม"
ซงโฮบ่นอุบพร้อมถอดสายสะพายกีตาร์ไฟฟ้าออกจากตัว
ก่อนจะยื่นคืนให้เจ้าของตัวจริงของมันไป
"แล้วหน้าไปโดนอะไรมานั่น
พี่ว่าจะถามมาหลายวันแล้ว ช่วงนี้ก็ไม่มีเวลากันเลย"
ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นรอยแผลช้ำเลือดตรงมุมปากของจีซุนเข้า
"ผึ้งต่อยอะพี่..เอ่อ.. ซ้อมดนตรีดีกว่าปะ! สายแล้ว
เดี๋ยวออกงานตอนเย็นอีก"
จีซุนหลบหน้าหลบตา พลันรีบคว้ากีตาร์มาสวมสะพายดีดลองเสียง
"เดี๋ยวนะ พวกแกฟัดกันมาเหรอ"
ซงโฮมองพวกผม
เพ่งพิจารณารอยแผลปวดบวมบนใบหน้าที่มีลักษณะคล้ายกัน
"ห้ะ? ....หึ!
เปล่าๆ"
พวกเราหันมามองหน้ากัน
พลันรีบส่ายหัวแล้วก้มลงมามองกีตาร์ของใครของมัน
ทุกคนในวงมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนใจท่ามกลางบรรยากาศมาคุ จนซงโฮสั่งให้เราเริ่มซ้อมกันใหม่
เป็นการดึงความสนใจของพวกเราไปที่เรื่องอื่น ทว่าหลังจากนี้เราคงต้องมีเรื่องให้คุยกันอีกยาว
พวกเราทั้งห้าช่วยกันบรรเลงเสียงเพลงแนวร็อก อะคูสติกที่ตั้งใจร่วมด้วยช่วยกันสร้างเมโลดี้อันหนักหน่วงนี้มาเกือบเดือน ก่อนจะออกทัวร์คอนเสิร์ตเพลงจากอัลบั้มชุดก่อน
เมื่อเพลงแรกเสร็จ พวกเราจึงหาเวลามาสร้างเมโลดี้ให้กับเพลงอื่นๆต่อ
จนในที่สุดก็สามารถรวบรวมให้ออกมาเป็นอัลบั้มชุดใหม่ โดยหน้าที่หลักของผมคือการแต่งคำร้องและทำนองร่วมกับโปรดิวเซอร์มือฉมังอย่างซงโฮ
ก่อนจะส่งเดโมให้ทุกคนได้ฟัง
และทำอารมณ์เพื่อบรรเลงเพลงตามหน้าที่ของตัวเองก่อนจะกลั่นกรองออกมาเป็นผลงานชิ้นดี
ผมร่ายนิ้วโซโล่กีตาร์เสียงทุ้มหวานปนเศร้าอย่างเจ็บปวด อาจเพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยผมระบายความปวดร้าวที่เกาะกินพื้นที่ในจิตใจ จากการเสียทั้งเพื่อนรักและหญิงสาวที่ผมมีใจให้ไปในเวลาเดียวกัน
บทเพลงนำผมเข้าท่อนร้องอีกครั้ง
เสียงทุ้มต่ำของผมประสานกับเสียงคอรัสของจีซุนอดีตเพื่อนรักได้ดีอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนว่าบทเพลงจะช่วยเยียวยาให้เราหันกลับมาทำงานได้
โดยสามารถทิ้งความบาดหมางไว้เบื้องหลัง
จีซุนคือเพื่อนรักสมัยเรียน เขากับผมร่วมก่อตั้งวงดนตรีนี้ขึ้นมา
ก่อนที่เราจะตัดสินใจออกไปชักชวนคนที่เหลือให้มาร่วมวงกัน เราผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ทั้งสุขเศร้าเหงาทุกข์
เราอยู่เคียงข้างกันมาตลอด เขาคิดได้อย่างไรว่าผมกับมินซูจะแอบมาแทงข้างหลังเขา
แม้เราจะเคยเป็นคนแรกของกันและกัน แต่นั่นมันก็คืออดีตไปแล้ว เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่เขาจะย้ายเข้ามาเรียนที่เดียวกันกับผมเสียด้วยซ้ำ
ในเมื่อมันเป็นอดีต ทำไมผมถึงจะต้องมาพร่ำเพ้อพรรณาทวงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคืนด้วยล่ะ ผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนั้น
ผม ดันแคน ฮวัง คนนี้น่ะ เป็นลูกผู้ชายมากพอ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ช่วยมินซูให้ได้รักกับจีซุนทั้งๆที่ตัวเองก็เจ็บปางตายแบบนั้นหรอก
แต่หมอนั่นน่ะ....ไม่เคยรู้เลยต่างหาก
-----------------------------------------------------
อากาศในฤดูร้อนอันแสนอบอุ่นของกรุงโซลทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จึงสูดอากาศบริสุทธิ์นี้เข้าไปให้เต็มปอดอีกสักที
หลังจากกลับมาจากเมืองโอซาก้าตั้งแต่วันนั้น ฉันก็กลายเป็นคนที่มีพลังล้นเหลือและบ้างานจนน่าตกใจ
ความบ้างานหนักที่ว่านี้คือการที่ฉันยอมอยู่ทำงานจนดึกดื่น
และไม่เคยกลับบ้านต่ำกว่าสามทุ่มเลยสักคืนมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว
จนเพื่อนร่วมงานทั้งหมวยน้อยตี๋ใหญ่ในออฟฟิศต่างพากระซิบกระซาบกันจ้าละหวั่นว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่
นอกจากที่ฉันจะกลายมาเป็นคนบ้างานแล้ว
ผมยาวเป็นลอนสลวยสีน้ำตาลเข้มของฉันยังได้ถูกหั่นจนสั้นกุดระต้นคอ เส้นผมยาวที่เคยเป็นลอนสลวยเพราะผ่านการบำรุงอย่างดีกลับกลายเป็นเส้นลอนฟูกระเซอะกระเซิง
ถูกมัดเป็นจุกเล็กเพื่อไม่ให้มันมาปรกตรงหน้าของฉันมากเกินไป
ชุดกระโปรงหลากสีสันที่ฉันเคยใส่มาทำงานบัดนี้มันได้ถูกเก็บไว้คาตู้
เพราะยูนิฟอร์มใหม่ประจำตัวในช่วงนี้ของฉันมีเพียงแค่เสื้อยืดแขนยาวสีมืดตัวบาง
กับกางเกงยีนส์คู่กันกับรองเท้าผ้าใบเท่านั้น
อยู่ๆฉันก็เกิดอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาเป็นคนใหม่ ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่นัก
ฉันรู้เพียงว่าฉันไม่มีอารมณ์อยากสวยเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
ไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะจับเครื่องสำอางมาแต่งหน้า จนบางทีฉันก็เริ่มรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้จิตวิญญาณเข้าไปทุกที
'9.45 P.M.’
ฉันเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่วางไว้ตรงมุมหนึ่งบนโต๊ะทำงาน
นั่งง่วนหาข้อมูลเพื่อทำพรีเซนเทชั่นอย่างยากเย็น เนื่องจากผู้ช่วยสาวชาวเกาหลีที่ปกติเป็นลูกมือในการหาข้อมูลทางการตลาด
ดันลาหนีเที่ยวกับสามีไปเสียเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงฉันที่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มเป็นสามเท่าในการหาข้อมูลเพื่อนำมาคิดวิเคราะห์ออกมาเป็นพรีเซนเทชั่นกลยุทธ์ด้านการตลาดให้เสร็จทันภายในบ่ายโมงของวันพรุ่งนี้
ชีวิตของฉันมันโหดดีใช่ไหม จะว่าไปสำหรับฉันแล้ว มันก็ถือเป็นข้อดี
เพราะมันช่วยทำให้ฉันลืมเรื่องที่ทำให้หน่วงใจจากความรักที่ไม่สมหวังไปได้บ้าง
เวลาไหนที่ฉันแอบแวบคิดถึงคนตาเฉี่ยวนั้น ก็จะมีงานนี่ล่ะที่คอยอยู่เป็นเพื่อนกินเวลา จนในที่สุดฉันก็ลืมนึกถึงเขา
พลันเหลือบเห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งดันหน้าจอโน้ตบุ๊คปิดลงมาอย่างดื้อๆ
"เฮ้! ดงวุกฉันทำงานอยู่นะ"
ฉันโวยวายเป็นภาษาเกาหลี ก่อนจะมองหน้าผู้มาเยือนด้วยสีหน้าหงุดหงิด
"งานอะไรของเธอ นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว
ดาริณ....." ชายหนุ่มผู้มาเยือนยิ้มให้ฉันเล็กน้อยคล้ายกับจะล้อเลียน
"ก็งานฉันยังไม่เสร็จนี่นา"
ฉันขมวดคิ้วอย่างกังวล ก่อนจะเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คขึ้นมาทำงานอีกครั้ง
"ฉันจะให้เวลาเธอเซฟงานนะ ถ้าเธอยังไม่เลิก
ฉันจะปิดมันเอง" เขายืนกอดอกพลางทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
"เฮ้อ!..ก็ได้"
ฉันถอนหายใจ ก่อนจะยอมเซฟงานค้าง
และยอมปิดโน้ตบุ๊คเก็บของเดินตาม “ชิน ดงวุก” แต่โดยดี
เขาคือเพื่อนร่วมงานชาวเกาหลีที่ฉันสนิทมากที่สุดเพราะเราทำงานในแผนกเดียวกัน
เขาเป็นทุกอย่างของฉันที่นี่ คอยช่วยเหลือฉันในหลายๆด้าน
ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่
อาจเป็นเพราะบนโลกแห่งความเป็นจริงนี้ก็คงมีแต่ฉันที่กุมความลับและเป็นที่พึ่งทางใจของเขาได้อย่างดีเยี่ยม
ซึ่งมันเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกินที่ชายรูปงามคนหนึ่งจะสามารถเปิดเผยตัวตนอีกด้านที่แท้จริงให้คนรอบข้างจากประเทศเดียวกัน
ซึ่งได้รับการถูกปลูกฝังให้จงเกลียดจงชังคนที่ออกอาการผิดเพี้ยนทางเพศแทบจะทุกบ้านทุกเรือนแบบนี้
ต่างกับฉันซึ่งเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเหล่าชาวสีม่วงรอบข้าง
ผู้ที่จะสร้างสีสันและมีมุมน่ารักๆสร้างความสุขและเสียงหัวเราะ ฉันคุ้นชินกับพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัยจึงเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ดงวุกเองก็รู้สึกสนิทใจกับฉันมากเป็นพิเศษ
จนถึงกับต้องมาคอยเทคแคร์เอาใจใส่ว่าฉันจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร วันไหนหากเขาสังเกตได้ว่าฉันกลับดึก
ก็มีเขานี่ล่ะที่จะอยู่รอ พร้อมพาฉันกลับไปส่งถึงคอนโดฯ คนภายนอกอาจมองได้ว่าความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของเราต้องมีอะไรมากกว่านั้น
แต่อย่างไรพวกเราต่างคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า
พวกเราเป็นใครและพวกเรา...รักใคร
ดงวุก ชายหนุ่มรูปงามผู้มีใบหน้ารูปไข่ คิ้วหนาเข้มและตาชั้นเดียวกลมโตพร้อมแผงขนตายาวหนาเป็นแพ
แถมยังมีจมูกโด่งและปากอิ่มสวยได้รูปเข้ากันไปทั่วใบหน้า
ฉันเชื่อได้เลยว่าหากเขาเปลี่ยนรสนิยมทางเพศมาชอบเพศตรงข้ามได้จริงๆ
เขาคงมีสาวต่อคิวรอจะได้เคียงคู่โดยที่เขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ
"ดาริณ...เหม่อลอยอะไรของเธอ"
เสียงทุ้มปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงภวังค์ ในขณะที่นั่งมองข้างทางภายในรถที่มีดงวุกเป็นคนขับอยู่ข้างๆนั้น
พลันทำให้ฉันหวนคิดถึงคนที่ฉันเคยใช้เวลาแสนสุขอยู่ด้วยกันที่โอซาก้า
มันเป็นภาพจำที่เราจับมือพากันเดินเลือกซื้อกีตาร์ในแบบที่เขาอยากได้
'ดาริณอยากให้ผมเลือกตัวไหน
ผมก็จะซื้อตัวนั้นแหละ เลือกให้ผมทีสิครับ...นะครับ'
ฉันยังคงจำได้ขึ้นใจว่าวันนั้นเขาต้องแอบมองว่าทางสะดวกหรือไม่ แล้วจึงสวมกอดจากด้านหลัง
พลันหอมคอของฉันอย่างเพลิดเพลินกลางร้านขายกีตาร์
เป็นสิ่งที่เขาชอบทำเสมอเวลาอยู่กับฉัน
และมันก็จะจบลงด้วยการที่เขาจะขอประทับจูบลงบนริมฝีปากไปเสียทุกที
ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบ....เขา....จูบเก่งชะมัด
'ชอบรุ่นมาร์ติน มาร์คัสซาร์
เดย์ว่ายังไงละคะ'
'ดาริณชอบ...ผมก็ชอบครับ'
เขาบรรจงจูบแล้วจึงไล่ฝังเขี้ยวลงบนแผงคอของฉัน ทำให้รู้สึกราวกับมีผีเสื้อบินว่อนอยู่ในท้องอีกครั้ง
"เฮ้! ดาริณเหม่อเพ้ออะไรยะหล่อน"
ฉันสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิดอันแฝงไปด้วยความรู้สึกโหยหาความเร่าร้อนนั้น
"อะเอ่อ" ฉันกะพริบตาปริบๆ
"ตั้งแต่กลับมาจากโอซาก้า
ฉันว่าเธอแปลกๆไปนะดาริณ" ฉันมองเขาตาแป๋วราวกลับลูกแมวที่ไร้เดียงสา
"แปลกยังไงเหรอ"
"โอ้โห! ช่างกล้าถาม
จะให้ร่ายตั้งแต่สารรูปส่วนไหนของเธอก่อนดีล่ะ
โดนผู้ชายทิ้งรึไงไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย"
ได้ยินว่าโดนทิ้งก็พลันทำให้ฉันรู้สึกจุกตรงกลางลิ้นปี่ขึ้นมาทันที
"เฮ้อ! ...ก็ไม่เชิงหรอก
มันแค่...ไม่มีทางเป็นไปได้เท่านั้นเอง"
ฉันถอนหายใจดั่งคนหมดอาลัยตายอยาก ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย
"ฉันขอโทษที่ถาม... อย่าเศร้าเลยนะ
มันคงมีสักวันที่เธอกับชายที่เธอรักจะได้รักกันแบบสมหวังสักวันล่ะนะ” เขาปลอบใจพลางวางมือทาบลงบนมือของฉัน
"ขอบคุณนะดงวุก" ฉันก้มลงมองมือที่เรากุมกันอยู่อย่างเศร้าสร้อย
"ไม่เอา ไม่เศร้าสิ
ฟังเพลงดีกว่าเนอะ"
ดงวุกใช้มือปรับหมุนหาคลื่นสัญญาณวิทยุ
จนไปเจอช่องหนึ่งที่ดันเป็นเสียงราวกับกำลังมีการสัมภาษณ์อะไรสักอย่างกันอยู่
ฉันขึงตาโตทันทีที่เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นหูดังแทรกขึ้นมา
'ผมแต่งเพลงนี้เองครับ'
'ใช่ๆ เพลงนี้เดย์เป็นคนแต่งคำร้องและทำนองเองครับ'
เพื่อนๆในวงพากันเสริม
'สุดยอดมากเลย
คุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหนครับ เพราะเนื้อหาเพลงดูเศร้ากับความรักมากเลย'
'ก็จากความรักของคนรอบข้างครับ' เสียงทุ้มต่ำตอบอย่างไร้ชีวิตชีวา
'ใช่ที่ไหน...บอกไปดิว่ามาจากผู้หญิงที่แกชอบอะเดย์'
เสียงแหบพร่าของจีซุนแทรกขึ้นมากลางรายการ
'จริงเหรอ
ใช่คนที่เป็นข่าวในตอนนี้รึเปล่า'
'ไม่ใช่ครับ พวกเราล้อเล่นกันเฉยๆ
ใช่ไหมเดย์' เสียงแหบพร่ายังคงพูดต่อ
'เล่นกันเองซะแล้ว... เอาเป็นว่าซิงเกิ้ลใหม่นี้มันสุดจริงๆนะครับท่านผู้ชม อย่ารอช้าเลย
เราไปฟังกันดีกว่ากับเพลงที่มีชื่อว่า Through the storm of love'
เขาจะเดือดร้อนเพราะฉันไหม ฉันเป็นห่วงเขาจัง.....
-----------------------------------------------------------------
"เฮ้ย! แกกับฉันอะคุยกันหน่อยดิ๊จีซุน
มันอะไรกันนักกันหนาวะ ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันกับมินซูเราเป็นเพื่อนกัน
แล้วทำไมแกฉีกหน้าฉันกลางรายการขนาดนี้ มันไม่มากไปหน่อยเหรอวะ"
ในทันทีที่สัมภาษณ์รายการวิทยุเสร็จผมก็เกิดอารมณ์ฉุนจนฟิวส์ขาด
พลันกระชากเสื้อของหนุ่มร่างสันทัดตรงหน้าให้หันมาประจันหน้ากัน
เนื่องจากมันดันมาแซวผมเรื่องผู้หญิงที่กำลังเป็นข่าวอยู่ ด้วยฝีมือการปล่อยข่าวของผู้ไม่หวังดีกลางรายการวิทยุนั่น
“แกจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้ยังไงวะ
ตอบมาสิ!”
"อะไรของแก!" เขาตะโกนกลับมาด้วยสีหน้าขึงขัง ผลักผมแรงจนทุกคนในวงต้องพากันรีบคว้าตัวของทั้งผมและจีซุนไว้แยกให้ห่างออกจากกัน
"พวกแกมีอะไรไปคุยกันที่รถ
ที่นี่มันคลื่นวิทยุ ไม่ใช่สถานที่ไว้ให้หมากัดกัน" โจพูดปรามอยู่ที่ข้างหูของผม
ในขณะที่กำลังดิ้นภายใต้อ้อมแขนของโจที่กำลังล็อคตัวของผมไว้ไม่ให้ไปต่อยจีซุนเข้า
"วันนี้ฉันจะไปนอนคอนโดฯ
ฉันไม่อยู่กัดกับหมาที่ไหนทั้งนั้น ปล่อย!"
จีซุนยื่นคำขาดออกมาดังลั่น
สะบัดแขนออกจากเคนซึ่งกำลังล็อคตัวเอาไว้ จนสามารถหลุดออกมาได้ในที่สุด พลันเดินหันหลังออกไปจากกลุ่มเพื่อนอย่างไม่สนใจไยดี
"แกมีปัญหาอะไรกับฉันนักหนา
มินซูกับฉันเป็นเพื่อนกันแล้วจะอะไรอีก อ๋อ! แกจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม
แกจะทำลายเพื่อนแบบนี้ใช่ไหม"
ผมโพล่งไล่หลังคนตัวสันทัดไปอย่างฟิวส์ขาด
โจใช้มือปิดปากของผมไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปได้มากกว่านี้
"หึ! เรื่องที่แกกับมินซูเคยเป็นแฟนคนแรกของกันและกัน
แกตั้งใจจะบอกฉันเมื่อไหร่ ถ้าฉันไม่เห็นพวกแกกอดกันกลมด้วยตาของฉันเอง
แกก็คงแอบตีท้ายครัวเมียชาวบ้านไปเรื่อยๆแบบนี้ใช่ไหม พอเถอะ มันจบแล้วไอ้เดย์!"
“ไม่ชอบเรื่องจริง ชอบฟังเรื่องโกหกใช่ไหม
ดี....ลับหลัง ฉันกับมินซูก็มีอะไรกันบนเตียงพวกแกนั่นแหละ พอใจหรือยัง?”
คนสันทัดหันกลับมาฟาดหมัดลงบนใบหน้าของผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป
ยังดีที่โจจับผมเอาไว้แน่น มิเช่นนั้นตัวผมคงล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแน่
ทว่าบัดนี้คำพูดประชดประชันแบบไม่ยั้งคิดที่ผมพึ่งโพล่งออกไป
ไม่ได้ทำให้จีซุนรู้สึกแย่เพียงฝ่ายเดียว
แต่มันดันสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับทุกคนในบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นซงโฮ โจ เคน
หรือเนลสัน ต่างพากันยืนกอดอกจ้องมองผมตาเขม็ง
"เฮ้ย! เบาๆกันหน่อยสิวะ
ที่นี่มันคลื่นวิทยุนะ กลับเดี๋ยวนี้ มีอะไรค่อยเคลียร์" ในที่สุดซงโฮก็ยอมทิ้งความสงสัยนี้ไป และพาพวกเราเดินออกมาจากคลื่นวิทยุ
'จีซุน ...แกมันโง่
แกคิดได้ยังไงว่าฉันกับมินซูจะแทงข้างหลังแก
เป็นเพื่อนกันแล้วไม่มีสิทธิ์ปรับทุกข์หรือปลอบกันรึยังไง
แกอย่าเอาความเลวของแกเป็นบรรทัดฐานมาตัดสินคนอื่นสิ!'
ยิ่งคิดมันก็ยิ่งน่าเจ็บใจนัก!
------------------------------------------------------------------
ท่ามกลางบรรยากาศมาคุบนรถตู้สีดำคันหรูของบริษัทฯที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าพาศิลปินอย่างพวกเรากลับไปส่งหอพักเพื่อพักผ่อน หลังจากเดินสายโปรโมทซิงเกิ้ลใหม่มาทั้งวันจนถึงตอนนี้ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนได้แล้ว
ทุกคนต่างนั่งหันมองข้างทาง ไร้เสียงคุยเล่นใดๆเหมือนเช่นเคย มีเพียงแต่สายตาของพวกเขาที่แอบชำเลืองมองผมเป็นระยะๆ
ราวกับว่ากำลังมีคำถามคาใจอยู่พร้อมที่จะโพล่งออกมาเพื่อถามผมได้ทุกเมื่อ แต่กลับโดนผมเมินเฉยด้วยการมัวแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจ
‘ทำไมถึงไม่อัพสถานะอะไรบ้างเลยนะ'
ผมใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอพยายามค้นดูสื่อโซเชียลของดาริณ เพื่อดูว่าตอนนี้ชีวิตของคนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจจะเป็นเช่นไร ชีวิตที่ไม่มีผมอยู่เคียงข้างมันดีสำหรับเธอจริงหรือเปล่า
ยิ่งพยายามเลื่อนดูมากเท่าไหร่ ผมกลับพบแต่ความผิดหวัง
เมื่อสถานะสุดท้ายของเธอคือภาพถ่ายจากกาเซะ อาร์ตแกลเลอรี ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันแสนหอมหวานของพวกเรา
โดยไม่มีการอัพเดทอะไรเพิ่มเติมต่อจากนั้นอีกเลย
ผมจ้องโทรศัพท์ด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย ผมคิดถึงเธอเหลือเกิน
ผมอยากเจอเธอมากเหลือเกิน ผมยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากใช้เวลาทำร่วมกับเธอ
หากมีพรประการใดที่จะสามารถช่วยให้ผมได้กอดเธออีกครั้ง
ผมขอสัญญาว่าผมจะกอดเธอไว้ให้แน่นและจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีก
แม้ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธอที่เมืองโอซาก้านั้นมันช่างสั้นนัก
แต่มันกลับฝังเป็นความทรงจำที่หยั่งรากลึกลงในใจของผม
ยากเกินจะลืมเลือน
เธออยู่ที่ไหน…
ผมจะหาเธอเจอได้อย่างไร
ราวกับว่ามีคนมาสาดแสงจากกระบอกไฟฉาย
ทำให้แสงนั้นแยงตาผมจนรู้สึกแสบตา ซึ่งแหล่งที่มาของแสงนั้นก็มาจากรถคันหนึ่งที่ขับสวนผ่านไป
พลันทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันทีว่าผมยังมีอีกคนที่แฝงอยู่ในร่างของผม
เขาคือคนเดียวที่จะช่วยผมติดต่อพูดคุยกับเธอได้
'ขนาดใช้ยูเซอร์เนมของซง
เธอก็ยังไม่ตอบกลับมาเลย'
แต่กระนั้นผมก็ยังไม่ลดละความพยายาม
จึงพิมพ์ข้อความหาดาริณด้วยยูเซอร์เนม นามว่า 'Songsaboutyou' อีกครั้ง
@Darinee เป็นยังไงบ้างครับ ไม่ได้คุยกันเลย คุณได้ฟังซิงเกิ้ลใหม่ของชาร์มมิ่ง
พริซอนเนอร์รึยังครับ
ผมยิ้มเล็กน้อยให้กับโทรศัพท์ในมือ อย่างน้อยแสงริบหรี่ของความหวังก็กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ไปอีกหนึ่งก้าวแล้ว
ผมจะรอเธอต่อไป....
"ถึงแล้วครับ" เสียงของคนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าดังขึ้น
พลันทลายความเงียบสงัดบนรถตู้คันนี้ลงได้
"คุณซงโฮจะให้ผมไปส่งคอนโดฯอยู่ไหมครับ"
คนขับชะเง้อมองหาชายหนุ่มที่เขาจะเสวนาด้วยผ่านกระจกของคนขับ
"ไม่ล่ะ ฉันว่าวันนี้ฉันคงต้องนอนที่นี่
ขอบใจมากนะ"
'เฮ้อ! คืนนี้คงโดนสอบสวนทั้งคืน
ไม่ได้นอนง่ายหรอก'
คิดได้ดังนั้นจึงถอนหายใจ คงเป็นเพราะผมไม่มีอารมณ์จะเสวนากับใครทั้งนั้นในตอนนี้
หากจะมาซักไซร้เรื่องความบาดหมางของผมกับจีซุน ผมก็คงไม่มีอะไรเล่าให้ฟังมากนัก
เพราะไม่มีทางที่ใครจะมาเข้าใจในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของผมกับมินซูหรอก
พวกเขาไม่เคยรู้เลยเสียด้วยซ้ำว่า ผมกับมินซูเคยเป็นอะไรกัน
แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องมานั่งพร่ำเพ้อเล่าเรื่องอดีตที่ผ่านมานานแล้ว
หรือให้มาอธิบายเหตุผลที่ผมต้องไปหามินซูให้เสียเวลาไปทำไมกัน
ในเมื่อหากผมเล่าไป ก็คงไม่มีใครเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผมอยู่ดี
ในที่สุดพวกเราก็กลับเข้าหอพักที่ทางบริษัทฯเช่าไว้ให้เราอยู่รวมกันทั้งวง มันเป็นห้องคล้ายคอนโดฯที่ได้รับการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกแต่งแต้มเป็นโทนสีขาว สีดำ
และสีเทาเข้าเซทกันไปทั้งหอ ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ห้องนอน
โดยมีผมนอนห้องเดียวกับโจ เคนนอนคู่กับจีซุน
ส่วนเนลสันนั้นขอห้องนอนเดี่ยวไว้นอนคนเดียว
และห้องนอนห้องสุดท้ายที่ทางบริษัทฯตั้งใจจัดไว้ให้ผู้จัดการส่วนตัวของเรานอน
แต่เขามักจะชอบกลับไปนอนคอนโดฯของเขาเสียมากกว่า
ทันทีที่ผมถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้ และกำลังจะเดินนำผ่านโถงห้องนั่งเล่นเพื่อเดินกลับเข้าห้องนอนไป
จู่ๆก็มีเสียงไล่หลังดังขึ้น
"เรื่องวันนี้มันหมายความว่ายังไงวะ"
เสียงห้าวของโจดังขึ้นไล่หลังจนทำให้ผมถึงกับต้องหยุดชะงัก พลันหลับตาลงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
"ปล่อยมันอยู่คนเดียวไปก่อนเถอะ
อย่าพึ่งไปเซ้าซี้มันเลย"
ซงโฮรีบกระซิบเพื่อปรามโจไว้ ผมจึงรีบเดินเพื่อไปให้ถึงประตูห้องของผมโดยเร็วที่สุด
"ฉันถามน่ะ ได้ยินไหม ทำไมไม่ตอบวะ ที่จีซุนพูดว่าแกแทงข้างหลังมันคืออะไร
แล้วที่แกบอกว่าแกมีอะไรกับมินซูมันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ"
ผมไม่สนใจ พลันบิดลูกบิดประตูเพื่อที่จะเปิดห้องนอน ได้รับรู้ถึงแรงกระชากจากต้นเสียง พลันทำให้ผมต้องหันกลับมาประจันหน้าตามแรง
เขากระชากคอเสื้อและผลักผมติดประตู
ทุกคนที่เหลือได้แต่ยืนกอดอกจ้องมองมาที่ผม ขมวดคิ้วผูกเป็นปม
ก่อนที่เคนจะเดินเข้ามาล็อคแขนโจไว้
"เฮ้ย! พี่ใจเย็นๆกันก่อนสิ...
ทำไมพี่ไม่รอให้พี่เดย์อธิบายก่อนอะ ฟังก่อนสิพี่"
"จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง
จีซุนก็น้องฉันเหมือนกัน แกมีอะไรกับมินซูจริงๆใช่ไหม ตอบมาสิไอ้เดย์!”
ผมกับโจจ้องตากันอย่างเอาเรื่อง
เพราะผมก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน
หากแม้กระทั่งพี่ชายที่ผมรักมากที่สุดยังไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผม
ก็สุดแล้วแต่ ...ผมก็มีศักดิ์ศรีของผม....
ทุกคนมองผมเลว ผมก็จะเลว....
"พูดอะไรหน่อยสิวะเดย์
วันนั้นแกไปหามินซูทำไม มีเหตุผลอะไรต้องไปตอนดึกแบบนั้นวะ บอกพี่มาหน่อยเถอะ"
เนลสันยืนกอดอกจ้องตาเขม็ง
ก่อนจะโพล่งคำถามคาใจขึ้นมาบ้าง
"ห้ะ ว่าไงนะพี่เนล?" ซงโฮผู้ซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดพลันอุทานออกมาอย่างตกใจและสับสน
"แกได้ยินไม่ผิดหรอกซงโฮ ...
วันนั้นที่มันเมาจนเข้าโรงพยาบาล มันไปหามินซู
คู่หมั้นของจีซุนจริงๆ..."
เคนและซงโฮหันกลับไปมองเนลสัน
พลันอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง พากันหรี่ตามองผม เขาคงเริ่มปะติปะต่อเรื่องได้จนโมโหแทนจีซุนขึ้นมาแล้วสินะ
ดี! ถ้าอย่างนั้น....คำอธิบายของผมมันก็คงไม่จำเป็นอะไรอีกแล้ว
ผมกัดปากมองทุกคนด้วยอารมณ์ที่ผสมกันอย่างปนเป ทั้งโกรธ ทั้งเศร้า และรู้สึกโดดเดี่ยว ตอนนี้ผมคงไม่เหลือใครแล้วจริงๆ นอกจากตัวของผมเอง ตัดสินใจผลักโจอย่างแรง
ซึ่งความแรงนั้นก็มากพอที่จะทำให้คนร่างสูงใหญ่เซจนเคนต้องประคองเอาไว้ไม่ให้ล้ม
เขากับผมต่างคนต่างกำมือของตัวเองไว้แน่น ก่อนที่ผมจะเดินเอาไหล่ชนโจอย่างแรง คว้ากีตาร์รุ่นมาร์ติน
มาร์คัสซาร์ที่ดาริณเลือกให้ผมตอนอยู่โอซาก้ามาจัดเก็บใส่กล่อง แล้วจึงนำขึ้นมาสะพายไว้ด้านหลัง
"หึ! เรื่องจริงสินะ
เลวว่ะ แกทำกับเพื่อนแกแบบนี้ได้ยังไงเดย์...
แล้วผู้หญิงอีกคนที่แกชอบล่ะ ที่แกหนีไปกับเธอตอนอยู่โอซาก้าไปไหนแล้ว? ทำไมถึงมาตีท้ายครัวเพื่อนแบบนี้
แกทำได้ยังไง เสียแรงที่ฉันคอยดูแลปกป้องแก
ฉันผิดหวังว่ะ"
โจกำมือแน่นด้วยความโกรธ
พลางหันมองไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด
ผมง่วนสะพายกีตาร์และกระเป๋าคู่ใจพลางจะเดินจากไป
"ผมมันเลว... จบไหม...
ทุกคนอยากให้เลวกันนักก็จะเลว...พอกันที!"
ผมหันมาจ้องตาพวกเขาแวบหนึ่งก่อนจะเดินตึงตังออกจากห้องนี้ไป
ครืด ครืด!
โทรศัพท์สั่นภายใต้กางเกงยีนส์ของผมไม่หยุด
ราวกับกำลังมีใครมีเรื่องคอขาดบาดตายจะต้องคุยกับผมเสียให้ได้เดี๋ยวนี้ ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถสปอร์ตสีดำด้านของผมอย่างเหม่อลอย
น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลตกกระทบแก้ม ร้องไห้อย่างไม่อาย
ครืด ครืด!
โอ๊ย! ใครมันช่างโทรมาตอนนี้....
“ฮัลโหล!"
"เดย์ ฮือ ฮึก!" เสียงสะอื้นอันคุ้นเคยของเพื่อนรักดังขึ้นจากปลายสาย
"มินซู เกิดอะไรขึ้น? เธอเป็นอะไร?" ผมรีบปาดน้ำตาตัวเอง
หลุดตกใจกับน้ำเสียงสะอื้นอันเจ็บปวดของมินซู
"จีซุน.....ไม่กลับคอนโดฯ
แต่ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว ฮือ เดย์..."
"ใจเย็นๆนะมินซู เธอรู้ได้ยังไงอะ"
"มีคนส่งข้อความมาเย้ยหยันฉัน...แล้ว...แล้ว ฮือ...เค้าส่งภาพจีซุนนอนหลับเปลือยอกอยู่ข้างๆมาให้ฉันดูอะ...ฮือ ฉันไม่ไหวแล้ว... อยู่ไม่ไหวแล้ว
มันเจ็บปวดเหลือเกิน"
"เฮ้ย! เดี๋ยวฉันไปหาเธอ
อย่าคิดสั้นนะเว้ย"
ได้ยินเสียงสะอื้นอันแสนเจ็บปวดของปลายสายแบบนั้นแล้วก็ทำให้ผมอยู่เฉยต่อไปไม่ได้ จึงรีบสตาร์ทรถและขับออกจากหอพักของผมในทันที
ความคิดเห็น