ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เปิดตำราท้ารัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 15 ธ.ค. 53



    “ไอ้บ้า...แกทำบ้าอะไรลงไป”

    ศศิกานต์กรีดเสียงร้องลั่นหลังจากได้ฟังเรื่องราวที่มนต์มีนาเล่าออกมาจนจบ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ร่างอวบได้ที่กำลังดีเผลอผุดลุกขึ้นยืนโดยที่มือทั้งสองข้างยังวางอยู่บนโต๊ะแถมยังต้องคว้าขอบโต๊ะไว้อย่างเหนียวแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอยกมือไปฟาดหน้าใครเข้า แต่คนตรงหน้าซึ่งเป็นคู่กรณียังมองตาแป๋ว

    “ทำอะไร...”

    “ใจเย็นก่อน ๆ...เพิร์ล” ภัคธีรา เพื่อนสาวที่นั่งข้างศศิกานต์ต้องยกมือแตะแขนเพื่อนเตือนให้อารมณ์เย็นลง

    “เย็นยังไงพลีส...แกจะให้ฉันเย็นลงยังไงวะ ก็ได้ยินอยู่ว่ามันไปทำบ้าอะไรมา” ศศิกานต์ชี้นิ้วเต้นเหยง ๆ

    “ก็แค่ต่อยหน้าหมอนั่นทีเดียว...” เสียงนั้นหยุดลงเพราะคนพูดถูกรติญาที่นั่งข้าง ๆ ผวาเข้ามาปิดปากไว้เสียก่อน ขณะที่คนฟังอย่างศศิกานต์แทบกระโดดมาตบหัวเธอแรง ๆ หากไม่มีภัคธีราคว้าตัวไว้

    “เย็นไว้น่าเพิร์ล...เรื่องมันยังไม่เกิด แกจะมาวีนใส่ไอ้มีนมันทำไม” รติญาเอ่ยเสียงแหลม “ฉันว่านะ...บางทีพี่เขาอาจไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้”

    “คนอย่างพี่กายน่ะเหรอจะไม่รู้สึก...ลูกมาเฟียนะแก มีหรือจะไม่สนศักดิ์ศรีตัวเอง” ศศิกานต์ตวาดแหว

    “ลูกมาเฟีย...” มนต์มีนาที่เพิ่งแกะมือเพื่อนให้หลุดจากปากได้สำเร็จเผลออุทานเสียงเบา “คำนี้ยังมีอยู่ในพจนานุกรมไทยอีกเหรอ”

    “มีสิ เหมือนที่ดอนทั้งหลายยังเดินสวนกันอยู่ในนิวยอร์กนั่นละ” คนตอบคือภัคธีราที่ใจเย็นกว่าศศิกานต์มาก

    “แบบในก็อดฟาเธอร์หรือเปล่า...” นั่นคือมาเฟียรูปแบบเดียวที่เธอพอจะจินตนาการถึงได้

    “คล้ายกัน...แต่คงไม่น่ารักอย่างดอนคาร์เลโอเนหรอก”

    “แกใช้สมองส่วนไหนมานิยามคำนั้นกับดอนวะพลีส” แฟนพันธุ์แท้ก็อดฟาเธอร์อย่างรติกรที่ยืนอยู่ข้ามนต์มีนาหันมาทำตาเหลือกใส่ภัคธีรา “เขาเรียกอบอุ่นและสง่างามต่างหากย่ะ”

    “จะคำไหนก็ช่าง...โลกแห่งความจริงมันไม่สวยงามอย่างนั้นหรอก”

    “มองโลกในแง่ร้าย”

    “ฉันว่าในหนังมันก็ไม่ได้โสภาหรอกนะเรน” ศศิกานต์กลอกตาอย่างระอาใจ ก่อนจะนึกได้หันกลับมาจ้องหน้ามนต์มีนา “ไม่ใช่แล้ว...ไม่ใช่เวลามาเปลี่ยนเรื่อง ไอ้มีน แกต้องไปขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้เลย”

    “ไม่...” เพื่อนสาวเชิดหน้าบอกเสียงแข็ง “เราไม่ใช่คนผิดเสียหน่อย”

    “ไอ้ที่เดินไปต่อยหน้าเขากลางผับนี่ไม่เรียกว่าผิดเหรอ งั้นเขาให้ลูกน้องมาเป่าหัวแกก็ไม่ผิดเหมือนกันน่ะสิ” ศศิกานต์ขึงตาใส่เพื่อน อารมณ์โกรธเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง

    “มันไม่เหมือนกัน ก็หมอนั่นทำร้ายเมษ...” เสียงของมนต์มีนาสะดุดหยุดลงเมื่อเอ่ยถึงคนต้นเรื่องที่ทำให้เธอโกรธจนถึงกับบุกไปต่อยหน้าผู้ชายคนนั้นกลางผับ ดวงตาเรียวเล็กหลุบลงมองพื้นทำให้ศศิกานต์ต้องสูดลมหายใจยาวเรียกสติให้ตัวเองอีกครั้ง

    ภัคธีราถอนใจเบา ๆ
    “เราว่า...ตอนนี้มานั่งไล่เรียงว่าใครผิดใครถูกยังไงมันก็ไร้ประโยชน์ เรื่องมันเกิดไปแล้ว เราต้องมานั่งคิดกันต่างหากว่าจะทำยังไงกับมันดี”

    “ฉันก็คิดอยู่นี่ไง ให้มีนมันไปขอโทษพี่เขาดี ๆ”

    “แบบนั้นจะยิ่งแย่” ภัคธีราบอกหน้าตาเฉยก่อนอธิบายต่อ “แกอย่าลืมว่าเมษเป็นน้องฝาแฝดกับมีน บางทีตอนนี้พี่เขาอาจจะเข้าใจว่าเป็นฝีมือเมษอยู่ก็ได้”

    ศศิกานต์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ
    “ก็ดี...เรื่องเกิดเพราะไอ้เมษก็ให้มันรับกรรมไป”

    คราวนี้คนที่ร้อนรนกลับเป็นมนต์มีนา ร่างเล็กบางที่เพื่อน ๆ รู้กันดีว่าไม่ได้บอบบางอย่างที่ตาเห็นลุกขึ้นอย่างจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว
    “ไม่ได้นะ ไม่ได้...เราจะไปขอโทษเขาเอง” ไม่พูดเปล่า เธอทำท่าจะก้าวออกไปจริง ๆ

    “หยุดนะ ไอ้มีน...” ศศิกานต์ทั้งตวาดทั้งผวาเข้ามาขวางหน้า แถมยังจ้องเพื่อนตาเขม็ง “ฉันเข้าใจนะว่าแกรักไอ้เมษ แต่อย่ารักผิด ๆ สิวะ”

    “ผิดที่ไหน นี่เป็นเรื่องของเรา เราก็ต้องเป็นคนจัดการเองสิ”

    “แต่เรื่องมันเกิดเพราะเมษ” ภัคธีรายกมือขึ้นกอดอก เอ่ยเสียงแข็ง “แกน่ะตามใจจนมันเคยตัว เอะอะอะไรก็มานั่งแง้ว ๆ กับแก เดี๋ยวแกก็จัดการให้ ที่เสี่ยงเพราะมันมาเท่าไรยังไม่พอหรือไง ครั้งนี้ให้มันรู้บ้างว่าที่ผ่านมาแกลำบากเพราะมันแค่ไหน”

    เพื่อน ๆ พากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เว้นแต่มนต์มีนาที่ยังส่ายหน้าอย่างร้อนใจ
    “ไม่ได้ลำบาก...แกไม่เข้าใจหรอกพลีส”

    “ไม่ใช่แค่พลีสหรอก...พวกฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแกต้องรักต้องปกป้องมันนักทั้งที่มันอ่อนกว่าแกแค่นาทีเดียว แล้วมันก็ไม่เคยดูแลแกให้ดีเหมือนที่แกคอยดูแลมันด้วย” รติญาเองก็จ้องหน้าเพื่อนตาเขม็งเช่นกัน

    คำพูดนั้นทำให้มนต์มีนายืนนิ่งงันไปราวคนไร้วิญญาณ ดวงตาเบิกกว้าง ลมหายใจสะดุดหยุดไปชั่วขณะเมื่อเพื่อนเอ่ยถึงความจริงที่ไม่อยากจะยอมรับ หญิงสาวเม้มริมฝีปากบางแน่น หลุบตาลงมองพื้นก่อนจะถอนใจยาว

    “มัน...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”

    “แกจะโกหกตัวเองไปอีกนานแค่ไหนวะมีน...ลืมตาตื่นมามองโลกเสียทีเถอะ” ศศิกานต์เน้นเสียงอย่างเหลืออด

    “ยังไงเมษก็เป็นน้องเรา”

    “แล้วมันเคยเห็นแกเป็นพี่ไหม” คำถามอย่างตรงไปตรงมานั้นทำให้มนต์มีนาได้แต่นิ่งงัน ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นย่างพยายามกลั้นความรู้สึก

    “พวกแกไม่เข้าใจหรอก” เอ่ยแล้วหญิงสาวก็หมุนตัวเตรียมจะหนีไป แต่เพื่อน ๆ ที่น่ารักดูจะไม่ยอมง่าย ๆ

    ศศิกานต์คว้าคอเสื้อเพื่อไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ภัคธีราและรติญาจะตามกันมาดังแขนไว้ มนต์มีนาร้องลั่น พยายามสะบัดตัวหนี แต่เพื่อน ๆ ดูจะเห็นเป็นเรื่องสนุกไปแล้วเพราะเสียงหัวเราะเริ่มดังจากปากรติญา
    “นี่แน่ะ...จับไว้เลย ไม่ให้ไปไหนหรอก ยายบ้า”

    “ไอ้บ้า...ปล่อยนะ”

    “ไม่ปล่อย...” ศศิกานต์เอ่ยกลั้วหัวเราะแล้วโถมตัวเข้าไปบนไหล่เพื่อน

    “ไอ้บ้า...มันหนักนะโว้ย”

    “ดี ให้เพิร์ลล้มทับไปเลย จะได้หายบ้า” เสียงภัคธีราดังอยู่ข้างหู ขณะที่มนต์มีนายังดิ้นเร่า ๆ อยู่ในวงล้อมกึ่งทับของเพื่อนสาว

    “แกน่ะสิบ้า...อย่ามาว่าฉันนะ” ร่างเล็กที่อยู่ด้านในแรงเยอะอย่างที่เพื่อน ๆ รู้มือรู้เท้ากันดีอยู่แล้ว เพียงไม่นานมนต์มีนาก็เริ่มฟาดงวงฟาดงา โถมเอาร่างที่กดกันอยู่ล้มลงแล้วไถลลื่นไปตามพื้น

    “โอ๊ย...” ศศิกานต์ร้องเมื่อร่างอวบได้ส่วนไถลไปชนกับอะไรบางอย่าง เธอตวัดมือคว้าหาหลักยึดตามสัญชาตญาณก่อนที่ก้อนสี่สาวจะหยุดลง

    ศศิกานต์ มนต์มีนา ภัคธีราและรติญานั่งแปะกันอยู่บนพื้น สี่ร่างผละจากกันทำให้ศศิกานต์สามารถมองเห็นหลักยึดที่เธอคว้าไว้ได้ถนัดตา วัตถุปลายเรียวสีดำเป็นมันเงาต่อขึ้นไปด้วยผ้าสีเทาเข้มที่มือเธอสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้านุ่มลื่นบอกถึงราคาที่คงจะแพงระยับ ดวงตาจึงกวาดมองไล่ต่อไปถึงด้านบน เพียงเท่านั้นริมฝีปากบางก็อ้าออกคล้ายจะกรีดร้อง เพียงแต่ยังหาเสียงตัวเองไม่เจอเท่านั้น

    “น้องนี่เอง...” เสาหลักต้นใหญ่เอ่ยเสียงเรียบเรียกสายตาของสี่สาวให้เงยขึ้นมอง

    มนต์มีนาอ้าปากค้างเมื่อสบตากับเจ้าของเสียง
    “นายเสือผู้หญิง...”

    คำนั้นช่วยเรียกสติให้เพื่อน ๆ ได้เป็นอย่างดี ภัคธีราถึงกับสะดุ้งโหยงรีบผวาลุกขึ้นพร้อมลากมนต์มีนาขึ้นมายืนด้วยก่อนจะปิดปากเธอเอาไว้ ศศิกานต์รีบปล่อยมือจากกางเกงที่แค่จับเนื้อผ้าก็บอกราคาหลายหลักแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับรติญา

    “เอ้อ...ขอโทษนะคะ” ศศิกานต์รีบบอก

    ภาวิศเหยียดยิ้มที่มุมปาก ดวงตาคมดุเลื่อนจากวงหน้าของมนต์มีนามาที่ศศิกานต์
    “เรื่องไหนละ...ที่เพื่อนน้องไปต่อยหน้าพี่กลางผับ หรือเรื่องที่น้องล้มมาเกะกะพี่”

    ศศิกานต์เบิกตากว้างก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสะกดอารมณ์ตัวเองก่อนเอ่ยตอบ
    “ทั้งสองเรื่องค่ะ...เรื่องนี้หนูไม่ได้ตั้งใจ ส่วนเรื่องเพื่อนหนู...พี่นีสบอกว่าพี่เป็นคนมีเหตุผล คงไม่ถือสาเด็กหรอกนะคะ”

    น้ำเสียงหวานใสเอ่ยคำด้วยรอยยิ้มที่ค่อย ๆ คลี่ออก แต่ข้อความนั้นกลับทำให้ภาวิศต้องยืนนิ่งงันเพราะเธอไม่เพียงขู่เขาด้วยชื่อของใครอีกคน แต่ยังเน้นย้ำไม่ให้เขาถือสาเพื่อนของเธออีกด้วย

    ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายจัดด้วยความไม่พอใจ
    “น้องรู้จักนีส...”

    “ค่ะ...พี่นีสเป็นป้ารหัสน่ะค่ะ...”

    ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งเพียงเสียงดุ ๆ ที่เอ่ยคล้ายสั่ง
    “อย่าให้เพื่อนน้องก่อเรื่องอีกก็แล้วกัน”

    “แหวะ...ทำเป็นเก๊ก” มนต์มีนาแลบลิ้นไล่หลังชายหนุ่ม แล้วรอยยิ้มนั้นก็ค่อย ๆ เจื่อนลงเมื่อศศิกานต์หันมาขึงตาใส่เธอ ร่างอวบของเพื่อนรักหันมาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของคนตัวเล็กกว่าไว้ก่อนจะเขย่าเต็มแรง

    “ไอ้บ้า...เพราะแก ๆ ๆ ๆ ๆ ฉันจะโดนพี่เขาฆ่าไหมวะเนี่ย”

    “อ้าว...ตะกี้เห็นพูดเสียดิบดี นึกว่าแกไม่กลัวเสียอีก” รติญาพูดก่อนจะถอนใจยาวด้วยสีหน้าท่าทางเคลิบเคลิ้ม “แต่ว่านะ...เพิ่งเจอตัวเป็น ๆ วันนี้เอง หล่อกว่าที่คิดไว้ตั้งเยอะแน่ะ มาดดี๊ดี มาเฟียรุ่นเอ๊าะนี่น่าหลงใหลอย่างนี้นี่เอง”

    “เพ้อผิดเวลาแล้วไอ้เรน เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยว...” ศศิกานต์หันมาขึงตาดุเพื่อน

    รติญาไหวไหล่เบา ๆ แล้วถอยออกไปครึ่งก้าว ส่วนภัคธีรากลับเดินเข้ามาแกะมือศศิกานต์ออกจากไหล่ของมนต์มีนา
    “เย็นไว้เพิร์ล...มาเล่าให้เราฟังก่อนดีกว่าว่าพี่นีสะไรของแกนี่เป็นใคร”

    ศศิกานต์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ก่อนจะบอกเสียงเบา
    “ป้ารหัสเรา...เขาว่ากันว่าเป็น...แฟนเก่าพี่กาย”

    “แฟนเก่า...คงไม่ใช่ว่าถูกเขี่ยทิ้งเหมือนเมษหรอกนะ” มนต์มีนาแยกเขี้ยวด้วยความไม่พอใจ

    “ไม่ใช่โว้ย...พี่นีสน่ะสิที่ทิ้งพี่กาย” ศศิกานต์ถอนใจยาว “ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ ๆ เขาว่า...พี่กายยังรักพี่นีสแบบสุดจิตสุดใจ เราถึงเอาชื่อพี่นีสมาขู่ได้ไง”

    “เขาที่ว่านี่เขาไหนวะ รู้เยอะจัง” ภัคธีราบ่นงึมงำจึงถูกศศิกานต์ยกมือเขกหัว

    “มะเหงกแน่ะแกนี่...ก็หลาย ๆ เขาว่ากันมาสิ”

    “แล้วไมต้องมะเหงกวะ”

    “ก็แกขัดจังหวะ คนกำลังเมาท์”

    “อย่างนั้นอันนี้เป็นมะเหงกสำหรับคนช่างเมาท์” เสียงหวานนุ่มดังขึ้นจากเหนือศีรษะศศิกานต์ ก่อนที่มะเหงกลูกใหญ่จะประเคนลงมาบนหัวเธอโดยไม่ให้ตั้งตัว

    “โอ๊ย...” ศศิกานต์ร้องลั่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแล้วคลี่ยิ้มจืดเจื่อนเมื่อเห็นเจ้าของมะเหงกลูกใหญ่ชัดถนัดตา “พี่นีส...”

    “เวรแล้ว...พูดถึงผี ผีก็มา” รติญาบ่นงึมงำ

    “ผีที่ไหน...นางฟ้าชัด ๆ” มนต์มีนาแทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นหน้ารุ่นพี่สาวเต็มตา

    ศศิกานต์ลุกขึ้นยืนหมุนตัวไปหารุ่นพี่สาวซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวสั้นสำหรับแพทย์ประจำบ้านและกระโปรงสีขาวยาวคลุมเข่า
    “มาตั้งแต่เมื่อไรคะ...เพิร์ลไม่เห็นรู้เลย”

    “ถ้าปล่อยให้รู้พี่ก็ไม่ได้ยินคนแอบนินทาน่ะสิ” หญิงสาวคลี่ยิ้มที่มุมปาก เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟัง

    “ไม่ได้นินทานะ...เขาเรียกว่าชื่นชมต่างหากละคะ” หญิงสาวเอียงคอบอกเสียงออดอ้อน ทำให้ผู้มาใหม่อดจะยิ้มบาง ๆ ไม่ได้

    “ให้แน่เถอะ...ถ้าพี่ขึ้นไปแล้วจามไม่หยุดพี่จะโทษเรา”

    “แน้...ได้ยังไง ใครจะรู้อาจเป็นหนุ่ม ๆ บ่นคิดถึงพี่นีสก็ได้”

    “รู้มาก...” รุ่นพี่สาวยกมือแตะปลายจมูกรุ่นน้องอย่างเอ็นดู ก่อนจะโบกมือลา “พี่ไปละ...ตั้งใจเรียนละ อย่ามัวแต่เมาท์”

    “คร้าบผม...แล้วพี่นีสอ่าลืมพาไปเลี้ยงนะ” หญิงสาวโคลงศีรษะบอกรุ่นพี่ที่กำลังเดินออกไป ชนิสราจึงหันมาชี้นิ้วบอกกลั้วหัวเราะ

    “ห่วงแต่กิน...เดี๋ยวก็อ้วนหรอก”

    เพียงเท่านั้นรุ่นน้องสาวก็อ้าปากพะงาบ ๆ เป็นปลาดุกสำลักน้ำ ส่งเสียงร้องลั่น
    “พี่นีสใจร้าย....”
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×