ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Legend Season:Rise of Sophia

    ลำดับตอนที่ #7 : Siege No.1

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 52


                ฤดูร้อน 1689

     

    /> /> />

              เมื่อมองออกไปนอกกำแพงเมืองโซฟิอา พระอาทิตย์ที่เจิดจ้าอยู่ด้านหน้าสาดแสงลงมาบนพื้นดิน สะท้อนภาพโซนาคอนพร้อมด้วยทหารราวห้าพันคนเข้ามาล้อมนคราแห่งนี้ไว้ทุกทิศทาง ทหารจำนวนไม่น้อยอยู่ในชุดเกราะโซ่ที่ประสานกันไว้อย่างดี ราวกับจะมารบแตกหักเลยทีเดียวนอกนั้นก็อยู่ในชุดหนังสัตว์หนา พลธนูจำนวนมากพร้อมที่จะระดมยิงเข้าใส่แนวป้องกัน ทันใดนั้น ชายในชุดเกราะเหล็กคนหนึ่งก็ควบม้ามาตรงหน้าแนว พร้อมกับป่าวประกาศขอเจรจากับเจ้าเมืองถึงสาเหตุที่ไม่ยอมไปปรากฏตัวตามคำสั่งเจ้าแคว้น

     

                โซฟิอา ซึ่งได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ได้เปิดประตูเมือง ส่งเด็กสาวชาวแฟรีรวบผมขี่ม้าออกไปเจรจาตามคำขอ เมื่อโซนาคอนได้เห็นดังนั้นก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับตะโกนออกไป

     

                    ข้าต้องการพบเจ้าเมือง ไม่ใช่ตัวแทนตัวเล็กๆ แบบนี้วาทะของเขาดังก้องไปบริเวณที่อีกไม่นานจะกลายเป็นสนามรบ

     

                เด็กสาวควบม้าออกไปอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยปากตอบเจ้าแคว้นเซเซอร์คนปัจจุบัน

                    ท่านเห็นข้าเป็นใคร เด็กรับใช้เจ้าเมืองรึ ถ้าคิดอย่างนั้นก็คงไม่ผิดมากนัก ต่างกันเพียงแค่ต้องตัดคำว่า เด็กรับใช้ ออกไป ก็เท่านั้นประโยคนั้นทำให้โซนาคอนงงไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อไป

                เธอเป็นใคร ใยจึงอ้างตนว่าเป็นเจ้าเมืองที่นี่ ไปเรียกเจ้าเมืองมา ข้าต้องการคุยกับเจ้าเมืองเท่านั้น

     

                สิ้นเสียงโซนาคอน นางฟ้าสาวน้อยก็หัวเราะ ยิ้มให้ก่อนจะตะโกนลั่นฟ้าจนเป็นที่ได้ยินกันทั้งแผ่นดิน

                ข้าคือมาร์คัส ดีพเวลล์ บุตรแห่ง เลดี มาร์คัส ทาร์ลินา เจ้าแคว้นเซเซอร์ที่ถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว ชื่อเสียงเรียงนามของข้านั้นเพียงพอที่จะเป็นเจ้าเมืองนี้หรือไม่ คนทรยศ

     

                พลันที่ประโยคนี้จบลง เสียงฮือฮาก็ดังก้องไปทั่วทหารทั้งสองฝ่าย โดยจะมากกว่าสำหรับทหารฝ่ายเซเซอร์ ที่ขณะนี้ซุบซิบกันไม่หยุด ส่วนโซนาคอน ก็ได้แต่อึ้ง

     

                    เหลวไหล เหลวไหลทั้งเพ ทำไมลูกนายหญิงถึงเป็นแฟรีได้เล่าโซนาคอนถามกลับไป เหตุใดบุตรแห่งเอลฟ์กับมนุษย์ จึงเป็นชาวแฟรีไปได้

                    หากแม่ยังอยู่ นางจะแถลงทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ หากแม่ยังอยู่! ได้ยินไหม หากแม่ยังอยู่!!”

     

                เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากด้านในกำแพงเมือง ขณะที่ด้านนอกนั้น กลับมีแต่เครื่องหมายปรัศนีเต็มสมองของเหล่าทหาร แม้แต่ตัวโซนาคอนเอง

                    อย่าไปฟังมัน พวกนี้มันโกหก ปลิ้นปล้อน ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นพวกนี้ ที่ฆ่านายหญิงก็ได้โซนาคอนตะโกนออกไป เพียงแต่คราวนี้หากสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าน้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย

                น่าขำสิ้นดี! คิดดูง่ายๆ ท่านแม่ตายแล้วใครจะได้ประโยชน์ ไม่ใช่ท่านหรอกหรือ โซนาคอน ยิ่งการปรากฏตัวของทายาทโดยชอบธรรมเกิดขึ้นแบบนี้แล้ว ใครกันแน่ ที่ควรจะเป็นผู้ปกครองเซเซอร์โดยแท้จริง อีกอย่าง การโยนความผิดให้กับหัวเมืองทางใต้ที่อยู่ห่างไกลแบบนี้ มันเหมือนปัดสวะให้พ้นตัวยังไงอยู่นะ...นางฟ้าที่รวบผมไว้ด้านหลังตอบอย่างสั้นๆ ง่ายๆ

                    บังอาจ! เจ้ากล้าปรักปรำข้าผู้เป็นเจ้าแคว้นเลยรึนี่ ทหาร! ล้อมมันไว้ ไว้มันยอมแพ้เมื่อไหร่ให้จับตัวนังเด็กนี่มาสอบสวน จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการตายของนายหญิง

                อ้าว เพิ่งรู้ ว่าเดี๋ยวนี้เขาใช้กำลังตัดสินถูกผิด ก็ได้ ตามใจ อยากล้อมก็เชิญ แต่ข้าไม่รับประกันผลของสงครามครั้งนี้นะว่าแล้ว ดีพเวลล์ก็ชักม้ากลับเข้าเมืองไป

     

                    พวกเรา แก้แค้นให้นายหญิงด้วย ให้มันรู้บ้างว่าคนที่ทำให้เซเซอร์ต้องปั่นป่วนจะมีชะตากรรมยังไงโซนาคอนตะโกน แต่คราวนี้ทหารเซเซอร์กลับไม่ฮึกเหิมอย่างที่เคย

     

     

                    สามเดือนต่อมา

     

                    ขวัญกำลังใจของทหารทั้งสองฝ่ายกำเนิดขึ้นในสภาพที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในการล้อม เนื่องด้วยเหตุผลแห่งสงครามครั้งนี้เป็นเหตุ ฝ่ายหนึ่งเชื่อมั่นในแม่ทัพนายกองของพวกเขามากขึ้น อีกทั้งเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีทีท่าว่าจะแตก เพราะยิ่งนานวันไป เหล่านักเวทที่ทำหน้าที่นักรบในโซฟิอาก็ลอบโจมตีทหารที่มาล้อมให้ต้องขยายวงไปเรื่อยๆ แม้จะมีการตอบโต้กลับจากข้าศึกด้วยอาวุธหนัก แต่ความเสียหายนั้นน้อยกว่ากันมาก ขณะที่ทางฝ่ายเซเซอร์ เหล่าทหาร รวมไปถึงบรรดานายกองต่างๆ เริ่มมีคำถามขึ้นในหัว หลายคนรู้ว่านายหญิงของพวกเขามีบุตรสาวอยู่หนึ่งคน แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขารู้ อีกทั้งข่าวสะพัดที่ว่าแม่ทัพที่บัญชาการรบอยู่ในปราสาทโซฟิอาคือแม่ทัพทาอิที่พวกเขาเคยศรัทธาก็ยิ่งทำให้ความมุ่งมั่นในการรบลดลงไปอีก นี่ตกลงพวกเรากำลังรับใช้ถูกฝ่ายอยู่หรือไม่ แค่นั้นยังไม่พอ บางครั้ง บางเวลา เพื่อนพ้องของพวกเราก็หายตัวไปดื้อๆ เลย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เล่นกับพวกแฟรีนี่น่ากลัวจริงๆ วันไหนจะถึงคิวเราก็ไม่รู้

     

                    หอประชุมใต้ดิน เมืองโซฟิอา.....

     

                    ปัจจุบันสถานที่ประชุมลับได้กลายเป็นที่คุมขังนักโทษที่ถูกลักพาตัวมาจากภายนอกแล้ว ส่วนใหญ่เป็นทหารระดับหัวหน้า นายกองระดับกลาง ที่พอจะมีสิทธ์มีเสียงบ้าง ทั้งหมดถูกนำมาที่ร่างกึ่งไร้ชีวิตของเลดี มาร์คัส ทาร์ลินา เพื่อใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ทั้งนี้ พวกเขาไม่รู้ว่ามา และไป จากถ้ำแห่งนี้ได้อย่างไร แต่ความเป็นอยู่ในนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เผลอๆ อาจจะดีกว่าที่วงล้อมนอกเมืองเสียด้วยซ้ำไป

                    หลายครั้งที่แม่ทัพทาอิปรากฏตัวที่นั่นเพื่อพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกับลูกน้องที่เธอคุ้นเคย(หรือไม่คุ้นเคย) รวมไปถึงเรื่องการเมืองที่เป็นปัญหาในขณะนี้ด้วย...

     

                    ท่านทาอิ ทำไมเราต้องเชื่อท่านด้วยเอลฟ์นายหนึ่งเถียง

                ระหว่างฉันกับโซนาคอน ใครน่าเชื่อถือกว่ากันล่ะอดีตนายทัพของเขาตอบกลับไป

                อย่าไปฟังมันนะ ถ้ามันไม่ทำ แล้วทำไมมันต้องหนีออกมาด้วยทหารเชลยอีกคนหนึ่งตะโกนออกมา ซึ่งก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากความสนใจกับเสียงหัวเราะของนักรบแฟรีนามทาอิ

                ขอโทษนะ ถ้าฉันทำ ทำไมฉันต้องหนี ทำเพื่อให้ตัวเองระหกระเหินลงใต้มาหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตั้งนานอย่างนั้นรึ ถ้าฉันทำ ฉันว่าฉันอยู่ที่นั่น คอยใส่ร้ายคู่แข่งจะดีกว่าไม่ต้องเป็นปราชญ์ก็รู้ว่าทาอิหมายถึงใคร

                นี่เจ้า...ทหารเชลยผู้นั้นแทบกระอักเลือด

                    ข้าคงพูดได้แค่นี้ แต่คนที่พูดก่อนย่อมได้รับความเชื่อถือมากกว่าสินะ แต่ข้าอยากบอกพวกท่านว่า ร่างของนายหญิงน่ะ ยังเป็นที่เคารพของพวกเราทุกคนที่นี่

                ท่านมีหลังฐานอะไรที่จะยืนยันว่าโซนาคอนเป็นคนทำล่ะเอลฟ์คนแรกถาม

                เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ คนที่น่าจะรู้มากที่สุด คงจะเป็นท่านเซอร์ โอเวอร์ดูลแม่ทัพแห่งโซฟิอาตอบกลับไป

                    โป๊ะเชะ โอเวอร์ดูลเป็นชู้กับเจ้า เลยวางแผนฆ่านายหญิงเพื่อหวังสมบัติของนาง ทีนี้พอโซนาคอนจะได้ก็เลยหนีมาทหารเชลยผู้ก้าวร้าวตอบกลับไป ประโยคนี้ได้ทำให้ทาอิหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

                    ท่านโอเวอร์ดูลไม่เคยหวังบ้านเมืองหรอก สมบัติเขาก็หาเองได้ แต่ที่เขามาที่นี่นั้น เขาทำเพื่อลูกของเขา...ใช่แล้ว ลูกของนายหญิงนั่นแหละ เจ้าเมืองโซฟิอาคนปัจจุบัน มาร์คัส ดีพเวลล์

                คนที่ไปเจรจากับท่านเจ้าแคว้นน่ะเหรอ ยังเด็กอยู่เลยนี่ แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าลูกนายหญิงตัวจริง แล้วเอาคนอื่นมาแทน หรือไม่โกหกจนเด็กคนนั้นหลงเชื่อและฟังเจ้าบัดนี้ทหารชเลยเริ่มอารมณ์เย็นลงแล้ว แต่ที่ได้สตินี่ไม่รู้เพราะเริ่มหวั่นไหวในจิตใจ หรือตระหนักในสถานภาพเชลยของตนกันแน่

                แล้วแต่ท่านจะเชื่อ แต่ขอบอกว่าข้าบริสุทธ์ใจ ข้าบอกท่านได้เพียงเท่านี้ทาอิเองก็น้ำเสียงอ่อนลงเช่นกัน ทาอิก็ยังเป็นทาอิคนเดิมสินะ แม้ฝีปากของนางฟ้าผู้นั้นจะกล้าแข็งขึ้น แต่ก็ยังเถียงไม่ชนะอยู่ดี

     

     

                วันรุ่งขึ้น ที่กำแพงเมืองโซฟิอา

     

                    ท่านวิเซนเต้ ท่านจะใช้พลังเวทมนตร์อย่างสิ้นเปลืองไปจนถึงเมื่อไหร่ทาอิถามคำถามต่อจอมเวทแห่งโซฟิอา ท่ามกลางการรวมพลังเวทเพื่อร่ายมนตร์ที่มีพลังทำลายล้างสูงจากบรรดาทหาร...นักเวทที่อยู่บนกำแพงเมืองนั้น

                    จนกว่ามันจะล่าถอยกลับไปวิเซนเต้ตอบสั้นๆ ง่ายๆ

                แล้วท่านคิดว่าจะนานไปถึงเมื่อไหร่ พลังเวทมนตร์ที่มีอยู่ในเมืองมันร่อยหรอลงเรื่อยๆ แล้วนะ อีกอย่าง พลังเวทมนตร์ที่มีติดตัวนักเวทเหล่านี้ก็คงไม่พอที่จะร่ายเวทที่ใช้ในสงครามได้บ่อยๆ ตราบใดที่ไม่ใช่ศึกแตกหักทาอิถาม

                    เรื่องนี้ข้ามีแผนอยู่แล้ว อีกไม่เกินหนึ่งเดือน คราตันจะขนส่งแหล่งกักเก็บพลังเวทมาจากแดนใต้ นั่นคือกรณีที่เราโชคร้าย แต่ถ้าโชคดี ข้าศึกอาจจะล่าถอยไปเลยก็ได้ ขอเพียงท่านร่วมมือในแผนการนี้

     

                หากจะทำให้มันถอยออกไปได้ ข้ายินดีทำ...จากนั้น ทั้งสองก็ขึ้นไปบนหอคอยซึ่งมีเจ้าเมืองโซฟิอานั่งรออยู่แล้ว

     

     

                    กลางดึกคืนหนึ่ง หนึ่งเดือนต่อมา

     

                    คราตันพร้อมกับนักเวทและนักรบครึ่งพัน ทั้งหมดอยู่บนหลังม้า บ้างก็คุมทหารอยู่รอบๆ บ้างก็คุมรถม้าที่บรรทุกเสบียงและแหล่งกักเก็บพลังเวทอยู่

     

                    แม้ปฏิบัติการครั้งนี้เราจะต้องใช้แหล่งกักเก็บพลังเวทจำนวนไม่น้อย แต่ว่าหากไม่ใช้สิ้นเปลืองขนาดนี้แล้ว ไม่เสบียงก็พลังเวทในตัวเมืองคงจะร่อยหรอลงเรื่อยๆ และนั่นหมายความว่า พวกเราไม่มีอะไรจะเสียแล้วสำหรับภารกิจนี้คราตันกล่าวแก่ผู้ติดตามทั้งห้าร้อยคน

     

                    เริ่มได้!” เอลฟ์ผมทอง ร่างสูง ในชุดเกราะเต็มยศออกคำสั่ง

     

                    บรรดานักเวทรวบรวมสมาธิ ยกคทาขึ้นมา พร้อมกับร่ายเวทอย่างช้าๆ ไม่นาน ภาพนักรบบนหลังม้าก็ปรากฏขึ้นมา ทีละคน ทีละคน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุด นักรบบนหลังม้าที่ถูกเสกออกมาจำนวนเกือบพันก็ปรากฏขึ้นทั่วป่าแถบนี้

     

                    เอาล่ะ นี่อาจบ้าบิ่นไปสักหน่อย แต่จงเอาทหารจริงนำหน้าทหารลวงตา ให้มันถอยหนี จนในที่สุดเราก็ขนเสบียงและพลังเวทมนตร์เข้าไปในเมืองได้ แน่นอน เราอาจจะไม่ได้เข้าไปถึงโซฟิอาหมดทุกคน แต่เพื่อให้เราเข้าไปได้มากสุด หากข้าศึกยังไม่เสียขวัญเกินครึ่งทัพละก็ ห้ามตามตีเด็ดขาด เอ้า ลุย!”

     

                และแล้วทหารม้านับพันก็ยกพลขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เสียงม้าควบดังลั่นไปจนถึงทหารเซเซอร์

     

                    แกลล็อป! แกลล็อป!

     

                ชาร์จ!”

     

    นายทัพร่างโปร่งออกคำสั่งอย่างฮึกเหิมสุดขีด ทหารข้าศึกจำนวนไม่น้อยที่เพิ่งตื่นจากเสียงกีบม้าเริ่มรู้ตัวและพยายามตั้งรับอย่างเต็มที่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อทุกคนยังไม่พร้อม (แน่นอน ทหารในเมืองก็ยังไม่พร้อม แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของทหารม้า) ทหารม้าจากโซฟิอาจึงได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย

     

                    อย่าไปกลัวมัน จัดทัพให้ดีพร้อม เตรียมอาวุธมารับมือพวกมันโซนาคอนออกคำสั่งทันทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็สายไปเสียแล้ว ค่ายแล้วค่ายเล่าต้องตกอยู่ในกองเพลิง ทหารจำนวนไม่น้อยหนีเข้าป่าไป พวกที่พยายามต่อต้าน ทั้งๆ ที่กองทัพยังไม่อยู่ในรูปขบวนก็ไม่สามารถต้านทหารม้าที่ปรากฏตัวถึงหนึ่งในสามของทหารที่กำลังล้อมเมืองอยู่

     

                    หลังจากรถม้าบรรทุกสินค้าเข้าเมืองไปอย่างง่ายดาย เหล่าทหารม้าก็รุกหนักขึ้นอีก ทั้งหมดไม่สนใจว่าทหารศัตรูจะเสียขวัญถึงครึ่งทัพหรือยัง แต่ก็ไม่สน ประกอบกับที่ทหารจากในเมืองออกมากระหนาบด้วยยิ่งทำให้ทหารศัตรูเสียขวัญเข้าไปใหญ่ ลูกไฟที่ลอยออกมาจากกองทัพโซฟิอาลูกแล้วลูกเล่าได้ทำลายขวัญกำลังใจที่แทบจะไม่มีอยู่แล้วของทหารเซเซอร์ให้กระเจิงไปจนหมดสิ้น

     

                    การไล่ล่าดำเนินอยู่หลายชั่วโมง จนเมื่อมั่นใจว่าทหารเซเซอร์ออกไปจากโซฟิอาจนหมดสิ้นแล้ว กองทหารม้าก็เดินทางเข้าประตูเมืองไปอย่างองอาจ เพื่อแสวงหาความผ่อนคลายจากภารกิจหนักๆ ที่พวกเขาต้องไประหกระเหินอยู่นอกเมืองเสียนาน

     

                    ข้าขอขอบคุณความกล้าหาญของท่านจริงๆ ท่านคราตันดีพเวลล์ เจ้าเมือง ที่เพิ่งจะหายใจทั่วท้อง มาต้อนรับถึงหน้าประตูเมือง

                ถ้าเป็นเพื่อโซฟิอา ข้ายินดีทำอยู่แล้วนักรบผมทองพูดพลางถอดหมวกเหล็กออก พลางกระโดดลงจากหลังม้า แล้วทั้งหมดก็ลงถอดหมวกเหล็กพร้อมจากลงจากหลังม้าตาม

                ข้าเคยดูถูกท่าน ขอให้ท่านอภัยให้ข้าด้วย เหล่าผู้กล้าหาญ ข้าขอชมเชยในความเสียสละของพวกเจ้าทุกคนทาอิ ที่เป็นผู้ที่จัดการให้ทหารออกมากระหนาบ กล่าวแก่หัวหน้าและลูกน้องของกองทัพม้า

                    เรื่องแล้วไปแล้ว ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ เราคงต้องอยู่ร่วมกันอีกนานคราตันพูดด้วยความนอบน้อม

                หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอไปปล่อยตัวเหล่าเชลยก่อนทาอิกล่าว

     

                    ก่อนที่ลงไปที่ห้องใต้ดินเพื่อไปประกาศ(ซึ่งก็คือการปลุก)ให้เหล่าเชลยได้รับรู้

                    บัดนี้ทัพเซเซอร์ที่มาล้อมได้ล่าถอยไปแล้ว ท่านมีสิทธ์ที่จะออกไปได้เมื่อท่านต้องการ เร็วสุดก็คงวันมะรืนนี้ แต่ข้าบอกพวกท่านไว้ ว่าเราไม่มีเจตนาจะทำอันตรายต่อท่าน หากหลีกเลี่ยงได้ก็ขอให้หลีกเลี่ยงที่จะบังคับให้พวกเราต้องปะทะ นี่คือทั้งหมดที่ข้าอยากจะพูด จากนี้ ขอให้ทุกท่านโชคดี

     

                แต่ขณะที่ทาอิเดินขึ้นกำลังจะเข้านอนนั้นเอง ดวงอาทิตย์ก็เริ่มปรากฏขึ้น

                แสงแรกยามเช้าของโซฟิอาที่ทอลงมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ช่างเป็นแสงที่สดใสจริงๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×