ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Student's Note
ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บได้ผ่านพ้นไปด้วยดี ความสงบเงียบไร้ซึ่งพายุหิมะใดๆ นั้นทำให้อากาศไม่หนาวเย็นมากนัก แต่กระนั้น ก็ยังเทียบได้กับอุณหภูมิการเมืองที่จุดเยือกแข็งทั้งในระดับจุลภาคและมหัพภาค บัดนี้ใบไม้เริ่มผลิออกมาจากกิ่งของต้นไม้ผลัดใบต้นแล้วต้นเล่า จนสีเขียวเริ่มปกคลุมแผ่นดินอิลลูซิอองไว้บ้างแล้ว
“ท่านเห็นอย่างไรหากเราจะย้ายเมืองหลวงลงใต้ไปที่เนเจอร์ เพื่อให้เศรษฐกิจของเราดีขึ้น อัตราการเติบโตของแคว้นเราจะได้เพิ่มสูงขึ้น” มิซึรุ ที่ปรึกษาของดีพเวลล์เสนอแนะ มิซึรุผู้นี้เป็นรุ่นที่สองที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินอิลลูซิออง โดยก่อนหน้านั้น พ่อแม่ของเขาอยู่ที่แผ่นดินห่างไกลทางตะวันออก จนเข้ามาอยู่ในเขตป่าทางตะวันตกของแคว้นเวเนฟิเซียม จากนั้นจึงเข้ามาในส่วนกลางของแคว้นโซฟิอา แล้วทำค้าขายระหว่างโซฟิอากับรัฐทางตะวันตกจนสร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นที่รู้จักทำให้ได้รับความไว้วางใจจากดีพเวลล์ให้เป็นที่ปรึกษา
“จริงอยู่ นั่นอาจทำให้เศรษฐกิจของเราดีขึ้นไม่มากก็น้อย แต่เรายังลืมไม่ได้ว่าสงครามกับเซเซอร์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ หากเราย้ายเมืองหลวงลงใต้ โซฟิอากับไมดานจะแตกในระยะเวลาอันรวดเร็ว เนเจอร์เองก็ไม่ได้มีชัยภูมิดีอะไร เกรงว่าเราอาจจะต้องพ่ายแพ้แก่โซนาคอน แต่แน่นอน ระหว่างนี้เราต้องพัฒนาเนเจอร์ไปเป็นเมืองท่าใหญ่ให้ได้ เวลามีศึกสงครามประชาชนของเราจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเหมือนที่เซเซอร์...” เจ้าแคว้นโซฟิอากล่าวแย้งพร้อมกับเสนอความคิดเห็น
“อีกเรื่อง ท่านดีพเวลล์ การเดินทางระหว่างไมดานกับดีพเวลล์นั้นค่อนข้างห่างไกล หากการคมนาคมระหว่างกันอาจเกิดปัญหาได้เพราะต้องผ่านชายแดนเซเซอร์เป็นระยะเวลานาน”โซเลียสตั้งประเด็นอีกประเด็นขึ้นมา
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตราบใดที่คำสั่งของราชสำนักยังมีผล ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วง” ดีพเวลล์พยายามเสริมความมั่นใจ
“ทาอิ ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านทำ”
“มีคำสั่งมาว่าอย่างไรคะ ท่านดีพเวลล์”ทาอิขานรับ
“คราวนี้ข้าอยากให้ท่านไปฝึกทหารมา เราไม่สามารถพึ่งทัพนักเวทอย่างเดียวได้ การศึกครั้งหน้า เราอาจไม่โชคดีเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา”
“ด้วยความยินดีค่ะ” แม่ทัพผู้มีผิวขาวราวเกล็ดหิมะรับคำสั่ง...โตขึ้นเยอะเลยนะ เจ้าหญิงน้อยของฉัน
แต่หลังครุ่นคิดไปได้ขณะหนึ่ง ทาอิก็ถามกลับมา
“แต่นางฟ้านั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ คงจะให้ใช้อาวุธหนักๆ คงไม่ได้ นอกจากหอกและดาบแล้วพวกเขาคงไม่แข็งแกร่งพอที่จะจับอาวุธอื่นแล้วค่ะและข้าคิดว่า เราคงไม่นำทหารดาบไปป้องกันเมืองนะคะ” หญิงสาวผู้ปั้นนายใหม่ของเธออธิบาย
“ใครว่าฉันจะให้พวกเขาไปป้องกันเมืองล่ะ เราต้องเก็บไว้บ้าง เผื่อศัตรูจะเปิดช่องว่างให้เราโจมตี” ดีพเวลล์ยืนยัน
“ถ้างั้นก็ขอให้เป็นไปตามประสงค์ แต่ว่าหากจะทำเช่นนั้นให้ได้ดีที่สุด แต่ถ้าท่านมอบหมายให้ข้าไปทำ ข้าก็จะงานยุ่งมากและอาจทำหน้าที่แม่ทัพได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงขอให้ท่านตั้งคราตันเป็นรองแม่ทัพคอยทำหน้าที่แทนข้าไปก่อน” ทาอิเสนอเอลฟ์หนุ่มผมทองให้ทำหน้าที่แทนตนไปก่อน
“ได้ ข้าจะตั้งคราตันเป็นรองแม่ทัพ” เจ้าแคว้นโซฟิอาแสดงความเห็นชอบ พร้อมกับปิดการประชุม
วันรุ่งขึ้น มีสารสองฉบับส่งมาแต่เช้าตรู่ หนึ่งในนั้นมีตราราชสำนัก อีกหนึ่งมีละอองกระดูกปนอยู่ไปทั่วทั้งฉบับ ทั้งสองฉบับมีกำกับไว้ว่า “ห้ามผู้ใดเปิดอ่านนอกจากดีพเวลล์แห่งโซฟิอาเท่านั้น” โดยฉบับแรกมีครั่งที่หยดไว้และยังไม่แตก อีกฉบับเป็นรอยงาช้างที่ปิดไว้อย่างดี
เจ้าแคว้นแฟรีนำเอกสารฉบับแรกมาอ่านก็พบว่าเป็นพระราชสาส์นมาจากพระราชาโดยตรงออกคำสั่งให้เดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อที่จะไปให้ปากคำแต่อีกฉบับนั้นมีข้อความว่า
“
9 มีนาคม 1692
เรียน มาร์คัส ดีพเวลล์
ถึงเวลานี้ราชสำนักคงเรียกเธอไปให้ปากคำแล้วสินะ ถ้าเป็นไปได้ อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับฉันจะได้ไหม และถ้าเขาถามก็ให้ตอบว่าเธอได้มันมาด้วยไหวพริบและปฏิพานของเธอเอง แล้วก็ตราอัญมณีนั้นน่ะ ฉันไม่รู้ว่าราชสำนักรู้เรื่องนี้ดีแค่ไหน แต่อย่าให้พวกเขารู้เลยจะดีกว่า
เจ้าหญิง อะริเอน”
แสดงว่าเจ้าหญิงแห่งมนตราเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้
ดีพเวลล์คิด จริงๆ แล้วมันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับนางเลยนี่นา
แต่ไม่ว่ายังไงเราคงต้องไปแล้วสินะ ดีพเวลล์คิดต่อ ดวงตาของเธอส่อแววกังวล
ปกติไม่ว่าเราจะเดินทางไกลครั้งใดก็ต้องมีผู้ร่วมทางไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นพี่แฟล พ่อ หรือ ลอร์ด เฮวาทา แต่บัดนี้ต้องไปเพียงลำพัง เนื่องด้วยแต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง และพ่อเองป่านนี้ไปอยู่ที่ใดเราเองก็ไม่ได้แน่ใจนัก จริงอยู่ ที่เราสามารถพาคนไปเป็นองครักษ์เผื่อในยามคับขันได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ทำให้เราหายเหงาได้ ยิ่งต้องไปเจอกับพวกมือสอบสวนชั้นยอดจากกรุงโรมหรือแม้กระทั่งพังค์แลนด์แล้วละก็ ฉันอาจจะล้มเหลวก็ได้ ฉันเองก็เพิ่งจะปะทะกับสงครามจิตวิทยาเพียงผู้เดียวเป็นครั้งแรก ไม่นับสมัยที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนะ
แต่ยังไงฉันก็ต้องทำให้ได้ ให้มันรู้กันไปเลยว่าฉันมีค่าพอที่จะปกครองเซเซอร์ต่อจากแม่รึเปล่า
ว่าแล้วดีพเวลล์ก็เตรียมคณะออกเดินทาง ในตัวมีดาบสั้นที่แม้จะเบาแต่ก็คมกริบและคทาของจอมเวทที่มีหัวเป็นไพลินรูปแปดเหลี่ยมงดงาม แน่นอน เธอยังคงพกอัญมณีรูปหกเหลี่ยมที่มีช่อโลหะสีเงินประดับอยู่เสมอ แม้เธอจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นสำคัญกับผู้อื่นเพียงใด แต่สำหรับเธอ มันก็สำคัญมากพอแล้ว
สามวันต่อมา ในนครโซฟิอา
ทาอิมองเห็นชาวโซฟิอาที่ถูกเกณฑ์มาฝึกเป็นทหารแล้วเหนื่อยใจ แม้ชาวเอลฟ์ที่เธอเคยปกครองอยู่จะค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้บอบบางมากถึงเพียงนี้ ตลอดเวลาเธอคิดว่าชาวแฟรีส่วนใหญ่จะแข็งแรงประมาณเธอ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่อ่อนแอที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมชาวแฟรีถึงได้แต่อยู่ในป่า สร้างรัฐของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ได้ไม่ดีเสียที เพราะไม่ว่าจะเจริญเพียงใด แต่หากถูกรุกรานย่อมพังพินาศได้ไม่ยาก จริงอยู่ ที่ฉันสามารถทำให้พวกเขาพอรบเป็นได้ แต่ไม่แน่ว่าแม่ทัพจะควบคุมเขาได้ ซึ่งขนาดแม้แต่ฉันยังไม่เคยนำทัพแบบนี้ แล้วชาวเอลฟ์อย่างคราตันล่ะ ไม่แย่ยิ่งไปกว่าเหรอ
ทาอิเรียกรองแม่ทัพเข้ามาพบ
“ท่านทาอิ มีอะไรหรือ” คราตัน เอลฟ์หนุ่มผมทองในชุดทูนิกสีส้มอ่อนและกางเกงสีเทาหม่นโค้งคำนับก่อนเดินเข้ามาหา บัดนี้เขากลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือทหารโซฟิอา(อันมีอยู่น้อยนิด) ทั้งปวง
“ท่านคิดยังไงกับกองทัพดาบที่ไม่สามารถเข้าปะทะได้” ทาอิเริ่มประ
“ข้าคิดมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ว่าต้องใช้ทัพแบบนี้ ว่าแต่ท่านมีคำแนะนำอะไรในการใช้ทัพนางฟ้าแสนสวยเหล่านี้ให้ข้าหรือไม่”
“แม้ข้าจะเป็นชาวแฟรี แต่ข้าก็ไม่เคยนำทัพแฟรีมาก่อน ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ทัพดาบที่ฉาบฉวยและรวดเร็วโดยที่ขาดซึ่งความแข็งแกร่งได้อย่างไร” ทาอิตอบเศร้า หางตาของเธอมีของเหลวใสๆ ปรากฏขึ้น นี่ฉันสามารถปกครองผู้อื่นได้โดยที่ควบคุมพวกเดียวกันเองไม่ได้หรอกหรือ
“ข้าจะไปหาวิธีเอง ท่านแม่ทัพได้โปรดอย่ากังวล กองทัพที่อ่อนแอกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นผู้พ่ายแพ้เสมอไป อีกอย่าง ท่านลืมไปแล้วหรือว่า จุดประสงค์ของกองทัพที่เราสร้างขึ้นก็เพื่อการนี้ ฉาบฉวย รวดเร็ว แต่ขาดความสามารถในการต้านทานอยู่แล้วมิใช่หรือ” รองแม่ทัพหลิ่วตาสีฟ้าให้กับแม่ทัพ
“จริงสิ ท่านดีพเวลล์หวังแบบนี้อยู่แล้วนี่ แต่เรื่องพลหอก ข้าเกรงว่า จะไม่สามทารถหยุดทหารม้าของศัตรูได้”ทาอิยังคงกลัวอยู่ ของเหลวนั้นแม้จะยังไม่ไหลออกมาแต่ก็มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ศัตรูไหนกันเล่า ถ้าเป็นศัตรูชาวเซเซอร์ละก็ เรายังพอมีหวังนะ ทหารม้าที่นั่นก็ไม่ได้มีคุณภาพดีอะไร” คราตันยังคงมองโลกในแง่ดีอยู่
“แต่ท่านไม่เห็นหรือว่า โซนาคอนกำลังได้รับความช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์บางอย่างอยู่ ท่านไม่เห็นหรือว่าโซนาคอนได้ทำให้เซเซอร์มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีแคว้นเล็กๆ แคว้นนี้เกิดขึ้นมา” ทาอิกลั้นน้ำตาได้สำเร็จแล้วก่อนที่จะพูดต่อ
“แต่การที่พวกเขาต้องหยุดรบ ดูท่าจะยังความเสียหายให้กับโซนาคอนไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว พวกเขาคงได้เวลาขวัญอ่อน ไม่ก็ขาดความจงรักภักดีกันบ้างละ” คราตันออกความเห็น
“ก็ดี หวังว่าท่านเจ้าแคว้นคงไม่ได้เป็นอะไรนะ ข้าขอฝึกทหารต่อแล้วกัน” ทาอิเสนอเพื่อฝึกทหารต่อ
“ข้าก็หวังว่าเป็นเช่นนั้น นายน้อยไม่เคยไปไหนคนเดียวเสียด้วยสิ” คราตันกล่าวก่อนจะลา
สองสัปดาห์ต่อมา ที่แคว้นโรม
การได้อยู่คนเดียวในมหานครอันเป็นราชธานีของอาณาจักรอิลลูซิอองนั้นได้ทำดึงความทรงจำเก่าๆ ที่ติดอยู่ในหัวของเจ้าแคว้นโซฟิอานี้กลับมาอีกครั้ง
เมื่อ 7 ปีก่อน เราเป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง นักศึกษาที่คลั่งไคล้เวทมนตร์เป็นชีวิตจิตใจ จนกระทั่งวันที่พี่แฟลมาหา วันนั้น วันที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล วันที่อดีตของเราแทบไม่มีความหมาย วันที่เหลือแต่เพียงอนาคตเท่านั้น มาถึงวันนี้ ชะตาชีวิตเราก็ยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงนับจากวันที่พี่แฟลทักเรามาเมื่อคราวนั้น เราได้เข้าไปสู่โลกใหม่ที่แท้จริง
การเยือนโรมคราวที่แล้วนั้นไม่ได้ทำให้เราคิดถึงถิ่นเก่าของเรามากนัก เพราะยังมีท่านเฮวาทากับท่านพ่อคอยทำให้เราหายเหงาอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้เล่า รู้อะไรบ้างไหม เราคิดถึงเราเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่นี่ แม้ช่วงนั้นจะเป็นสงครามกลางเมืองที่ชาวอิลลูซิอองเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แต่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยกันสงบสุขนี้ มันก็ไม่ต่างจากสวรรค์สักเท่าใดนัก ไม่รู้สิ เราอาจจะคิดถึงอดีตดีกว่าความเป็นจริงก็ได้ เพราะความทรงจำน่ะหอมหวานเสมอ แต่เราก็ยังอดคิดถึงมันไม่ได้
กรุงโรมในตอนนี้นั้นกลับมาสวยงามเหมือนเคยแล้ว นับตั้งแต่ถูกไฟเผาเมื่อ สิบหกปีก่อน ที่นี่ก็ดีขึ้นเป็นลำดับๆ ไม่รู้ว่าพระราชินีใช้เงินไปเท่าไหร่ แต่เสียดาย ที่ฉันไม่ได้เห็นมันให้เต็มตาโดยที่ได้ความรู้สึกเหมือนฉันเป็นฉันที่ควรจะดีใจที่ได้เห็นมัน...จนกระทั่งวันนี้
เราอยากไปที่เอลดารอส แต่ถ้ามีไส้ศึกจริง พวกนั้นอาจรู้ว่าเราจะไปที่ใด และลอบทำร้ายเราได้ อีกอย่าง เราเป็นใครในเวลานี้ล่ะ ที่นั่นคงไม่ยอมให้เราก้าวเข้าไปในรั้วอาณาจักรโลกส่วนตัวของชาวปราชญ์อย่างแน่นอน
เราอยากรู้ว่าเพื่อนเราแต่ละคนเป็นไปอย่างไร มีกี่คนที่ยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม และมีกี่คนที่ออกจากมันมาเผชิญโลกกว้างด้วย ไม่รู้สินะ แต่ดวงชะตาของพวกเขา ก็คงไม่น่าจะยิ่งใหญ่และโหดร้ายมากไปกว่าที่เราต้องเผชิญอยู่หรอก
พ่อ...ท่านเฮวาทา...หากมีท่านทั้งสองอยู่เราก็คงจะไม่เหงาขนาดนี้ และก็คงไม่คิดถึงอดีตมากเพียงนี้ แต่นี่คงเป็นบททดสอบของเราสินะ ว่าเราจะผ่านพายุแห่งความทรงจำได้ดีแค่ไหน นี่คงเป็นบททดสอบสินะ
และด้วยเหตุนี้ เจ้าแคว้นโซฟิอาก็นอนจมกับความคิดตัวเองตลอดทั้งคืน
ดีพเวลล์ตื่นมาทั้งๆที่ยังไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ แต่แม้จะไม่พร้อม เธอก็ต้องไปรายงานตัวต่อผู้สอบสวนอยู่ดี
ตอนบ่ายวันนั้น เธออยู่ในห้องที่มีเจ้าหน้าที่ห้าคนนั่งอยู่ บางคนดูขึงขังและไม่เป็นมิตร แต่บางคนก็ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด สามคนเป็นชาวมนุษย์ หนึ่งคนเป็นชาวเอลฟ์ และอีกหนึ่งเป็นชาวแฟรี
“สวัสดียามบ่าย ยินดีต้อนรับสู่การสอบสวนของคณะกรรมการเพื่อยุติความขัดแย้งภายใน” มนุษย์ผู้มีหนวดยาวที่ดูท่าทางเป็นหัวหน้าเริ่มเอ่ยวาจาขึ้นก่อน
“สวัสดียามบ่ายค่ะพวกท่าน หากพวกท่านจะช่วยยุติความขัดแย้งที่พวกข้ามีกับโซนาคอน ข้าก็ยินดี...หาววว” ดีพเวลล์กล่าวตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ นี่ถ้าหากเป็นวันปกติเธอคงต่อปากต่อคำได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ในเวลาที่เธอแทบไม่ได้นอนมาเช่นนี้
“นี่ ดีพเวลล์ ตั้งใจหน่อยสิ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนนี้อาจจะชี้ชะตาชีวิตเจ้าก็ได้นา” ชาวแฟรีเตือน
“ทราบค่ะ แต่ว่าข้าแค่ไม่ได้นอนทั้งคืนมาเท่านั้นเอง” ดีพเวลล์ยอมรับความจริงไป
“คงจะเครียดเรื่องนี้มากสินะ แต่ไม่เป็นไร เราสัญญาจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ตามพระบัญชาของพระราชา” กรรมการอีกคนหนึ่งวิเคราะห์
“งั้นเราขอถามละนะ เหตุใดท่านจึงขัดแย้งกับโซนาคอน”
“เพราะเขาฆ่า...หมายถึง ทำให้เลดี มาร์คัส ทาร์ลินา แม่ของข้าอยู่ในสภาพที่ทำสิ่งใดไม่ได้อีก และยึดแคว้นเซเซอร์ขึ้นปกครองเอง” ดีพเวลล์ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้เธอจะง่วงอยู่ก็ตาม
“เจ้าเห็นเขาฆ่าเหรอ” กรรมการชาวเอลฟ์ถาม
“เปล่าค่ะ” ดีพเวลล์ปฏิเสธ แต่วาจาของเธอนั้นคลายความแข็งกร้าวลง
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง” กรรมการชาวเอลฟ์ย้ำต่อ
“รองแม่ทัพของเซเซอร์บอกข้าไว้”
“สรุปว่าเจ้าก็ฟังเขามาอีกรอบหนึ่งสินะ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าทั้งหมดนี่ไม่ใช่เป็นเพียงความเข้าใจผิด” กรรมการที่ดูใจดีที่สุดกล่าว
“แต่ข้าเชื่อทาอิ ข้าเชื่อพ่อข้า ยังไงก็น่าเชื่อถือกว่าคนทะเยอทะยานคนนั้น” ดีพเวลล์เถียงคอเป็นเอ็น
“ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าจริงๆ น่ะ ทาอิคนนั้นรู้อะไรบ้าง ถ้านางอยู่ที่นี่ก็คงดี ข้าก็อยากสอบสวนนางเหมือนกัน” กรรมการชาวแฟรีออกวาจาท้าทาย หางคิ้วของเธอยกขึ้นและตกลงมา
“แต่ไม่ว่ายังไง ข้าก็ไม่ยอมให้พวกท่านไม่กี่คนทำให้ข้าสยบต่อโซนาคอนหรอก”
“แล้วเจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้ามีปัญญาชนะโซนาคอนได้รึเปล่า” กรรมการนางฟ้ายังถากถางต่อ
“ถ้าท่านอยากรู้ก็ต้องรอให้ปะทะกันต่อ” เจ้าแคว้นโซฟิอายังคงเถียงต่อ
“ใจเย็นน่า พวกเราตั้งใจจะมาช่วยเหลือเจ้านะ ไม่ได้จะให้มาปะทะกันแบบนี้” หัวหน้ากรรมการพยายามปราม
“ขอถามหน่อย เจ้ากับโซนาคอนเคยขัดแย้งกันมาก่อนหรือไม่”กรรมการที่เป็นเอลฟ์กลางคนถาม
“ไม่ค่ะ” ดีพเวลล์ตอบอย่างมั่นใจ แต่ที่หางตาก็เริ่มมีน้ำนองขึ้นมา ก็คงมีแต่เรื่องที่เขาพรากแม่ไปเท่านั้นแหละ
“เราสืบทราบมาว่าเจ้าเคยเรียนที่โรมนี่”หัวหน้ากรรมการเอ่ยวาจา
“ใช่ค่ะ”
“น่าเสียดายที่คนอนาคตไกลอย่างเจ้า ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” กรรมการใจดีกล่าวอย่างเห็นใจ
“มันเป็นชะตากรรมน่ะค่ะ ฟ้าให้ฉันมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” ดีพเวลล์ปัด
“คนที่เรียนที่เอลดารอสน่ะ ไม่น่าพูดแบบนี้เลยนะ ข้าล่ะผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ”
“ก็ถ้าเป็นข้าในอดีต ข้าจะไม่คิดเช่นนั้นแน่นอน แต่ว่าเวลาผ่านมาถึงเพียงนี้แล้ว การที่ข้าจะมองต่างไปจากเดิมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เด็กสาวต่อคำไม่เลิก
“อ้อ อีกเรื่อง เท่าที่สังเกต เจ้าได้รับการสนับสนุนจากปีศาจที่เวเนฟิเซียมด้วยนี่ เจ้าไปได้รับความช่วยเหลือจากพวกปีศาจได้อย่างไร” กรรมการที่ดูมีภูมิกว่าเพื่อนถาม
“พวกปีศาจน่ะเหรอ การรับความช่วยเหลือจากพวกนั้นแค่ใช้ไหวพริบนิดหน่อยก็ได้แล้ว”
“ไหวพริบ...นำดินแดนพวกนั้นมาใช้เชียวหรือ” กรรมการยังคงถามต่อ
“เป็นเกมที่ข้าเล่นไว้กับเจ้านายของพวกปีศาจน่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ต้องให้อะไรแลกเปลี่ยนหรอก วางใจได้ ว่าแต่ฝ่ายโซนาคอนล่ะ ข้าก็เชื่อว่ามีอำนาจจากภายนอกหนุนหลังอยู่เหมือนกัน” ดีพเวลล์เถียงกลับแทบจะทันที
“นั่นเป็นเรื่องที่เราจะต้องสอบสวนอีกทีเช่นกัน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” หัวหน้ากรรมการพูดเรียบๆ
“ระหว่างชีวิตก่อนหน้าที่แม้เจ้าจะตาย กับชีวิตที่เจ้าเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี่เลือกอันไหน” กรรมการใจดีถาม
“ข้า...”
“เขาถามก็ตอบสิ” กรรมการชาวแฟรีตะคอก จนดีพเวลล์ตัวหงอ กว่าจะตอบมาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร ดวงตาเธอจ้องอย่างกังวลไปที่กรรมการชาวแฟรีที่เพิ่งตะคอกเธอไป
“หากให้ข้าเลือกข้าก็เลือกที่จะกลับไปใช้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยเช่นเดิม ชีวิตที่มีแต่คนคอยปกป้อง ไม่ใช่ชีวิตที่มีแต่คนคอยทำลายแบบนี้”
“ชีวิตจริงน่ะ มันไม่หรูเหมือนในมหาวิทยาลัยหรอกนะ เจ้าแค่พบความจริงนี้ในรูปแบบใหม่เท่านั้นแหละ เจ้าไปได้แล้ว” กรรมการใจดีกล่าวจบการสอบสวน
“ถ้าเจ้ากลับไปแล้วเจอเซอร์ โอเวอร์ดูลละก็ บอกให้เขามาที่นี่ภายในปีนี้ พวกเราจะรออยู่” กรรมการชาวเอลฟ์กล่าวทิ้งท้าย
หลังจากดีพเวลล์เดินออกไปแล้ว เหล่ากรรมการก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่น่าเชื่อเลย...”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น