คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Siege No.2
ความขัดแย้งระหว่างโซฟิอาและเซเซอร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างโซฟิอากับโรม ได้ทำให้เส้นทางการเดินทางนั้นลำบากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เส้นทางสายที่ลากผ่านแคว้นโพคาฮอนเทีย เป็นเส้นทางสายบังคับ แต่นั่นก็พอจะเป็นเครื่องรับประกันความปลอดภัยได้มากระดับหนึ่ง หลังสองพ่อลูกเดินทางด้วยความเร็วราวกับกำลังพักผ่อนได้หลายวัน พวกเขาก็ได้เดินทางใกล้เมืองทางใต้ที่บัดนี้ไม่ใช่ชายแดนที่ติดต่อกับแผ่นดินปีศาจอีกต่อไปแล้วมากขึ้นทุกทีๆ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ เนื่องด้วยไม่มีพ่อค้าผู้ใดที่เดินทางมาจากโซฟิอาเลย จริงอยู่ แม้แคว้นโพคาฮอนเทียจะไม่มีพ่อค้าเดินทางมามากนัก อีกทั้งโซฟิอาก็เป็นเมืองใหม่ ดังนั้น ทั้งหมดนี้อาจไม่มีอะไรเลยก็ได้
และทั้งสองก็คงจะคิดเช่นนั้นต่อไป หากพวกเขาไม่ไปได้ยินชายสวมชุดหลวมๆ สีดำ ยืนคุยกับพ่อค้าบนเส้นทางหลัก “ตอนนี้ทหารเซเซอร์ล้อมโซฟิอาอยู่ ท่านคงไปที่นั่นไม่ได้สักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าโซฟิอาจะแตก”
ประโยคนี้ได้ทำให้คนที่แอบได้ยินหูผึ่งทันที ทั้งคู่รีบเข้าไปใกล้คนคู่นั้น แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อทั้งคู่หันไปคุยเรื่องอื่นแล้ว แต่ประโยคที่แอบได้ยินก็มากพอที่จะทำให้ต้องเปลี่ยนแผนแล้ว
“พ่อ พ่อรู้ทางไปบ้านท่านเฮวาทารึเปล่าคะ” ดีพเวลล์ถามอย่างเร่งรีบ
“รู้ทางน่ะรู้ แต่ทางนั้นเป็นถึงจอมทัพแห่งอิลลูซิอองเชียวนา พ่อไม่รู้ว่าเราจะเข้าไปได้รึเปล่า” ชายวัยกลางคนแบ่งรับแบ่งสู้
“แต่มันก็เป็นทางที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอคะพ่อ เพราะไม่รู้ทาอิจะต้านกองทัพเซเซอร์ไว้ได้นานเท่าไหร่”เด็กสาวชาวนางฟ้าตอบกลับไป พร้อมกับที่ทั้งสองขี่ม้าถอยกลับไปทางตะวันตกอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าสู่แผ่นดินโพคาฮอนเทีย
วันเดียวกัน ที่ป้อมปราการเมืองโซฟิอา
แม่ทัพทาอิทอดสายตามองกองทหารชาวเอลฟ์ไม่ต่ำกว่าแปดพันนายที่พากันย้ายที่กินที่อยู่มายังบริเวณรอบๆ เมือง แต่เท่าที่ดูจากสภาพการณ์แล้ว พวกเขาคงไม่ได้มาแค่ย้ายที่กินที่อยู่อย่างไม่ได้รับเชิญเพียงอย่างเดียวแน่ เพราะว่าอาวุธและชุดเกราะโซ่ถักบางที่ทำด้วยโลหะนั้น หาได้มีเฉพาะทหารชั้นสูงแบบทัพเซเซอร์ที่ทาอิเคยเห็นไม่ แต่กลับพบได้ที่ทหารจำนวนมาก บางครั้งจะเกินครึ่งหนึ่งของทั้งหมดด้วยซ้ำไป ราวกับว่าทหารในชุดเกราะอ่อนหนังที่เดิมเป็นมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงสำหรับทัพเซเซอร์กลายเป็นอะไรที่ด้อยค่าลงไปในแทบจะทันที นอกจากนี้ มีนักเดินทางที่ถูกขังไว้ได้เล่าว่า พวกเขาเห็นอาวุธจำนวนมากในการโจมตีป้อมค่ายในเซเซอร์ ซึ่งยุทโธปกรณ์เหล่านั้น คงจะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้
เซเซอร์ เอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในการทำสงครามที่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้นะ ทาอิคิด เซเซอร์เองก็ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรมากมายที่จะสร้างรายได้ถึงขนาดนี้ ดังนั้นทางเดียวที่เซเซอร์จะรับรองสงครามภายในราชอาณาจักรอย่างเช่นครั้งนี้ได้ ก็คงไม่พ้นการขูดรีดมาจากสามัญชนและผู้ครอบครองที่ดิน... งั้นก็แปลว่า ฉันได้ทำให้ประชาชนชาวเซเซอร์เดือดร้อนทางอ้อมแล้วงั้นสิ แล้วถ้าฉันยอมแพ้ เซเซอร์ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะขูดรีดประชาชนที่ฉันรักอีก แล้วบ้านเมืองก็จะได้สงบสุขเสียที แต่เดี๋ยว คนอย่างโซนาคอนน่ะ ไม่ว่ายังไงก็หาข้ออ้างในการขูดรีดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองได้อยู่ดี ดังนั้น สงครามครั้งนี้ ฉันจะแพ้ไม่ได้ ฉันต้องปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่โซนาคอนได้ก่อเพื่อเซเซอร์ที่นายหญิงได้เคยวาดฝันไว้...
...แต่เราจะเอาวิธีไหนที่จะเอาไปชนะโซนาคอนที่เต็มไปด้วยเครื่องมือในการปิดล้อมได้เล่า จริงอยู่ แม้หลายปีที่ผ่านมา แคว้นโซฟิอาจะเจริญขึ้นมาบ้าง และการศึกก็เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของแคว้นเราในตอนนี้ แต่ความพร้อมในการรบก็เทียบไม่ได้เลยกับรัฐที่กระหายสงครามอย่างเซเซอร์ และแม้ทหารชาวเอลฟ์จะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็น่าจะดูดีกว่ากองทัพแฟรีที่กำเนิดขึ้นในโซฟิอาเช่นนี้…
…ตลอดเวลาที่ฉันเป็นนายทหารฉันก็รู้จุดอ่อนจุดแข็งของกองทัพชาวเอลฟ์ดี แม้ฉันจะใจชื้นขึ้นมาบ้างว่ากองทัพเอลฟ์นั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการบุกตี แต่เป็นเพื่อการปกป้องบ้านเมือง ซึ่งเป็นข่าวดี อีกทั้งทัพแฟรีที่ส่วนใหญ่เป็นนักเวทนั้นก็มีความสามารถสูงสุดเวลาที่ป้องกันข้าศึกเช่นกัน เพราะพวกเขาเหล่านั้น บอบบางเหลือเกิน หากให้ปะทะกันตรงๆ ก็คงไม่สามารถทำอะไรได้แน่ กำแพงแลค่ายคูประตูหอรบนี่แหละ ที่จะเป็นแหล่งคุ้มภัยสำหรับนักเวทเหล่านั้น รวมถึงสำหรับเราด้วย
จริงอยู่ การยื้อให้ศัตรูขวัญอ่อนแล้วอาศัยจังหวะโจมตีน่ะอาจจะเคยทำให้พวกนั้นพลาดท่าแพ้เรามาแล้ว แต่ข้าเชื่อว่า โซนาคอนต้องรู้ว่านั่นเป็นเพียงกลศึก และจะไม่หลงกลอีกเป็นครั้งที่สอง และต่อให้โซนาคอนไม่รับรู้ มันก็เป็นการเสี่ยงมากที่จะกระทำเสมือนยกพลไปฆ่าตัวตายเช่นนั้นอีก และมันก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ ยกเว้นจะไม่มีเส้นทางอื่นเท่านั้น
แต่กองทัพนักเวทเหล่านั้นจะทำได้เพียงไหน คราวที่แล้วพวกเขายังไม่ได้แสดงความสามารถสูงสุดออกมา อาจจะดีเลิศ หรือไม่มีอะไรเลยก็เป็นได้ แต่ต่อให้พวกเขาทำได้ดีขนาดนั้น พวกเราไม่ได้มีพลังเวทไว้ใช้ในปริมาณที่มากขนาดนั้นหรอกนะไม่รู้ว่าจะผลิตได้มากพอสำหรับการรบเหล่านี้แค่ไหน จริงอยู่ ที่แม้วิเซนเต้จะฝึกนักเวทรุ่นใหม่ขึ้นมาบ้าง แต่การสร้างหอคอยมนตราเพื่อกักเก็บพลังเวทนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย
“กำลังคิดถึงข้าอยู่หรือ” คนที่ถูกถามถึงเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาอยู่ในชุดทูนิกสีขาว ในมือถือคทาคู่ใจสีทองอร่าม
“ท่านวิเซนเต้!” นางฟ้าสาวตกใจแทบจะไม่ทันตั้งตัว เมื่อได้สติแล้วจึงพูดต่อ
“ข้าจะไปคิดถึงท่านได้อย่างไร ในเมื่อข้าศึกยกทัพมาประชิดกำแพงเมืองเช่นนี้แล้ว”
วาทะของทาอิไม่ได้ทำให้วิเซนเต้เปลี่ยนอารมณ์ไปแม้แต่นิดเดียว
“แต่ก็คิดถึงข้าใช่ไหมล่ะ” วิเซนเต้กล่าวติดตลก แววตาของเขาลิงโลดราวกับว่าเรื่องถูกล้อมไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย
“อย่างน้อยท่านก็คงต้องคิดว่า นักเวทของข้าจะรับมือพวกนั้นอย่างไร” วิเซนเต้พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“การโจมตีครั้งนี้ มีอยู่สามกรณีที่เป็นไปได้ หนึ่งคือ โซนาคอนออกคำสั่งไว้ก่อนที่ตัวเองจะกลับมาจากการประชุม สองคือ โซนาคอนรีบกลับมาพร้อมกับนำการประชุมด้วยตนเอง สาม โซนาคอนส่งพระราชสาส์นปลอมมาล่อให้ดีพเวลล์ออกไป...” ทาอิเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ข้าเคยรับใช้เจ้าหญิงอะริเอนมา ข้าเชื่อมั่นว่าประเด็นสุดท้ายน่ะ ไม่มีทางหรอก โซนาคอนไม่โง่พอที่จะเสี่ยงขนาดนั้น แต่หากเป็นประเด็นแรก เราต้องรีบตีก่อนที่มันจะตั้งหลักได้ แต่ถ้ากรณีสอง เราก็ได้แต่ป้องกันเมืองแบบนี้” วิเซนเต้เผยประสบการณ์ของตัวเองออกมา
“ไม่หรอก มันไม่ทันแล้ว พวกเซเซอร์ไม่ได้ขวัญอ่อนขนาดที่จะแตกพ่ายในยามฮึกเหิม เราก็ได้แต่ต้องป้องกันเมืองไว้อย่างนี้ วิเซนเต้ เรามีพลังเวทเพียงพอไหม” แฟรีสาวถามจอมเวทชาวเอลฟ์ น้ำเสียงของ
เธอดูจริงจังที่สุดนับตั้งแต่เริ่มสนทนากัน
“มันไม่พออยู่แล้วล่ะ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช่มันเปลืองหรือไม่ หากพวกมันบุกเข้ามาอย่างรุนแรง คงต้านได้ราวๆ สิบวัน แต่หากพวกมันล้อมไว้ เราก็จะมีพลังเวทไว้ใช้ราวๆ ครึ่งปี...”
“เราจะลอบขนพลังเวทเข้ามาจากดินแดนทางใต้ได้ไหม” ทาอิยังคงถามต่อไป
“เรื่องแบบนี้ ข้าว่าท่านโอเวอร์ดูลน่าจะเชี่ยวชาญที่สุด แต่ว่าท่าน…” วิเซนเต้เงียบก่อนจะกล่าวต่อไป
“ท่านกับลูกสาวท่าน ไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ข้าขอโทษ ข้าผิดเองที่ไม่ได้เตรียมกำลังไว้ป้องกันเมืองขณะที่พวกเขาทั้งสองไปประชุม ข้าไม่คิดว่าโซนาคอนจะกล้าทำขนาดนี้”
“ท่านไม่ผิดหรอก เพราะด้วยปริมาณการผลิตพลังเวทที่มีอยู่ เราไม่สามารถขนทุกสิ่งทุกอย่างกลับเข้ามาในเมืองก่อนที่จะถูกโจมตีได้ทันเวลาหรอก เพราะเราไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีได้ในเวลาไหนบ้าง” จอมเวทหนุ่มกล่าวแก่แฟรี
“แต่ที่ผิดเนี่ย คงเป็นเพราะท่านพึ่งพากองทัพพ่อมดของข้ามากเกินไป ก็เป็นได้” วิเซนเต้กล่าวต่อ
“เรื่องนั้นน่ะ ข้ารู้ แต่ว่าธนูน่ะ ทำอะไรทหารในเกราะหนักๆ พวกนั้นได้ไม่เท่าไหร่หรอก จริงๆ ข้าก็พอสร้างกองทัพขึ้นมาบ้าง แต่พวกเขาไม่เหมาะที่จะมาป้องกันเมืองเท่าทหารที่ยิงเป็นไฟแลอัสนีของท่านเลย” ทาอิกล่าวเศร้าๆ นัยน์ตาเธอเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา
“ข้ารู้ ว่าท่านเสียใจที่ท่านทำอะไรไม่ได้ แต่ที่นี่มีแต่ชาวแฟรี ไม่ใช่ชาวเอลฟ์หรือชาวมนุษย์ที่จะฝึกให้เก่งในด้านการรบได้ ยกเว้นแต่จะเป็นเรื่องของบีสมาสเตอร์” วิเซนเต้ปลอบทาอิ
“บีสมาสเตอร์น่ะ จริงๆแล้วก็ไม่ได้เหมาะสำหรับรบในสนามใหญ่ นอกเสียจากจะเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่ก็นั่นแหละ ศาสตร์แห่งการควบคุมสรรพสัตว์ยังไม่ได้รับการเรียนรู้ที่นี่” ทาอิพูดราวกับว่าความหวังทั้งหมดได้พังทลายไปแล้ว
“ท่านโอเวอร์ดูลอาจจะรู้ แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่” และแล้ว อีกหนึ่งความหวังที่ไม่ค่อยจะมีของทาอิก็ได้ถูกทำลายยิ่งขึ้น
“อย่างนั้นเราก็คงต้องทำให้ดีที่สุด สู้จนกว่าเราทั้งหมดจะหมดลมหายใจ” ทาอิพูดเรียบๆ ดวงตาสีดำ ของแฟรีสาวดูเศร้าสร้อย...ฉันไม่อยากทำแบบนี้เลย ได้โปรดอย่าให้ฉันต้องทำแบบนี้ได้ไหม
“ท่านไปพูดอย่างนั้นกับเหล่าทหารดีกว่า และจะเป็นการดีมากถ้าเป็นทหารของศัตรู” วิเซนเต้แสดงอารมณ์ที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน พร้อมกับจากไปอย่างเงียบๆ หารู้ไม่ว่าเขากำลังทิ้งให้แม่ทัพต้องมีน้ำตาอาบหน้าอยู่แต่เพียงผู้เดียว
คืนนั้น ไม่ว่าแฟรีอดีตรองแม่ทัพแห่งเซเซอร์จะพยายามข่มตานอนอย่างไร ความเครียดก็เข้าครอบงำจิตใจจนเธอไม่สามารถนอนได้ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มขาวๆ คงจะบอกขวัญกำลังใจของทหารแห่งโซฟิอาได้เป็นอย่างดี ในเมื่อนายยังเป็นเช่นนี้แล้ว ไพร่พลจะมีขวัญเยี่ยงไร
วันรุ่งขึ้น
ทาอิตื่นขึ้นมาท่ามกลางความรู้สึกไม่ปลอดภัย เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เธอกลัวมันไม่ใช่เพียงฝันร้าย ยุทโธปกรณ์ในการทำลายแนวป้องกันได้ปรากฏขึ้นตามขอบฟ้า ณ วงล้อมด้านนอกเมือง จำนวนของมันมากเกินกว่าที่เซเซอร์เคยมีมาก่อน จากนั้นความคิดของแม่ทัพแห่งโซฟิอาก็ได้ย้อนกลับไปราวกับเรื่องเมื่อวันก่อนหน้าคือเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจดีสู้เสือก้าวไปยังค่ายทหาร ก่อนที่จะทักทายกับราวทหารราวกับจะพยายามซ่อนความรู้สึกที่อยู่ภายใน เพราะเวลาเช่นนี้คงไม่เหมาะที่จะรวบรวมพวกเขามาแล้วกล่าวสุนทรพจน์กันเพียงครั้งเดียวแน่ และนี่คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขารวบรวมมาได้
“เจ้าไม่ใช่ชาวแฟรีนี่ เจ้ามาจากไหนรึ”
“ข้าเป็นองครักษ์ของนักเดินทางจากตะวันตก แต่ว่าระหว่างที่พวกเราหยุดพักที่เมืองนี้ ก็ถูกกักขังไว้ที่นี่ ข้าเห็นว่าหากต้านมันไว้ได้ก็น่าจะมีประโยชน์บ้าง ดีกว่าต้องถูกมันปล้นทำลายหลังจากเมืองนี้แตก ข้าก็เลยขออาสาใช้ความสามารถของนักแม่นธนูของข้าเข้ารบกับพวกมัน”
“ข้ายินดีที่เจ้ามีใจมุ่งมั่นเช่นนั้น หากมันถอยกลับไปเมื่อไหร่ข้าจะจำท่านไว้ ท่านชื่ออะไรหรือ”
นี่เป็นหนึ่งในบทสนทนาจำนวนมากที่รักษาการเจ้าเมืองอย่างทาอิได้เข้าพูดคุยทักทายสารทุกสุขดิบด้วย
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อกองทัพของศัตรูขนเครื่องยิงมาไล่ยิงเรื่อยๆ
ฟิ้วว!
ข้าศึกเริ่มยิงหินลอยมาเข้าหาแนวเวทมนตร์ม่านพิทักษ์ที่กางปกป้องเมืองนี้ไว้ และแม้ว่า ม่านพิทักษ์ที่เป็นเวทของชาวนางฟ้านั้นจะแข็งแกร่งและอยู่ได้ยาวนานกว่าม่านพิทักษ์ทั่วๆ ไป แต่ก็แน่นอนว่า มันก็มีขีดความสามารถที่ยังจำกัดอยู่ดี การตอบโต้ จึงอาจจะจำเป็นอยู่บ้าง แต่ยิ่งตอบโต้มา ก็ยิ่งเปลืองพลังเวทมากขึ้นไปด้วย เส้นทางทุกทางจึงมีความเสี่ยง
“เตรียมตัวสร้างม่านพิทักษ์ใหม่ จนกว่าศัตรูจะเข้ามา” ทาอิออกคำสั่งแก่เหล่านักเวท
เมื่อทาอิเลือกที่จะรอไปเรื่อยๆ นั้นยุทโธปกรณ์ที่เข้าเทียบหน้าเมืองก็มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดระดมยิงอย่างไม่หยุดยั้งหมายจะทำลายม่านพิทักษ์ให้สลายไปเพื่อที่พวกเขาจะได้บุกเข้าไปตีได้
เรื่องเช่นนี้แล ที่ทำให้ทาอิต้องกลับมาตัดสินใจอีกครั้ง จำนวนของศัตรูมีมากและน่ากลัวกว่าที่คาดไว้มากมายนัก อีกทั้งการตอบโต้ก็ยิ่งทำให้เขี้ยวเล็บของฝ่ายตัวเองต้องตกลงเรื่อยๆ อีกไม่นาน พวกมันคงหลุดเข้ามาได้ เมื่อนั้น การปะทะกันตรงๆ ก็คงต้องเกิดและทาอิก็คงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“ยิงลูกไฟตอบกลับไป เล็งเป้าหมายที่เครื่องยิงของศัตรู” ทาอิรีบออกคำสั่งแก่วิเซนเต้ให้แก้เกมไปโดยทันที จากนั้นจึงออกคำสั่งให้พลธนูระดมยิงไปที่เครื่องยิงของข้าศึกด้วยอีกแรงหนึ่ง
การปิดล้อมครั้งนี้ได้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายวัน และการปะทะก็ยิ่งหนักมากขึ้นเรื่อยๆ โดยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดละให้กัน แม้ว่าม่านพิทักษ์ของโซฟิอาจะแข็งแกร่งแต่ก็มีหินหลุดเข้าไปสร้างรอยร้าวให้กับแนวป้องกันได้จำนวนไม่น้อย ขณะเดียวกันการยิงตอบโต้แม้ว่าจะสร้างความเสียหายให้กับเหล่ายุทโธปกรณ์ได้ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ยิงได้ไม่ถนัด จนความเร็วในการยิงลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบ จนน่าเชื่อได้ว่า ศึกครั้งนี้จะต้องดำเนินต่อไปอีกนานแสนนาน
ในเวลาเดียวกัน ที่บ้านพักของเจ้าแคว้นโพคาฮอนเทีย เป็นเรือนไม้สองชั้นที่ทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดี แม้ขนาดของตัวบ้านจะเล็กมากเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของจอมทัพแห่งอิลลูซิอองผู้นี้ แต่ก็มากพอที่จะเป็นที่อยู่ของผู้มีอันจะกิน ตัวเรือนนั้นไม่มีอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเป็นที่อยู่ของขุนนางระดับสูง ไม่มีแม้กระทั่งอาวุธที่เก็บไว้ป้องกันตัว(แน่นอนว่าอาวุธประจำตัวของนักรบออร์กร่างเล็กนั้นอยู่ติดตัวเขาตลอดอยู่แล้ว) ไม่มีศีรษะสัตว์มาแขวนไว้ ไม่มีชุดโคมไฟประดับอยู่ มีเพียงตะเกียงที่ดูราคาไม่แพงคอยให้แสงสว่างอยู่โดยรอบเท่านั้น นี่ถ้าหากรอบๆ ไม่ใช่คลังแสงแลโรงม้า อีกทั้งเป็นที่พักขององครักษ์ยอดฝีมือแล้ว คงไม่มีสิ่งใดแสดงออกว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของจอมทัพแห่งอิลลูซิอองกระมัง
ลอร์ด เฮวาทา นอนพักผ่อนอย่างมีความสุข ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้นับตั้งแต่เมื่อลัฟเฟอร์ก่อกบฎเขาได้รับงานที่หนักหนาสาหัสมาตลอด แต่นี่ก็คงได้เวลาพักผ่อนแล้ว เขารู้ว่านี่เป็นเพียงการพักผ่อนชั่วคราว แต่การพักผ่อนนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหาได้ง่ายนักในตำแหน่งหน้าที่อย่างเขา
แต่แล้วการพักผ่อนของจอมทัพแห่งอิลลูซิออง ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีองครักษ์เดินทางจะเรือนองครักษ์มาหา ซึ่งพวกเขาจะไม่มารบกวนการพักผ่อนจนกว่าจะมีธุระจำเป็น
“นาย มีคนชื่อโอเวอร์ดูลมาขอพบ” เสียงองครักษ์ผู้หนึ่งร้องเรียก
“เรียกเขาเข้ามา” เฮวาทาตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
แต่บุคคลที่ปรากฏตรงหน้านั้นไม่ได้มีเพียงโอเวอร์ดูล แต่มีบุตรสาวของเขาด้วย เธอยังสวยงามตรึงอยู่ในหัวใจของเฮวาทาไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาคู่สวยคู่นั้นจ้องตรงมาที่เฮวาทาที่อยู่ในชุดเสื้อกางเกงเก่าๆ ขาดๆ สีเทาหม่น
“น้องหญิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ข้าให้การต้อนรับไม่ถูกเลยรู้ไหม” ออร์กร่างเล็กรีบกุลีกุจอให้การต้อนรับอย่างดี
“ข้าไม่ได้มาทำอะไรนอกจากมาบอกท่านว่า ข้าไม่สามารถกลับโซฟิอาได้เพราะโซนาคอนล้อมโซฟิอาไว้หมดแล้ว” ดีพเวลล์กล่าวด้วยน้ำเสียงโทนเดี่ยว
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงใดๆ พระราชาและพระราชินี...ข้าหมายถึง เจ้าหญิงแห่งโรม ได้ออกกฎห้ามศึกระหว่างรัฐเซเซอร์และรัฐโซฟิอาเป็นเวลาสามปีเป็นอันแน่นอนแล้ว ไม่ต้องห่วงเลย” เฮวาทาพูดอย่างสบายอารมณ์
“แต่หากไม่รีบ ผู้ส่งสารก็จะไปเห็นโซฟิอาที่แตกไปแล้วแทน”
ความคิดเห็น