คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : เถลิงราชย์
เสียงกลองคลอไปด้วยเสียงระฆังดังทั่วมหาวิหารกลางกรุงโรม ตำแหน่งเดียวกับที่จัดงานศพให้กับพระราชามาก่อนหน้านี้ เพียงแต่คราวนี้ไม่ได้จัดอย่างเงียบๆ แต่อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยพสกนิกรตั้งแต่ราษฎรจนถึงขุนนางใหญ่จากทั่วทุกสารทิศ บรรยากาศทึมๆ ที่ดูสงบและเศร้าสร้อยแปรไปเป็นความยินดีปรีดา จากคำอำลา เพียงไม่กี่สิบ กลายเป็นคำอวยพรจากผู้คนนับหมื่น ตั้งแต่สามัญชนไปจนถึงขุนนางใหญ่ จากโลงพระศพของชายชรา ไปเป็นชุดสีเหลืองทองของบุตรของเขา ดวงตาสีฟ้าของผู้สวมใส่ชุดสีเหลืองทองนั้นคมกริบ เข็มขัดเงินที่ดูเทอะทะเมื่อเทียบกับรูปร่างของเขาบ่งบอกถึงความเป็นพิธีการของชุด ทุกก้าวที่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้นี้ค่อยๆ ก้าวออกมาก็มีเสียงแซ่ซ้องดังขึ้นตามตัว จนกระทั่ง เสียงกลองใหญ่ดังขึ้น ผู้คนที่อยู่ในนั้นค่อยๆ เงียบเสียง พระราชาค้อมตัวลงไปรับการสวมมงกุฎจากนักบวช จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ในฐานะกษัตริย์อย่างเป็นทางการแห่งอิลลูซิออง จากนั้นพระองค์จึงเปล่งวาจาออกมาท่ามกลางความเงียบกริบของฝูงชน
“เรารู้ว่าที่ผ่านมา แผ่นดินของเราต้องเผชิญกับวิกฤตนับไม่ถ้วนครั้ง และยิ่งเสด็จพ่อต้องมาจากเราไปในเวลาคับขันแบบนี้ ทำให้หน้าที่ของพระองค์ ตกลงมาอยู่ที่เรา แต่ไม่ต้องห่วง เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อความรุ่งเรืองของอิลลูซิอองสืบไป”
เมื่อเสียงของพระราชาองค์ใหม่เงียบไป เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญก็ดังขึ้นจากมหาวิหารและดินแดนรอบนอก ก่อนที่งานรื่นเริงจะเริ่มต้นขึ้น
แต่ทว่าในสายพระเนตรของกษัตริย์แห่งอิลลูซิอองนั้น ไม่ได้เห็นเพียงความสุขจากการเสวยราชย์เท่านั้น แต่ยังเปี่ยมไปด้วยภาระมหาศาลดั่งที่พระราชาพังค์ซาล็อตที่ 1 เคยได้รับ และแม้พิธีราชาภิเษกจะเสร็จสิ้นลงแล้วแต่หน้าที่ของกษัตริย์แห่งอิลลูซิอองก็ยังไม่จบสิ้น การประชุมขุนนางที่เกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้านั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะปล่อยมันให้ผ่านไปได้ เพราะท่าทีของเหล่าขุนนางในยุคหลังสงครามกลางเมืองนี้ไม่เพียงสำคัญมากต่อความมั่นคงของอิลลูซิอองเพียงอย่างเดียว แต่ยังสำคัญมากต่อความมั่นคงของราชสมบัติด้วย ท่าทีของเหล่าขุนนางที่ดูยินดีปรีดานั้นไม่แน่ใจว่าจะเป็นการบริสุทธิ์ใจหรือจะเป็นการกระหยิ่มยิ้มย่องที่จะได้กษัตริย์ที่อ่อนต่อโลกมากกว่าพระราชาพังค์ซาล็อตที่ 1 กันแน่
สองวันต่อมา
กษัตริย์และขุนนางจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันที่ ห้องโถงเพดานสูง สลักเป็นรูปดวงอาทิตย์อันร้อนแรง ผนังทรงกระบอกมีรูปยุทโธปกรณ์นานาชนิดภายในห้องมีแถวยาวพร้อมเก้าอี้เป็นรูปครึ่งวงกลมพระราชาพังค์ซาล็อตที่ 2 ในชุดออกว่าราชการสีน้ำเงิน ทางซ้ายของพระองค์คือเจ้าหญิงแห่งโรมในเสื้อปล่อยชายสีเขียว กับกระโปรงสีเหลืองทอง คลุมด้วยผ้าคลุมสีทองอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาสีเขียวที่จ้องที่ประชุมอยู่นั้นบอกได้มากกว่าความจำเป็นในการที่จะเข้าประชุมครั้งนี้ ทางขวาคือจอมทัพแห่งอิลลูซิอองในชุดสูงศักดิ์สีขาว ผู้ซึ่งมั่นใจว่าเวลาที่ผ่านมาเขาได้ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ ถัดไปเป็นเจ้าหญิงอะริเอนที่อยู่ในชุดคลุมทั้งตัวสีหม่น และก็มีหน้ากากเพื่ออำพรางความรู้สึกบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็เป็นขุนนางที่มีตำแหน่งน้อยลดหลั่นกันไป ส่วนโซนาคอนนั้นนั่งอยู่ด้านข้างของห้องแทบจะตรงข้ามกับตำแหน่งที่ดีพเวลล์ที่เปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมสีเขียวมรกตที่เลดี มาร์คัส ทาร์ลินาเคยใส่ในการประชุมระดับนี้นั่งอยู่
“ก่อนอื่น เรา ก็ต้องขอขอบคุณพวกท่านทุกคนที่มาแสดงความยินดีกับข้าในวันนี้ และมาสาบานว่าจะทำเพื่ออิลลูซิอองอีกครั้ง” แน่นอน เป็นธรรมเนียมว่าหากขุนนางได้นายใหม่พวกเขาจะต้องเข้าสาบานเพื่อนเจ้านายองค์ใหม่ด้วย
“ข้า...(ชื่อ)... ขอสาบานว่า จะรับใช้ฝ่าพระบาทพังค์ซาล็อตที่ 2 อย่างนอบน้อมและซื่อสัตย์ จะรักทุกสิ่งที่พระองค์รัก และจะชังทุกสิ่งที่พระองค์ชัง” เหล่าขุนนางเปล่งวาจาโดยพร้อมเพรียงกัน ขณะที่พระราชามองไปทั่วอย่างเริงร่า
“เราขอขอบคุณพวกท่านอีกครั้ง และขอให้พวกท่านทำตามคำสาบานที่พวกท่านได้ทำด้วย…” พังค์ซาล็อตหนุ่มในชุดโคร่งสีน้ำเงินหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวต่อ
“แต่เราไม่ได้มาเป็นกษัตริย์เพียงแค่เพราะเราเป็นบุตรชายของเสด็จพ่อเท่านั้น แต่เรายังจะหมายทำให้อาณาจักรของเรายิ่งใหญ่อีกด้วย แน่นอน มันเป็นผลดีกับท่านทุกคน เราจะไม่รีดภาษีพวกท่านอย่างรุนแรงอย่างเช่นในสมัยที่เกิดกบฎขึ้นในอิลลูซิออง...” เจ้าหญิงฟาตาเลียแอบยิ้มที่มุมปากเมื่อได้ยินคำที่กษัตริย์ได้กล่าว เพราะกษัตริย์ในสมัยกบฎนั้นก็คือตัวนางเอง
“นอกจากนี้ เรายังจะรับฟังความเห็นและการร้องขอความช่วยเหลือของพวกท่านอีกด้วย ซึ่งท่านสามารถเสนอได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้ใดมีข้อเรียกร้องประการใดต่อราชสำนักบ้าง เราจะช่วยเท่าที่ช่วยได้”
...ไม่มีเสียงตอบ
“ไม่มีเสียงตอบหรือ แสดงว่าแคว้นพวกท่านอยู่ดีกินดีกันหมดสินะ งั้นเรื่องที่เราเคยได้ยินมาก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพน่ะสิ” พระราชาตรัสพร้อมกับจ้องไปหาโซนาคอน ทำให้ผู้ที่ถูกมองตัวสั่นพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อม ลอร์ด โซนาคอน แห่งเซเซอร์ อันปัญหาของแคว้นกระหม่อมนั้นไม่ได้อยู่ในแคว้นของข้าพเจ้า แต่อยู่ที่ผู้ที่โค่นล้มนายหญิงของกระหม่อม อ้างตนเป็นทายาท แล้วก็ต่อต้านความพยายามที่จะเจรจาด้วยสันติวิธีของข้า อีกทั้งได้ทำลายคนของกระหม่อม...ซึ่งเป็นชาวเซเซอร์ผู้ภักดี แถมยังพยายามยุยงให้ชาวเซเซอร์แตกกับกระหม่อมอีก หากพวกต่อต้านเหล่านี้ถูกกำจัดโดยเร็ว ชาวเซเซอร์ก็จะมีความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างแน่นอนพระเจ้าข้า” ชายผมสีน้ำตาลในชุดเขียวเฉดเดียวกับที่นายหญิงชอบใส่ทูลอย่างฉาดฉาน
“ว่าแต่ใครเป็นผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องนั้นเล่า” พระราชาค่อยๆ ตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทางซ้ายของพระองค์นั้นกลับมีแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“ทูลฝ่าบาท ผู้ที่เราต้องล่านั้นคือดีพเวลล์แห่งโซฟิอา และนางก็อยู่ที่...” แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เจ้าหญิงแห่งโรมก็ขัดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ที่นี่!” ทันทีที่ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งพระราชินีแห่งอิลลูซิอองพูดจบ เสียงขรึมก็ดังไปทั่วห้อง
“แต่หม่อมฉันเห็นว่า นางเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา และสมควรจะได้รับความเป็นธรรม” เจ้าหญิงแห่งโรมตรัสต่อ
“แต่เจ้าหญิง...” โซนาคอนพยายามแย้ง
“ฝ่าบาท พระองค์จะตัดสินพระทัยอย่างไรก็แล้วแต่พระองค์เถิดเพคะ” ฟาตาเลียสอดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เอาเป็นว่า หากนางอยู่ที่นี่แล้ว ก็ให้นางขึ้นมาพูดแล้วกัน” กษัตริย์หนุ่มผมสีน้ำตาลกล่าว
ชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่พังค์พูดจบ เด็กสาวคนหนึ่งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่งามสง่า เค้าโครงหน้าและเสื้อคลุมสีเขียวมรกตของเธอสะท้อนภาพของอดีตเจ้าเมืองเซเซอร์ แต่สิ่งที่แตกต่างกันนั้นก็คงมีเพียงแต่แววตาอันคมกริบ ซึ่งคงจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่สัมผัสมันได้ เธอค่อยๆ เปล่งวาจาออกมา
“ทูลฝ่าบาท เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นดำรงอยู่ขณะที่หม่อมฉันยังคงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเอลดารอสในกรุงโรม เรื่องมีอยู่ว่า โซนาคอนได้สังหารเลดี มาร์คัส ทาร์ลินา แล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ในเซเซอร์ พ่อของหม่อมฉัน อัศวินโอเวอร์ดูล และ รองแม่ทัพทาอิ ได้พยายามที่จะรวมกำลังต่อต้านโซนาคอนไว้ เพื่อรักษาซึ่งแคว้นเซเซอร์ และเกียรติภูมิของเลดี มาร์คัส ทาร์ลินา แต่ทว่า โซนาคอนซึ่งได้เปรียบกว่าได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ ในเซเซอร์ รวมทั้งพยายามที่จะรุกรานโซฟิอาด้วย แต่ว่าเหล่าทหารหาญแห่งโซฟิอานั้นป้องกันไว้ได้ แต่หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าจะป้องกันไว้ได้อีกนานเท่าใด”เสียงของเด็กสาวชาวแฟรีที่เปล่งออกมานั้นแม้จะไม่ดังมากนัก แต่ก็ทำเอาหลายๆ คน ถึงกับสะดุ้ง แม้กระทั่งเจ้าหญิงแห่งโรมผู้ซึ่งกำลังทำปากขมุบขมิบไปมา
“โอเค เรารู้แล้ว สรุปว่าพวกเจ้าสองพวกกำลังทะเลาะกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในเซเซอร์อย่างนั้นรึ พวกท่านมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้บ้าง” พังค์ซาล็อตกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“มันเป็นเรื่องระหว่างแคว้นนี่ อำนาจสูงไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว” เสียงหนึ่ง เสนอความเห็น เสียงนั้นเป็นของเซอร์วอลเตอร์ แห่งไทเรล
“แต่กระหม่อมว่าการใช้กำลังต่อสู้กันไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมเท่าใดนัก เราควรเสาะหาความจริงมากกว่า” ชายในชุดเข้ารูปสีเทานามซิลเวน บารอนแห่งแกลเลียแย้งออกมา
จากนั้นก็มีเสียงถกเถียงกันลั่นห้องประชุม จนกระทั่ง ผู้ที่เคยเป็นเจ้าแห่งอิลลูซิอองร้องขึ้นมา
“ทุกท่าน ข้าเข้าใจความหวังดีต่อบ้านเมืองที่ทุกท่านมีดี แต่ขอเวลาให้ฝ่าบาทได้ไตร่ตรองสักนิดจะเป็นอะไรไปเล่า”
“ดี เราจะได้ไปไตร่ตรองเรื่องนี้ในภายหลัง สำหรับเรื่องอื่น มีใครสงสัยอะไรหรือไม่” พระราชาหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงที่เบาๆ ประหนึ่งพระวรกายจะหดเล็กลงเหลือเพียงแค่มด
จากนั้นการประชุมก็ได้ดำเนินต่อไป ว่าด้วยเรื่องอัตราเงินช่วยเหลือประจำปีที่ราชสำนักจะเรียกร้องจากแคว้นต่างๆ แล้วก็ความเป็นไปของบ้านเมืองทั้งภายในและภายนอก รวมไปถึงความพยายามที่จะฟื้นฟูบ้านเมืองในยุคหลังสงครามต่อมาจากสมัยของพระราชาพังค์ซาล็อตที่ 1 ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงกับสมาคมต่างๆ ความหลากหลายทางอาชีพที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ
หลังจบการประชุม ชายหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม เจ้านครเซเซอร์ก็ได้เดินทางออกไปอย่างเร่งรีบ ยิ่งกว่าใครในนี้ทั้งหมด
สามชั่วโมงต่อมา ภายในเรือนรับรองของราชสำนัก ตัวเรือนเป็นไม้เนื้อแข็ง มีเสาแปดเหลี่ยมอยู่ทุกด้านมีภาพวาดของจิตรกรประดับอยู่ที่ฝาผนังที่ทำด้วยหินปูนพร้อมกับประดับด้วยลวดลายทำจากทองเหลืองดูน่าพิศวงยิ่งนัก ตรงกลางห้องมีโต๊ะที่ทำจากไม้มาฮอกกานีกว้างราวๆ สองหลา มีเก้าอี้ไม้สีดำประดับอยู่โดยรอบ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้นั้นคือ หญิงรุ่นผู้มีดวงตาอันคมกริบ เส้นผมของนางได้รับการตกแต่งมาอย่างดี ร่างอันบอบบางของนางอยู่ในชุดกระโปรงสีครีม ที่แม้จะไม่ได้รัดเข็มขัดก็ยังมองเห็นช่วงเอวที่อรชรนั้นได้ ข้างๆ ของเด็กสาวนั้นมีเก้าอี้ที่รับน้ำหนักชายหนุ่มชาวออร์กใบหน้าคมคาย ดวงตามองตรงไปยังหญิงสาวตรงหน้า รูปร่างที่แม้จะไม่ใหญ่นักแต่ก็เต็มไปด้วยรอยแผลจากสงครามซึ่งบ่งบอกตัวตนของชายผู้นี้ได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องแต่งกายเยี่ยงนักรบแต่อย่างใด
“ท่านคิดว่าแบบนี้ดีแล้วหรือ” นางฟ้าเอ่ยปากถามนักรบหนุ่มขึ้นก่อน
“ข้าเชื่อว่า ฝ่าบาท รวมไปถึงพระราชินีองค์ก่อนย่อมไม่น่าจะเชื่ออะไรง่ายๆ พระองค์ย่อมต้องตัดสินตามผิดถูกได้แน่ๆ อีกอย่าง พระองค์คงจะต้องเฟ้นหาพยานหลักฐานก่อนที่จะตัดสินได้ ถึงเวลานั้นเราค่อยเชิญพระองค์มาที่ศพของเลดี มาร์คัส ทาร์ลินา ก็ไม่สาย” ลอร์ด เฮวาทา จอมทัพแห่งอิลลูซิอองตอบคำถาม
“แต่หลักฐานที่เรามีก็บอกอะไรที่ชัดเจนไม่ได้นี่ และหากพระราชาตัดสินว่าเราผิดจะทำเช่นไร” เจ้าเมืองแห่งโซฟิอาซักไซ้ต่อ แววตาของนางสะท้อนความกังวลออกมาไม่น้อย
“ก็คงต้องรับคำตัดสินต่อไป” บุรุษชาวออร์กตอบเรียบๆ
“ก็เท่ากับว่าเรายอมแพ้ไปเลยงั้นสิ” ดีพเวลล์ทักท้วง
“ในเมื่อโซนาคอนยกประเด็นนี้ขึ้นมา มันก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อีกอย่าง โซนาคอนอาจจะเป็นคนพลาดเองก็ได้ เพราะการรบกันโดยไม่มีอำนาจเหนือมาแทรกแซง โซนาคอนก็ยังได้เปรียบ แต่พอมาแบบนี้ ใครจะไปรู้ เราอาจจะชนะก็ได้” เฮวาทาตอบกลับมา ซึ่งได้ทำให้ดีพเวลล์พูดอะไรไม่ออก
“ข้ามีธุระ ข้าต้องไปละ ขอให้น้องหญิงกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยนะ”
“ข้าปรารถนาจะให้คำปรารถนาของท่านเป็นจริง เพราะบ้านข้าน่ะ...อยู่ที่เซเซอร์”
ความคิดเห็น