คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : วิถีแห่งดาบ
หน้าประตูจวนเจ้าเมืองโซฟิอา มีชายชาวมนุษย์คนหนึ่ง ผมตัดสั้นสีเทาเข้ม สวมชุดข้าราชการราชสำนัก อ้างตัวว่าผู้ส่งสารนำข่าวมาให้ เขาย้ำว่าต้องถึงมือเจ้าเมืองเท่านั้น ตราแผ่นดินที่ผนึกสาสน์นั้นอยู่ทำให้เขามีสิทธ์ที่จะทำใช่นั้นได้
ไม่นานหลังจากผู้ส่งสารขึ้นมาจากไป ดีพเวลล์ ก็นำมันขึ้นมาอ่าน
“
8 มิถุนายน 1691
เรียน ผู้ครองแคว้นทุกแคว้น
เรามีข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบว่า พระราชาพังค์ซาล็อต แห่งอิลลูซิอองได้เสด็จสวรรคตด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1691 โดยที่เจ้าหญิงฟาตาเลีย อุปราชแห่งอิลลูซิออง ได้ปฏิเสธราชบัลลังก์ ผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์จึงเป็นพระโอรสแห่งพระราชาองค์ก่อน แถลงพระนามว่าพระเจ้าพังค์ซาล็อตที่ 2 ขอให้เจ้าเมืองทุกคนมาถวายความจงรักภักดีในพิธีราชาภิเษกในวันที่ 19 กันยายน 1691 โดยพร้อมเพรียงกัน
เซอร์ จอห์น คอเรอร์
หัวหน้าราชองครักษ์”
ที่ลงชื่อมีตราราชสำนักติดอยู่
“ข่าวลือที่ว่าองค์กษัตริย์สิ้นพระชนม์แล้ว เป็นจริงเสียด้วย” ทาอิกล่าวเศร้าๆ
“พี่แฟลว่า เราควรจะเริ่มออกเดินทางกันเมื่อไหร่คะ” ดีพเวลล์ถาม
“ข้าว่าเรายังไม่ต้องรีบหรอก และทางที่ดีควรไปด้วยม้ามากกว่าด้วยรถ เพราะโซนาคอนเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ มันอาจซุ่มโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้”
“มีทางที่เราจะไปได้โดยไม่ผ่านเซเซอร์ไหมคะ” แม้จะศึกษาจนพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เด็กสาวก็ยังไม่วายขอความเห็นจากพี่แฟล
“มีน่ะมีแน่ อ้อมไปทางใต้ ผ่านโพคาฮอนเทีย แล้วก็เข้าโรมจากทางนั้น แต่ถ้าเราจะไปกันแค่นี้ ข้าว่า หากมีการต้องปะทะคารมกับพวกคนใหญ่คนโตขึ้นมา.......ข้าไม่รู้ว่าใครจะช่วยท่านได้”ทาอิเอ่ยเศร้าๆ ลำพังตัวเธอไม่มีความเป็นเจ้าคารมเลยสักนิด
“เรื่องนี้ ข้าว่าข้าช่วยได้” เสียงๆ หนึ่งแทรกมาจากข้างหลัง ชายร่างใหญ่ยืนอยู่ที่ต้นเสียง ผมสีน้ำตาลของเขาตัดอย่างไม่เรียบร้อย เขาอยู่ในเสื้อกางเกงที่เปื้อนโคลน
“พ่อ! ไม่ได้เจอพ่อตั้งนาน นับแต่ทัพเซเซอร์ถอยกลับไป พ่อก็หายตัวไปอีกแล้ว” เด็กสาวสวมกอดพ่อของเธอ ราวกับไม่ได้เจอเขามานานนับสิบปี
“พ่ออยู่ที่ใดที่หนึ่ง นานๆ ไม่ได้เจ้าก็รู้อยู่ พอเห็นว่าบ้านเมืองปลอดภัยแล้ว พ่อก็ไปตามทางของพ่อ จนถึงเหตุการณ์นี้ พ่อเลยมาที่นี่ เพื่อให้เธอได้ไปเมืองหลวงอย่างดี ส่วนทาอิ อยู่ที่นี่เถอะ ทางนี้ข้าจัดการได้” จอมโจรกล่าว แววตาของเขามั่นใจกว่าที่เคย
“พรุ่งนี้มากับพ่อได้ไหม” โอเวอร์ดูลกล่าวสั้นๆ
“ว่าไงนะพ่อ จะไปพรุ่งนี้เลยเหรอ” เด็กสาวตอบจอมโจรผู้เป็นบิดาไปในทันใด
“เปล่า ยังไม่ไปหรอก แต่พ่อจะสอนการรบโดยศาสตราวุธ พ่อคิดว่า ถ้าหากถึงวันที่เธอจะต้องตะลุมบอน บางทีวิชานี้อาจช่วยเธอเอาตัวรอดได้” อัศวินจอมโจรอธิบาย
“ขอบคุณมากค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เราจะไปด้วยกันนะ” เด็กสาวรีบตอบรับ
วันรุ่งขึ้น
มาร์คัส ดีพเวลล์ สวมเสื้อกางเกงแบบบุรุษ และสวมเสื้อนอกสีน้ำตาลทับอีกชั้น ยืนรอการมาถึงของเซอร์ โอเวอร์ดูล เพื่อนที่จะออกเดินทางไปฝึกวิชาฟันดาบกับอัศวินผู้เป็นบิดา
“เราจะไปไหนกันคะ” เด็กสาวร้องถามอย่างใคร่รู้
“ที่ลานหินนอกเมืองน่ะ จริงๆ ลานฟันดาบของที่นี่ก็ถือว่า ใช้ได้ แต่พ่อว่า การที่พ่อพาเธอไป มันจะไปรบกวนพวกเขาเสียเปล่าๆ อีกทั้ง พ่อว่า ให้พ่อสอนตรงๆ กันแบบ ตัวต่อตัวโดยไม่มีใครมารบกวนน่าจะดีกว่า” โอเวอร์ดูลกล่าวพร้อมกับเดินออกนอกประตูเมืองทางทิศตะวันตก
สองชั่วโมงต่อมา ณ ลานหิน
“ฟันต่อไป จงฝึกกับดาบให้คุ้นเคย แกว่งไปมาเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ” เสียงชายร่างใหญ่ดังขึ้นขณะที่เด็กสาว กำลังเหวี่ยงดาบอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อของเธอท่วมร่างกายอันบอบบางของเจ้าเมืองโซฟิอา เสื้อตัวในเปียกชุ่มเป็นผลจากการ ‘ทำความรู้จัก’ กับดาบ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
แฮ่กๆ
“พ่อ...แค่นี้ไหวรึยังคะ” นางฟ้าหอบไปพูดไป แม้เธอจะเคยเรียนมาบ้างจากโรม แต่ดาบนี้มันหนักกว่าที่เคยฝึกที่โรมมาก ขนาดใช้ดาบเบาๆ เธอยังไม่ค่อยชำนาญเลย นี่ยังมาเจอดาบของพ่อจะไปถนัดได้ไง
“แบบนี้ ให้ไปฝึกวิชาดาบตามกองทัพก็พอได้ แต่ถ้าถามฉัน ยังไม่น่าพอใจ แต่จะเอาอะไรกับวันแรก เวลายังมีอีกเยอะน่า”
“ค่ะ” ดีพเวลล์ยอมรับโดยดุษณี
เย็นวันต่อมา
แฮ่กๆ
“พ่อ แบบนี้ พอใช้ได้ไหม” ดีพเวลล์กล่าวกับอาจารย์วิชาดาบของเธอ พลางปัดเหงื่อที่กำลังไหลเข้าตา ลมหายใจเข้าและออกของเธอ เร็วและหนักกว่าปกติมากนัก
แฮ่กๆ
“ยังไม่ได้ พรุ่งนี้ลองใหม่” โอเวอร์ดูลบอกให้ลูกสาวชาวแฟรีของเธอกลับไปลองใหม่
เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำๆ แบบนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่ง.......
ฮึบ!
เด็กสาวเหวี่ยงดาบที่หนักอึ้งได้อย่างคล่องแคล่ว แม้จะมองเห็นปัญหาอยู่บ้าง แต่ดูรวมๆ แล้ว เหมือนกับดาบนั่นเป็นส่วนหนึ่งของแขนเธอเลยทีเดียว
“ทำได้ดีแล้ว พอก่อน ถ้าพักจนพอแล้ว ลองแสดงวิชาดาบที่เคยร่ำเรียนมาให้ฉันเห็นหน่อย” โอเวอร์ดูลกล่าวชม พร้อมกับ หยิบย่ามใส่น้ำให้บุตรของเขา
เจ้าเมืองโซฟิอานั่งลงพิงต้นไม้ พร้อมกับ วางดาบอันหนักอึ้งลงข้างๆ กาย ก่อนที่พ่อของเธอจะลงมานั่งข้างๆ
“ที่ฝึกมากับพ่อตลอดนี่ เหนื่อยไหม” โอเวอร์ดูลถาม
“เหนื่อยน่ะเหนื่อย แต่แม้จะเหนื่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลยค่ะ” หากไม่มีหัวโขน เด็กสาวก็ยังเป็นเด็กสาวอยู่วันยันค่ำ
“คุ้มค่างั้นรึ เจ้าคิดว่าจะได้ใช้มันอย่างนั้นหรือ” ชายผมสีน้ำตาลถามต่อ
“สงครามมันต้องมีแน่ๆ ถ้าคราวน่าหนูไม่ปลอดภัยแบบนี้ล่ะ รอดมาได้ตั้งหกปีแล้ว คราวหน้าอาจจะต้องเอาตัวรอดด้วยวิชาดาบก็ได้”
“เอาล่ะ พ่อจะให้เจ้าพักอีกหน่อย ไม่รบกวนเจ้าแล้ว” ว่าแล้วอัศวินจอมโจรก็ลุกออกไป ปล่อยให้ดีพเวลล์จมอยู่ในความคิดของเธอแต่เพียงลำพัง
ทำไมเราต้องกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในสงครามบ้าๆ นี่ด้วยนะ หากไม่มีเรื่องพวกนั้น ป่านนี้เราคงจบจากเอลดารอสไปแล้ว อาจจะกลายเป็นจอมเวท ในเมืองหลวง แล้วกลับมา แม่ก็คงจะภูมิใจ พ่อก็อาจจะมาฉลองการเรียนจบของเราด้วย ในยามนั้น เราเป็นคนที่ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่เดี๋ยวนี้.....นี่ถ้าหากจะมีมือลอบสังหารฉันมาจัดการระหว่างทางกลับก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
“เอาล่ะ ไหนลองแสดงฝีมือที่เจ้าเคยมีให้ข้าได้ยลหน่อย” มนุษย์ผู้บิดาร้องเรียก
เจ้าเมืองโซฟิอาคว้าดาบอันหนักอึ้งขึ้นมา ตอนนี้เธอเริ่มปรับตัวเข้ากับมันได้แล้ว พยายามลองนึกถึงบทเรียนเก่าๆ ในอดีต บทเรียนที่เธอเกือบจะลืมไปแล้ว เธอค่อยๆ นึก พลางแกว่งดาบไปตามความทรงจำที่ซ่อนอยู่
วูบ!
ดีพเวลล์เกือบจะเสียการทรงตัวจากการเหวี่ยงดาบที่พลาดไป...เหมือนจะเคยพลาดแบบนี้มาแล้วสินะ แต่ตอนนั้นดาบมันเบากว่านี้นี่...อ้อ คิดออกแล้ว นั่นมันกระบวนท่านั้นนี่นา
เธอเริ่มฝึกแต่ละท่าอย่างช้าๆ ถูกบ้าง ผิดบ้าง จนความจำทั้งในหัวและในร่างกายของเธอเริ่มกลับมา อย่างช้าๆ จากนั้นเธอก็ฝึกกับตัวเธอเองคนเดียว โดยที่มีอาจารย์นามว่า...ความทรงจำ
วันรุ่งขึ้น คราวนี้ดีพเวลล์เลือกที่จะสวมชุดจอมเวทออกฟันดาบ ซึ่งตัวโอเวอร์ดูลก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แถมดูเหมือนจะยิ้มรับอีกต่างหาก
ฉับ! ฉับ!
คราวนี้ดีพเวลล์ฝึกได้คล่องแคล่วกว่าที่เคย ไม่นานเธอก็ทำได้เหมือนกาลก่อน....หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง นี่คงเป็นผลจากการทำความรู้จักกับดาบแบบที่พ่อสอนให้กระมัง
แปะๆ
โอเวอร์ดูลตบมือให้พร้อมกับกล่าวชม ดวงตาของเขาส่อแววพอใจอย่างชัดเจน
“แน่นอนว่าเจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก” บุรุษร่างใหญ่หยุดพักก่อนจะเอ่ยต่อ
“ทีนี้ไหนลองเปลี่ยนมาเป็นดาบเล่มนี้ดู พ่อว่าเจ้าเหมาะกับมันมากกว่า”
“แต่ว่า...” ดีพเวลล์เริ่มจะคุ้นเคยกับดาบหนักๆ เสียแล้ว
.ขอให้ลองทำความรู้จักกับดาบเล่มใหม่นี่ดู แล้วพ่ออาจจะให้เจ้าเลือกว่าจะใช้อันไหน” น้ำเสียงของโอเวอร์ดูลราบเรียบ แต่ดีพเวลล์ก่อนฟังออกว่ามีเลศนัยที่ซ่อนอยู่ ถึงกระนั้น เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากรับฟัง แล้วนำดาบเล่มใหม่ที่เบากว่ามาใช้
ฉับ! ฉับ!
หลังจากคุ้นเคยกับดาบหนักๆ พอหันมาใช้ดาบที่เบากว่าแล้ว ทุกอย่างช่างง่ายดายเสียนี่กระไร ไม่ว่าจะท่าที่ยากแค่ไหน ดาบนี้ก็พร้อมที่จะไปด้วยกันกับความคิดของเธอทุกครั้ง หากจะบอกว่านี่เป็นการใช้ดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ดีพเวลล์เคยทำได้ก็คงไม่ผิดมากนัก
เด็กสาวชาวแฟรีฝึกต่อไปอย่างสบายใจ ผมดำยาวสลวยของเธอปลิวสวนกับทิศทางการเคลื่อนไหว ราวกับสายฝนยามต้องลม ชุดที่หลวมโคร่ง เคลื่อนไหวตามการเคลื่อนที่ได้อย่างไม่เป็นปัญหา
บิดาของเธอยิ้มอย่างพอใจ เรียกเจ้าหญิงมาหา พร้อมกับพูดเบาๆ
“จากนี้คงได้เวลาแล้วสินะ” จากนั้นโอเวอร์ดูลก็เริ่มสอนกระบวนท่าเบื้องต้นของสำนักจอมโจรที่เขาร่ำเรียนมา.....
“การรบกันของพวกเรานั้น เน้นการปะทะกันอย่างรวดเร็วในครั้งเดียว หรืออาจจะมากกว่านั้นเพียงเล็กน้อย จุดประสงค์ก็คือ สังหารศัตรูให้ได้ก่อนที่มันจะรู้ตัว หรือไม่ก็กำลังได้เปรียบอยู่ จริงอยู่ วิธีเหล่านี้อาจไม่ใช่วิถีของนักรบ และเป็นหนทางที่ไร้เกียรติ แต่เจ้าก็ควรมีความรู้เกี่ยวกับมันบ้าง เพราะไม่ว่าเจ้าจะเลือกที่จะใช้มันหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ต้องพบกับมันอยู่แล้ว”
ว่าแล้ว โอเวอร์ดูลก็เริ่มหยิบดาบออกมาเพื่อมาเป็นคู่ซ้อมให้บุตรสาวของเขา ซึ่งเธอก็เรียนรู้ได้ไวพอควร หากเทียบกับมาตรฐานของเหล่าโจร เธอนั้นทำได้ดีกว่ามาก ใครจะรู้ เชื้ออาจจะไม่ทิ้งแถวจริงๆ ก็ได้
“ไหนลองพุ่งเข้ามาอีกทีซิ”
วูบ...เก๊ง
“ยังช้าไปหน่อย แบบนี้สู้พวกโจรชาวพังค์ไม่ได้แน่ ฉันไม่รับประกันนะว่าจะมีใครจ้างพวกนี้มาลอบสังหารเธอรึเปล่า” อัศวินจอมโจรผมสีน้ำตาล ปัดดาบของดีพเวลล์ออกไป
แฮก! แฮก!
“ลองอีกทีซิอยากรู้นักว่าเจ้าเมืองโซฟิอาจะอยู่ได้สักกี่น้ำ” ผู้เป็นพ่อท้าทายหนักข้อขึ้นอีก
วูบ!
“แบบนี้ยังไม่ผ่านนะ การเคลื่อนไหวมองเห็นชัดเกินไป....” โอเวอร์ดูลพูดอย่างอารมณ์ดีหลังจากหลบดาบของนางฟ้าองค์น้อยได้ แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ ที่คอล่ำๆ ของชายวันกลางคนก็มีดาบจ่ออยู่ เมื่อเสี้ยววินาทีเมื่อครู่ การเคลื่อนไหวที่ว่าเป็นเพียงการลวงว่าจะเคลื่อนไหวเท่านั้น ทำให้โอเวอร์ดูลที่ไม่ได้เตรียมพร้อมถูกหลอกและเปิดช่องว่างให้จู่โจมอย่างไม่ยากเย็นนัก
“...” ความตะลึงงันเข้าเกาะกุมจิตใจของชายร่างใหญ่ นี่เราประมาทได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ
“ท่านี้...ข้ายังไม่เคยสอนเจ้านี่” โอเวอร์ดูล
“มั่นใจหรือว่าพ่อยังไม่ได้สอน แม้จะไม่ได้มาจากคำพูดก็เถอะ การหลอกล่อเพียงเท่านี้ ฉันที่เป็นลูกพ่อจะคิดได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรนี่” ดีพเวลล์ตอบเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงแห่งนักปกครอง
หนึ่งเดือนต่อมา
“พี่แฟล ฝากโซฟิอาไว้ด้วยนะ” เจ้าเมืองบอกลาพร้อมกับสวมกอดกับแม่ทัพทาอิ ใบหน้าขาวๆ ของแม่ทัพเริ่มมีน้ำตาอาบหน้า โตขึ้นเยอะเลยนะ เจ้าหญิงน้อย
ก่อนจะเฝ้ามองสองพ่อลูกขี่ม้าหายไปทางตะวันตก
สามวันต่อมา ในแคว้นโพคาฮอนเทีย
คนสองคนบนม้าสองตัวกำลังตะบึงผ่านทุ่งราบ คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาลดูไม่เรียบร้อย เขาสวมหมวกเหล็กขนาดใหญ่ที่ดูเรียบๆ แต่มีประสิทธิภาพ ชุดเกราะเหล็กที่มีแผ่นเหล็กป้องกันช่วงอกกับโซ่เหล็กร้อยเรียงกันอยู่บริเวณแขนขา ด้านหลังมีผ้าคลุมหนังสัตว์ที่แม้จะผ่านการใช้งานอย่างสมบุกสมบัน แต่ก็ดูออกว่าคุณภาพดีเยี่ยม ส่วนอีกคนนั้นเป็นหญิงวัยรุ่นชาวแฟรีผมยาวปลิวสลวย เธอสวมชุดคลุมยาวสีขาวขลิบแดงตามแบบของจอมเวท ตรงกลางมีอักษรโบราณแปลว่า ‘ไฟ’ ปักอยู่ด้วยดิ้นสีแดง ด้านในสวมเกราะอ่อนไว้หนึ่งชั้น ดวงตาที่คมกริบของเธอกวาดสายตามองไม้ผลัดใบที่เริ่มเปลี่ยนสี ซึ่งภาพเช่นนี้หากมองจากบนท้องฟ้าจากมองเห็นสีทองอร่ามของไม้ผลัดใบแซมกับสีเขียวของทุ่งหญ้าและไม้ไม่ผลัดใบผสมผสานกันอยู่อย่างลงตัว ดินแดนแถบนี้ผู้คนไม่ค่อยหนาแน่นเท่าใดนัก การค้าเองก็ไม่เจริญเหมือนกันโรมและดีรัลล์ ดังนั้นพ่อค้าหากจะเดินทางจากโรมสู่ท่าเรือเนเจอร์ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าใหม่จึงเลือกที่จะไปทางดีรัลล์จะดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทางและองค์กรที่คอยคุ้มครอง ดีกว่าจะมาผจญภัยในแดนสนธยาแถบนี้ แม้ความสนธยาที่ว่าจะเทียบไม่ได้เลยกับแผ่นดินปีศาจเวเนฟิเซียมก็ตาม
แกลลอป! แกลลอป!
แกลลอป แกลลอป แกลลอป!
“
” ดีพเวลล์กับโอเวอร์ดูลจ้องหน้ากันทันที พลางมองไปรอบๆ มีเสียงฝีเท้าม้านอกจากม้าสองตัวที่ทั้งสองขี่อยู่ดังขึ้น
แกลลอป แกลลอป!
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีเสียงฝีเท้าม้าอีกหลายเสียงที่อยู่ไกลออกไป
แกลลอป! แกลลอป!
แกลลอป!! แกลลอป!!
...
โครม!
ม้าหนึ่งตัวพร้อมคนหนึ่งคนวิ่งตัดผ่านทุกหญ้าเข้าปะทะกับม้าของอัศวินจอมโจรผู้ไม่ชอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ เข้าอย่างจัง แม้ม้าที่วิ่งออกมาจากทุ่งหญ้าจะถูกหยุดยั้งไว้ด้วยแรงปะทะ แต่แรงเฉื่อยจากความเร็วที่เคยมีก็ทำให้คนลอยละลิ่วออกไปด้านหน้าแล้วล้มตึงลงไป
แอ็ก!
ที่ตกลงมาบนพื้นนั้นเป็นร่างเตี้ยของชายคนหนึ่ง ไม่มีเสียงร้องใดๆ ออกมาจากคนๆ นี้ เขาพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างสุดกำลัง และพยายามก้าวเดินต่อไป แต่....
แกลลอป แกลลอป!
แกลลอป แกลลอป!
ทหารสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือจำนวนไม่ต่ำกว่า สิบคนขับม้าเข้ามาล้อมจับพร้อมกับบรรจงแทงหลาวลงไปยังร่างของชายร่างเตี้ยผู้นั้นพอดี จากนั้นทั้งหมดก็พากันคว้าหลาวมาช่วยกันเสียบจนมั่นใจว่าร่างๆ นี้เสียชีวิตเป็นอันแน่นอน
ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ดีพเวลล์รีบคว้าดาบออกมาทันที แต่บิดาผู้มีประสบการณ์มากกว่าค่อยๆ ปราม ก่อนจะค่อยๆ เดินทางต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ช้าก่อน!” หนึ่งในทหารร้องเรียก น้ำเสียงของเขาดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ชุดเกราะของเขาทำด้วยเหล็กอย่างดี เข้ารูปเหมือนกับเกราะของชนชั้นสูงที่ทำมาเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะ
ชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็กบังคับม้าให้หยุด พร้อมกับกระซิบให้ดีพเวลล์เตรียมพร้อมหากเกิดการปะทะขึ้น
“ท่านเป็นใคร ขอให้บอกชื่อของท่านพร้อมกับถอดหมวกเหล็กนั่นออกด้วย”
“เหตุใดข้าต้องฟังคำสั่งท่าน”
“เพราะนี่คือแผ่นดินของข้า ในก็ตามที่เข้ามาที่นี่จะต้องฟังคำสั่งนั้น...” แต่ยังไม่ทันไรเมื่อทหารคนนั้นเหลือบไปเห็นเด็กสาวในชุดขาวขลิบแดง ท่าทีของคนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“ข้าขออภัย...ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทต่อเจ้า น้องหญิงดีพเวลล์” ครั้งแล้วเขาก็ถอดหมวกเหล็กออกมา ก่อนที่โอเวอร์ดูลจะถอดหมวกเหล็กของเขาออกมาเช่นกัน ใบหน้าใต้หมวกเหล็กนั้นบ่งบอกว่าแม้จะเป็นชาวออร์ก แม้ร่างของเขาจะเล็กกว่าชาวออร์กโดยส่วนใหญ่ ใบหน้าที่คมคายและไม่มีไขมันหลงเหลืออยู่เลย หนวดเคราที่ขึ้นประดับเล็กน้อยนั้นหากไม่สังเกตดีๆ ก็จะมองไม่เห็น
“ท่านเฮวาทา!” สองพ่อลูกตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ว่าแต่เซอร์โอเวอร์ดูล กับ เลดี ดีพเวลล์ ท่านทั้งสองกำลังจะเดินทางไปกรุงโรมเหรอ” คนที่เพิ่งถูกเรียกชื่อทัก
“ถูกแล้ว ว่าแต่คนๆ นั้น...” นักเวทสาวถามขึ้น
“นั่นคือโจรจากดินแดนตะวันตก ที่เข้ามาสอดแนม มันหนีออกจากคุกได้สำเร็จ และดูเหมือนจะรู้ไม่น้อยเสียด้วย ข้าเลยต้องไล่ล่ามันแบบนี้ ว่าแต่ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว ไปโรมด้วยกันดีไหม” เฮวาทาตอบพร้อมกับยื่นข้อเสนอ
“ข้าขอรับไว้ด้วยความยินดี” เจ้าเมืองโซฟิอาตอบเรียบๆ
“เป็นเกียรติอย่างสูงที่ข้ามีท่านไว้เป็นเพื่อนร่วมทาง ข้าเชื่อว่าระหว่างนี้เราคงมีเรื่องจะปรึกษากันไม่น้อย” เฮวาทากล่าวต้อนรับ น้ำเสียงเขาลิงโลดกว่าที่ควรจะเป็น
และแล้วทั้งสามพร้อมด้วยทหารหยิบมือก็เดินทางไปด้วยกัน สู่จุดหมายคือ กรุงโรม ราชธานีแห่งอิลลูซิออง
ความคิดเห็น