คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Land of Fear
วันรุ่งขึ้น
โอเวอร์ดูลพร้อมด้วยดีพเวลล์ และเฮวาทากำลังอยู่ที่บันไดทางออก ณ อีกฝั่งหนึ่งของแหล่งกบดานลับ
“ขอให้ท่านกลับมาพร้อมกับข่าวดี เซเซอร์รอท่านอยู่” ทาอิกล่าวอำลา
“ส่วนท่านอาจารย์ ข้าหวังว่าท่านจะได้สอนเราอีก และขอให้ท่านเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป” คราตันกล่าวแก่นักรบออร์ก
“ทาอิ ถ้าหากโซนาคอนนำทัพมาตีละก็ พยายามถ่วงเวลามันไว้ให้นานที่สุด ส่วนทุกคน ระหว่างนี้จะไปไหนในเมืองนี้ตามใจชอบก็ได้ แต่อย่าออกไปนอกเมืองเชียวล่ะ” จากนั้นโอเวอร์ดูลก็กล่าวอำลาพร้อมกับเดินขึ้นบันไดไป
“ข้าคงจะไปส่งท่านได้ถึงแค่หน้าประตูเมือง” นักรบออร์กกล่าวแก่จอมโจร บิดาของแฟรี
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าดูแลตัวเองได้ ส่วนนี่ก็เป็นลูกสาวของข้า ข้าว่านางไม่เป็นตัวถ่วงของข้าง่ายดายนักหรอก” สายตาเขม่นออกมาจากลูกสาวของเจ้าของคำพูดเมื่อครู่
การเดินทางในเมืองเล็กๆ แห่งนี้นั้นเพลิดเพลินกว่าที่คิด สำหรับ เฮวาทาและดีพเวลล์ นี่คือโลกที่ทั้งคู่ไม่เคยรู้จัก สำหรับ โอเวอร์ดูล การได้พบกับลูกสาวเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงประตูเมืองทิศที่ดีพเวลล์เข้ามา ทั้งสามก็บอกลากัน
“หวังว่าจะได้พบกันอีกนะท่านเฮวาทา” ดีพเวลล์คำนับให้จอมทัพผู้ยิ่งยง ภาพนั้นเป็นภาพที่จอมทัพร่างเล็กไม่มีวันลืมเลย
แล้วนักรบก็เดินกลับเข้าไปในเมือง ทิ้งไว้แต่พ่อลูกสองคนให้เผชิญดินแดนแห่งความมืดต่อไป
ด้วยความที่พ่อลูกเดินเท้าเข้าไป คนทั้งสองจึงไม่มีปัญหาในการย่างเหยียบเข้าไปแผ่นดินดำมืดนั้นเท่าใดนัก แต่คราวนี้กลับเป็นฝ่ายพ่อที่ประหลาดใจ ว่าเหตุใดความกลัวไม่ได้เล่นงานสายวัยรุ่นคนนี้เท่าใดนัก เพราะแม้จะเคยผ่านมาครั้งหนึ่ง แต่ก็แค่ครั้งเดียว คนทั่วไปก็ยังกลัวอยู่ไม่น้อย
“เจ้าหญิงน้อย เจ้าไปอยู่โรมเจ้าไปเรียนอะไรมา” โอเวอร์ดูลถามด้วยความสงสัย
.”ก็ไปเรียนตามที่เขาให้เรียน โดยเน้นที่เวทมนตร์เป็นหลัก”
“มิน่า แต่เจ้าไม่กลัวมนต์ดำที่นี่เลยหรือ” โอเวอร์ดูลถามด้วยความสนใจ
“ก็แค่เวทมนตร์ศูนย์ ถ้าพวกนี้ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเราก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่คะ” ดีพเวลล์ตอบพ่อของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกำลังคุยกันเรื่องอื่น ทำให้พ่อได้แต่แอบยิ้ม นึกว่าจะมีปัญหาว่านี้เสียอีก
ยิ่งก้าวลึกเข้าไปในเวเนฟิเซียม ท้องฟ้าสีหม่นเหนือแผ่นดินแคว้นปีศาจแห่งนี้ก็ค่อยๆ มึดลงเรื่อยๆ อาจเป็นได้ทางดินฟ้าอากาศและเอกลักษณ์ของดินแดนแถบนี้ แต่หากเป็นอย่างหลังก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะ สภาพแวดล้อมอื่นๆ ก็พากันเปลี่ยนแปลงไปตามภูมิศาสตร์ ต้นไม้จากที่เคยเขียวชอุ่มตามฤดูกาล ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรากไม้สีดำสนิท ดินจากที่เคยสีน้ำตาลเข้มก็ดำมืดจนไม่คิดว่าจะมีพืชใดที่ปลูกในดินแดนแถบนี้ได้ ลำน้ำซีลที่เคยใสบริสุทธ์ เป็นแหล่งน้ำให้กับชาวโซฟิอาก็ค่อยๆ ปนเปื้อนสีเหลืองแดง แม้โอเวอร์ดูลจะบอกว่าช่วงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ น้ำจะสดใสขึ้นบ้าง เพราะชาวต่างชาติก็ต้องมาเยี่ยมเยือนที่ท่าเรือทางใต้บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงคำพูด เพราะจุดหมายปลายทางของพวกเขาทั้งสอง นั้นยังไม่ถึงริมทะเล แต่วกไปทางตะวันออก...
“ต่อจากนี้ขอให้ระวังตัว...และระวังหัวใจให้ดีนะ ต่อให้เป็นเจ้าก็ใช่ว่าจะเข้าไปได้สบายๆ” โอเวอร์ดูลเปิดปาก ท่ามกลางหมอกที่ลงจัด
“ข้างหน้ามีอะไรเหรอคะ” ดวงตาของเด็กสาวเลิกขึ้น ท่าทางเธอจะเลิกตื่นโลกและกลับมาเป็นนักศึกษาคนเดิมก็ในโลกมืดนี่เอง
“ไปถึงแล้วจะรู้เอง ประสบการณ์ที่เจ้าได้รับอาจจะไม่เหมือนของข้าก็ได้”
เมื่อหันเหเข้าไปตะวันออก บรรยากาศยิ่งชวนขวัญผวากว่าเก่า ดินจากสีดำก็กลับมีสีเหลืองและแดงซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากแม่น้ำซีลที่เปลี่ยนสีแน่ๆ และจากดินแดนที่ร้างผู้คนก็เปลี่ยนสภาพเป็นรังปีศาจอย่างชัดเจน มาถึงตรงนี้ก็เริ่มพบสิ่งปลูกสร้างบ้าง ซึ่งหากกำจัดอคติได้แล้วก็คงพูดได้ว่า แม้จะต่าง แต่ก็ไม่ได้ต่างจากหมู่บ้านข้างนอกในโลกกว้างมากนัก
“เจ้ารู้สึกยังไง” ชายผมรุงรังที่ดูเหมือนจะกลืนเข้ากับบรรยากาศรอบนอกเอ่ยปาก ดวงตาของเขามองไปที่ดวงตาทั้งสองของแฟรีซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้มาจากทั้งบิดาและมารดาที่ดูไม่เกรงกลัวมากเท่าที่คนที่เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกควรจะเป็น
“น่าค้นหา......แต่ไม่รู้นะ เมื่อข้าเข้าถึงตัวเมืองแล้ว อาจจะไม่สามารถพูดแบบนี้ได้ก็ได้” เด็กสาวตอบเรียบๆ แต่ตอบเรียบๆ นั่นช่างตีความได้ยากนัก แม้สำหรับจอมโจรผู้ได้รับตำแหน่งอัศวินอย่างโอเวอร์ดูลแล้ว อาการนั่น...เธอกำลังขวัญอ่อนหรือไม่รู้สึกเกรงกลัวกันแน่
ยิ่งเดินไปตามทางที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูง เนื่องจากมันเต็มไปด้วยอุปสรรคทั้งร่างกายและจิตใจ ความเป็นโลกสนธยาก็ยิ่งเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ที่ซึ่งการเดินทางสิ้นสุด ก็มาถึง
ควันไฟสีแดงลอยออกมาจากท่อขนาดราวสามคนโอบ ตั้งอยู่ท่ามกล่างแผ่นเหล็กสูงเท่าตัวมนุษย์ที่ทอดยาวหายไปในความมืด
“กำแพงเวเนฟิเซียม ถัดจากนี้ก็ถึงที่สุดแล้ว ถ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ก็มาเดินเข้าไปกันเถอะ”
กำแพงนั่นเปิดออกแทบจะทันทีที่ย่างเท้าเข้าไป เผยให้เห็นซึ่งนคราที่น่าเกรงขามที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ปราสาทโกธิคสีหม่นตั้งตระหง่านบนพื้นดินสะท้อนแสงภายใต้ท้องฟ้าสีดำสนิท รูปปั้นปีศาจต่างๆ ปรากฏตามรายทาง แต่ถ้าสังเกตดีๆ แล้ว จะพบว่าบ้างก็ไม่ใช่รูปปั้น แต่เป็นปีศาจจริง
อุ๊บ!
นางฟ้ารีบเอามือมาปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว พลางหันไปมองโอเวอร์ดูลผู้เป็นบิดา ดวงตาสีน้ำเงินของชายร่างใหญ่ผู้นี้เริ่มไม่อยู่นิ่ง มือใหญ่ๆของเขาเองก็ไม่ค่อยอยู่นิ่งเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าปฏิกิริยาที่ว่านี้มีความหมายว่าอย่างไร คนๆ นี้ เคยมาที่นี่กี่ครั้งแล้ว และเขาคิดอย่างไรกับสถานที่แห่งนี้
โอเวอร์ดูลคว้ามือบุตรสาว พร้อมกับก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็ว ผ่านเส้นทางที่สุดแสนจะวกวน บางครั้งปราสาทโกธิคก็ใกล้เข้ามา บางครั้งก็ไกลออกไป บางครั้งก็มาอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีทางเข้า บางครั้งก็หายลับตาไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีเหตุมาจากอิทธิพลของความมืดมิดหรือไม่ เพราะที่นี่คือดินแดนที่แสงสุริยาไม่เคยสาดส่องมาถึง
ในที่สุด ประตูปราสาทก็อยู่ตรงหน้า รอบๆ ประตูเป็นหินที่ฉาบเรียบ มีเหลี่ยมมุมชัดเจน ตรงประตูเป็นไม้...หรืออะไรก็ตามที่ดูเหมือนไม้ภายใต้สภาพอันมืดมิดเช่นนี้ เด็กสาวรีบเดินเข้าไปแต่ถูกบิดายกมือขวางไว้พร้อมทำท่าครุ่นคิด
“ไม่ได้จะเข้าไปเหรอ” เด็กสาวทักท้วงด้วยอาการงุนงง เหงื่อของเธอเริ่มไหลออกมาบ้างแล้ว
“ประตูที่เราจะเข้าไปอาจไม่ใช่ประตูนี้ก็ได้” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“แล้วเราจะไปไหนกันต่อละค่ะ” แฟรีสาวถาม ตกลงนี่เราจะไปหาเจ้าหญิงแห่งมนตราคนนั้นได้รึเปล่า เมื่อเธอมองไปหาบิดา ก็พบว่าปากของเขาเริ่มขยับ แต่แทนที่เสียงที่ออกมาจะเป็นคำตอบ มันกลับเป็นคำถาม
“ดีพเวลล์ วันนี้วันที่เท่าไหร่” อัศวินถามบุตรี ความคิดทั้งหลายแหล่ยังคงตีกันในหัวของเขา
“ไม่รู้สิคะ ตั้งแต่มานี่ข้ายังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย แต่วันที่เราเดินทางมารู้สึกจะเป็นวันที่ 28 พฤษภาคม...”
ทันใดนั้นเอง โอเวอร์ดูลก็จูงมือบุตรีหักออกไปทางเงามืดทางด้านขวา แล้วเดินเข้าไปในความมืด... พ่อจูงมือลูกเดินต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดแสงสว่างก็ปรากฎ แสงสว่างที่ทำให้ดีพเวลล์ต้องถอนหายใจ เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นคือบันไดเวียนที่สูงจนมองไม่เห็นยอด
“ข้าว่าเรามาถูกทางแล้ว” โอเวอร์ดูลพูดอย่างลิงโลด แม้ในน้ำเสียงนั้นจะซ่อนอาการเหนื่อยหอบไว้ก็ตาม ขณะที่ตัวนางฟ้านั้นแทบจะล้มทั้งยืนเลยเมื่อเห็นภาพทางไปต่อตรงหน้า ขาที่เหนื่อยล้ามานับตั้งแต่ออกจากโซฟิอาก็หวังว่าจะได้พักเสียที แต่....
“ไม่เป็นไร พักก่อนก็ได้” เหมือนอัศวินจอมโจรจะอ่านความคิดของลูกสาวออก เขานั่งลงตรงกำแพง พร้อมกับคว้าลูกสาวมาพิงที่ไหล่.....
“พ่อคะ.....นี่.......จะถึงแล้ว....หรือยัง” ดวงตาของเธอจ้องตาสีน้ำเงินของบิดาเขม็ง หวังว่าคราวนี้สิ่งที่เขาเอ่ยปากออกมาจะเป็นคำตอบ
“ถ้าพ่อคำนวณไม่ผิดล่ะก็ แค่ขึ้นไปก็ถึงแล้วล่ะ” โอเวอร์ดูลตอบเนือยๆ ดูเหมือนว่าเขาเองก็ถูกความเหนื่อยล้าเล่นงานไม่มากก็น้อย
หลังจากพักกันจนความเหนื่อยล้าบรรเทาลงไปมากแล้ว ทั้งคู่ก็เริ่มเดินกันต่ออีก
คราวนี้ความเมื่อยล้าเข้ามามีอิทธิพลมากกว่าความเหน็ดเหนื่อย แต่เนื่องจากความเมื่อยล้านั้นมีการดำเนินไปที่ไม่รวดเร็วนัก ทั้งสองจึงมาถึงเส้นชัยที่หน้าประตู ๆ หนึ่งได้ ชายร่างใหญ่เคาะประตูก่อนที่จะเปิดเข้าไป
“กำลังรอท่านอยู่พอดีเลย ท่านโอเวอร์ดูล” เสียงๆ หนึ่งดังออกมาจากทางด้านหน้า ทันที่ที่ประตูถูกเปิดออก
ภาพข้างหน้าคือห้องที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหราตามแบบโกธิค ปรากฏประติมากรรมน้อยใหญ่มากมาย มีวัตถุประหลาดที่ดีพเวลล์ไม่เคยเห็น และอื่นๆ อีกมาก ส่วนเจ้าของเสียงนั้นเป็นร่างอยู่ในชุดฮู้ดสีดำ ที่หันหลังให้ ก่อนที่เธอจะหันมา.....
ผมสีทองที่มัดไว้กับใบหน้าที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ใบหน้าของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ใกล้เคียงแน่ๆ รวมไปถึงไม่ใช่ใบหน้าของพวกออร์ก หรือชาววิหคด้วย หรือนี่คือ.....
“ข้าคือ อะริเอน เจ้าหญิงแห่งมนตรา”
ดีพเวลล์รีบคุกเข่าลงทันที พร้อมกับเพิ่งสำนึกได้ว่าบิดาของคนคุกเข่าลงไปนานแล้ว
“ลุกขึ้นเถิด ทั้งสองคนนั่นแหละ” น้ำเสียงที่เนียนเรียบแต่แปร่งหูของเจ้าหญิงแห่งมนตราเป็นลักษณะที่หาใครเสมอเหมือน
“นี่คงจะเป็น มาร์คัส ดีพเวลล์ บุตรแห่งเลดี มาร์คัส ทาร์ลินา เจ้าผู้ครองแคว้นเซเซอร์ คนที่ข้าอยากจะพบ สินะ”
“พ...เพคะ หม่อมฉัน ด...ดีพเวลล์เอง เพคะ” แฟรีสาวตอบกลับไปอย่างประหม่า
“เรียกบุตรของกระหม่อมมา มีอะไรหรือพะยะค่ะ” ชายร่างใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ได้ข่าวว่าเซเซอร์กำลังมีปัญหางั้นรึ” เหมือนน้ำเสียงที่เนียนเรียบนั้นจะนำดีพเวลล์ไปสู่ความสุข
“เจ้าหญิง พระองค์ทรงพระปรีชา เรื่องเพิ่งเกิดพระองค์ยังรู้ได้อีกหรือพะยะค่ะ” แม้จะรู้ว่าหูตาของเจ้าหญิงแห่งเวเนฟิเซียมผู้นี้กว้างขวางยิ่งนัก แต่เรื่องในแคว้นเล็กๆ อย่างเซเซอร์ ก็ไม่น่าจะน่าสนใจพอที่สำหรับพระองค์ที่จะตรวจหาข้อมูลนี่นา
เจ้าหญิงไม่ตอบ บีบบังคับให้เซอร์ โอเวอร์ดูล ต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งบางเรื่องแม้แต่ดีพเวลล์เองก็เพิ่งจะมารู้ตอนนี้
หลังจากเล่าจบ เจ้าหญิงก็ฉีกยิ้มพร้อมกับกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ “แม้แต่จอมโจรโอเวอร์ดูลผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องคายข้อมูลทั้งหมดให้ข้าเชียวรึนี่ ท่าทางท่านจะจนตรอกสินะ ท่านจอมโจร”
แม้จะไม่ยอมรับโดยตรง แต่สำหรับโอเวอร์ดูลนั้น ประโยคที่เจ้าหญิงอะริเอนเพิ่งพูดจบนั้นเป็นเรื่องที่จริงไม่น้อยเลยทีเดียว ในปัจจุบัน หากโซนาคอนคิดจะตีโซฟิอาจริง การตั้งรับนั้นถือว่าทำได้ยาก และแม้จะสามารถตั้งรับได้ แต่การรุกกลับเพื่อกู้เซเซอร์ด้วยกองทัพแฟรีนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าอย่างไรหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เขาก็ไม่อาจจะชนะสงครามครั้งนี้ ลำพังตัวเขาเองอาจไม่เดือดร้อน แต่ผู้ติดตามที่ไว้ใจในตัวเขาเล่า จะไปอยู่ที่ใดกัน และเขาจะเห็นแก่ตัวพอที่จะทรยศต่อคนพวกนั้นหรือ
“แต่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เรียกท่านมาเพื่อล้วงข้อมูลอย่างเดียวหรอก ข้ามีข้อเสนอบางอย่างที่ท่านอาจจะสนใจ” และแล้วเจ้าแคว้นเวเนฟิเซียมก็ลุกออกไปหยิบม้วนผืนหนังออกมาหนึ่งม้วน ก่อนที่จะคลี่มันออก ออกเป็นแผนที่อิลลูซิอองในยุคปัจจุบัน...ยุคปัจจุบันที่ว่านี้หมายถึงยุคไอลอเรียนที่ 8 เพียงแต่จะมีกี่คนที่รู้ว่ายุคใหม่นี้ได้มาถึงแล้ว และกว่าปราชญ์ทั่วโลกจะยอมรับก็อาจจะกินเวลาราวๆ หนึ่งถึง สิบปีที่จะยืนยันได้
“อย่าแปลกใจไปเลย แต่แผนที่เดี๋ยวนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ไว้อีกหน่อยท่านก็จะเข้าใจเอง” อะริเอนบอกเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของสองพ่อลูก ก่อนที่จะเชิญทั้งสองขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ ก่อนที่จะชี้นิ้วและอธิบายต่อไป
“นี่คือพรมแดนที่แบ่งกันระหว่างแคว้น เหนือขึ้นไปนี่คือ เซเซอร์ ใต้ลงมาคือเวเนฟิเซียม” ผู้ฟังทั้งสองพยักหน้ารับ
“แต่เซเซอร์ในตอนนี้คงแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย แล้วก็มีบางหัวเมืองที่ไม่ยอมรับอำนาจโซนาคอน รวมถึงพวกท่านด้วย แต่ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป โซนาคอนจะรวบรวมเซเซอร์ได้ทั้งหมด ไม่ว่าโซฟิอาจะยันไว้ได้นานแค่ไหนก็ต้องแตกเอาสักวัน...ทั้งหมดนี้ข้าพูดถูกหรือไม่”
สำหรับดีพเวลล์นั้น เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในหัวของเธอยังเต็มไปด้วยคำถาม แต่สำหรับจอมโจรแล้ว สิ่งที่อะริเอนพูดนั้น เป็นสิ่งที่เขากำลังหาทางแก้ปัญหาอยู่
“หากข้าจะมอบดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำซีลทั้งหมดตั้งแต่ท่าเรือเนเจอร์ไปจรดนครโซฟิอา ไว้ให้ท่านดูแล พวกท่านจะปฏิเสธอะไรหรือไม่” เจ้าหญิงพูดพร้อมกับใช้นิ้ววาดดินแดนที่จะมอบให้ ตลอดที่ราบลุ่มแม่น้ำซีล ไม่ใช่ดินแดนเล็กๆ เลย นับได้แล้วก็เกือบถึงครึ่งของแคว้นเวเนฟิเซียมด้วยซ้ำ แน่นอนว่า ทันทีที่จอมเวทอันดับหนึ่งแห่งอิลลูซิอองพูดจบ ความตกตะลึงก็เข้าครอบงำสองผู้มาเยือนทันที ทั้งพ่อและลูกต่างคาดการณ์ว่าประโยคต่อไป จะเป็นคำว่า ‘ล้อเล่น’
และหลังจากที่เห็นทั้งสองเงียบแล้ว อะริเอนก็กล่าวต่อไป เพียงแต่ ประโยคที่ดังออกจากปากเธอนั้น มันหาเป็นคำว่าล้อเล่นไม่...
“แน่นอน ว่าหากท่านสามารถเปลี่ยนดินแดนเวเนฟิเซียมด้านตะวันตกให้เป็นประโยชน์ได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อท่านมากทีเดียว”
จอมโจรกับเด็กสาวยังคงตั้งหน้าตั้งตารอคำว่าล้อเล่นต่อไป
“อย่างน้อย ถ้าพวกท่านสามารถต้านทานทัพของโซนาคอน หรือทางโน้นยังไม่ลงมาตี ดินแดนทางตอนใต้นี่อาจจะช่วยพลิกสถานการณ์ได้บ้าง แต่จะพลิกอย่างไร ก็คงอยู่กับพวกท่านแล้ว” ที่มุมปากของเจ้าหญิงแดนปีศาจปรากฏรอยยิ้มขึ้น ว่าแล้ว อะริเอนก็ลุกไปหยิบม้วนผืนหนังอีกม้วนหนึ่ง
“นี่คือคำสั่งการมอบดินแดน ขอให้ท่านไปบอกกับเหล่าปีศาจที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ข้ามอบให้ท่านด้วยว่าให้อพยพกลับมาให้หมด ต้องทั้งหมด หากมีปีศาจผู้ใดขัดขืนให้แจ้งต่อข้า ข้าจะไปจัดการเอง ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็แล้วแต่ว่าเขาเลือกจะอยู่ หรือจะไปก็ได้ แต่ถ้าเลือกจะอยู่ก็ต้องอยู่ใต้การปกครองของพวกท่าน”
“มีอะไรข้องใจอีกหรือไม่ ข้าจะได้ไขออกให้แถลง” จอมเวทกล่าวแก่จอมโจรและเด็กสาว
“ทำไมท่านต้องช่วยเรา” ดีพเวลล์ถามกลับไป ด้วยความตื่นตะลึง และยังหวังลึกๆ ว่าเจ้าหญิงจะ ‘ล้อเล่น’
“สงสัยเช่นนั้นหรือ ข้าว่าพ่อเจ้าก็คงสงสัยพอกัน เพียงแต่เขาปากหนักกว่าเจ้า ก็เท่านั้น ซึ่งยังไง สำหรับเรื่องนี้ นั้น ข้าไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้......แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าข้าไม่บอก เจ้าคงไม่ไว้ใจข้าสินะ”
“ดีพเวลล์ ประมาณเดือนที่แล้ว เจ้าเก็บอะไรบางอย่างได้ ถูกต้องหรือไม่” อะริเอนพยายามทำน้ำเสียงตัวเองให้อ่อนลง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ
“ ”
“มีอัญมณีรูปร่างแปลกๆ ที่หาที่อื่นไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่” โอเวอร์ดูลผู้เป็นบิดาหันหน้าไปมองลูกสาวทันที หรือว่าอะริเอนจะแลกกับของสิ่งนั้น มันคงเป็นสิ่งที่มีค่ามากทีเดียว จริงอยู่ แม้ผู้ที่จะแลกเปลี่ยนด้วยคือเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ที่พอจะไว้ใจได้ แต่ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าสิ่งๆ นั้นมันคืออะไร ก็ยังวางใจไม่ได้
“...เพคะ” กว่าที่เด็กสาวจะตอบได้ก็ต้องอ้ำอึ้งเป็นเวลาไม่น้อย
“ขอฉันดูหน่อยได้ไหม” แต่ขณะที่นางฟ้ากำลังล้วงเข้าไปในเสื้ออยู่นั้นเอง ผู้ชายคนเดียวในห้องนั้นก็ยกมือขวางไว้
“มีอะไรหรือ” เจ้าหญิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนที่จะกลับมาสู่ภาวะปกติ พร้อมกับแอบยิ้ม
“ไม่ไว้ใจข้าสินะ จอมโจรเป็นอย่างนี้กันทุกคน เขี้ยวลากดินกันเหลือเกินนะนี่”
“ท่านต้องการสิ่งๆ นั้นใช่หรือไม่”
นี่หากเป็นคนอื่นคงจะกลัวจนลนลานไปแล้ว แต่สำหรับนางปีศาจที่เคยต้องรับมือกับวาจาราชาพังค์ซาล็อต จ้าวแห่งจอมโจรแล้ว มันไม่ได้ระคายผิวสมองของเธอเท่าไรเลย
“แทนคำตอบ ข้าจะนำสิ่งๆ นั้นของข้าออกมาให้ท่านเห็น” ว่าแล้วจอมมารก็แสดงเวทเสกวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา มันเป็นอัญมณีสีดำสนิทรูปแปดเหลี่ยม สลักเป็นอักษรโบราณ ซึ่งเมื่ออะริเอนเสกแสงมันก็สะท้อนออกมาราวกับว่าอักษรเหล่านั้นมีชีวิต เพียงแต่คราวนี้มันไม่ใช่แค่นั้น
สีของแสงนั้นถูกเปลี่ยนไป เป็นสีน้ำเงิน ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อแสงที่ส่องผ่านออกมานั้นเป็นแสงเฉดเดียวกับแสงไฟ
“ข้าคิดว่าคนอย่างท่านน่าจะรู้เรื่องนี้นะ” อะริเอนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย การได้แสดงอาการเหนือกว่าต่อจอมโจร แม้จะไม่เป็นผลดีอะไรมากนัก แต่มันก็เป็นความสะใจอย่างหนึ่ง
“หรือว่าสิ่งที่ลูกข้าถืออยู่ มันคือ...” ดวงตาของชายร่างใหญ่เบิกโพลงขึ้น ท่ามกลางความงุนงงของเจ้าของ
“มันคืออะไร” อะริเอนย้ำ
“ตรา...ที่อยู่คู่กับแผ่นดินนี้” โอเวอร์ดูลตอบไปราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ข้าก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องพิสูจน์ ว่าแต่...ข้าจะพิสูจน์ได้รึยังล่ะ”
ไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ ดีพเวลล์จ้องตาทั้งสองฝ่ายเพราะไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ แต่เมื่อเธอจ้องตาคนที่พาเธอมาที่นี่ ก็คิดว่าเขาไม่น่าจะขัดข้อง พลางหยิบอัญมณีสีน้ำเงินรูปหกเหลี่ยมประดับด้วยช่อโลหะสีเงินออกมา ทั้งโอเวอร์ดูลและอะริเอนต่างจ้องวัตถุชิ้นนั้นไม่กระพริบ
“ลองนำมันมาวางใกล้ๆ ของข้าดูสิ” อะริเอนพูดแกมออกคำสั่ง ซึ่งดีพเวลล์ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร
ยิ่งมันอยู่ใกล้กัน สีน้ำเงินที่ไม่ควรจะมีของตราแห่งเวทมนตร์ก็เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ และอักษรโบราณก็เปลี่ยนคำไป..........ดีพเวลล์ได้ยินจอมเวทพึมพำอะไรบางอย่างที่เธอฟังไม่เข้าใจ
“ปัญญา.....ตราแห่งปัญญา” อะริเอนยังคงพึมพำต่อ แต่ตอนนี้เป็นภาษาหลักของอิลลูซิออง
หลังจากพึมพำต่อไปอีกพักหนึ่ง อะริเอนก็สั่งให้เก็บกลับเข้าไปได้ พร้อมกับตั้งคำถามต่อ
“วินาทีที่เจ้าเก็บมันมา เกิดแผ่นดินไหวขึ้นหรือไม่”
“เพคะ....แต่มันสั้นมาก”
“อืม” ปากของเจ้าหญิงแห่งแดนปีศาจตอบสั้นๆ แต่ความคิดของเธอนั้นไปไกลถึงไหนแล้ว เด็กคนนี้น่ะหรือ คือผู้ครอบครองตราอิลลูซิอองอันที่ห้า ผู้ครอบครองซึ่งคำพยากรณ์ได้กล่าวไว้ว่าจะมีบทบาทในการแผ่นดินในกาลข้างหน้า อย่างน้อยก็ระดับหนึ่ง.....ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าความคิดของข้าไม่ได้ผิดมากสินะ
“เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมข้าถึงช่วยพวกท่าน” อะริเอนหันไปหาอัศวินเมื่อเธอพูดประโยคนี้
“แล้วพระองค์จะได้อะไรหรือพะยะค่ะ” โอเวอร์ดูลถามจริงจัง
“ท่านโอเวอร์ดูล ท่านคงอยากรู้จริงๆ สินะ งั้นข้าบอกให้ก็ได้” ว่าแล้วอะริเอนก็ลุกขึ้นไปหยิบหนังสืออีกเล่มออกมา คราวนี้เป็นหนังสือเล่มเขื่องที่ใส่ปกโลหะไว้ นางเปิดหาหน้าที่ต้องการแล้วนำไปให้โอเวอร์ดูล
“ภาษาปีศาจโบราณ ท่านอ่านออกหรือไม่” อะริเอนถามตรงๆ
“กระหม่อมอาจจะยังไม่ชำนาญ แต่ก็คงพอได้พะยะค่ะ” จอมโจรพยายามถอดความอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนที่จะรับรู้ว่าบทความเหล่านี้หากแปลผิดนิดเดียวก็อาจเป็นคนละแนวไปเลยก็เป็นได้
“กระหม่อมเกรงว่าอาจจะแปลผิดได้”
“ในฐานะจอมโจร แปลผิดก็ต้องฝืนแปลไม่ใช่เหรอ แต่ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ปริศนาลับอะไร ข้าแค่จะบอกว่า มีคำทำนายกล่าวว่าจะมีปีศาจรุ่นใหม่ที่ปฏิวัติปีศาจที่มีอยู่เดิมและเที่ยวระรานชาวบ้านไปทั่ว...ซึ่งเวลาที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ก็ในยุคไอลอเรียนนี้แหละ” จอมเวทอันดับหนึ่งแห่งอิลลูซิอองเงียบพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“นั่นแปลว่าข้าประสงค์จะลดปริมาณดินแดนที่เหล่าปีศาจถือครอง เผื่อจะลดความรุนแรงของพวกปีศาจรุ่นใหม่ได้บ้าง หรืออีกนัยหนึ่งคือ อีกไม่นาน ดินแดนตรงนี้ก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อข้าแล้ว” เสียงของอะริเอนค่อยๆ จางลงไปตอนท้ายประโยค
“อ้อ ว่าแต่ดีพเวลล์ เธอไปเรียนอะไรมา” น้ำเสียงของอะริเอนดูเป็นกันเองมากขึ้น
“หม่อมฉัน...เรียนที่เอลดารอส โดดเด่นด้านเวทมนตร์เพคะ” แม้เจ้าหญิงจะพูดเป็นกันเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรวัยรุ่นนางนี้ก็ยังออกอาการประหม่าอยู่ดี
“ดีเลย งั้นฉันอยากทดสอบเธอหน่อย...ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่เป็นอะไรหรอก และฉันจะไม่ใช้เวทมนตร์เวเนฟิเซียมกับเธอด้วย” อะริเอนยิ้ม
“ ”
“งั้นตามข้ามาข้างบนนะ โอเวอร์ดูล ถ้าท่านอยากดูข้าแนะนำให้ขึ้นเลยสถานที่ทดสอบไปอีกชั้นหนึ่ง”
อะริเอนพาดีพเวลล์หายเข้าไปในทางลับที่มีอยู่อย่างล้นหลามในปราสาทแห่งนี้ บิดาของเด็กสาวเดินตามทั้งคู่ไปก่อนที่จะแยกขึ้นไปยังที่นั่งสำหรับคนดู
“ฉันจะเริ่มด้วยสิ่งที่ง่ายที่สุดก่อน”
ว่าแล้วอะริเอนก็เริ่มรวบรวมพลังเวทบริสุทธ์ แล้วสั่งให้มันค่อยๆ คืบคลานไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง มีจุดหมายอยู่ที่สาวน้อยผู้ที่กำลังถูกทดสอบซึ่งนิ่งเงียบ หน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งพลังเวทบริสุทธ์อันยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่านั้นเข้ามาใกล้ตัว เข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนมันเฉียดเอวของเธอออกไป
หากมองเข้าไปในดวงตาของเด็กสาวจะพบได้ว่าที่ภาวะวิกฤตตรงนั้น จะเห็นสายตาของเธอแสดงอาการตัดสินใจขึ้นชั่วขณะหนึ่ง นั่นคงจะเป็นที่มาที่พลังเวทนั่นเฉียดเอวของเธอไปได้
“ใช้ได้นี่ เธอรู้ว่าเธอต้านมันไม่ได้ แต่ว่าเธอก็เบี่ยงทิศทางของมันได้ งั้นฉันจะเริ่มบทต่อไปละนะ”
จ้าวปีศาจร่ายลูกไฟสีส้มแดงไม่ต่ำกว่าร้อยลูก มองคล้ายดาวตกปริมาณมหาศาลที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วต่างกัน จนในที่สุดมันก็ล้อมเด็กสาวไว้อย่างแน่นหนา พร้อมกับพุ่งเข้ามาพร้อมกันหมายโจมตี
ฟู่!
ลูกไฟทั้งหมดหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงประกายไฟที่กำลังจะมอดดับประกายเล็กๆ ที่ตกลงสู่พื้นข้างตัว ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้น
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริงๆ จริงอยู่ หลายคนสามารถป้องกันตัวเองจากการโจมตีแบบนี้ได้ แต่จะมีสักกี่คนที่มองออกว่าจะลูกไฟที่แท้จริงแล้ว มันมีเพียงลูกเดียว นอกนั้นเป็นภาพลวงตาทั้งนั้น” เจ้าหญิงผมทองหัวเราะชอบใจ
“แต่นั่นแปลว่า สำหรับเจ้าควรค่าแก่บททดสอบบทต่อไป” เจ้าหญิงแห่งเวเนฟิเซียมออกคำสั่ง
ปีศาจผมทองร่ายมนตร์อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้ทำให้ผู้ทดสอบและผู้ถูกทดสอบหายเข้าไปในอีกมิติ เหลือไว้เพียงภาพปรากฏแก่ผู้ที่ดูอยู่อีกชั้นหนึ่งเท่านั้น
หอคอยอันมืดมิดถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าซะวันนาที่แสงตะวันส่องลงมาอย่างชัดแจ้ง โดยไม่มีเมฆใดๆ คอยขัดขวางอยู่ สิ่งที่ดีพเวลล์รู้สึกได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย คือความร้อนที่แผ่รังสีมาตามแสงตะวันนั้นด้วย พื้นหญ้าเขียวขจีที่ปูอยู่ใต้เท้าของเธอนั้นบ่งบอกถึงความหนา และความไม่เสถียรของมัน หากก้าวพลาด เธออาจสะดุดหญ้าที่หากไม่ถูกเหยียบอยู่จะสูงราวหนึ่งเมตรล้มลงไปได้
“ฉันให้เวลาเธอสิบนาที หาทางออกให้ได้ล่ะ ขอให้โชคดี” อะริเอนพูดพร้อมกับหายตัวไป
ดีพเวลล์รีบวิ่งตามหญิงผมทองไปทันที
โอ๊ย!
เธอชนกับวัตถุที่มองไม่เห็นบางอย่าง จนเธอล้มลงไป เมื่อเธอลุกขึ้นได้ ก็พบว่า เธอเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในมิตินี้ เธอรู้ว่าการวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างไม่สนใจอะไรนั้น ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง มันต้องมีทางออกที่อะริเอนจัดไว้ให้สิ แต่จะเป็นทางไหน และออกได้อย่างไร
เวทประตูมิติ เป็นสิ่งแรกที่เธอคิด แต่นั่นจะได้ผลก็ต่อเมื่อเธอรู้ตำแหน่งของเธอว่าอยู่ที่ใด และเมื่อใดเท่านั้น ซึ่งเรื่องนั้น......เธอไม่รู้
ภาพลวงตา.......อย่างที่สองที่เธอจะคิดออก แต่หลังจากสำรวจดูแล้ว นี่ไม่น่าจะใช่
แล้วมิติบ้านี่มันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย!
แต่ในภาวะที่เกือบจะสติแตกอยู่นั้นเอง เด็กสาวชาวแฟรีก็คิดอะไรบางอย่างออก...ทางที่เจ้าหญิงไป หรือ ทางที่เรามา ทางที่ปลอดภัยที่สุดน่าจะเป็น
ว่าแล้ว เธอก็กลับไปยังจุดที่เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ได้หายตัวไป ซึ่งคราวนี้เธอไม่ถูกดีดกลับมาอีกแล้ว พร้อมกับร่ายเวท...
แว้บ!
“เก่งมาก เก่งจริงๆ เดี๋ยวนี้โรมเขาสอนกันดีขนาดนี้แล้วเหรอ เอ แต่เด็กคนนี้อาจจะมีพรสวรรค์เองก็ได้ เป็นตั้ง...อุ๊บ นี่นา” อะริเอนเกือบจะเผลอพูดว่าเธอเป็นผู้ถือตราอิลลูซิอองชิ้นที่ห้าออกมา นี่ไม่ใช่เวลาประกาศให้เจ้าของรู้ ไม่งั้นเด็กคนนี้อาจจะเสียเด็กได้
“เอาเป็นว่าผลการทดสอบครั้งนี้นับว่าน่าพอใจเลยทีเดียว วิเซนเต้ เธอมองเห็นเหมือนข้าหรือไม่” อะริเอนตะโกนออกมาดังๆ ให้ได้ยินไปถึงชั้นอัฒจันทร์ ที่นั่น นอกจากจอมโจรร่างใหญ่นามโอเวอร์ดูลแล้วยังมี ชายหนุ่มชาวเอลฟ์ เจ้าของร่างผอมบางในชุดเสื้อคลุมสีขาว ด้านนอกเป็นมีเสื้อทูนิกสีแดงสด เรือนผมสีน้ำตาลยาวถึงหู ตัดไว้อย่างเรียบร้อย มือขวาถือคทาทองคำยาวเสมอไหล่ ที่หัวคทามีทับทิมสีแดงประดับอยู่บนแท่นอย่างลงตัวเขายืนขึ้น พร้อมกับตะโกนลงไปยังชั้นล่าง
“กระหม่อมเห็นด้วย อย่างนี้ค่อยน่ารับใช้หน่อย” วิเซนเต้ ประกาศท่ามกลางความงุงงงของสองพ่อลูก
“อ้อ ลืมแนะนำ คนๆ นี้คือ วิเซนเต้ จอมเวทแห่งเซเซอร์ เมื่อเซเซอร์เกิดวิกฤต เขาเดินทางมาขอคำปรึกษาจากข้าที่นี่ ทำให้ข้าได้ข่าวคราวจากทางเหนือ ว่าแม้ไฟลูกใหญ่จะดับไปแล้ว แต่ก็มีไฟลูกเล่นลุกขึ้นในแผ่นดินของพวกเจ้า ต่อจากนี้ เขาจะเป็นผู้ติดตามท่าน ขอให้ท่านทั้งสามโชคดี” อะริเอนแนะนำตัวนักเวทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก จอมเวทเอลฟ์ผู้นี้ ข้ารู้จักเขาพอสมควร และข้าเชื่อว่าเราไว้ใจเขาได้” เซอร์ โอเวอร์ดูลเสริม เพราะหากไม่ไว้ใจเวเนฟิเซียม เราก็คงไม่สามารถกอบกู้บ้านเมืองได้ ดังนั้นต้องยอมตามไปก่อนอย่างน้อยระยะหนึ่ง
“ขอให้ท่านทั้งสามจงกลับไปจัดการกับดินแดนใหม่ของท่านด้วย”
จากนั้นอะริเอนก็เดินไปส่งตามเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งที่ออกจากปราสาทได้ง่ายดายเฉกเช่นปราสาททั่วไปนอกดินแดนสนธยาแห่งนี้
สามวันผ่านไป
เมื่อทั้งสามมาถึงแม่น้ำซีลตอนล่างที่เป็นสีเหลืองแดง วิเซนเต้ก็เริ่มเอ่ยปาก
“ในอีกไม่กี่ปี แม่น้ำซีลทั้งสายจะกลับมาใสบริสุทธ์ สามารถใช้สอยได้อย่างที่แม่น้ำควรจะให้ได้ ดินแดนรอบๆ นี้ก็จะเป็นของพวกเราด้วย”
“จริงสิ ว่าแต่ ดินแดนแถบนี้ เธอคิดจะใช้มันทำอะไร ดีพเวลล์.....ใช้เป็นศูนย์กลางด้านเวทมนตร์ก็ไม่เลวนะ หรือจะทำเกษตรกรรม...”โอเวอร์ดูลหันหน้าไปหาเด็กสาว
“แผ่นดินนี้ ในอนาคตจะเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิลลูซิออง การใช้ประโยชน์อย่างอื่นอาจมีได้บ้าง แต่นั่นต้องไม่กระทบกระเทือนการค้า ข้าจำแผนที่ได้ ไม่มีที่ใดเหมาะเท่าที่นี่อีกแล้ว” เด็กสาวตอบอย่างมั่นใจ
ความคิดเห็น