คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เส้นทางสู่โซฟิอา(Road to Sophia)
ดูเหมือนว่าผู้นำสารจะยังไม่รู้ว่าเธอลืมอะไรทิ้งไว้ เพราะตลอดช่วงหลายวันมานี้ ไม่มีวี่แววของแฟรี่เลย ไม่ว่าเฮซิลจะพยายามติดต่อเธอมากเพียงไร เมื่อเวลาผ่านไป ความสงสัยจึงเริ่มเข้ามาในความคิดของเฮซิล...หรืออาจเป็นได้อีกกรณีคือ เธอจงใจทิ้งมันไว้ พ่อของเฮซิลอธิบายว่าอัญมณีแบบนี้หาได้แค่ในโซฟิอาเท่านั้น นอกจากใช้เป็นเครื่องประดับแล้วมันยังเป็นตราประจำตัวที่แสดงถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรี ของเช่นนี้จึงไม่ได้มีไว้ซื้อขายกัน และผู้นำสารคงจะมีสำรองและคงไม่เดือดร้อยเท่าใดนัก เธอจึงอาจยังไม่รู้หรือไม่ก็ไม่รับกลับมา ซึ่งเฮซิลก็คงจะได้อันหนึ่งเหมือนกันหากเขาเลือกที่จะไปโซฟิอา
สำหรับการตัดสินใจว่าจะไปโซฟิอาหรือไม่นั้นเดิมทีเฮซิลเองก็ยังลังเลอยู่ แต่เท่าที่หาข้อมูลจากห้องสมุดก็ได้ใจความว่า โซฟิอาเป็นนครในตำนานที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยไป มีปริศนาลึกลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นอีกมากมาย ว่ากันว่าที่นั่นมีประตูเชื่อมต่อกับมิติอื่น รวมถึงเมืองโบราณเวเนฟิเซียม ที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของเหล่าปีศาจในอดีตกาล และอื่นๆ...มันปลุกความอยากรู้ อยากไขปัญหาลี้ลับเหล่านั้นของที่ซ่อนอยู่ในใจของเฮซิลให้ตื่นขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดในการตอบรับของเด็กหนุ่ม
ขณะที่พ่อของเขานั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาตีดาบชิ้นหนึ่ง ดาบเล่มนี้นั้นพ่อตีมานานแล้วและมันก็มีคุณภาพสูงมาก แต่เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดแล้วการตีดาบอย่างประณีตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยเฮซิลนั้นได้รับมอบหมายให้มาร่วมการสร้างอาวุธสุดยอดเล่มนี้ด้วย โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้เฮซิลจะรู้เรื่องอาวุธเป็นอย่างดีแต่เขาก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้เตาหลอมอีกเลยนับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนทำให้เขาสูญเสียแม่ไป โดยปกติแล้วเฮซิลได้แต่ทำความสะอาดอุปกรณ์เท่านั้น แต่คราวนี้กลับต้องมาตีดาบอีกเป็นครั้งที่สอง ความตื่นเต้นได้เข้ามาครอบงำความคิดของเด็กหนุ่ม...นี่เป็นครั้งที่สองสินะที่จะได้แตะมัน... เฮซิลตีดาบอย่างตั้งใจ แต่คราวนี้ประกายไฟหาใช่สีส้มแดงอย่างปกติหรือแม้แต่เขียวปนขาวอย่างในครั้งนั้นไม่ มันกลับเป็นดวงไฟสีฟ้าอ่อนๆ ที่สว่างจ้า พวยพุ่งออกมาจากดาบเล่มนั้น
"ได้ผลดีเกินคาด" คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้น
"สรุปว่าดีเหรอพ่อ" ลูกชายกล่าวย้ำอย่างตื่นเต้น
"ใช่ ดีมาก ดีมากทีเดียว ว่าแต่...ตกลงเจ้าจะไปใช่ไหม" นักตีดาบถาม
"ก็คิดว่าคงจะไปแหละ น่าสนใจดีออก"
"งั้นเรามาเตรียมตัวกันเลยดีไหม"
ว่าแล้วปรมาจารย์นักตีดาบก็เริ่มสาธยายเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางที่เฮซิลจะต้องไปในอีกไม่กี่วันนี้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสำคัญของแคว้นนี้ในประวัติศาสตร์ เช่นในการปราบกบฎเมื่อ 24 ปีก่อน มีการศึกษาที่ดีเยี่ยม มหาวิทยาลัยที่นั่นถูกเปรียบกับที่โรมเมื่อครั้งอดีตกาล และเป็นศูนย์กลางแห่งเวทมนตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง และเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ เมื่อจบแล้วจึงให้เตรียมตัวสำหรับการเดินทาง สิ่งที่ต้องนำไปด้วย ไม่มีอะไรมาก นอกจากพวกเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นทั้งหลาย รวมถึงดาบเล่มนั้นที่พ่อให้เขานำไปส่งให้ทางโน้น และตราที่ต้องนำไปคืน...
หลังจากการศึกษาค้นคว้าและการเตรียมการเป็นเวลาหลายวัน วันที่รอคอยก็มาถึง...
คืนก่อนหน้านั้นเด็กชายกระวนกระวายอย่างยิ่งที่จะไปผจญภัยในสถานที่ใหม่ๆ ต่างกันแต่เพียงว่า สถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลานานซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขากระวนกระวายมากขึ้นจนเกือบนอนไม่หลับ แต่แม้ว่าเขาจะนอนน้อยเพียงไร เฮซิลก็ตื่นตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง เฝ้ารอการมาของเจ้าหน้าที่อย่างใจจดใจจ่อ ขณะที่คนเป็นพ่อเองก็รีบตื่นเช่นเดียวกันเพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
ราวๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมา คนที่พวกเขารอคอยก็มาถึง แฟรี่ในชุดเสื้อคลุมดำสนิท เป็นหญิงสูงวัยดูภูมิฐาน รวบผมยาวตรงไว้ข้างหลัง ที่บริเวณอกซ้ายมีตราประจำตัวเงาวับติดอยู่ ผู้มาเยือนเดินเข้ามาอย่างเยือกเย็น...
"ขอโทษค่ะ ที่นี่มีแผนที่ทางทะเลให้ยืมมั้ยคะ" ผู้มาเยือนแสดงรหัสที่เตรียมไว้อย่างเยือกเย็น
ไม่ต้องสงสัยเลย ใครจะมายืมแผนที่ทางทะเลในเวลาเช่นนี้ นี่ก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเสียแล้ว คงไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าหน้าที่ที่จะรับเฮซิลไปแน่ๆ เฮซิลเชิญเจ้าหน้าที่เข้ามา แล้วการสนทนาระหว่าง เฮซิล พ่อของเขา และเจ้าหน้าที่ ก็เริ่มต้นขึ้น...
"ไม่ได้เจอกันนานนะ ท่านเมเฮานท์"เจ้าหน้าที่เอ่ยถึงพ่อในชื่อที่เฮซิลไม่เคยได้ยิน
"จริงสิ นี่มันก็หลายปีแล้ว"
แล้วเจ้าหน้าที่กับ "ท่านเมเฮานท์" ก็คุยกันอย่างถูกคอสนุกสนาน หัวข้อในการสนทนาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ทั้งในเรื่องทั่วไป และเรื่องที่เฮซิลฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด การสนทนาดำเนินไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง จนกระทั่ง...
"ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งสำคัญทั้งสองก็พร้อมแล้ว เหลือเพียงแต่การเคลื่อนย้ายเท่านั้น" พ่อเอ่ยขึ้น
"ข้าไม่ห่วงเรื่องนั้น จะห่วงก็แค่การเคลื่อนย้ายเจ้าเรย์ฟอร์ซนั่น ก็เท่านั้นเอง" เจ้าหน้าที่กล่าว
...คำพูดนั้นหลุดออกมาแล้ว เฮซิลตื่นเต้นเป็นที่สุด ถึงเวลาที่จะต้องเข้ารหัสแล้วซิ...
"นิล" เขาละล่ำละลัก และแล้วรอยยิ้มก็เริ่มเกิดขึ้นที่มุมปากของนางฟ้า
และเจ้าหน้าที่ก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดเปรยๆ ว่า"งั้นเราก็ไปกันได้แล้วสิ เจ้าหนู"
"ฝากบอกสวัสดีให้นายของท่านด้วย" พ่อเอ่ยขึ้นพร้อมส่งห่อของที่จำเป็นให้ ส่วนดาบนั้นให้แยกไว้ต่างหาก
"เริ่มเดินทางกันได้แล้วแหละ เจ้าหนู ต่อไปนี้เรียกฉันว่าเรเวียล" ว่าแล้วเจ้าหน้าที่ก็พาเฮซิลขึ้นม้าไป
บ้านที่เขาอยู่มาเกือบทั้งชีวิตค่อยๆ ลับตาเขาไป ในไม่ช้า เมืองที่เขาเคยอยู่ก็ค่อยๆ เล็กลง และจางลงจนหายไปทางขอบฟ้าด้านตะวันตกผู้คนที่เคยรู้จัก สิ่งต่างๆ ที่คุ้นเคยบัดนี้ได้กลายเป็นเพียงความทรงจำไปแล้ว เรเวียลควบม้าไปทางตะวันออก แล้วจึงบ่ายหน้าขึ้นเหนือเล็กน้อย เส้นทางเป็นทุ่งราบที่ค่อนข้างแห้งแล้ง มีเพียงหญ้าขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองควบม้ามาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่มีทางแยกออกไปเป็นสามทาง ทางซ้ายดูมืดสลัวทั้งที่เป็นเวลาสายแล้ว ปลายทางต่อไปดูไม่ชัดนัก ทางสายกลางเป็นทุ่งหญ้า ส่วนทางขวาเลี้ยวลงใต้ลงสู่ทะเลแห่งความมืดที่อยู่ไกลออกไป
"ทางแยกนี้ หากเลือกเดินทางซ้าย จะเป็นเส้นทางที่ลัดที่สุด แต่จะเข้าไปในเขตโอซิส ซึ่งในช่วงหลังๆ นี่คงไม่ปลอดภัยนัก อย่างน้อยก็สำหรับเรา เส้นทางตรงกลาง จะไปทางตะวันออกไปทางถนนอเรสตัลหรือที่เคยเรียกกันว่าอะเรซิตาเลีย ผ่านแผ่นดินซาคราส และแคว้นทางใต้ ดินแดนแถบนี้ภูมิประเทศไม่ทุรกันดารเท่าใดนัก และมีเขตเมืองให้หยุดพักบ้าง ซึ่งนี่คือทางที่เราจะไป ส่วนทางสุดท้าย จะลงใต้ไปท่าเรือไลท์ แล้วลงเรือต่อไปยังท่าเรือเนเจอร์ แล้วเดินทางต่อ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้แล้วเป็นการไม่สมควรที่จะเดินทางโดยเรือ"
ว่าแล้วเรเวียลก็ควบม้าต่อไป ควบม้าต่อไป จนภูมิประเทศที่เคยเป็นทุ่งหญ้าเตี้ยๆ บัดนี้กลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่อุดมสมบูรณ์ขึ้น การเดินทางผ่านทุ่งหญ้านั้นไม่เป็นไปอย่างลำบากยากเย็นเท่าใดนัก และเมื่อควบม้าต่อไปอีก พระอาทิตย์ก็เริ่มลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็ร้อนขึ้น ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาแทนที่ความสดชื่น เจ้าหน้าที่รีบเร่งการเดินทางเข้าไปในเขตแดนซาคราส ความเร็วปะทะความล้า การต่อสู้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึง อิลเลียส เมืองหลวงของซาคราสเมื่อดวงอาทิตย์อันเจิดจ้าบอกเวลาเที่ยงวัน
อิลเลียส ศูนย์กลางของซาคราส หรือที่มนุษย์แถบนั้นเรียกดินแดนของตัวเองว่า "ดินแดนศักดิ์สิทธิ์" เป็นเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงใหญ่สูงราวสามสิบฟุตเศษ ภายในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนเดินกันขวักไขว่ เรเวียลบอกว่าอิลเลียสเป็นเมืองที่คึกคักอยู่เสมอ มีความตื่นตัวสูง ภาพที่เฮซิลเห็นจึงเป็นเพียงวันปกติของที่นี่เท่านั้น โดยในตัวเมืองนั้นไม่ค่อยพบหมู่บ้านเพราะจะไปอยู่บริเวณรอบนอกเสียเป็นส่วนมาก ประกอบกับเมืองนี้ ยังเป็นจุดศูนย์กลางหรือทางผ่านของหัวเมืองในละแวกใกล้เคียง จึงเป็นแหล่งพักพิงที่สำคัญของพ่อค้าและนักเดินทางที่เลือกที่จะผ่านมาทางถนน อาเรสตัล อีกทั้งในเมืองนี้ยังมีสมาคมช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงอยู่หนึ่งแห่ง ทำให้ตัวเมืองกลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่นอยู่ตลอดเวลา สำหรับเฮซิลและเรเวียลแล้ว ที่นี่เป็นที่หยุดพักรับประทานอาหาร หาเสบียง เสร็จแล้วก็พักผ่อนในเมืองจนบ่าย แล้วจึงออกเดินทางต่อไป
ยิ่งเฮซิลและเรเวียลควบม้าออกจากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ไปไกลขึ้น หมู่บ้านมนุษย์ที่เห็นก็ยิ่งเบาบางลง จนสองข้างทางกลับมาเป็นทุ่งหญ้าอีกครั้ง ระหว่างทางเฮซิลได้พบฝูงสัตว์นานาชนิด ซึ่งเฮซิลไม่ได้เห็นบ่อยนัก ในระหว่างที่ทั้งสองเดินทางสวนกับการเส้นทางเดินของตะวันในยามทิวากาล ก็พบคนแคระที่ติดกับดักสัตว์อยู่ร้องขอให้ช่วย ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที เจ้าหน้าที่เรเวียลก็สามารถแก้มันออกได้อย่างรวดเร็ว คนแคระผู้นั้นได้ขอบคุณผู้ที่มาช่วย และเมื่อเขามองดูดวงอาทิตย์จนพบว่าใกล้จะมืดแล้ว คนแคระจึงชวนให้พักในหมู่บ้านของเขา...
ณ รอบกองไฟกลางหมู่บ้านในคืนนั้น
"ท่านเดินทางมาจากอิลเลียสรึ"คนแคระคนหนึ่งถามขึ้น
"เราเดินทางจากตะวันตกผ่านอิลเลียสมา"เรเวียลตอบ
"พวกท่านใช้ทางใหญ่จากอิลเลียสจริงๆ เหรอ"คนแคระอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
"ไม่น่าเชื่อจริงๆ พวกท่านโชคดีมากที่ผ่านถนน อเรสตัล ช่วงนี้มาได้โดยไม่โดนพวกโจรดักปล้น"คนแคระคนแรกกล่าวอย่างประหลาดใจ คนแคระผู้นี้มีเครายาวสีเงินบ่งบอกถึงความชรา สวมเข็มขัดที่ประดับด้วยไพลินเม็ดงาม ที่ข้อมือซ้ายมีกำไลเงิน เขาดูเป็นที่เคารพของพวกชาวบ้านมาก ดูท่าว่าคงจะเป็นผู้นำหรือปราชญ์อาวุโสประจำหมู่บ้าน
"เนื่องจากอิลเลียสเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่ง ผู้คนที่เข้าออกเมืองนี้ก็มักจะมีของมีค่ามาก และถนนอเรสตัล ก็สะดวกสบายพอที่ทำให้ผู้เดินทางขาดความระมัดระวัง พวกโจรเลยถือโอกาสดักปล้นผู้ที่ผ่านมาในละแวกนี้"คนแคระเฒ่าอธิบาย
"แล้วทางซาคราสไม่คิดจะทำอะไรบ้างเหรอ"เฮซิลถาม
"ทางซาคราสเคยส่งคนมาปราบปรามหลายครั้ง แต่โจรพวกนี้ก็มุดหัวหนีหายไปหมด ปลอมตัวเป็นพลเมืองดีบ้าง แอบซ่อนอยู่บ้าง ยังไงก็ปราบไม่หมดซักที พวกนี้คงเก่งเกินกว่าที่จะปราบได้หมด"ผู้สูงวัยประจำหมู่บ้านตอบอย่างเหนื่อยใจ
"ครั้งหนึ่งพวกเราถูกดักปล้นระหว่างเดินทาง พอหนีมาได้พวกมันก็สะกดรอยตามเราจนถึงหมู่บ้านแล้วปล้นสะดมทั่วทั้งหมู่บ้านจนเดือดร้อนไปทั่ว เราต่อสู้กับพวกนั้นอย่างบ้าคลั่ง การต่อสู้ครั้งนั้นมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก แต่หลังจากนั้น พวกมันก็ไม่ค่อยกล้ายุ่งกับพวกเราเท่าไหร่หรอก"คนแคระหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแห่งความโศกเศร้า
"พวกโจรมีฝีมือการต่อสู้ไม่เลวทีเดียว ว่ากันว่าพวกมันเรียนรู้วิชาของพวกนักฆ่าด้วย" คนแคระที่อยู่ข้างๆ กล่าวเสริม
ทันทีที่ได้ยินคำว่า'นักฆ่า'เรเวียลก็ยิ้มเล็กๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า "พวกนั้นมีกันประมาณกี่คน"
"ตอนที่พวกมันโจมตีหมู่บ้านของเรา คิดว่าน่าจะมีประมาณ 50 คน แต่มันอาจจะมีกำลังส่วนอื่นที่ซ่อนอยู่อีกมาก"
"แต่เราก็พยายามจับตามองพวกมันให้แผลงฤทธิ์ได้น้อยที่สุด เราได้ขัดขวางการเคลื่อนที่และแผนการต่างๆ ของพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นการคุมพื้นที่ที่มีความเสี่ยง การตัดเส้นทางพวกมัน และยัง..." คนแคระหนุ่มที่มีมาดความเป็นนักรบ ตอบอย่างห้าวหาญ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ก็มีมีดเล่มหนึ่งพุ่งมาที่คนแคระเคราเงินอย่างรวดเร็ว เรเวียลตวัดดาบออกจากฝัก พร้อมกับคุ้มกันผู้อาวุโสแห่งหมู่บ้านไว้
นักรบทั้งหมู่บ้าน เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ทุกคนมีขวานอยู่ในมือ...
"อย่างนี้นี่เอง"เสียงหนึ่งดังออกมาจากความมืด
"มิน่า แผนการของเราจึงล้มเหลวอยู่เรื่อยๆ"อีกเสียงหนึ่งกล่าวซ้ำ
"และก็เป็นอย่างที่พวกเราคาดไว้จริงๆซะด้วย นี่คือต้นตอของปัญหาทั้งหมด"เสียงแรกออกมาอย่างมั่นใจ
"ปล่อยทิ้งไว้ศัตรูจะพร้อมรบเปล่าๆ พวกเรา ลุย!"
แล้วการปะทะกันก็เริ่มขึ้น...ดาบและมีดสั้นปะทะกับขวานเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปเป็นรัศมีหลายไมล์ เรเวียลบอกให้เฮซิลหยิบดาบที่อยู่ในย่ามนั้นออกมาใช้ เมื่อเฮซิลทำตาม ก็เกิดแสงวูบวาบขึ้นจากดาบทันทีที่ชักออกมาจากฝัก มันส่งแสงสะท้อนไปมากับดาบของเรเวียล และสะท้อนต่อไปยังขวานของพวกคนที่กำลังต่อสู้อยู่ จากนั้น สถานการณ์ก็เริ่มพลิกผัน เมื่อขวานแห่งคนแคระสามารถตัดอาวุธของเหล่าโจรได้ในการปะทะเพียงนัดเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะจบง่ายๆ เพราะหมู่โจรเองก็สามารถเรียนรู้ได้เร็วและหลีกเลี่ยงการปะทะ พร้อมกับถอยกลับเข้าไปเพื่อพรางตัวภายใต้ความมืดแห่งรัตติกาล คนแคระบางส่วนที่ไล่ตามไปถูกสังหาร ส่วนตัวหัวหน้าโจรเองก็ถอยออกไปด้วย แต่ก็ได้ปามีดบินอีกเล่มหนึ่ง มันปักกลางหัวใจของผู้เฒ่าทำให้เสียชีวิตในทันที เรเวียลไล่ตามโจรผู้นั้นไป เมื่อการไล่ล่าดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง ก็มีมิดบินอีกเล่มหนึ่งลอยละลิ่วมาทางเรเวียล แน่นอน สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ช่ำชองในการต่อสู้ในความมืดอย่างเธอแล้ว มันเป็นสิ่งที่สามารถหลบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่เธอกลับมองพลาดไป เพราะไม่ถึงวินาทีหลังจากนั้น หัวหน้าโจรก็ปรากฏตัวข้างๆ เธอ ในมือของเขามีมีดอีกเล่มจ่อมาที่คอของนาง...
"อย่าขยับ แล้ววางอาวุธซะ"จอมโจรประกาศก้อง ในมือกำมีดเล่มนั้นไว้แน่น
เรเวียลค่อยๆปล่อยดาบลงอย่างว่าง่าย ดาบที่เคยน่าเกรงขามบัดนี้ดูไร้ค่าอย่างที่สุด
"นักรบคนแคระทั้งหลาย ทิ้งอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ ถ้ายังไม่อยากเห็นความตายของนังนี่"
"จะมีประโยชน์อะไร ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ฆ่าข้าอยู่แล้วไม่ใช่รึ"เรเวียลยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
แต่ความพยายามของแฟรีกลับไม่มีประโยชน์ สำหรับคนแคระแล้วความปลอดภัยของอาคันตุกะย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด นักรบแต่ละคนพากันทิ้งอาวุธ บ้างก็ขว้างทิ้งไปอย่างเสียอารมณ์ แต่เมื่อจอมโจรกำลังหลงระเริงอยู่กับชัยชนะ ก็มีขวานลอยพุ่งมาปักที่กลางหลังพอดี
"คนที่ชำนาญอาวุธบินน่ะ ไม่ได้มีแค่แกคนเดียวหรอก"เสียงนั้นเป็นเสียงของคนแคระในเงามืด
เมื่อมีดหลุดมือ เรเวียลก็เก็บดาบขึ้นมาฟันซ้ำ เลือดกระฉูดออกมาจากร่างของจอมโจร เมื่อเห็นดังนั้น สิ่งที่เคยเรียกว่าลูกน้องของร่างที่ไร้ชีวิตก็พากันหนีหายไป แล้วชัยชนะก็ตกอยู่ในมือของผู้กล้า แต่ในชัยชนะย่อมมีความสูญเสีย...
"เสียใจด้วยนะ" เรเวียลกล่าวแก่คนแคระที่กำลังเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของผู้นำ
"เขาทุ่มเทแรงกายแล้วแรงใจเพื่อต่อสู้กับโจรพวกนี้ แล้วก็พลีชีพในการปะทะกับพวกมันจริงๆ ช่างน่าสรรเสริญยิ่งนัก"คนแคระหนุ่มกล่าวตอบ
"แต่ก็ต้องขอขอบคุณพวกท่าน ถ้าไม่มีท่าน เราคงปราบมันไม่ได้" มือปาขวานกล่าวขอบคุณผู้มาเยือน
"ยังหรอก พวกมันต้องซุ่มอยู่ที่ไหนซักแห่ง อาจจะกลับมาโจมตีอีกก็ได้ วันนี้ให้เฝ้าระวัง จัดเวรยามให้ดีแล้วกัน"เรเวียลแสดงความเห็น
ทั้งหมดแยกย้ายกันเข้านอน แต่บรรยากาศในตอนนี้ต่างกับที่รอบกองไฟเมื่อไม่นานมานี้ลิบลับ...ทุกคน ถ้าไม่โศกเศร้าจากความสูญเสียคนที่ตนรักก็ตื่นเต้นสุดขีดกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น หรืออีกกลุ่มก็ถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัว ซึ่งมันอาจจะมีมานานแล้วแต่ถูกกระตุ้นในตอนนี้ก็ได้...แต่ความรู้สึกทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเฮซิลตื่นขึ้นมา ทุกอย่างยังอยู่ในความสงบ หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วก็ถึงเวลาที่ผู้มาเยือนจะต้องออกเดินทางต่อ
"ท่านไม่ต้องห่วงหรอก เพราะข้าจะไปตามล่ามันเอง" เรเวียลบอกลาพวกคนแคระ
แล้วเฮซิลกับเรเวียลก็จากหมู่บ้านคนแคระไปพร้อมกับเสบียงและของที่ระลึก...
การเดินทางคราวนี้ต้องอาศัยความระมัดระวังมากกว่าเก่า เพราะต้องคอยระวังโจรที่หลบหนีและดักซุ่มอยู่ระหว่างทาง พวกเขาหยุดพักที่เมืองวิหคกาลิลี จากนั้นเข้าสู่โซลส์ ดินแดนที่เมื่อครั้งโบราณกาลเคยถูกครอบครองโดยเหล่าปีศาจ บริเวณนี้เอง ที่ เฮซิลพบเห็นโจรคนหนึ่งหลบหนีมา แม้โจรผู้นั้นจะสร้างความน่ากลัวให้เฮซิลได้บ้าง แต่สำหรับผู้ที่มาเห็นคนแปลกหน้าที่ทำให้ขบวนการของเขาสลายลงในพริบตาแล้ว โจรผู้นั้นก็ยอมแพ้และถูกปลดอาวุธอย่างง่ายดาย การเดินทางผ่านดินแดนร้างเป็นไปด้วยความยากลำบาก กว่าจะออกมาสู่ทุ่งราบสีเขียวได้ก็ใกล้ค่ำแล้ว คืนนั้นทั้งสองนอนใต้ต้นไม้ใกล้ทุ่งราบนั้นเอง
การเดินทางในวันที่สาม เป็นการเดินทางที่สบายกว่าวันก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังต้องระวังภัยจากพวกโจร ในวันนี้ เรเวียลควบม้าแล้วบ่ายหน้าขึ้นเหนือเข้าสู่ทางแยก เมื่อมองไปทางตะวันออกก็พบเมืองร้างเมืองหนึ่ง ลักษณ์ของคลื่นที่นั่นแปลกประหลาดมาก เหมือนว่ามันจะหยุดอยู่กับที่ ไม่พบการเคลื่อนไหวของคลื่นเลย
"ที่มองอยู่นั่นคือ เวเนฟิเซียม เมืองโบราณ ว่ากันว่ามีพลังวิเศษบางอย่างสิงสถิตอยู่ ทางนั้นก็เป็นอีกทางที่สามารถไปโซฟิอาได้ แต่เราจะไม่ไปทางนั้น"
แล้วทั้งคู่ก็บ่ายหน้าขึ้นเหนือไปเข้าไปยังบริเวณป่า ซึ่งเป็นทางที่ไม่ค่อยจะเต็มใจไปเท่าไหร่เพราะถูกดักซุ่มได้ง่าย แต่ในการเดินทางช่วงสุดท้ายนั้น เส้นทางกลับราบรื่นกว่าที่คิด ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของโจรป่า 'คลื่น'เองก็เป็นปกติทุกอย่าง เมื่อผ่านป่าไปก็ถึงเวลาเย็นแล้ว เบื้องหน้าของพวกเขานั้นมีเขาลูกหนึ่ง มันสูงตัดขอบฟ้า แต่ก็มีเส้นทางเดินตัดผ่านยอดเขา แต่ยังไม่ทันที่จะมองข้ามไป เรเวียลก็ตบไหล่เฮซิลแล้วบอกว่า
"ข้ามเขาลูกนั้นไปเราก็เข้าเขตโซฟิอาแล้ว"
ความคิดเห็น