ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงคราม(เพื่อให้ข้า)ศักดิ์สิทธ์ War for Pious

    ลำดับตอนที่ #3 : สงครามกำมะลอ

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 51


                เวลาใกล้เคียงกัน ที่เซเซอร์ ถิ่นฐานของเอลฟ์ทางตะวันออกของอิลลูซิออง...

     

    ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะตีกลับ พร้อมกับยึดดินแดนของเราคืนมา...โซนาคอน แม่ทัพแห่งเซเซอร์ ประกาศ เขาเป็นชายชาวเอลฟ์ รูปร่างสมส่วน ผมสีน้ำตาลเข้มสวมชุดเกราะโซ่ถักแบบเอลฟ์สีเขียวอ่อน

    ดีมาก ฉะนั้นนี่ก็เป็นเวลาที่จะทวงของๆ เราคืนเลดี้ มาร์คัส ทาร์ลินา ผู้ปกครองแคว้นเซเซอร์ กำลังปราศรัยแก่ฝูงชน แสดงให้เห็นภาพหญิงวัยกลางคนชาวเอลฟ์ ผมสีดำของเธอตัดสั้น เธอรูปร่างไม่ต่างจากนางเอลฟ์ทั่วไป เสื้อคลุมสีขาวที่เธอสวมอยู่บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ คุณสมบัติที่จำเป็นมากสำหรับเวลานี้ ยืนยันได้จากเสียงโห่ร้องกึกก้องจากประชาชนชาวเซเซอร์ให้ตอบโต้การรุกรานของไฮลีนดังสนั่นไปทั่วเซเซอร์ ทั้งๆที่เป็นเพียงสงครามกำมะลอ และการรุกรานของไฮลีนก็เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น

     

    ไม่กี่วันต่อมา พลพรรคเซเซอร์หลายพันคนก็เริ่มเคลื่อนพลมุ่งสู่แคว้นไฮลีนแห่งเฟลอร์ นี่เป็นการเคลื่อนพลเพื่อทำสงครามครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่แคว้นเล็กๆ อย่างเซเซอร์ถือกำเนิดขึ้น จริงอยู่ มันเป็นเพียงสงครามกำมะลอระหว่างอิลลูซิอองกับเฟลอร์ และการโจมตีครั้งนี้มันคงจะไม่มีความหมายนอกเสียจากความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับแม่ทัพผู้เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างโซนาคอนแล้ว นี่อาจจะเป็นโอกาสทองในการสร้างชื่อให้กับเขา ในฐานะ วีรบุรุษแห่งเซเซอร์ หรือเผลอๆ อาจจะได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางในราชสำนักโรม ก็เป็นได้ ฉะนั้น แม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้คนมากเท่าใด โซนาคอนจะต้องนำทัพเข้าสู่สงครามให้ได้

     

     

    หลายวันต่อมา

     

    ท่านคิดว่าแนวป้องกันของไฮลีนจะอยู่ห่างออกไปอีกเท่าใดโซนาคอนเริ่มปรึกษาแผนการรบกับรองแม่ทัพ ทาอิ แฟรีผมดำสลวย ตาคม และใบหน้าขาวราวกับเกล็ดหิมะ จนน่าจะไปทำหน้าที่อื่นแทนที่จะเป็นนักรบ

    ไม่นานหรอกท่าน จากการคาดเดา ศัตรูคงจะรีบตั้งแนวรับที่ทุ่งซาลาฟภายในวันมะรืนนี้เสียงหวานๆ ราวกับไม่ใช่ทหารดังมาจากรองแม่ทัพสาวนางนี้

     

    ทุ่งซาลาฟ...ทุ่งกว้างใหญ่ที่เชื่อกันว่า การรบทุกครั้งที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยความสูญเสีย...ทาอิรำพึงกับตัวเองในใจ ซึ่งทาอิเองก็รู้ว่า ยังไง การต่อสู้ครั้งนี้มันต้องจบลงด้วยการสูญเสีย และเป็นการสูญเสียอย่างไร้เหตุผลเสียด้วย

     

    หลายวันต่อมา...ภาพตรงหน้าขุนศึกทาอิ ก็ตอกย้ำถึงความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ ซึ่งแน่นอน มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยนอกจาก การที่มันเริ่มต้นด้วยเสียงโห่ร้อง ตามด้วยเสียงโลหะกระทบกัน และสิ้นสุดด้วยเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด และความตาย ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์แห่งเซเซอร์หรือคนแคระแห่งไฮลีนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมเช่นนี้ ชะตากรรมแห่งนักรบ ไม่ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

     

    หัวค่ำวันหนึ่ง หลังจากที่โลหิตแห่งเอลฟ์และคนแคระได้นองทั่วทุ่งซาลาฟ...

    ท่านแม่ทัพ...โซนาคอนหันหน้ามาเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากทาอิ

    สงครามครั้งนี่มันไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง แล้วเราจะรบเพื่ออะไรทาอิตั้งประเด็น

    เป็นการกู้ศักดิ์ศรีของเซเซอร์คืนมา ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมอะไรง่ายๆโซนาคอนตอบ

    ด้วยราคาเป็นชีวิตของผู้คนมากมายที่ต้องพิการหรือเสียชีวิตอย่างนั้นหรือรองแม่ทัพถามต่อ

    แต่หากเราชนะ เซเซอร์ก็จะน่าเกรงขาม และดินแดนอื่นๆ ก็จะไม่มาตีแคว้นเราโซนาคอนอธิบาย

    แต่นั่นก็คงไม่ใช่สงครามที่รุนแรง ดุเดือด และบาดเจ็บล้มตายเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทาอิออกความเห็น เสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ

    ฉันอยากให้เธอเข้าใจ โอกาสทองที่เราจะได้เปรียบในทางยุทธศาสตร์แบบนี้มันไม่ได้มีบ่อยๆ หรอก หากปล่อยไว้ให้พวกมันตั้งหลักได้แล้วบุกมา อีกไม่นานอาจจะไม่มีแคว้นเซเซอร์อยู่ในแผนที่นี้เลยก็ได้โซนาคอนอธิบาย

    สงครามครั้งนี้มันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกแล้ว และไม่ว่าเราชนะหรือแพ้ แคว้นทั้งสองจะกลับไปสู่สถานะเดิม และไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากความสูญเสียทาอิแย้ง

    แล้วถ้าพวกเฟลอร์ตระบัดสัตย์ล่ะ เราเองคงจะต้องป้องกันตัวเองก่อน...นี่คือหนทางที่ดีที่สุดแล้วโซนาคอนอธิบาย พร้อมกับเดินจากไปไม่ยอมฟังคำแย้งจากรองแม่ทัพทาอิ...

     

    แม้จะทำศึกมาโชกโชนจนเห็นภาพความตายและการต้องทำตามคำสั่งของนายเป็นเรื่องปกติ แต่ในส่วนลึกของหัวใจนั้น ทาอิก็ยังคงเป็นคนอ่อนโยน และเปี่ยมไปด้วยความเมตตา สิ่งนี้เองที่สร้างความนับถือให้กับทหารส่วนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น มันก็ได้สร้างความเคลือบแคลงให้กับอีกส่วนหนึ่งเช่นกัน บัดนี้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของขุนศึกแฟรีรายนี้ได้กลับมาแสดงออกอย่างเต็มที่อีกครั้ง ทำไม เราจึงต้องทำสงครามที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อของใครเลย แต่กลับต่อสู้เพื่อสิ่งที่จับต้องไม่ได้และไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์จริงหรือไม่ โดยแลกมาด้วยชีวิตที่เป็นความสูญเสียที่แน่นอน นี่หรือสงครามแห่งเกียรติและศักดิ์ศรี มันถูกต้องแล้วหรือ เพราะไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม เกียรติยศแห่งการเข่นฆ่ามันไม่มีวันสูงส่งไปกว่าเกียรติยศแห่งการช่วยชีวิตเป็นแน่

     

    แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิด เพราะในฐานะนายทหารที่ดีคนหนึ่ง เธอไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากพากองทัพไปออกรบ และหวังว่า ศัตรูจะไม่รีบพุ่งเข้าชาร์จ เพราะนั่นหมายความว่าความสูญเสียจากการปะทะครั้งนี้ มันจะไม่รุนแรงมากนัก

     

    ว่าไงนะ มีคำสั่งจากท่านแม่ทัพให้เข้าชาร์จเมืองเลอองจากจุดนี้เหรอเสียงใสๆ ของทาอิโพล่งขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อได้รับสารจากโซนาคอน ทั้งๆ ที่สงคราบแบบนี้ควรจะทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดแท้ๆ แต่กลับสั่งชาร์จเองแบบนี้ ไม่รู้ว่าท่านโซนาคอนคิดอะไรอยู่

     

    เหล่าทหารจงฟัง บัดนี้มีคำสั่งจากแม่ทัพโซนาคอนให้เราชาร์จ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้พวกเราหลายๆ คนต้องพบจุดจบ แต่แม้เราอาจจะไม่ได้กลับออกมาจากการชาร์จครั้งนี้ แต่อย่างน้อยมันก็จะเป็นเกียรติประวัติแก่พวกเราทุกคนทาอิกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังเพื่อปลุกขวัญเหล่าทหารให้รู้ตัวว่ามีชะตากรรมใดรอพวกเขาอยู่

     

    เพื่อ อิลลูซิออง! เพื่อ อิลลูซิออง!” เหล่าทหารแห่งเซเซอร์โห่ร้องตอบรับคำสั่งของเจ้านายอย่างฮีกเหิม

     

    แล้วทาอิ...พร้อมกับผู้กล้าแห่งเซเซอร์ก็กรีธาทัพเข้าสู่นครเลออง แล้วการประหัตประหารอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้น...

     

    ด้วยความที่ทหารไฮลีนนึกไม่ถึงว่าเซเซอร์จะรีบเข้าตีเร็วถึงเพียงนี้ จึงยังไม่ทันตั้งตัวและไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรบ ผิดกับกองทัพเซเซอร์ที่กำลังฮึกเหิมเต็มที่ การต่อสู้ครั้งนี้จึงเหมือนว่าเป็นการฆ่ากันที่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว เสียงร้องด้วยความฮึกเหิมของเอลฟ์ และเสียงโอดโอยระบายความเจ็บปวดของชาวไฮลีนได้บ่งบอกถึงผลการต่อสู้ในนครที่กำลังเป็นสมรภูมิแห่งนี้ เมื่อโซนาคอนไปถึงก็ไม่พบอะไรแล้วนอกจากซากคนแคระแห่งไฮลีนที่กระจัดกระจายอยู่ในเมืองและบริเวณรอบๆ เสียงโห่ร้องประกาศชัยชนะของทหารเซเซอร์ และรองแม่ทัพทาอิ ผู้ที่ดูอาจหาญที่สุด แต่โซนาคอนไม่อาจรู้ว่า ใบหน้าที่ชุ่มน้ำของรองแม่ทัพนั้น หาได้มาจากเหงื่อเพียงอย่างเดียว แต่มันมีของเหลวที่เรียกว่า น้ำตาปนอยู่ด้วย

     

    สำหรับทาอิ...แม้การสูญเสียน้อยกว่าที่เธอคิดมากนัก เพราะฝ่ายไฮลีนเองก็สามารถหนีออกจากนครเลือดที่ชื่อว่าเลอองได้ไม่มากก็น้อย แต่ทั้งหมดนี้มันก็เป็นการสูญเสียโดยใช่เหตุทั้งสิ้น...ไม่ว่าอย่างไร ฝ่ายไฮลีนต้องรีบจัดทัพเพื่อยึดเมืองคืนเป็นแน่ และการนองเลือด..ก็คงต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง เว้นเสียแต่ว่าสารสงบศึกจะเดินทางมาถึง แต่ด้วยความฮึกเหิมระดับนี้ ลำพังสารสงบศึกจากวังหลวงก็อาจไม่สามารถหยุดการนองเลือดที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้...

     

    หนึ่งเดือนหลังจากการเข้ายึดเลออง เหล่าเอลฟ์ได้สร้างกำแพงเมืองขึ้นมาใหม่ พร้อมกับเสริมการป้องกันเมืองเลออง เพื่อรับการโจมตีโต้กลับจากไฮลีนที่กำลังวางแผนจะยึดเมืองคืนอย่างแน่นอน และมันก็คงเกิดขึ้นเร็วๆนี้เป็นแน่

     

    ท่านแม่ทัพ...ท่านมองเห็นอะไรจากชัยชนะของเราที่นี่แม้ทาอิจะรู้ว่าสงครามมาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว แต่เธอก็พยายามจะเตือนสตินายที่กำลังขัดคำสั่งนายเหนือหัวอย่างจงใจ...

    ชัยชนะของเซเซอร์ ความยิ่งใหญ่ของอิลลูซิอองเหนือเฟลอร์โซนาคอนตอบอย่างภาคภูมิ

    แค่เซเซอร์และไฮลีนก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของอิลลูซิอองกับเฟลอร์ อีกอย่าง สงครามครั้งนี้ ไม่ได้จงใจให้รบกันจริงๆ นี่ท่าน อีกเรื่อง วิเซนเต้ จอมเวทของเราก็มองเห็นว่ามีสารสงบศึกจากวังหลวงแล้วนี่ท่านรองแม่ทัพ ที่แม้จะอยู่ในชุดทะมัดทะแมงพร้อมจะออกรบ แต่มันก็เปิดเผยความงามของนางที่ซ่อนไว้ยามอยู่ในสมรภูมิอย่างชัดเจน ดวงตาของเธอนั้นอยู่ในสภาพที่พร้อมจะระเบิดน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ เหมือนดั่งมีเรื่องที่สะเทือนใจหลายๆ เรื่องเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งแน่นอน โซนาคอนยังไม่รู้เรื่องนี้

    นั่นเป็นสิ่งที่ข้ารู้อยู่แล้ว แต่การรบครั้งนี้เผลอๆจะทำให้หลายๆ แคว้นนับถือพวกเรามากขึ้น

    แลกด้วยชีวิตของนักรบที่ตายเซ่นสิ่งเหล่านี้นะเหรอทาอิแย้งด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะเทือนใจ

    พวกเขาตายอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้วโซนาคอนตอบ...

     

    ไม่มีทาง...ผู้โชคร้ายเหล่านี้หาได้สละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินที่เขารักอย่างที่ควรจะเป็นไม่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้สละชีพเพื่อความทะเยอทะยานของผู้ปกครองที่กระหายในอำนาจ แต่มันแย่ยิ่งกว่านั้นอีก การสละชีพในสงครามที่ไร้ความหมาย.................

     

    ท่านแม่ทัพ ท่านรองแม่ทัพ...พวกไฮลีนได้เคลื่อนทัพมาถึงหน้ากำแพงเมืองแล้วมีทหารนายหนึ่งรีบวิ่งมาแจ้งข่าวด่วนแก่แม่ทัพ

     

    โซนาคอนและไฮลีนรีบมองออกไปทางหน้าต่างพอดี ภาพตรงหน้าทั้งคู่นั้นคือกองทัพคนแคระที่ห้าวหาญ บ้าเลือดและไม่กลัวตายไม่ต่ำกว่าห้าพันคน ตามตำราพิชัยสงครามเคยบอกไว้ว่า หากจะรบกันตรงๆแล้ว กองทัพคนแคระนี่แหละ น่ากลัวที่สุด บัดนี้พวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว

     

    เราจะต้านมันไว้...โซนาคอนตอบพร้อมกับรีบเดินลงไปพร้อมกับทาอิและทหารที่นำข่าวมาบอกเพื่อรับมือจากการรุกรานของศัตรู

     

                นักรบบ้าเลือดแห่งไฮลีน...พวกนั้น มาเพื่อแก้แค้น มาเพื่อฆ่าพวกเรา ด้วยอานิสงส์แห่งความแค้นและความเกลียดชัง พวกมันจะเข่นฆ่าโดยยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตของพวกมันเอง หากเรายอมแพ้ในตอนนี้ แรงอาฆาตของมันคงจะเอาชนะคุณธรรมแล้วรีบบั่นคอพวกเราทิ้งเป็นแน่ ทางเดียวแห่งความอยู่รอดคือ การถอยออกจากลีอองในตอนนี้ แต่นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่เราจะเลือกได้...ฉันขอให้พวกเธอนึกถึงสิ่งที่เธอรักไว้ เพราะการต่อสู้ต่อจากนี้ไป จะมีโอกาสอย่างมากที่จะเป็นวาระสุดท้ายสำหรับพวกเธอ...นี่คงเป็นความปรารถนาสุดท้ายที่ฉันมีต่อพวกเธอแล้วนะ...ทาอิคิด

     

                    การประเมินก่อนการสู้รบของทาอินับได้ว่าตรงมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อเสียงโห่ร้องแรกของวันเริ่มดังขึ้น ทหารไฮลีนก็กรูกันเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต หมายจะเข่นฆ่าข้าศึกของพวกเขาอย่างไม่ลดละ ทางฝ่ายเซเซอร์ก็ระดมยิงธนูยาวเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของคนแคระที่กำลังบ้าเลือดและกระหายชีวิต โดยในตอนแรกนั้น ดูเหมือนว่า พลธนูเอลฟ์จะประสบความสำเร็จในการต้านความบ้าเลือดของข้าศึก แต่ก็เป็นเช่นนี้อยู่ได้ไม่นาน เมื่อฝูงนักรบบ้าเลือดบุกเข้าไปถึงประตูเมืองโดยไม่ยี่หระต่อฝนธนูที่โปรยลงมาจากกำแพงเมือง บ้างเริ่มปีนกำแพง บ้างเริ่มกระทุ้งประตูเมือง เห็นดังนั้น เหล่าคนแคระก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นไปอีก จากความคิดเดิมที่ไม่สนใจชีวิตของตัวเองได้พัฒนากลายเป็นความคิดว่าต้องสละชีพเพื่อให้ได้ทำศัตรูให้ตายตามไปด้วย จนในที่สุด เหล่าคนแคระผู้ไม่กลัวตายก็ปีนกำแพงเมืองได้สำเร็จ ถึงเวลาแล้ว ที่เหล่าคนแคระจะได้เป็นฝ่ายเข่นฆ่าบ้าง เพียงชั่วขณะเดียว พลธนูแถบนั้นก็ต้องสังเวยชีวิตไปไม่ต่ำกว่ายี่สิบราย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายจุดบนกำแพงเมือง ส่วนที่ประตูเมืองเอง ดูเหมือนว่าฝ่ายป้องกันจะยันไว้ไม่อยู่ บัดนี้ประตูเมืองที่เพิ่งสร้างไปอย่างลวกๆ ก็เริ่มร้าว ร้าวมากขึ้น เรื่อยๆ และแตกไปในที่สุด และแน่นอน นับต่อจากนี้ก็เข้าสู่เทศกาลแห่งการเข่นฆ่าของนักรบบ้าเลือดแห่งไฮลีน ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเซเซอร์ต้องรีบตีฝ่าวงล้อมและหนีออกไปโดยเร็ว มิฉะนั้นพวกเขาจะกลายเป็นเหยื่อการฆาตกรรมของนักรบที่กำลังเลือดเข้าตา...

     

    แต่ดูเหมือนชะตาไม่เข้าข้างฝ่ายที่กำลังจะได้ชัย เพราะมีเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาทางตะวันตก สำหรับเอลฟ์ที่กำลังเสียขวัญแล้ว เสียงนั้นมีค่าไม่ต่างอะไรกับเสียงสวรรค์ซึ่งบ่งบอกให้พวกเขารู้ว่า มีกองทัพอิลลูซิอองมาช่วยแล้ว

     

    เมื่อมองออกไปทางตะวันตก ธงรูปเปลวเพลิงบนพื้นหลังสีดำอันเป็นสัญลักษณ์แห่งโรมโบกสบัดไปทั่วผืนดิน ธงเหล่านั้นเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าก็เข้าฝ่าวงล้อมของคนแคระแห่งไฮลีน แล้วกองทัพมืดฟ้ามัวดินภายใต้ธงทิวสีดำนั้นก็ได้ประหารเหล่านักรบบ้าเลือดที่ไม่กลัวตายได้ตายดั่งอุดมการณ์ที่ผู้ยอมสละชีพเหล่านี้ได้ตั้งไว้ ในไม่ช้า ลมแห่งชัยชนะก็ได้เปลี่ยนทิศมาสู่ฝั่งอิลลูซิออง นักรบเอลฟ์แห่งเซเซอร์ที่เสียขวัญไปแล้วแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง........

     

    ไม่นานหลังจากการนองเลือดที่ลีออง ทัพใหญ่ของเฟลอร์ก็เดินทางมาถึง ทัพมหึมาของทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันภายใต้บรรยากาศที่แม้แต่ลมก็ไม่เคลื่อนไหว แล้วผู้นำทั้งสองฝ่ายก็เริ่มควบม้าออกมาเจอกันเพื่อเจรจาถึงบทสรุปของสงครามครั้งนี้ หนึ่งคือหญิงร่างใหญ่ผิวคล้ำ ผู้ที่ตราราชสำนักอิลลูซิออง อีกหนึ่งนั้นถือโล่ที่มีตราสัญลักษณ์เดียวกับธงของแผ่นดินเฟลอร์ บ่งบอกว่าเขาผู้นี้ คือกษัตริย์แห่งเฟลอร์

     

    เจ้าหญิงแห่งโรม ราชินีแห่งอิลลูซิออง[1] ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอท่านที่นี่ผู้นำแห่งเฟลอร์ทักทายขึ้นก่อน

    ข้าเองก็ไม่คิดว่าเราจะต้องมาพบกันในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านเอเลียสจอมทัพฟาตาเลียตอบกลับไป

    เราต้องขอโทษจริงๆ เกี่ยวกับความเข้าใจผิดครั้งนี้เอเลียสกล่าวขอโทษ

    หวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกผู้นำฝ่ายอิลลูซิอองพูดเรียบๆ พร้อมกลับให้ข้อเสนอ

    เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีก ขอให้สงครามกำมะลอยุติลง

    แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นนี่ล่ะเอเลียสท้วง

    ขอให้ลืมมันไปเสียเถิด ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะบอบช้ำมากไปกว่านี้ เอาล่ะ ยกทัพกลับกันได้แล้ว

    ข้านึกว่าจะได้ร่วมดื่มกับท่านเสียอีกกษัตริย์เฟลอร์พูดอย่างเสียดาย

    นี่ไม่ใช่เวลา ข้ามีงานสำคัญต้องทำราชินีตอบเศร้าๆ...

     

    แล้วกองทัพขนาดมหึมาของเฟลอร์ก็ค่อยๆ เคลื่อนพลออกไป ขณะเดียวกันทหารเซเซอร์เองก็ได้ชมแสนยานุภาพของกองทัพออร์คและมนุษย์อันเกรียงไกรแห่งโรมและโพคาฮอนเทียเมื่อได้ร่วมทัพในการเดินทางเพื่อกลับบ้านเกิด กองทัพหลวงนั้นน่าจะมีกำลังราวๆ ไม่ต่ำกว่าแสนคน และแต่ละคนก็ฝึกมาอย่างดี พร้อมที่จะรบในทุกรูปแบบ นี่แหละ ความน่าสะพรึงกลัวแห่งราชินีผู้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด กับกองทัพที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจต้านมันไว้ได้...



    [1] Princess of Rome, Queen of Illusion คือพระยศ อย่างเต็มรูปแบบ มีตำแหน่งเป็นผู้ปกครองทั้ง Kingdom of Illusion และ Principality of Rome

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×