ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Legend Season:Rise of Sophia

    ลำดับตอนที่ #2 : Heading East

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ย. 50


                นานเท่าใดแล้ว นับตั้งแต่ภาพเหล่านั้น กลายเป็นแค่ความทรงจำ

                    นานเท่าใดแล้ว ที่ชีวิตของเด็กสาวชาวแฟรีคนนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน

                นานเท่าใดแล้ว ที่โลก ได้พรากเธอจากสิ่งที่เธอรัก สิ่งที่เธอชอบเข้าสู่ความจริงอันโหดร้าย

     

                    มือขวาของ ดีพเวลล์ กำอัญมณีรูปหกเหลี่ยมสีน้ำเงิน ที่ล้อมรอบโดยช่อโลหะสีเงินไว้แน่น เพราะสิ่งๆ นี้ มันแทบไม่ต่างอะไรจากของดูต่างหน้าของอดีตที่เธอหันหลังให้........

     

                    ...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปหรือไม่

     

     

                    ในวันนั้น...ปลายฤดูใบไม้ผลิปี 1685

     

                แฟรีผมสีดำยาวสลวย ดวงตาคม ใบหน้าขาวราวกับเกล็ดหิมะ สีขาวและดำเข้าจับจองพื้นที่บนอาภรณ์ของเธออย่างลงตัว นางฟ้านางนี้มีนามว่าทาอิ หรือ ที่ดีพเวลล์เรียกว่าพี่แฟลผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยขุนนางในแคว้นเซเซอร์ ได้เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว

     

                    ว่าไงนะ.....แม่...ตายแล้วเหรอดีพเวลล์แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง น้ำตาเริ่มไหลออกมาแอบแก้ม เธอโผเข้าไปกอดผู้แจ้งข่าวร้ายแก่เธอตรงหน้า

     

                    แม่......ตายได้ยังไงน่ะไม่คิดเลยว่าการเจอหน้าแม่เมื่อครั้งที่เธอก้าวเข้ามาในแคว้นนี้เป็นครั้งแรกจะกลายเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย......เด็กสาวกอดพี่แฟลของเธอแน่นขึ้นอีก ทาอิเช็ดน้ำตาเธอเบาๆ ก่อนจะตอบคำถาม

     

                    โซนาคอน.......ทาอิหยุดไว้ชั่วครู่

     

                    “…แม้จะไม่ได้ฆ่านายหญิง แต่นายหญิงก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถกลับมาได้แล้วทาอิพยายามพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเงียบที่สุด

     

                    ทำไมโซนาคอนถึงทำแบบนั้น

     

                พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนๆ นั้นย่อมไม่คิดอะไรชั้นเดียวแน่ หากอยู่นี่ต่อไป อาจจะมีอันตรายก็เป็นได้ทาอิเสียงอ่อยลง เธอไม่แน่ใจว่าตอนท้ายประโยคนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ใครจะรู้ ที่นี่อาจจะเป็นที่ๆ ดีที่สุดของเจ้าหญิงน้อยก็เป็นได้

     

                    เราต้องรีบกลับ...ไม่สิ ไปที่โซฟิอานะ ไม่งั้นโซนาคอนยึดครองเซเซอร์โดยสมบูรณ์แน่ทาอิพูดก่อนที่จะปล่อยเด็กสาวออกจากอ้อมกอดไปเพื่อร่ำลาเพื่อนฝูง แม้จะรู้ว่ามันอาจเป็นการเสี่ยงที่จะให้มีคนรู้ว่าเธอจะไปเมื่อไหร่ แต่การปล่อยเด็กสาวทำในสิ่งที่ควรทำก็ดีกว่ากระชากตัวเธอออกมาผจญภัยดื้อๆ...

     

                ขณะกำลังเดินไปบอกลา.....

     

                    บางสิ่งบางอย่างตกลงมาจากฟากฟ้า.....มันเป็นอัญมณีรูปหกเหลี่ยมสีน้ำเงิน ล้อมรอบด้วยช่อโลหะสีฟ้าอ่อนอย่างลงตัว

     

                    ของแบบนี้ไม่น่ามาปรากฏตรงนี้นี่  ใครโยนลงมากันนะ

     

                    แต่เมื่อมองขึ้นฟ้าเธอกลับไม่เห็นอะไรที่พอจะโยนลงมาได้นอกจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เธอจึงหยิบมันขึ้นมา ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

     

                    ครืน!

     

                อาการสั่นสะเทือนชั่วขณะหนึ่งเกิดขึ้นในหัวแม้จะไม่รุนแรงนัก แต่ก็มั่นใจว่าต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ไม่ทันไรมันก็กลับหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น......แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่เธอหยิบสิ่งนั้นขึ้นมานั้นมีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เด็กวัยรุ่นอย่างเธอจะคาดคิด

     

     

                สองชั่วโมงต่อมา......

     

                    แฟรีทั้งสองได้เดินทางอย่างปลอดภัยผ่านแสงสีแห่งอารยธรรมของกรุงโรมมากมาย จนในที่สุดก็ถึงประตูตะวันออก ทั้งสองมองกลับไปยังราชธานีแห่งอาณาจักรอิลลูซิออง ศูนย์กลางแห่งความเจริญในทุกแขนง และแม้ร่องรอยของซากปรักหากพังจากเพลิงกาฬที่แผดเผาเมืองนี้เมื่อเก้าปีที่แล้วจะยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็อยู่เป็นเพียงอนุสรณ์แสดงว่าเพลิงไหม้ในครั้งนั้นหาได้ทำลายความยิ่งใหญ่ของกรุงโรมไปไม่ นางฟ้าต่างวัยมองมหานครนี้ด้วยความคิดที่ต่างกัน หนึ่งอาลัยอาวรณ์กับสถานที่ที่เคยอยู่ เคยเล่าเรียน เคยศึกษา อีกหนึ่งมองด้วยความโล่งอกและความกังวล อย่างน้อยภารกิจนี้ก็เสร็จสิ้นไปครึ่งหนึ่ง แต่ต่อจากนี้ล่ะ การเดินทางพร้อมกับเด็กสาว มันง่ายเหมือนการเดินทางคนเดียวเสียที่ไหน

     

                    ทั้งสองค่อยๆ เดินทางด้วยเท้าตามเส้นทางสายหลัก ก่อนจะหันเลี้ยวเข้าสู่ หมู่บ้านๆ หนึ่ง ที่ห่างจากตัวราชธานีไปราวสิบห้าไมล์ เพื่อที่จะรับม้าที่ฝากไว้ก่อนจะเดินทางเข้ากรุงโรม เพราะข้าวของทุกอย่างในกรุงโรมนั้นเรียกได้ว่าแพงมาก ซึ่งทาอิเองก็ไม่ได้พกมามากเท่าไหร่เพราะอาจต้องตกเป็นภัยจากเหล่าโจรผู้เห็นเงินทองเป็นต้องยื้อแย่ง จากนั้นจึงเดินทางต่อ จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก แสงสีแดงสาดส่องไปตามทุ่งหญ้าสีเขียวสดตอนปลายของฤดูใบไม้ผลิ บ่งบอกว่าถึงเวลาเข้าพักแล้ว ด้วยความที่เด็กสาวติดมาด้วย ทาอิจึงเลือกที่จะเข้าพักตามสถานที่ที่จัดไว้สำหรับให้นักเดินทางพักตามชุมทางต่างๆ แทนที่จะค่ำไหนนอนนั่นเหมือนขามา เพราะการระแวดระวังภัยให้คนอื่นนั้นยุ่งยากยิ่งกว่าการระแวดระวังภัยของตัวเองมากนัก อีกทั้งหากม้าถูกขโมยในตอนนี้ก็จัดได้ว่าเป็นปัญหาที่หนักไม่เบาเลย ภาระหน้าที่นี้จึงควรตกอยู่กับสมาคมการค้าเป็นการดีที่สุด แม้มันจะเปลืองเงินไปไม่น้อยก็ตาม

     

                    พี่แฟล......โซฟิอาที่เราไปนี่ อยู่ตรงไหนคะเด็กสาวเอ่ยขึ้นขณะที่เธอเข้านอนในที่พัก ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเพิงชั่วคราวที่ทำขึ้นอย่าลวกๆ และเสื่อที่ใช้ปูนอนเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเด็กที่ชินกับการอยู่ในเมือง จะนอนไม่หลับในสภาพแบบนี้

     

                    เลยเซเซอร์ออกไปอีกหน่อย จนเกือบถึงเขตเวเนฟิเซียมคำตอบของโซฟิอาทำให้เด็กที่เคยเชื่อมั่นในความอดทนของตัวเองต้องหงอ ไปไกลกว่านั้นอีกหรือนี่ แล้วเราต้องเจอแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน

     

                    แต่ว่าไปถึงแล้วเราจะไปทำอะไรคะ…” ดีพเวลล์ถามต่อ

     

                ทาอิไม่ตอบ เพราะคำถามนี้ เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ พ่อของเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่นะ และถ้าเธอไม่ตอบ เจ้าหญิงน้อยคงจะหาทางนอนให้หลับได้

     

     

     

                สามวันต่อมา

     

                    อาการที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับฝนที่ตกลงมาได้ทำให้การเดินทางยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง โคลนแฉะพากันขึ้นเกาะบนกีบม้า ปล่อยทิ้งไว้ซึ่งรอยบุ๋มเป็นรูปกีบม้า ณ ตำแหน่งที่โคลนกระโดดขึ้นไปเกาะ แม้เมฆครึ้มที่เคยปรากฏเต็มท้องฟ้าสลายตัวเองกลายเป็นเม็ดฝนจนเสร็จสิ้น จนเปลี่ยนสีท้องฟ้าจะสีดำครึ้ม เป็นสีขาว และสีฟ้าตามลำดับแล้ว ดินโคลนก็ยังชื้นแฉะและเป็นปัญหาต่อแฟรีทั้งสองต่อไปอีกนาน

                    เมื่อถึงทางแยกที่จะวกลงใต้ ทาอิก็หันมองไปทางซ้าย เทือกเขาดีรัลล์กว้างใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออก นี่หากไม่มีสงครามใหญ่ครั้งนั้น ดินแดนแห่งนี้จะเป็นเหมืองที่มั่งคั่งมากที่สุดในอิลลูซิออง แต่เมื่อดินแดนเหล่านี้ขึ้นตรงต่อโรมมาเป็นเวลาห้าปีเศษแล้ว จะมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างหนอ แต่ที่แน่การฟื้นฟูดินแดนเหล่านี้ขึ้นมาย่อมต้องใช้ทรัพยากรระดับหนึ่ง หรือว่าราชสำนักเลือกที่จะปล่อยมันไปตามเวรตามกรรม หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าเป็นโชคร้ายแล้วกัน

     

                    ทาอิเบนม้าออกมาตามเส้นทางแยกทางขวา เพื่อวกลงใต้ อากาศที่ชื้นเหนอะหนะลงฝนตกนี้แม้จะไม่เป็นปัญหามาก แต่ก็สร้างความรำคาญให้กับทั้งสองนางอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับทาอิแล้ว สิ่งที่เธอ กับเด็กสาวเผชิญอยู่นั้น อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอนาคตที่ต้องเผชิญ สิ่งที่จะประสบหลังการเดินทางครั้งนี้สิ้นสุดลง

     

                    แม้สงครามใหญ่ที่เพิ่งจบไปจะไม่มีผลต่อแฟรีทั้งสองโดยเฉพาะดีพเวลล์มากนัก (นอกเสียจากคืนที่กรุงโรมต้องลุกเป็นไฟ) แต่มันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันใดๆ เลยว่า พวกเธอจะผ่าน สงครามเล็กข้างหน้าที่ผลต่อพวกเธอโดยตรงได้ด้วยดี

     

                    เย็นวันนั้น ทาอิกำลังตัดสินใจว่าจะไปพักผ่อนที่ไหนดี ก็สังเกตเห็นใบหน้าที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงของเด็กสาว น้ำหนักที่กดลงบนหน้าอกของทาอิ ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ได้ทำให้ทาอิควบม้าเข้าเมืองทันที นอนเต็นท์มาหลายวันแล้วได้นอนสบายๆ บ้างก็ดี เจ้าหญิงน้อยคงจะทุกข์ทรมานพอดูแล้ว ดูเธอจะเพลียจริงๆ แล้ว

     

                    หลายวันต่อมา

     

                    พี่แฟล.....นั่น เซเซอร์รึเปล่าเด็กสาวถามอย่างตื่นเต้นเมื่อมองเห็นนครแห่งความรู้ของดินแดนแถบนี้ แม้ที่นั่นจะเป็นบ้านเกิดของเธอก็ตาม แต่เมืองนี้ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย รวมถึงผู้นำที่ถูกเปลี่ยนมือด้วย

                    ถูกแล้ว แต่เราจะไม่ไปไงทาอิถอนหายใจ ตอนแรกนึกว่าเจ้าหญิงน้อยจะโตไปกว่านี้เสียอีก แต่ใครจะรู้ อาจจะเป็นเพราะเธอได้เจอคนเก่าๆ หรือ ถิ่นเก่า เลยทำตัวเหมือนตอนนั้นก็ได้

     

                    รู้แล้ว แต่เราจะไปยังไงต่อดีพเวลล์ยังถามต่อ

                    ก็ไปอย่างนี้แหละ เพียงแต่ว่า เราจะไม่ผ่านเมืองนี้ แต่จะอ้อมไปทางตะวันตก

     

                แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เข้าเมืองนี้ล่ะดวงตาของเด็กสาวใสเป็นกาย แววตาของเธออ้อนขอ

     

    ทาอิไม่ตอบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×