คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท: การประลองของสองผู้กล้า
“มันจบลงแล้ว ถอดหน้ากากนั่นออกซะ แล้วเราจะไว้ชีวิตท่าน” นักรบนิรนามร่างเล็กกำลังกล่าวแก่นักรบนิรนามฝ่ายตรงข้ามที่กำลังอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
“ข้ายังไม่ได้เอาจริงเลย อีกอย่าง ข้าก็ยังไม่ได้เลือดแม้แต่หยดเดียว”นักรบนิรนามอีกฝ่ายหนึ่งตอบ ตอนนี้ร่างกายอันกำยำบึกบึนของเขาแสดงความอ่อนล้าอย่างเด่นชัด
ใช่แล้ว นี่คือการแข่งขันประลองยุทธสวมหน้ากาก เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวแบบแพ้คัดออกที่ผู้เข้าร่วมการประลองทั้งหมดต้องสวมหน้ากากอำพรางใบหน้า รวมไปถึงชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงเอาไว้ โดยหากผู้ใดแพ้จะต้องถอดหน้ากากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกสู่สายตาของสาธารณชนในฐานะผู้แพ้ นั่นหมายความว่า จะมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะยังสวมหน้ากากอยู่พร้อมกับอำพรางตัวตนด้วยชื่อปลอม หรือฉายาได้ พร้อมกับรับรางวัลอย่างงาม การแข่งขันนี้จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้งในฤดูใบไม้ร่วง ที่ลานประลองแบบโรมาเนสก์ อัฒจันทร์ขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากปูนปั้น สลักเป็นรูปอาวุธต่างๆ นานา จุคนได้ราวสองหมื่นคนทางตอนใต้ของกรุงโรม
“ข้าไม่อยากฆ่าคนโดยไม่จำเป็น โปรดเห็นใจข้าด้วย ท่านอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ” นักรบคนแรกพยายามต่อรอง
แต่คำตอบของนักรบที่กำลังเหนื่อยอ่อนคือการพุ่งเข้ามาจู่โจมอย่างสุดฤทธิ์ ซึ่งการบุกด้วยความเร็วระดับนั้น...มันแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมของฝ่ายรุก แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากที่ต้องต่อสู้มาเป็นเวลานาน ทำให้เขาขาดความดุดันและความรุนแรง ประกอบกับอีกฝ่ายเริ่มจับทางได้แล้ว จึงทำให้การโจมตีครั้งนี้กลายเป็นความผิดพลาด และได้ทำให้ฝ่ายตั้งรับอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ
“ขอให้ท่านคิดให้ดี รางวัลเล็กน้อยนี้มีค่าเท่าชีวิตท่านเลยรึ” ฝ่ายที่กำลังได้เปรียบเตือนครั้งสุดท้าย เขามีสายตาที่แสดงถึงมุ่งมั่น พร้อมที่จะทำตามคำตอบของคู่ต่อสู้ไม่ว่าปรปักษ์ตรงหน้าจะตอบอะไรก็ตาม
“ข้าไม่สามารถถอดหน้ากากนี้ได้ เพราะใบหน้าที่แท้จริงนั้น...”
“หากประสงค์เช่นนั้น เราก็มาตัดสินกันเถอะ” นักรบนิรนามที่มั่นใจในชัยชนะก็ได้พุ่งจู่โจมหมายเอาชีวิต แต่เขากลับต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ขวานที่เหวี่ยงไปหมายหั่นคออีกฝ่ายนั้น กลับถูกตวัดออกไปอย่างง่ายดาย ยังดีที่เขาจามขวานด้วยแรงมากพอที่อีกฝ่ายจะต้องเหวี่ยงอาวุธของตัวเองไปเช่นกัน มิฉะนั้นแล้วลมหายใจที่กำลังมีอยู่ คงจะเป็นลมหายใจสุดท้ายของชีวิต...
“ข้านับถือท่านจริงๆ เป็นอันว่าเราเสมอกัน” นักรบที่เคยได้เปรียบกล่าว
“ท่านก็มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าก็ขอยอมรับ” นักรบนิรนามฝ่ายตรงข้ามตอบกลับด้วยไมตรี
และการต่อสู้ครั้งนี้ก็จบลงโดยไม่มีใครต้องถอดหน้ากาก...นับเป็นอีกหนึ่งครั้งที่ผลเสมอได้เกิดขึ้นในการประลองยุทธสวมหน้ากาก ท่ามกลางความเสียดายของผู้คนที่อยากเห็นหน้าค่าตาอย่างน้อยใครคนใดคนหนึ่งในสองจอมยุทธ์
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ผู้คนพากันแยกย้าย หลังจากชื่นชมผลงานของอัจฉริยะแห่งการต่อสู้มาจนฉ่ำหัวใจ ชายสวมหน้ากากทั้งสองก็ได้โอกาสอยู่กันตามลำพังในห้องพักของนักสู้ ห้องนั้นเป็นห้องโบกปูน เพดานต่ำ ไม่ค่อยมีลายแกะสลัก นอกไปเสียจากที่บานประตูที่มีลวดลายเล็กน้อยตามแบบโรมาเนสก์
“ข้าเข้าใจว่าทำไมท่านถึงไม่ยอมถอดหน้ากาก” นักรบนิรนามคนที่เกือบเสียท่าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่นุ่มลึก
“อย่างน้อยถ้าหากข้าจะต้องตายที่นี่ ก็ยังดีกว่าต้องถอดหน้ากากยอมแพ้” อดีตคู่ต่อสู้ของเขาตอบ
“เพราะท่านไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าสาธารณชนได้น่ะสิ ก็เป็นถึงเจ้าเมืองนี่ยังหนุ่มยังแน่นไม่น่าจะล้าได้ขนาดนี้เลยนะ ทั้งหมดนี้ถูกต้องไหม ท่านเกรมลิน ขุนศึกแห่งดราชเบิร์ก”แล้วนักรบคนแรกก็ถอดหน้ากากออกมา เขาถอดหน้ากากออกมาเผยให้เห็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา แม้จะมีหนวดขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่หากไม่จดจ้องดูแล้วก็จะมองไม่เห็น ดูคมคาย ริมฝีปากที่บางดูงามไม่ต่างจากสตรี รวมไปถึงผิวพรรณที่ดูเนียนจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชาวออร์กหรือนักรบ แทบจะทำให้คู่ต่อสู้ที่เพิ่งพ่ายแพ้ไปแทบร่วงลงจากเก้าอี้ นี่หากเขาไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ ออกมาอาจจะมีคนมองนักรบผู้นี้เป็นหญิงชาวออร์กก็เป็นได้
“ท่านคือ...ลอร์ดเฮวาทา จอมทัพแห่งโพคาฮอนเทีย ตำนานแม่ทัพแห่งอิลลูซิอองที่ยังมีชีวิต” ว่าแล้วนักรบแห่งดราชเบิร์กก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ...ถึงตรงนี้ เขาไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะคงไว้ซึ่งหน้ากาก เพราะคู่ต่อสู้ของเขาได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ใบหน้าของนักรบผู้กำยำนั้นค่อนข้างเหลี่ยม และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวพรรณที่หยาบกร้านบ่งบอกถึงความเป็นนักรบผิดกับนักรบคนแรกอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างนักรบทั้งสองนั้นคือการเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์ออร์กเช่นเดียวกัน แน่นอน ออร์กผู้นี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา แต่เป็นนักรบ และแม่ทัพที่เขานับถือเป็นอาจารย์ด้านการสงคราม คนที่เขาไม่คิดว่าจะต้องปะทะด้วย และแทบจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่เขาสามารถเสมอกับผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้
“อย่ายกยอข้าขนาดนั้นเลย ข้าก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น ลำพังการต้องประมือกับคนอย่างท่านเนี่ย มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย และแน่นอน การที่ข้าต้องต่อสู้กับท่านนานขนาดนั้น ข้าก็ต้องใช้กำลังให้เต็มที่ จนร่างกายต้องอ่อนล้า” ใบหน้าที่กำยำแสดงอาการเหนื่อยหอบอย่างชัดเจน
“ว่าแต่...ในตอนจบ ท่านออมมือให้ข้าหรอกหรือ...”ขุนศึกแห่งดราชเบิร์กถาม...เพราะไม่เชื่อว่าเขาจะสูสีกับเฮวาทา ผู้ที่เขานับถือเสมือนหนึ่งอาจารย์ได้
“ในจังหวะนั้น ข้าเองก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเช่นกัน และแม้ข้าจะพยายามไม่ทำร้ายท่าน แต่หากสถานการณ์บังคับเช่นนั้น ข้าเองก็คงต้องเอาชีวิตท่าน ท่านเกรมลิน” ลอร์ดเฮวาทาตอบเศร้าๆ
ความคิดเห็น