อย่างนี้...จะเรียกว่าความรักได้รึเปล่า
ท่านสามารถเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง พี่ชาย กับ น้องสาว ที่ไม่เกี่ยวโยงกันโดยสายเลือดคู่นี้ว่า ความรัก ได้หรือไม่
ผู้เข้าชมรวม
1,289
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“สวัสดีค่ะ คุณพี่...” ร่างๆ หนึ่งเข้าสวมกอดเด็กหนุ่มนามเบิร์ดทันที อ้อมกอดอันอบอุ่นได้บอกว่าร่างๆ นั้นต้องเอาเรื่องสำคัญมาบอกเขาแน่
“หนูสอบมหิดลติดแล้วค่ะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มแห่งความปีติจากดวงหน้าของเธอได้ส่งมายังบุคคลที่เธอเรียกว่า ‘พี่ชาย’
“ดีใจด้วยนะ ที่พิงค์สอบได้” เบิร์ดเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไหล่เด็กสาวในอ้อมกอดของเขาเบาๆ
“ยังหรอกค่ะ ที่ผ่านก็แค่ข้อเขียน ยังเหลือสอบสัมภาษณ์อยู่ แต่แค่นี้ก็ดีใจแล้ว” บัดนี้ สายตาของ ‘น้องสาว’ เริ่มฉายความกังวลนิดๆ
“เอาน่า สู้ๆ ละกัน พี่จะคอยเป็นกำลังใจให้...”
“แล้วพี่ละคะ.............” ฝ่ายน้องสาวเริ่มแสดงอาการเป็นห่วงบ้าง.........แต่คำถามนี้กลับทำให้พี่ชายของเธอถึงกับเกิดอาการสะอึก
“พี่เองก็ยังไม่รู้ในอนาคตตัวเองเลย ก็คงแล้วแต่โชคชะตาฟ้าจะกำหนดละมั้ง” พี่ชายพูดเสียงอ่อย พร้อมกับถอนหายใจหนึ่งเฮือก
“หนูขอเป็นกำลังใจให้นะคะคุณพี่ แล้วถ้ามีอะไรให้หนูช่วยหรือมีอะไรไม่เข้าใจก็บอกมาได้เลยนะ น้องคนนี้ยินดีช่วยเสมอ.................”
“อืม.....” พี่ชายรับคำ พร้อมกับเดินจากไป
นี่ถ้ามีใครมาเห็นคงคิดว่าเราต้องเป็นแฟนกันแน่ๆ หรือไม่ก็คงเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ผมกับพิงค์เพิ่งจะมารู้จักกันปีกว่าๆ เอง ตอนนั้น เพื่อนสนิทผมกับเพื่อนสนิทพิงค์ยังเป็นแฟนกันอยู่
“สวัสดี เธอชื่ออะไรนะ” ผมถามเด็กหญิงที่เดินคู่มากับหวานใจของเพื่อนสนิทผม
“เราชื่อพิงค์น่ะ เธอล่ะ” เธอตอบเรียบๆ
“เบิร์ด....”
ด้วยความที่สองคนนั่นมัวแต่หวานกันอยู่ เราก็เลยสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความที่ผมอายุมากกว่าเธอปีกว่าๆ เธอจึงเริ่มเรียกผมว่า ‘พี่ชาย’
นับจากนั้น เธอก็เรียกผมเช่นนั้นมาตลอด จนเวลาผ่านไป บท “พี่ชาย- น้องสาว” ของเราก็เริ่มซึมซับเข้าสู่จิตใต้สำนึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มรู้สึกว่าผมได้น้องสาวเพิ่มมาอีกคน ส่วนพิงค์นั้นไม่เคยมีพี่ชายมาก่อน สำหรับเธอแล้ว มันคงเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่เลยทีเดียว
ยิ่งเราไปไหนมาไหนด้วยกัน คนก็มักจะทักว่าเราเป็นแฟนกัน แต่กลุ่มเพื่อนสนิทไม่กี่คนก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ซึ่งโดยปกติแล้วผมก็คิดเช่นนั้น แต่ก็มีบางครั้งที่สงสัยตัวเองเหมือนกันว่า ความรู้สึกที่ผมมีให้นั้นเป็นความรู้สึกอย่างที่พี่ชายมีให้กับน้องสาวจริงๆ หรือว่า เป็นความรักระหว่างหนุ่มสาวกันแน่ ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็น อย่างเช่น
“พี่เบิร์ด เอกับบีชวนเราไปสยามพรุ่งนี้น่ะ ไปด้วยกันมั้ย” เอกับบี...คนหนึ่งคือเพื่อนสนิทที่รู้ว่าผมกับพิงค์ไม่ใช่แฟนกัน ส่วนอีกคนไม่ค่อยสนิท แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ผมก็ยังค่อนข้างมั่นใจว่า....ทั้งคู่ชอบน้องสาวของผม เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะให้ผมตอบว่าไปแทบจะทันที ผมรีบพยักหน้าแสดงความคิดของผมออกไป
คำตอบของผมทำให้เธอกลับบ้านด้วยความลิงโลด
วันรุ่งขึ้น ผมนึกขึ้นได้ว่าลืมถามว่าใครไปมั่ง แต่ก็ช่างมันเถอะ เรารับปากน้องสาวเราไปแล้วนี่...........
และเมื่อผมไปถึง ผมก็ได้รับคำตอบของคำถามที่ผมลืมถามอย่างที่คาดเดาไว้แล้ว เราไปกันแค่ 4 คน!!!
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ไม่มาเหรอ” ผมรีบถามทันทีที่เจอพิงค์ เธออยู่กับนายเอ และนายบี
“ก็ไม่ว่างซักคนเลยนี่ เลยมากันแค่นี้ไง.......” ดีนะเนี่ยที่เรามาด้วย ไม่งั้นเกิดศึกชิงนางแน่ๆ
แม้ผมจะเคยคิดว่า ศึกชิงนางบางทีก็น่าดูเหมือนกัน แต่ผมก็ยอมไม่ได้ ถ้ามันจะเกิดกับพิงค์ และแน่นอน ผมสามารถระงับมันได้.......เพราะการไปเที่ยวครั้งนี้ การดำรงอยู่ของผมได้ดึงความสนใจของเธอมาที่ผมทั้งหมด ปล่อยให้เอ กับ บี นั่งคุยกันเอง....สองคนนั่นคงเซ็งน่าดู มันคงแอบด่าเราอยู่แน่ๆ แต่ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ น้องคนเดียว ทำไมจะทำให้ไม่ได้
หลายเดือนผ่านไป ลมหนาวที่หาได้ยากยิ่งนักในประเทศเขตร้อนเยี่ยงนี้ได้บอกกับผมว่า ใกล้จะจบปีการศึกษานี้แล้ว นั่นหมายความว่าเวลาที่ผมจะได้ใกล้ชิดกับเธอ มันกำลังจะหมดลงด้วย หลังจากนั้น เธอจะได้เดินตามเส้นทางแห่งความฝันของเธอ ส่วนผมนั้น แม้จะยังไม่แน่ใจว่าผมจะเดินไปตามเส้นทางไหน แต่มันไม่ใช่เส้นทางเดียวกับที่เธอกำลังจะเดินไปแน่ๆ แต่สถานการณ์ทุกอย่างมันช่างไม่เหมาะกับเวลาแห่งการลาจากเสียจริง เรายังมีความสุขกับเวลาที่ได้ใช้ไปด้วยกัน ซึ่งมันก็คงจะสร้างความปวดร้าวให้กับผมและพิงค์หนักหนาพอควรเมื่อวันนั้นมาถึง
แต่นั่นยังไม่พอ เพราะผมเองก็ยังตอบคำถามที่ตัวเองสงสัยมานานไม่ได้ ความรู้สึกที่ผมมีให้กับพิงค์มันคืออะไรกันแน่ พิงค์เองกำลังมีความคิดแบบเดียวกันนี้อยู่รึเปล่านะ ผมครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่หลายวัน จนในที่สุด ผมก็บอกเรียกเธอมาคุย
“พิงค์ เรา...”
“เรา...” พิงค์เอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เพราะผมไม่ได้เรียกเธอด้วยคำๆ นี้มานานแล้ว แต่อย่างน้อยมันก็สร้างความมั่นใจให้กับมากกว่าที่จะเรียกตัวเองว่า “พี่”
“อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เรากำลังจะพูดต่อไปนี้นะ เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่ามันจริงรึเปล่า” คำพูดของผมทำให้พิงค์ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่
“ใครทำอะไรไว้เหรอ” พิงค์เริ่มเดาสิ่งที่ผมจะพูด หารู้ไม่ว่าการคาดเดาของเธอนั้นช่างห่างไกลความเป็นจริงนัก
“คือเรา...ชอบเธอน่ะ” ทันทีที่คำพูดของผมหลุดออกจากปากไป หัวใจของผมก็ลงไปกองที่ตาตุ่ม ผมรอดูปฏิกิริยาของเธออย่าละเอียด ท่าทางและแววตาที่เปลี่ยนไปทุกๆ เสี้ยววินาที แต่รอยยิ้มและแววตาเจ้าเล่ห์กลับปรากฏขึ้นบนใบ้หน้าของเธอ
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร........ถ้าจะทำแบบนี้ ทำให้มันเนียนกว่านี้หน่อยสิ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความพยายามครั้งนี้ต้องไม่สูญเปล่าสิ ผมแกล้งหัวเราะในลำคอให้เธอได้ยิน ผมใช้สายตาของผมประสานเข้ากับสายตาของเธอ...
“แล้วถ้ามันจริงล่ะ” บัดนี้กลับเป็นฝ่ายเธอที่เริ่มหลบสายตาผม ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ หยดน้ำเริ่มไหลออกมาทางหางตาของเธอ แม้มันจะเพียงแค่หยดเดียว แต่มันก็สามารถสื่อถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเธอได้มากที่เดียว
“แต่เบิร์ดบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเบิร์ดเองก็ยังไม่รู้ว่ามันจริงรึเปล่า” ผมได้แต่พยักหน้า
“จะว่าไป เรื่องนั้นเราเองก็ยังไม่รู้คำตอบเหมือนกัน พิงค์ว่าเรากลับไปคิดหนึ่งคืนแล้วเขียนคำตอบใส่กระดาษมาพรุ่งนี้ดีกว่าไหม” เธอยื่นกระดาษทดแผ่นหนึ่งให้
“อืม.........” เป็นการตอบรับของคนที่สติไม่อยู่กับตัวแล้ว
คืนนั้น เป็นคืนที่ผมแทบไม่ได้นอนเลย ผมครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน มีหลายครั้งที่ผมพยายามจะนอน แต่ก็นอนไม่เคยหลับ หลายครั้งอีกเช่นกันที่ผมจะเขียนคำตอบลงไป แต่ก็ไม่เคยกล้า จะว่าผมกลัวการมีอยู่ของคำตอบของคำถามนี้ก็ดูจะไม่ผิดเท่าใดนัก ผมเฝ้านึกถึงความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเราได้ใช้เวลาร่วมกัน เวลาที่ดีใจ โศกเศร้า ตื่นตระหนก เวลาที่เราช่วยกันท่องตำราเรียน เวลาที่ไปเที่ยวด้วยกัน เราตอนที่อยู่กันสองคน เวลาที่เราอยู่กับเพื่อนๆ ของเรา ความรู้สึกเมื่อมีใครมานินทาเธอต่อหน้าผม ความรู้สึกเมื่อมีเพื่อนมาบอกผมว่าเขาชอบเธอ และอีกหลายๆ อย่าง..........
หมอนที่ผมใช้หนุนหัวอยู่ทุกวันเต็มไปด้วยรอยน้ำตาแห่งความสับสน ความรัก ความโศกเศร้าที่เราจะต้องจากกันในเวลาอันใกล้ และอีกสารพัดความรู้สึก..........
จนในที่สุด ผมก็ได้ตัดสินใจเขียนประโยคๆ หนึ่งลงไว้ในกระดาษแผ่นนั้น เสร็จแล้วผมก็กำมันไว้แน่น พร้อมกับพับเก็บใส่กระเป๋า..........
ด้วยความที่ไม่ได้นอน ผมจึงไปเรียนด้วยความสะลืมสะลือ ความรู้ที่อาจารย์พยายามถ่ายทอดให้ผมนั้นผ่านเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวา ก็หัวใจผมตอนนี้วนเวียนอยู่แต่กับพิงค์แล้วนี่
จนในที่สุด ผมกับพิงค์ก็ได้เจอกันตรงม้านั่งประจำหลังเลิกเรียน ขอบตาของเธอดูดำคล้ำขึ้นมาต่างจากเมื่อวานดั่งเห็นได้ชัด นั่นแสดงว่า เธอก็คงจะไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน มาไม่ต่างจากผม แววตาของเธอดูกังวล อาจจะมาจาก เรื่องคำตอบของเธอ คำตอบของผม หรือเรื่องอื่นๆ ก็ได้ แต่เมื่อผมจะเอ่ยปากพูด...
“ ” เธอยกมือห้ามไว้แทบจะทันที พร้อมกับพูดว่า
“มาแลกกันอ่านคำตอบพร้อมกันนะ” ผมทำตามอย่างไม่บิดพลิ้ว ผมยื่นแผ่นกระดาษของผมให้เธอในเวลาเดียวกับที่เธอยื่นมาให้ผม
ตอนนี้ ผมแทบไม่ได้สติแล้ว ผมตื่นเต้นมากกับคำตอบของเธอ กลัวว่าเธอจะให้คำตอบที่ต่างไปจากผม หากเป็นเช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้นกับมิตรภาพระหว่างเราที่เคยมีมายาวนาน เราจะมองหน้ากันติดไหม เพื่อนๆ ของพวกเราล่ะ.........
ผมทำใจให้สงบพร้อมกับค่อยๆ คลี่กระดาษแผ่นนั้นแล้วอ่านออกมา ทันใดนั้นผมก็ละสายตาจากกระดาษประวัติศาสตร์แผ่นนั้นไปมองยังใบหน้าเจ้าของกระดาษแผ่นที่ว่า ไม่ถึงวินาทีต่อมา เธอก็ละสายตาจากคำตอบที่ผมให้เธอมามามองผมเช่นกัน เราสวมกอดกัน น้ำตาและรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเราทั้งคู่..........ไม่มีอะไรจากพรากเราใจของเราไปจากกันและกันได้อีกแล้ว
“เราเป็นพี่น้องกันต่อไปเถอะนะ”
ประเด็นสำคัญ: จำเป็นด้วยหรือ ที่ความรักจะต้องปรากฏอยู่ในรูปแบบเดียวเสมอไป ความรักอันบริสุทธ์นั้นสามารถปรากฏขึ้นได้หลายๆ รูปแบบ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบหนึ่งของความรักที่แตกต่างไปจากรูปแบบที่เราคุ้ยเคยกันดี
ผลงานอื่นๆ ของ Ion_Fuser ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ion_Fuser
ความคิดเห็น