ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดหญิงสกุลเสิ่น

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 ช่วยคนถูกรังแก

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 67


     

    มีผู้นำตระกูลเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยจัดหาคนให้ รวมกับเงินที่เสิ่นเวยเต็มใจจ่าย เสนอเงินให้มากถึงวันละสามสิบอีแปะ กลางฤดูหนาวไม่มีงานทำ ผู้คนต่างขดตัวว่างอยู่ในบ้าน เวลานี้ไม่ต้องเดินทางออกจากบ้านไปที่ไกลๆ ก็มีงานดีๆ ทำแล้ว จะมีใครบ้างเล่าที่ไม่อยากทำ เพราะอย่างนั้นแค่ผู้นำตระกูลป่าวประกาศก็มีชาวบ้านสี่สิบกว่าคนมาทำงาน

    เสิ่นเวยออกมาอธิบายแบบที่ตนเองวาดไว้ให้ทุกคนฟังในวันแรกเท่านั้น ส่วนที่เหลือแม่นมกู้ก็คอยรับหน้าประสานงานให้ ที่จริงแล้วมีนายผู้เฒ่าผู้นำตระกูลคอยดูงานย่อมไม่มีปัญหาใดๆ สิ่งที่แม่นมกู้ทำได้ก็แค่ต้มน้ำเท่านั้น ในขณะที่เสิ่นเวยหลบอยู่เรือนปีกหลังดูลุงฝูชี้แนะเถาฮวาฝึกวรยุทธ์

    เถาฮวาเป็นวัตถุดิบที่เหมาะจะใช้ฝึกวรยุทธ์จริงๆ ถึงแม้สมองของนางจะไม่ได้ปราดเปรื่องนัก แต่เป็นคนที่เชื่อฟัง ให้ทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น ให้ย่อตัวนานเท่าไหร่ก็จะทำอย่างนั้น กัดฟันย่อตัวต่อไปจนกว่าจะครบกำหนดเวลา เด็กวัยนี้ก็สามารถอดทนได้ปานนี้แล้ว มีอาจารย์คนใดบ้างจะไม่ชอบ

    เวลานี้ลุงฝูดีกับเถาฮวามาก เสิ่นเวยมาเห็นกี่ครั้งก็พบว่าเขาแอบซื้อขนมให้เถาฮวากิน บางครั้งเสิ่นเวยก็ย่อตัวท่านั่งม้าด้วยกัน ขยับมือเท้า เรื่องนี้ลุงฝูไม่ได้คัดค้าน ทั้งยังเห็นดีเห็นงามด้วยเสียด้วยซ้ำ คุณหนูร่างกายอ่อนแอ ออกกำลังกายมากๆ ถึงจะดี อีกอย่างมีคุณหนูมาเปรียบเทียบ เถาฮวายิ่งขยันขันแข็งมากขึ้น

    ในขณะที่แม่นมกู้คัดค้านไม่เห็นด้วย หญิงที่ดีมีฐานะเป็นถึงคุณหนูจะฝึกวรยุทธได้อย่างไร หากฝึกจนมือเท้าหยาบจะทำอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดของสตรีก็คือสุภาพและเยือกเย็น จะไปแกว่งทวนต่อยหมัดได้อย่างไรกัน แม่นมกู้เป็นกังวลเรื่องนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปของคุณหนู แต่เมื่อหญิงสาวยืนกรานจะฝึก นางก็จนปัญญา จำได้แค่พูดถึงอยู่ทุกวัน หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจได้ แต่ว่าหนึ่งเดือนต่อมาก็ได้เห็นนางเจริญอาหารมากขึ้น ใบหน้าก็เปล่งปลั่งสีแดงระเรื่อ ตัวก็สูงขึ้นหนึ่งคืบ นางจึงหยุดบ่น และยอมรับเงียบๆ

    รักจะฝึกก็ฝึกเถอะ อย่างน้อยร่างกายของคุณหนูก็แข็งแรง เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในจวน เมื่อถึงฤดูหนาว คุณหนูมักจะเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ไอทั้งวัน เวลานี้อย่าพูดเรื่องป่วยเลย แม้แต่เสียงไอก็ไม่ได้ยินสักครั้งเดียว

    สองพี่น้องเสิ่นเถาและเสิ่นซิ่งเคยมาหาเสิ่นเวยสามสี่ครั้ง คราแรกเสิ่นเวยต้อนรับอย่างให้เกียรติ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเรื่องที่จะพูดคุยกัน เสิ่นเถายังดี นิสัยอ่อนโยนรู้กาละเทศ ท่าทีซื่อสัตย์ ในขณะที่เสิ่นซิ่งกิริยาใช้การไม่ได้ พูดจาห้วนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ สายตามักจะจับจ้องข้าวของในห้องของนาง ทั้งยังชอบหยิบยืมเครื่องประดับของนางจนเสิ่นเวยรู้สึกเอือมระอา

    หลังจากนั้นสามสี่ครั้งเสิ่นเวยก็รู้สึกรำคาญใจ นางมีเรื่องต้องทำตั้งมากมาย จะมีเวลาว่างที่ไหนไปสนทนากับพวกนางกัน

    ครั้งต่อไปเมื่อพวกนางมาหา จึงให้แม่นมกู้ออกมารับหน้า เหตุผลก็มีพร้อม คุณหนูสุขภาพไม่แข็งแรง จำต้องพักผ่อน เดิมทีทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่านางมาที่นี่เพื่อรักษาอาการป่วย จึงไม่เกิดความเข้าใจผิดใดๆ หลังจากสองครั้งเสิ่นเถาก็ไม่มาอีก แต่เสิ่นซิ่งกลับหน้าหนา แทบจะมาหาวันเว้นวัน เมื่อข้ออ้างนี้ไม่ได้ผล ภายหลังเสิ่นเวยจึงคิดวิธีได้ เมื่อเสิ่นซิ่งมาหานางก็ทำงานเย็บปัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรนางก็ไม่สนใจ เสิ่นซิ่งจะอดทนนั่งเฝ้านางเย็บปักได้อย่างไร ดังนั้นหลายครั้งต่อมาไม่ว่าจางซื่อจะก่นด่าอย่างไร นางก็ไม่มาอีกเลย เสิ่นเวยจึงหายใจปลอดโปร่งขึ้น

    มีกำลังคนมากก็ทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ถึงยี่สิบวันคฤหาสน์ก็ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย เสิ่นเวยให้แม่นมกู้จ่ายค่าแรงให้ทุกคน ทั้งยังให้เงินพิเศษเป็นค่าเหล้าอีกคนละยี่สิบอีแปะ ทุกคนรับเงินค่าแรงกลับบ้านด้วยความยินดี พร้อมทั้งชื่นชมคุณหนูเสิ่นไม่ขาดปากว่านางเป็นคนดี

    ครอบครัวของนายผู้เฒ่าผู้นำตระกูลส่งคนงานมาช่วยอีกสามคน แต่ยืนกรานไม่ยอมรับค่างแรง บอกว่าคนในบ้านจะรับเงินลูกหลานได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกับการตบหน้าตัวเอง ปู่เจ็ดเห็นเหตุการณ์แล้วก็ไม่ยอมรับเงินเช่นกัน เสิ่นเวยก็ไม่บังคับอีก ต่อมาภายหลังจึงส่งหมูให้ครอบครัวละหนึ่งซีก กับบะหมี่ขาวห้าสิบจิน เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จะปีใหม่แล้ว ถือเป็นการมอบของกำนัลล่วงหน้า

    อุปนิสัยของเสิ่นเวยนั้นไม่ยอมขาดทุน แต่ก็ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น เจ้าดี ข้าก็ดี ทุกคนก็มีแต่ได้

    อากาศยิ่งหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ สายลมที่กรู่ใส่หน้าเป็นราวกับใบมีด เสิ่นเวยหมกตัวอยู่ในห้องที่จุดเตาถ่านกำลังฝึกเขียนหนังสือ แม่นมกู้กำลังตัดเย็บเสื้อผ้าให้นางอยู่ข้างๆ ปากก็รายงานว่าการซ่อมคฤหาสน์ครั้งนี้ใช้เงินไปเท่าไร ซื้อของกำนัลไปเท่าไร ในระยะนี้ใช้จ่ายไปเท่าไรบ้าง ในมือเหลือเงินอีกเท่าไร ก่อนจะอธิบายแผนการที่จะซื้อเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับให้คุณหนูอย่างกระตือรือร้น นางแย้มยิ้มทั้งใบหน้า ทำให้เจ้าตัวดูอ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน

    เสิ่นเวยไม่ได้มองโลกในแง่ดีถึงเพียงนั้น หนึ่งพันตำลึงกว่าๆ หากฟังดูแล้วคิดว่ามาก แต่เมื่อใช้จ่ายจริงกลับได้ไม่เท่าไหร่ ให้เกาะสมบัติเก่ากินนอนเพียงอย่างเดียวคงจะไม่ได้ จะให้ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกก็ไม่ได้ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องหาทางเพิ่มรายได้ ในตอนนี้เสิ่นเวยกำลังครุ่นคิดว่าจะทำการค้าอะไรดี แม้จะมีลู่ทางหาเงิน ส่วนจะทำอะไรนั้น นางยังตัดสินใจไม่ได้

    เช้าวันนี้เสิ่นเวยกำลังประลองฝีมือกับลุงฝู แม่นมกู้ก็มารายงานว่า "คุณหนู นายน้อยเส้าอู่ของบ้านนายผู้เฒ่าเจ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ”

     เสิ่นเวยหยักหน้าหยุดมือจากการประลองฝีมือ ก่อนจะรับผ้ามาจากแม่นมกู้ใช้ซับเหงื่อที่หน้าผาก เอ่ยตอบไปว่า "พอแล้ว วันนี้ก็ฝึกแค่เท่านี้ก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวกินข้าวเสร็จ เถาฮวาตามข้าเข้าเมือง" นางหันมาบอกแม่นมกู้ว่า "ช่วยเชิญพี่เส้าอู่เข้ามากินข้าวเช้ากับข้าด้วย" เห็นแม่นมกู้สีหน้าไม่เห็นด้วย จึงเลิกคิ้วขึ้น "ในชนบทแห่งนี้ไม่มีกฎระเบียบมากมายขนาดนั้นเสียหน่อย"

    แม่นมกู้อะไรก็ดีหมด เพียงแต่เคร่งกฎระเบียบเกินไป ทั้งคฤหาสน์มีอยู่สี่คน แต่แยกกันกินข้าวสามที่ ไม่ว่าเสิ่นเวยจะชักชวนอย่างไร นางก็ไม่ยอมกินข้าวกับผู้เป็นนาย เสิ่นเวยก็หน่ายใจเสียแล้ว

    เสิ่นเส้าอู่เป็นหลานชายคนโตของบ้านปู่เจ็ด เมื่อสองปีก่อนท่านลุงจงไปล่าสัตว์บนเขาทำให้ขาได้รับบาดเจ็บ ร่างกายจึงไม่แข็งแรง จึงทำงานอะไรไม่ได้ เมื่อเสาหลักของครอบครัวล้มลง ความเป็นอยู่ในบ้านจึงย่ำแย่ลงทุกที เมื่อหลายวันก่อนเสิ่นเวยไปเยี่ยมก็พบว่าภรรยาของท่านลุงจงกำลังเจ็บท้องคลอด แต่เด็กไม่ออกมาเสียที เห็นว่าแม่และเด็กไม่ไหวแล้วทุกคนก็พากันร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เป็นเสิ่นเวยที่ช่วยออกเงินเชิญท่านหมอจากในเมืองมาตรวจดูอาการ จึงช่วยชีวิตสองแม่ลูกคู่นี้ไว้ได้

    "น้องเวย" ชายหนุ่มวัยสิบห้าปีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเวยกลับทำตัวลีบ "น้องเวย ข้า ข้ากินมาจากที่บ้านแล้ว" เมื่อได้ยืนอยู่ในห้องโถงที่งดงามดั่งภาพวาด เสิ่นเส้าอู่ก็ไม่รู้จะวางมือเท้าไว้ที่ใดดี แม้แต่เสียงพูดก็ลดระดับลง ด้วยกลัวว่าจะทำให้น้องสาวที่เพิ่งมาจากเมืองหลวงตกใจ

    เสิ่นเส้าอู่รู้สึกขอบคุณน้องสาวผู้งดงามดุจเทพธิดาผู้นี้มาก หากไม่ใช่เพราะนางออกเงินเชิญหมอจากในเมืองมาดูอาการ แม่และน้องสาวของเขาคงไม่อยู่แล้ว และโชคดีที่ได้เนื้อและเส้นที่นางมอบให้ ไม่อย่างนั้นครอบครัวของเขาคงไม่มีอะไรกิน

    ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าน้องสาวผู้นี้ต้องการไปเดินเที่ยวในเมือง ท่านแม่ของเขาจึงเร่งให้เขามาที่นี่ตั้งแต่เช้า ทั้งยังกำชับให้ดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี

    "เช่นนั้นก็กินอีกรอบเถอะ" เสิ่นเวยทำราวกับไม่ได้เห็นท่าทีอึดอัดใจของเขา "แม่นม ตักโจ๊กให้พี่เส้าอู่สักถ้วย แล้วเอาหมั่นโถวมาเพิ่มอีกหกลูก อ้อ วันนี้ก็ให้เถาฮวากินข้าวด้วยกันกับข้าเสียเลย"

    เถาฮวานั่งลงด้วยความยินดี นางอยากกินข้าวกับคุณหนูมานานแล้ว เพราะแม่นมกู้คอยห้ามไว้ ทำให้นางอดกินของดีๆ ไปตั้งหลายอย่าง

    "พี่เส้าอู่นั่งลงเถอะ ท่านไม่ต้องเกรงใจเช่นนั้น วันนี้ข้ายังต้องพึ่งพาท่านพาข้าไปเดินเที่ยวอีกนะเจ้าคะ" เสิ่นเวยเคียงคอกล่าวด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าฉลาดพูดไม่น้อย

    "ได้ ได้สิ" ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เสิ่นเส้าอู่ก็น่าแดงเสียแล้ว เขานั่งลงตัวเกร็ง ยืดหลังตรง

    เสิ่นเวยเห็นดังนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก ลงมือกินอาหารส่วนของตัวเอง เพราะได้ออกแรงตอนเช้า ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น กินโจ๊กข้าวฟ่างหนึ่งถ้วย ซาลาเปาฮัวจวนอีกสองลูก

    เมื่อกินอิ่ม ทั้งสามคนก็ออกเดินทาง เสิ่นเส้าอู่ขับเกวียน เสิ่นเวยและเถาฮวานั่งอยู่ด้านบน แม่นมกู้ยังเตรียมผ้านวมมาคลุมตัวทำให้เสิ่นเวยไม่หนาวสักนิด

    เมื่อมาถึงในเมือง เสิ่นเส้าอู่ก็นำเกวียนไปฝากให้คนรู้จักดูแลให้ ส่วนตนเองก็พาเสิ่นเวยและเถาฮวาเดินเข้าไปด้านใน เขาไม่พูดอะไรมากมาย แต่แววตาเป็นประกาย เมื่อใดที่สายตาของเสิ่นเวยกวาดตามองร้านใด เขาก็จะแนะนำร้านนั้นให้ นี่ทำให้เสิ่นเวยรู้สึกแปลกใจในตัวเขามาก

    "น้องเว่ย นี่เป็นร้านหนังสือเพียงร้านเดียวในเมืองของพวกเรา ถ้าหากน้องอยากซื้อเครื่องเขียนก็พอมีครบ" เสิ่นเส้าอู่เห็นเสิ่นเวยหยุดหน้าร้านขายหนังสือ เข้าใจว่านางต้องการซื้อพวกกระดาษเพิ่มเติม

    หญิงสาวพยักหน้าลงก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ภายในร้านไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก นางหยิบหนังสือบนชั้นมาเปิดดูก็พบว่าส่วนใหญ่เป็นพวกตำราบทอาขยานกับคัมภีร์ตรีอักษรที่เป็นความรู้พื้นฐานทั่วไป มีบันทึกการเดินทางเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น มันเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น ดูแล้วทางร้านคงไม่สนใจดูแลนัก แต่ดีกว่าไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ไม่มีตำราประวัติศาสตร์ที่เสิ่นเวยต้องการอยู่เลย ดูแล้วคงต้องเข้าไปซื้อในเมืองใหญ่

    เสิ่นเวยซื้อบันทึกการเดินทางสามสี่เล่มเท่านั้น คิดดูแล้วจึงซื้อคัมภีร์ตรีอักษรอีกหนึ่งเล่ม พู่กันสองแท่ง กระดาษเซวียนจื่อคุณภาพต่ำที่สุดสองพับ ทั้งหมดคิดเป็นเงินห้าอีแปะ แต่ความรู้ก็คือทรัพย์สมบัติ!

    เสิ่นเส้าอู่หอบกระดาษและพู่กันนำทางเสิ่นเวยเดินเที่ยวต่อไป เมืองหลินอันไม่ถือว่ามีขนาดใหญ่นัก แค่ครึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็เดินจนทั่วแล้ว ครั้งนี้ทำให้เสิ่นเวยเข้าใจโครงสร้างของเมืองและราคาสินค้าในปัจจุบันมากขึ้น

    เมื่อเลี้ยวมายังถนนอีกสายหนึ่งก็ได้ยินเสียงทะเลาะและร้องไห้ดังมา เสิ่นเวยหันไปมองก็เห็นร้านหนึ่งมีคนเต็มหน้าร้าน ฝ่ายหนึ่งเป็นคุณชายวัยหนุ่ม ด้านข้างมีบ่าวรับใช้อยู่ใกล้ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ดูเหมือนคุณชายผู้นั้นยื่นมือออกไปดึงตัวหญิงสาวที่ชายหนุ่มถือไม้เท้าอีกคนปกป้องไว้ด้านหลัง บนพื้นยังมีเด็กส่งเสียงร้องไห้จ้า

    โอ้ นี่ก็คือการปล้นสตรีไม่ใช่หรือ? เสิ่นเวยไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่ในยามที่กำลังจะหมุนกายจากไปนั้นกลับได้ยินเสียงเคียดแค้นดังขึ้น “ฉางจวิ้นสี่ เจ้าอย่างรังแกกันเกินไปนัก ข้าติดหนี้เจ้าแค่สิบห้าตำลึงเงินเท่านั้น เหตุใดต้องคืนถึงแปดสิบตำลึง”

    สกุลฉาง? เสิ่นเวยนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงหยอกเย้าดังขึ้น “หลี่ต้าหย่ง เจ้าอย่ามาทำหน้าหนา ติดหนี้ก็ต้องใช้คืนเป็นหลักการทั่วไปที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พูดให้ใครฟังก็ต้องบอกว่าข้ามีเหตุผล ไม่มีเงินหรือ? เรื่องนี้ก็ง่ายดายนัก! เจ้าก็แค่ยกร้านหรือไม่ก็น้องสาวของเจ้าให้ข้า”

    เสิ่นเวยตัดสินใจหมุนตัวไปทันที โบกมือให้เสิ่นเส้าอู่ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและคิดห้ามปรามนาง ดีจริง นางลืมเรื่องที่ยืมเงินมาจากจวนตระกูลฉางไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้พบตระกูลฉางมาตามทวงหนี้บนถนน และอีกฝ่ายก็ยังเป็นคนคุ้นเคยกันอีกด้วย หลี่ต้าหย่งก็คือคนที่นางได้ยินชื่อในคืนนั้นไม่ใช่หรือ

    “คนงาม ยอมไปกับข้าเสียแต่โดยดีเถอะนะ หากเจ้าไปกับข้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีคืนวันที่มั่งคั่ง" ฉางจวิ้นสี่ นายน้อยรองแห่งจวนฉางเชยคางหญิงสาวขึ้น ก่อนจะหรี่ตามองอย่างเบิกบาน เสิ่นเวยเกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว คำพูดนี้ก็ช่างคุ้นหูนัก ดูเหมือนพวกชนชั้นสูงเวลาเกี้ยวหญิงสาวก็มักจะพูดอย่างนี้

    หญิงสาวผู้นั้นปัดมือของเขาออกไป ใบหน้าซีดเซียวเปื้อนคราบน้ำตา ขบกัดริมฝีปากแน่นไม่อย่างดื้อรั้นดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

     “โอ้ เจ้าแง่แสนงอนจริงๆ นะ แต่ไม่เป็นไร ข้าก็ชอบคนปากร้ายอย่างนี้ พาตัวไป!” ฉางจวิ้นสี่หรี่ตาโบกมือสั่งบ่าวรับใช้

    “พี่...” หญิงสาวตกใจจนสีหน้าเผือดสี

    “ใครกล้า?” หลี่ต้าหย่งที่ขาเป๋ยกไม้เท้าขึ้นขวางตรงหน้าอก ปกป้องน้องสาวไว้ “ออกไป ออกไปให้หมด อย่ามาแตะน้องสาวของข้า" เขากวัดแกว่งไม้เท้าในมือ จนพวกบ่าวรับใช้ไม่กล้าเข้าใกล้

    ฉางจวิ้นสี่เห็นดังนั้นก็โกรธจนสีหน้าเขียวคล้ำ "พูดดีๆ ไม่ยอมฟัง คงอยากให้ข้าใช้ไม้แข็งสินะ? พาตัวไป!"

    ผู้คนรอบๆ พากันกระซิบกระซาบกัน คนที่รู้รายละเอียดต่างก็รู้สึกสงสารหลี่ต้าหย่งและน้องสาว คนชราบางคนถึงกับส่ายหน้าถอนใจ "นี่มันโกงกันชัดๆ! เช่นนี้ก็เป็นการทำลายชีวิตกันไม่ใช่หรือ"

    ฉางจวิ้นสี่ได้ยินเสียงวิจารณ์นั้นสีหน้าก็ยิ่งแข็งกร้าว "ผู้เฒ่าจางอย่ายืนพูดอยู่เลย ไม่ปวดเอวหรือไร เขาก็เหมือนจะไม่ได้ติดค้างเงินเจ้าเสียหน่อย ในเมื่อเจ้าเป็นคนดีมีเมตตาธรรมก็ช่วยคืนเงินแปดสิบตำลึงแทนตระกูลหลี่เสียสิ?” เมื่อเห็นคนอื่นๆ ไม่กล้าพูดอะไร เขาก็แค่นเสียงเย็นออกมา "มีหรือไม่ ขอเพียงมีคนใช้หนี้แทนตระกูลหลี่ ข้าก็จะไม่คัดค้านสิ่งใด และจะยอมกลับไปแต่โดยดี! มีหรือไม่ มีหรือไม่เล่า?" เขาตะโกนเสียงดัง สีหน้าค่อยๆ เผยความสะใจออกมา

    “มี!” เสิ่นเวยส่งเสียงตะโกนออกไป

    รอบข้างพลันตกอยู่ในความเงียบงัน


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×