คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 เยี่ยมเยือนคนในตระกูล
เมื่อมีเงิน แผนการทั้งหมดจึงเริ่มวางกำหนดการ อย่างแรกคือซ่อมแซมเรือนที่พักอาศัยเสียก่อน ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ไม่ว่านางจะยอมหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกนาน คิดว่าก่อนจะแต่งงาน แม่เลี้ยงคนดีคงไม่นึกถึงนางแน่ เพื่อให้พักที่นี่ได้อย่างสะดวกสบาย จึงจำเป็นต้องซ่อมแซมเรือนหลังนี้ให้ดี
ถึงแม้คฤหาสน์ของบรรพบุรุษจะเป็นเรือนคู่ แต่เพราะในครั้งนั้นสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ และสมาชิกส่วนใหญ่ก็อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงสร้างแค่ห้องหลัก ห้องปลีกย่อยต่างๆ ไม่ได้สร้าง ในเมื่อเวลานี้ต้องอยู่ที่นี่ระยะยาว เช่นนั้นก็ต้องทำให้ดีสักหน่อย ที่เห็นตอนนี้มีแค่เจ้านายหนึ่ง บ่าวรับใช้สามคน รวมลุงฝูด้วย แต่ต่อไปอาจจะมีคนมากขึ้น ถึงแม้ในชนบทจะสุขสงบ แต่พวกนางมีแค่เด็กและคนแก่จึงไม่ปลอดภัยนัก
แต่ว่า ก่อนที่จะซ่อมแซมคฤหาสน์ ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่จะต้องทำ นั่นคือการไปคารวะญาติผู้ใหญ่ในตระกูล ถึงแม้คนในตระกูลไม่ได้แยแสต่อการมาของนางนัก ทว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้น้อย หากไม่ไปพบเยี่ยมเยือนก็จะเสียมารยาท ถ้าหากจะถามว่าเหตุใดจึงไม่ไปพบก่อนหน้านี้ นั่นก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกนางยากไร้จนแทบไม่มีข้าวจะกิน อีกอย่างนางเพิ่งจะฟื้นจากอาการป่วยไม่ใช่หรือ? นี่ก็มีเหตุผลดีๆ ตั้งมากมาย!
วันนี้เสิ่นเวยเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดใหม่ พร้อมทั้งจัดเตรียมของกำนัลสีสันสดใสเดินไปยังเรือนของผู้นำตระกูลซึ่งตั้งอยู่ทางหัวมุมตะวันตก
ในหมู่บ้าน นอกจากเรือนของเสิ่นเวยแล้ว เรือนของผู้นำตระกูลเป็นหลังเดียวที่ทำจากอิฐหินและกระเบื้อง มีลานกว้าง ดูแล้วคงมีชีวิตที่สุขสบายไม่น้อย แม่นมกู้ขยับเข้าไปเรียกตรงประตู คนที่เปิดประตูเป็นหญิงสาวที่น่าจะแต่งงานแล้วสวมชุดกระโปรงทรงสูงสีชมพู เมื่อนางเห็นพวกเสิ่นเวยก็นิ่งชะงักไปชั่วอึดใจ "พวกเจ้า?” เสิ่นเวยจึงรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายย่อมรู้แน่ว่าพวกนางเป็นใคร
แม่นมกู้จับมืออีกฝ่ายไว้อย่างเป็นกันเอง ยัดกระเป๋าเงินใบเล็กน่ารักลงไปในมือของอีกฝ่าย
"ท่านคงจะเป็นนายหญิงน้อยจวิ้นสินะเจ้าคะ? บ่าวเป็นคนของจวนท่านโหวแห่งเรือนตะวันออก ท่านนี้คือคุณหนูของพวกเรา บุตรสาวของนายท่านสาม ทายาทอันดับสี่ ฮูหยินของพวกเราเป็นห่วงคุณหนูที่ร่างกายอ่อนแอ ประกอบกับได้ยินว่าชนบทเงียบสงบ จึงตั้งใจส่งคุณหนูกลับมารักษาอาการเจ็บป่วยที่นี่ เดิมทีควรจะมาคารวะผู้อาวุโสเสียตั้งนานแล้ว แต่จนปัญญาจริงๆ เพราะร่างกายของคุณหนูอ่อนแอ ระหว่างทางก็ต้องลมหนาวจนป่วยไข้ จนกระทั่งเมื่อสามสี่วันก่อนอาการเพิ่งจะดีขึ้นบ้าง" แม่นมกู้พูดอธิบายอย่างกระจ่าง ไม่ใช่พวกเราไม่รู้ธรรมเนียม แต่เป็นเพราะคุณหนูป่วยทำให้มาไม่ได้
"พอฟื้นจากอาการป่วย คุณหนูก็รบเร้าจะมาคารวะ บอกว่าในฐานะที่เป็นผู้เยาว์ไม่ได้มาคารวะตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงก็เสียมารยาทมากพอแล้ว บ่าวจึงต้องพามาเจ้าค่ะ"
เสิ่นเวยก้าวออกมาคารวะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "คารวะพี่สะใภ้จวิ้นเจ้าค่ะ” ก่อนจะมานางได้เตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าก็คือหลี่ซื่อ หลานสะใภ้คนใหม่ที่เพิ่งแต่เข้ามาในบ้านของผู้นำตระกูล
หลี่ซื่อบีบถุงเงินใบเล็กในมือ ดวงตาพลันเป็นประกายขึ้นมา ใบหน้าก็ประดับด้วยรอยยิ้ม "นี่คงจะเป็นน้องเว่ยสินะ หน้าตามีสง่าราศีจริงๆ เป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จำปฏิบัติตัวเป็นคนนอกไปไย? รีบเข้ามาเร็วเถิด" สายตาจับจ้องไปยังของกำนัลที่อยู่ในมือเถาฮวา รอยยิ้มก็ยิ่งขยายกว้างขึ้นอีกหลายส่วน
"ท่านย่า น้องเว่ยแห่งเรือนตะวันออกมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ" เมื่อหลี่ซื่อเข้าไปในลานก็ตะโกนบอกเสียงดัง ในขณะเดียวกันก็นำทางพวกเสิ่นเวยเข้าไปยังห้องหลัก
หญิงชราผู้หนึ่งสวมเสื้อสีกรมออกมาจากห้องหลัก บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูเป็นคนใจดีมีเมตตาไม่น้อย “นี่คงจะเป็นหลานเวย บุตรสาวของเจ้าหรงกระมัง โตขนาดนี้แล้วหรือ มาๆ ให้ย่าดูหน่อย"
เสิ่นเวยใช้โอกาสนี้ก้าวเข้าไปหา ก่อนจะคารวะอีกฝ่าย "คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ" ในขณะที่แม่นมกู้กับเถาฮวารีบคุกเข่าลงคำนับตาม "คาวะเหล่าไท่ไท่" พลางยื่นของกำนัลไปให้อีกฝ่าย
เมื่อกลุ่มคนเดินเข้ามาในห้อง เหล่าไท่ไท่ก็คว้ามือเสิ่นเวยมาจับไว้พร้อมชื่นชมไม่ขาดปาก "ที่แท้ก็คุณหนูจากเมืองหลวงนี่เอง งามสง่าจริงๆ ร่างกายดีขึ้นแล้วหรือ ดูหน้าขาวจิ้มลิ้มนี่สิ น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง ถ้าหากเจ้ามีเวลาว่างต้องหมั่นมาหาย่าบ่อยๆ นะ ย่าจะดูแลเจ้าเอง หน้าหนาวที่นี่อากาศหนาวนัก เจ้าคงไม่ชินใช่หรือไม่ หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจก็มาถามย่าได้ หากไม่ระวังตั้งแต่เด็ก โตไปจะแย่"
หญิงชราพูดร่ำไรเป็นคุ้นเป็นแคว ในขณะที่เสิ่นเวยก็พยักหน้าลงอย่างว่าง่าย สุดท้าย เหล่าไท่ไท่ก็เรียกคนทั้งบ้านออกมาพบหน้ากัน
เหล่าไท่ไท่มีบุตรชายทั้งหมดสามคน บุตรสาวสองคน ทุกคนล้วนออกเรือนมีครอบครัวกันหมดแล้ว บุตรชายคนโตและภรรยามีบุตรสาวสามคน แต่กลับมีบุตรชายเพียงหนึ่งคน เพราะอย่างนั้นจึงแบ่งห้องให้สะใภ้รออุ้มหลานนานแล้ว นั่นก็หลี่ซื่อที่เปิดประตูให้เสิ่นเวยนั่นเอง ส่วนบุตรสาวสามคน สองคนแต่งออกไปแล้ว เหลืออีกคนที่ยังอยู่ด้วย ชื่อว่าเสิ่นเถา อายุมากกว่าเสิ่นเวยสองปี นางอายุสิบสี่ปีแล้ว แต่สูงกว่าเสิ่นเวยมาก ดวงตากลมโต ผิวออกคล้ำ พูดไม่ได้ว่าดูดี แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด
ครอบครัวของบุตรชายคนรองเปิดร้านขายของชำอยู่ในเมือง จึงไม่เห็นที่นี่ บุตรชายคนที่สามมีลูกสามคน อายุยังน้อย บุตรชายคนโตอายุแค่สิบสามปี คนกลางเป็นบุตรสาว ชื่อว่าเสิ่นซิ่ง อายุสิบเอ็ดปี บุตรชายคนเล็กอายุแค่ห้าขวบเท่านั้น ส่วนนายผู้เฒ่าผู้นำตระกูลออกไปเยี่ยมบ้านสหาย จึงไม่อยู่ที่บ้านในเวลานี้
แต่ว่าเสิ่นเวยไม่ค่อยชอบบุตรชายคนที่สามนัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นับตั้งแต่เสิ่นซิ่งเข้าห้องมา สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ศีรษะของนาง หรือสายตาที่เต็มไปด้วยความละโมบของจางซื่อผู้เป็นมารดาของเสิ่นซิ่งในคำพูดก็แฝงไว้ด้วยความนัยน์ที่บอกว่าเสิ่นเวยเป็นพี่ก็ควรมอบของขวัญแรกพบหน้าแก่น้องๆ ไม่คำนึงถึงเรื่องที่ว่าท่านปู่ของนางกับผู้นำตระกูลเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันเท่านั้น ความสัมพันธ์ในรุ่นของนางถือว่าห่างไกลกันมากแล้ว ในชนบทนี้มีใครบ้างที่ไปเป็นแขกแล้วยังมอบของกำนัลแก่เจ้าบ้าน? แต่ถึงอย่างไรนางก็ได้มอบของกำนัลให้แล้ว ไม่เห็นหรือ?
ไม่ว่าแม่ของเสิ่นซิ่งจะแอบส่งสัญญาณอย่างไร เสิ่นเวยก็ยังคงแย้มยิ้ม แสร้งทำเหมือนไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็ก เป็นเด็กที่กำลังโต แม่นมกู้นั้นเข้าใจดี แต่นางนั้นเป็นบ่าว เรื่องของนายไม่ใช่สิ่งที่บ่าวจะเอ่ยปากวิจารณ์ได้
นั่งพูดคุยกว่าครึ่งชั่วยาม เมื่อปล่อยข่าวเรื่องที่ตนจะซ่อมแซมเรือนพัก หญิงสาวก็อ้างเรื่องต้องกลับไปกินยาจึงถือโอกาสบอกลา เมื่อเหล่าไท่ไท่ส่งเสิ่นเวยกลับแล้วก็เห็นสะใภ้สามกำลังแกะของกำนัลออกดู สีหน้าของหญิงชราจึงเคร่งขรึมขึ้นมา "ทำอะไรหรือจางซื่อ"
จางซื่อชักมือกลับมาอย่างกระอักกระอ่วน “ข้ากำลังช่วยท่านแม่ดูว่ามีอะไรบ้างเจ้าค่ะ" เห็นกล่องใบนี้ทำขึ้นอย่างสวยงาม ในกล่องจะต้องบรรจุของล้ำค่ามีราคา นางต้องมองไว้ให้ดี ท่านแม่มักจะลำเอียง จะปล่อยให้ครอบครัวพี่ใหญ่และพี่รองได้ไปทั้งหมดไม่ได้
เหล่าไท่ไท่รู้จักลูกสะใภ้สามของตนเองดี ไม่ต้องมองก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด สะใภ้คนนี้ไม่ได้มีอะไรย่ำแย่มากมาย เพียงแค่ละโมภอยากได้อยากมีก็เท่านั้น บุตรสาวที่ดีถูกนางสั่งสอนจนกลายเป็นคนใจแคบตระหนี่ไปเสียแล้ว เหล่าไท่ไท่มองหลานสาวที่จับจ้องห่อของขวัญตาเป็นประกายก็นึกถอนใจ นี่ก็อายุสิบเอ็ดปีแล้ว ยังจะแก้ไขได้หรือ
ก่อนจะหันไปมองหลานสาวคนโตที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างสะใภ้ใหญ่ เหตุใดจึงแตกต่างกันมากนัก ไฟโทสะก็ปะทุขึ้นมากอีกครั้ง "เจ้าจะดูอะไรหนักหนา ข้ายังไม่แก่จนมองอะไรไม่ชัด ทำความสะอาดเล้าไก่เสร็จแล้วหรือ หาบน้ำมาเติมเต็มแล้ว? นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว ข้าวไม่ต้องกินกันแล้วหรืออย่างไร เจ้าใหญ่ออกไปดูสิว่าพ่อของเจ้าอยู่ที่ใด เรียกเขากลับมาได้แล้ว คนอื่นๆ มีอะไรก็ไปทำเสีย จะมารวมกันอยู่ที่นี่เพื่ออะไรกัน" เมื่อเห็นสะใภ้สามยังไม่ยอมเลิกรา จึงหยิบขนมมาสองห่อสำหรับทั้งครอบครัว และให้อีกฝ่ายหนึ่งห่อ "วางใจเถิด ไม่ขาดส่วนของเจ้าหรอก" เหล่าไท่ไท่ถลึงตาใส่น้ำเสียงขุ่น
จางซื่อลากตัวบุตรสาวออกไปด้วยท่าทีไม่เต็มใจนักทั้งคนแม่และลูก ในห้องจึงเหลือแค่เหล่าไท่ไท่เพียงคนเดียว นางผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะตรวจดูของกำนัลที่เสิ่นเวยมอบให้
ขนมสี่ห่อ ผ้าสี่ห่อ ยังมีกล่องที่ด้านในบรรจุเครื่องประดับไว้เต็ม ถึงแม้ทั้งหมดจะทำจากเงิน แต่ก็เป็นงานที่ละเอียดประณีต รูปแบบก็งดงาม แค่เครื่องประดับในกล่องก็มีค่ามากกว่าสิบตำลึงแล้ว เหล่าไท่ไท่พลันตกตะลึง ถึงแม้นางจะมีชีวิตที่ดี แต่เคยได้เห็นของกำนัลล้ำค่าอย่างนี้เสียที่ไหน ในเวลานั้นนางทั้งรู้สึกตื่นตระหนกและยินดี
ยามค่ำ ชายหญิงชราสองคนนอนอยู่บนเตียงพูดถึงเรื่องตอนกลางวัน เหล่าไท่ไท่กล่าวว่า "ข้าว่านางหนูเวยแห่งเรือนตะวันออกผู้นี้เป็นคนเฉลียวฉลาด น่ารัก หน้าตาก็ดี พูดจาฉะฉาน ยิ้มแย้มแจ่มใส แค่เห็นก็รู้สึกว่าน่าคบหา อายุก็ไล่เลี่ยกับหลานสองคน พอจะเล่นด้วยกันได้" เหล่าไท่ไท่วางแผนไว้เป็นอย่างดี เด็กสาวสามคนใกล้ชิดกันบ่อยๆ หลานสองคนของตนก็จะได้เรียนรู้จากคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แม้จะเรียนรู้มาเพียงน้อยนิด ก็เพียงพอแล้วที่จะใช้ในชนบท
“ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น” นายผู้เฒ่า ผู้เป็นผู้นำตระกูลพูดอย่างไม่วางใจ
“หมายความว่าอย่างไร” เหล่าไท่ไท่ไม่เข้าใจ
"เจ้าหยุดคิดเสียก่อนเถอะ” นายผู้เฒ่ารู้เท่าทันความคิดของภรรยา "เท่าที่ข้ามอง นางหนูเวยผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย"
"ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?" เหล่าไท่ไท่ไม่เชื่อ แค่ลมพัดก็ล้มอย่างนั้น มีตรงไหนไม่ธรรมดากัน?
นายผู้เฒ่าแค่นเสียงเยาะ "ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเราไม่ได้สนิทชิดเชื้อกัน พูดแค่ของกำนัลที่นำมาในวันนี้ เด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่กัน? เจ้าดูเถิดของกำนัลของนางกลับพร้อมสรรพ ด้านในยังมีกำไลเงินของสร้อยของทารก เห็นได้ชัดว่าต้องการจะมอบให้กับหลานคนเล็กของครอบครัวลูกรอง ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่กับพวกเรา นางสืบความมาละเอียดอย่างนี้ จะธรรมดาได้อย่างไร"
“ท่านคงคิดมากไป?” เหล่าไท่ไท่ยังไม่เชื่อว่าเสิ่นเวยจะเป็นคนร้ายกาจ เป็นเพราะนางประทับใจต่อเด็กสาวมาก ผู้คนมากจะหลงเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นได้ง่ายๆ “พวกเด็กสาวเล่นด้วยกันคงไม่เป็นไรหรอก?” เหล่าไท่ไท่ยังไม่ยอมตัดใจ แม่หนูเถายังดี นิสัยกับรูปร่างหน้าตาล้วนดีหมด เหลือแค่แม่หนูซิ่ง ถ้าหากยังไม่รู้จักปรับตัวก็จะเป็นตัวถ่วง
"ค่อยดูกันไปเถอะ!" นายผู้เฒ่าก็รู้นิสัยของหลานสาวดี "นางต้องการซ่อมแซมเรือนหรือ? พรุ่งนี้ข้าจะลองหาคนให้ เจ้าก็บอกกับหลานสองคนก็แล้วกันว่าให้ลองคบหากันดู" ในก้นบึ้งของหัวใจ คนในครอบครัวตัวเองสำคัญที่สุด
ในเรือนย่อย บุตรชายคนที่สามและภรรยาก็นอนไม่หลับเช่นกัน "เจ้าไม่เห็นหรือผ้านั่นเป็นผ้าไหม จับแล้วนิ่มมือมาก สีก็สวยจริง จุ๊ๆ หากให้ลูกสาวของเราได้สวม ด้วยรูปร่างของลูกเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าเด็กเวยนั่นแน่" ในใจของจางซื่อเต็มไปด้วยความริษยา ปิ่นที่ปักอยู่บนศีรษะของเด็กเวยเมื่อกลางวัน แม้แต่นางก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่เด็กรับใช้ก็แต่งกายดีกว่านาง “เครื่องแต่งกายทั้งชุดของเด็กเวยก็มีค่าหนึ่งตำลึงแล้ว อ่ะ ไม่สิ สองตำลึง ข้าคิดว่าน่าจะมีค่าถึงสองตำลึง” จางซื่อพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
ที่จริงแล้วมันมีค่ามากกว่าสองตำลึง เพราะเมื่อก่อนไม่มีเงินก็เท่านั้น เวลานี้ในมือของพวกนางถือเงินจำนวนมาก ด้วยนิสัยของแม่นมกู้จึงอยากให้คุณหนูได้ใช้ของที่ดีที่สุด เขาจะจัดแจงเครื่องแต่งกายให้เสิ่นเวยเพียงแค่สองตำลึงหรือ
บุตรชายคนที่สามก็สนใจเช่นกัน "จริงด้วย เช่นนั้นก็ดีไปเลย เด็กคนนั้นร่ำรวยจริงๆ!" ถ้าหากแบ่งให้เขาสักหน่อยจะดีมาก
"นางเป็นคุณหนูแห่งจวนท่านโหว ชาวนาอย่างเจ้าจะเทียบได้หรือ? เจ้าคิดว่าในมือของคนสูงศักดิ์เหล่านั้นจะมีเงินแค่สองตำลึงแค่นั้นหรือ" จางซื่อดูแคลน "ท่านแม่ของท่านลำเอียง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องงานที่ท่านเป็นคนทำ ต่างก็เป็นหลานเหมือนกัน เส้าจวินลูกบ้านพี่ใหญ่ก็แต่งงานแล้วยังเรียนหนังสืออยู่เลย เส้าหย่ง ลูกของเราอายุเพิ่งจะสิบสามก็ต้องออกไปทำงานกับท่านแล้ว ข้าก็ต้องยุ่งงานบ้านทุกวันตั้งแต่เช้าจนฟ้ามืดก็ยังพูดอะไรไม่ได้ หรือว่าท่านยอมได้"
กล่าวถึงจางซื่อผู้นี้ ในใจเต็มไปด้วยความอิจฉา มักจะรู้สึกว่าครอบครัวของตัวเองเสียเปรียบ ไม่ได้มองเห็นสักนิดว่าเมื่อลูกชายของตนเข้าไปยังสำนักศึกษาก็สัปหงกเสียแล้ว ยอมไปปลูกผักบนเขาดีกว่าไปเรียนหนังสือ นางยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำงานที่สะใภ้ใหญ่ใช้เวลาทำแค่ครึ่งวัน แต่นางต้องทั้งวันจึงจะเสร็จ แม่สามีไม่ด่านางก็ดีแล้ว ยังต้องการสิ่งใดอีก
"พอที เจ้าก็พูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ" นายท่านสามรู้สึกไม่พอใจ ฟังเรื่องพวกนี้ทุกวัน เบื่อจะตายอยู่แล้ว
"ก็ได้ๆๆ ถือว่าเจ้าเป็นลูกกตัญญู" ฮูหยินจางบันดาลโทสะออกมา พูดเสียงสูงว่า "นายท่านสาม ข้าจะบอกเจ้าให้นะ แม้เจ้าจะไยดีลูกๆ แต่ข้าต้องคิดเพื่อพวกเขา ข้าคิดว่าเด็กเวยนั่นก็เป็นคนที่น่าคบหา พรุ่งนี้ข้าจะให้ซิ่งเอ๋อร์ของเราไปเล่นกับนาง ลูกซิ่งเอ๋อร์ของพวกเรานิสัยร่าเริง จะต้องเข้ากับนางได้แน่ เมื่อถึงตอนนั้น เศษเงินที่ตกหล่นจากมือเด็กคนนั้นก็เพียงพอจะที่พวกเราจะดำรงชีพอยู่ได้ถึงสองปี ถึงแม้จะยากลำบากบ้างก็ตาม ข้าหมายถึงอย่างแย่ที่สุด พรุ่งนี้ใครก็ขวางข้าไม่ได้ พวกเจ้าแค่ละคนมันก็เย่อหยิ่งด้วยกันทั้งนั้น แต่ข้าไม่สน ข้าแค่อยากให้ลูกๆ ของข้ามีชีวิตที่ดีเท่านั้น"
"พอแล้ว พอที พูดอะไรอย่างนี้ ใครขวางเจ้ากัน" เมื่อเห็นว่าฮูหยินจางเริ่มไร้เหตุผล นายท่านสามจึงเป็นฝ่ายยอมโอนอ่อนพูดพึมพำสองคำก็พลิกตัวเตรียมจะนอน
"ใครจะขวางล่ะ ถ้าไม่ใช่พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้คนดีของเจ้า ราวกับว่าทั้งโลกนี้ เขามีเหตุผลอยู่เพียงคนเดียว" ฮูหยินจางผลักสามีอย่างขุ่นเคือง เมื่อเห็นเขาแกล้งนอนหลับจึงทำได้แค่ยอมนอนลง
ไม่เพียงแค่ปากท้องของครอบครัวผู้นำตระกูลเท่านั้นที่นางใส่ใจ วันต่อมาเสิ่นเวยนำของกำนัลไปคารวะครอบครัวของท่านปู่เจ็ด ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของจงอู่โหว พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกัน จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องลำเอียงอาธรฝ่ายใดมากกว่า
ความคิดเห็น