ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดหญิงสกุลเสิ่น

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 เงินก้อนแรก

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 67


     

    ตอนที่แม่นมกู้กลับมาในตะกร้าก็เต็มไปด้วยข้าวของแล้ว นอกจากของใช้ในชีวิตประจำวัน นางยังซื้อผ้าสีชมพูให้เสิ่นเวยด้วย เนื้อผ้านั้นย้อมสีอย่างสม่ำเสมอ สำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็ถือเป็นของหรูหรามาก

    แน่นอนว่ายังมีขนมกุ้ยฮวาอีกหนึ่งห่อ เสิ่นเวยหยิบขึ้นมาชิมหนึ่งชิ้น เพราะรสชาติหวานไปนิดจึงไม่ถูกปาก แต่นางก็ยังกินเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย

    ระหว่างทางกลับนั้น พวกนางเดินผ่านคฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่าหลังหนึ่ง กำแพงทำจากอิฐหิน มีบานประตูสูง รูปปั้นสิงโตขนาดใหญ่สองข้างดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก คฤหาสน์ใหญ่โตโดดเด่นท่ามกลางบ้านเรือนขนาดย่อม ที่แท้นี่ก็คือจวนตระกูลฉาง โอ้อวดฐานะปานนี้ มิน่าเล่าจึงได้ถูกปล้น

    เสิ่นเวยกวาดตามองรอบๆ ด้วยสายตาราบเรียบ ภายในใจกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

    ตอนที่กลับถึงหมู่บ้านสกุลเสิ่นก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ลุงฝูผู้ทำหน้าที่เฝ้ายามกำลังยืนพิงประตูอาบแดด เมื่อเห็นพวกนางกลับมาแล้วก็รีบใช้ไม้เท้าพยุงตัว ก้าวออกมาต้อนรับ “กลับมาแล้วหรือขอรับ เพราะตาแก่อย่างข้าไร้ความสามารถไม่ได้ความ แม้แต่รถม้าก็ขับไม่ไหว ทำให้คุณหนูกับแม่นมต้องลำบากเดินทางไกลแล้ว" เขาถูมือไปมา ในแววตาเค็มไปด้วยความกังวลและรู้สึกผิด

    ท่านลุงฝูเป็นผู้ที่ปู่ของเสิ่นเวยให้คอยดูแลบ้าน นามว่าเสิ่นฝู เดิมทีเป็นนายทหารใหญ่ที่คอยติดตามจงอู่โหว แต่เพราะได้รับบาดเจ็บในสงครามทำให้เสียแขนไปข้างหนึ่ง ถึงแม้ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน แต่ก็ทำงานหนักไม่ได้ เขาเป็นคนที่นี่ ไม่ยอมจากชนบทและย้ายไปเมืองหลวง ทั้งบ้านจึงเหลือแค่เขาเพียงคนเดียว  จงอู่โหวจึงให้เขาช่วยเฝ้าบ้านของบรรพบุรุษ พูดให้ถูกคือลุงฝูเป็นสมาชิกในตระกูล ไม่ถือว่าเป็นบ่าวรับใช้ของสกุลเสิ่น

    หลายปีมานี้เหล่าเจ้านายเล็กใหญ่ในสกุลเสิ่นได้ย้ายไปพำนักที่เมืองหลวงอันห่างไกล ไม่บ่อยนักที่จะมีคนกลับมา แม้จะกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษก็พักอยู่เพียงสามสี่วันก็รีบร้อนกลับไปแล้ว ดังนั้นลุงฝูจึงเฝ้าบ้านอยู่เพียงลำพัง แม้จะเงียบเหงาบ้าง แต่ก็มีชีวิตอย่างอิสระ 

    หลังจากที่คุณหนูเวยหลานสาวของนายผู้เฒ่าสามกลับมารักษาอาการป่วยอย่างกะทันหัน ต่อมาเขาก็หกล้ม ไม่เพียงช่วยเหลืออะไรไม่ได้แล้ว ทั้งยังต้องให้คนอื่นดูแล เรื่องนี้ทำให้ลุงฝูผู้ซื่อสัตย์รู้สึกไม่สบายใจนัก

    หญิงสาวแสร้งทำเหมือนมองไม่เห็นท่าทีไม่สบายใจของอีกฝ่าย สีหน้าแสดงความดีใจ "ลุงฝู ท่านลุงลุกจากเตียงเดินเหินได้แล้วหรือ ดีจริงๆ เลย หากมีเวลาจะได้สอนกระบวนท่าให้เถาฮวา รอเมื่อนางใช้เป็นแล้ว ต่อไปไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารังแกข้า" สีหน้าของเสิ่นเวยเต็มไปด้วยความพอใจ แววตาเป็นประกาย

    เถาฮวาเองแววตาก็เป็นประกายเช่นกัน "ข้าจะต้องเรียนให้เก่ง" คุณหนูบอกแล้ว หากนางเรียนวรยุทธ์จากลุงฝู เมื่อเก่งแล้วก็จะได้กินเนื้อ

    "ไอหยาๆ  ดีๆ!" ลุงฝูตอบรับอย่างกระตือรือร้น ดวงตาแดงระเรื่อ คุณหนูเวยช่างเป็นคนดี เป็นคนดีเหมือนกับท่านโหว

    เสิ่นเวยผู้ถูกยกย่องเป็นคนดีกลับนอนไม่หลับสักนิด ในสมองมักจะปรากฏภาพของคฤหาสน์หรูหราโอ่อ่าของจวนตระกูลฉาง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มันหยั่งรากลึกจนอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง ไม่ว่าเสิ่นเวยจะพลิกตัวอย่างไรก็นอนไม่หลับ

    ในที่สุดนางก็ตัดสินใจที่จะทำตามความคิดในใจ เด็กสาวสวมเสื้อผ้าและลุกออกจากเตียง เปิดประตูอย่างเบามือ ก่อนจะเดินมายังกำแพง เห็นนางนางถอยหลังสามสี่ก้าว พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ปีนป่ายอยู่ครู่หนึ่งก็ขึ้นมาอยู่บนกำแพง เมื่อกระโดดอีกครั้งก็ออกมานอกกำแพงแล้ว การเคลื่อนไหวนี้เงียบเชียบไร้เสียง เสิ่นเวยผ่อนลมหายใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังในตัวเมือง ครั้งนี้นางใช้ความเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครั้งนี้ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเมื่อเช้าก็มาถึงตัวเมืองแล้ว

    เด็กหญิงยืนอยู่ข้างกำแพงของจวนตระกูลฉาง หยิบก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อนโยนเข้าไปด้านใน เมื่อไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ จึงอาศัยต้นไม้ใหญ่ข้างกำแพงปีนเข้าไป แนบตัวกับกำแพงเพื่อตรวจดู ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่น่าจะเป็นที่ตั้งจองเรือนหลัก

    ระหว่างทางพบกับหญิงรับใช้สี่คนที่รับหน้าที่ตอนกลางคืน เสิ่นเวยหลบอย่างระมัดระวัง

    รอบบริเวณล้วนตกอยู่ในความมืดมิด ห้องหนึ่งของเรือนหลักยังมีแสงตะเกียงอยู่ เสิ่นเวยลูบด้านล่างหน้าต่างๆ อย่างระมัดระวัง นิ้วมือแทงทะลุกระดาษหน้าต่างเข้าไปด้านใน มองลอดเข้าไปเห็นนายและบ่าวกำลังตรวจสอบบัญชี

    "ไท่ไท่ เดือนนี้น้อยกว่าเดือนก่อนสามสิบสองตำลึงเจ้าค่ะ" เด็กรับใช้สวมชุดคลุมสีถั่วเขียวพูดพลางดีดลูกคิดไปพลาง

    ผู้ที่ถูกเรียกว่าไท่ไท่คาดว่าน่าจะเป็นฮูหยินของนายผู้เฒ่าฉาง อายุประมาณสี่สิบปี ปิ่นระย้าบนศีรษะส่ายไปมาภายใต้แสงไฟ คิ้วเรียวทั้งสองข้างตวัดขึ้นแสดงถึงความหลักแหลมของคนผู้นี้

    เมื่อมองไปก็เห็นนางกำลังหยิบบัญชีบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู “เป็นเพราะเก่อต้าไม่รอบคอบล่ะสิ” น้ำเสียงราบเรียบสบายๆ กลับทำให้รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ หรือว่าไท่ไท่จะทราบว่าพี่เก่อต้ากับนางมาจากหมู่บ้านเดียวกัน?

    "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ดูแลเก่อเจ้าค่ะ" สาวใช้ตอบกลับอย่างนอบน้อม "เขาบอกว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลี่เจ้าของร้านขายผ้าตรงหัวมุมตระวันตกที่ถนนด้านหลัง ตอนที่นำสินค้าไปส่งเกิดเหตุเรือพลิกคว่ำ สินค้าเสียหาย คนก็ได้รับบาดเจ็บ ต้องใช้เงินจำนวนมากกอบกู้สถานการณ์ของครอบครัว จึงฝากคนมาถามว่าจะสามารถผ่อนผันไปก่อนได้หรือไม่ รอเมื่อมีเงินสักก้อนแล้วจะนำมาคืนพวกเราเจ้าค่ะ ผู้ดูแลเก่อฝากให้บ่าวขอคำแนะนำจากไท่ไท่ตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ แต่บ่าวมัวแต่คิดบัญชีทั้งวัน จนเกือบจะลืมไปแล้ว ไท่ไท่ ท่านคิดว่า..."

    "หมายถึงลูกชายคนโตของตระกูลหลี่ที่ดูแลน้องๆ ตั้งแต่อายุสิบขวบคนนั้นหรือ ข้าจำได้ว่าเหมือนเขาจะมีน้องสาวหนึ่งคน ชื่ออะไรนะ" ฉางไท่ไท่เลิกคิ้วถามกลับไป

    สาวใช้รีบตอบกลับไปว่า "ชื่อเสียวหม่านเจ้าค่ะ นางเป็นเด็กที่คล่องแคล่วมาก ยังเคยมาส่งดอกไม้ที่จวนด้วยเจ้าค่ะ ไท่ไท่ ท่านยังเคยมอบขนมหนึ่งกล่องเป็นรางวัลแก่นางไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ?" สาวใช้ลังเลออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า "ในบรรดาน้องชายน้องสาวทั้งสี่คน คนเล็กเพิ่งอายุได้สามขวบเจ้าค่ะ" ใครได้เห็นก็ต้องรู้สึกเวทนา

    ฉางไท่ไท่พยักหน้า "น่าสงสารจริงๆ ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำอะไร จะผ่อนผันให้สักครั้งแล้วกัน แต่ว่า..." ก่อนจะเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ถ้าหากเดือนหน้ายังไม่มีเงินมาจ่ายอีก ก็อย่าหวังว่าใครจะช่วยออกหน้าให้ได้นะ" อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าน้ำเสียงดุดันเกินไป นางจึงค่อยๆ ถอนหายใจออกมา "อายุปูนนี้แล้ว ใครมีชีวิตที่ดีบ้าง อย่างจวนของเรา คนนอกก็มองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เราอาศัย มองผ้าไหมแพรพรรณที่สวมใส่ ก็พากันอิจฉาอย่างกับอะไร แต่ใครจะรู้บ้างว่าภายในเป็นอย่างไร นายผู้เฒ่าของเจ้าไม่สนใจงานการ หลายสิบปากท้องภายในบ้านล้วนเป็นข้าเพียงคนเดียวที่จัดการดูแล แต่เขากลับมือเติบ วันนี้ซื้อนก พรุ่งนี้ซื้อภาพเขียน หากจัดสรรปันส่วนให้น้อยก็พาลมาทะเลาะกับข้า เขาคิดว่าลมหอบเอาเงินมาให้หรือไร มีใครรับรู้ถึงความลำบากของข้าบ้าง" จู่ๆ นางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา

    สาวใช้รีบพูดปลอบใจว่า "ไท่ไท่ คุณงามความดีของท่าน นายผู้เฒ่าล้วนเห็นอยู่ในสายตาเจ้าค่ะ เขาเคารพท่านมากที่สุด และดีกับนายน้อยใหญ่ของพวกเราที่สุด"

    "หึ เจี๋ยเอ๋อร์มีพรสวรรค์ในการเรียน นายผู้เฒ่าของเจ้าก็เลยแนะให้เขาสอบจิ้นซื่อ" ฉางไท่ไท่กลับไม่รู้สึกยินดี อยู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกัดฟันแน่น “ข้าก็บอกแล้วว่าตาเฒ่านั่นไม่ใช่คนดีอะไร อายุก็ปูนนี้แล้วยังรับนางจิ้งจอกเข้ามาในจวนอีก ข้าก็บอกแล้วว่านางจิ้งจอกนั่นเกี่ยวข้องกับพวกกุ๊ยข้างถนน แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง ดูเอาเถิดตอนนี้เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว นางหนีตามคนอื่นไปแล้ว ข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา แต่เขายังมีหน้ามาหาข้า ข้าก็อยากจะให้คนนอกรู้นักว่าอนุภรรยาในจวนตระกูลฉางถูกลักพาตัวไปแล้ว?" น้ำเสียงนั้นเกลื่อนไปด้วยความปรีดาในความทุกข์ยากของคนอื่น

    เสิ่นเวยที่อยู่ด้านล่างหน้าต่างก็เข้าใจในทันที อ๋อ ที่แท้จวนตระกูลฉางก็ไม่ได้ถูกขโมยเงิน แต่กลับถูกขโมยคน และฟังจากบทสนทนาของนายบ่าวคู่นี้แล้วดูเหมือนว่าพวกนางกำลังปล่อยเงินกู้ ในยุคสมัยนี้การปล่อยเงินกู้นั้นมีโทษฉกรรจ์ ดูแล้วจวนตระกูลฉางแห่งนี้ก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยยังลังเลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว นางจะทำ! คนที่หาเงินด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ นางก็ถือเสียว่าปล้นคนรวยช่วยคนจนก็แล้วกัน

    เสิ่นเวยรอพวกนางนอนหลับอย่างอดทน เดินผ่านประตูตรงไปยังที่เก็บเงินอย่างง่ายดาย ยัดตั๋วเงินและเงินจำนวนหนึ่งเข้าไปในอกเสื้อในทันทีโดยไม่แม้แต่จะนับ ในตอนที่จะหลบหนีออกไปนั้น ฝีเท้ากลับหยุดชะงัก ดึงปิ่นออกมาจากศีรษะขีดเขียนข้อความทิ้งไว้บนผนังห้อง ‘ยืมเงินสกปรกไปใช้สักหน่อย’ เชื่อว่าพรุ่งนี้เมื่อฮูหยินฉางพบว่าเงินไม่อยู่จะต้องไม่กล้ากระโตกกระตากออกไปแน่

    จับเงินที่ตุงอยู่ในอกเสื้อทำให้เสิ่นเวยตื่นเต้นไปตลอดทาง เมื่อไม่มีจึงจะรู้จักถนอมเอาไว้ ทรัพย์สินของนางในยุคบปัจจุบันมีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว และนางไม่เคยใส่ใจสิ่งเหล่านี้มากมาย แต่เวลานี้หัวใจของนางเต้นเร็วมาก

    เสิ่นเวยกลับมาที่ห้อง นางจุดตะเกียง แล้วล้วงเอารายรับที่ได้มาในคืนนี้ออกมาวางบนเตียงแล้วนับจำนวน กองตั๋วเงินทั้งหมดล้วนเป็นเงินใบละหนึ่งร้อยตำลึง มีมากถึงสิบสองใบ ส่วนที่เหลืออีกสี่สิบห้าสิบตำลึง นี่เป็นเงินกว่าหนึ่งพันสองร้อยตำลึง คิดเป็นค่าเงินหยวนปัจจุบันก็คือสองแสนหยวนกว่าๆ สินค้าในยุคโบราณมีราคาต่ำ เงินมากมายเช่นนี้สามารถทำอะไรได้ไม่น้อย

    หูยังคงฟังเสียงหายใจสม่ำเสมอของเถาฮวา ในใจของหญิงสาวพึงพอใจผิดจากทุกที ดีจริงๆ! ตอนนี้นางมีเงินแล้ว เมื่อมีเงินในมือ ในใจก็ไม่ต้องหวั่นวิตกใดๆ เพียงไม่นานก็เข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน

    เช้าวันต่อมา แม่นมกู้เข้ามาปลุกเสิ่นเวย ก็พบว่าคุณหนูตื่นอยู่ก่อนแล้ว นางกำลังนั่งเอนกายพิงกับหัวเตียง ในขณะที่เด็กรับใช้อย่างเถาฮวาที่ควรจะตื่นแต่เช้า กลับยังนอนกรนเป็นหมูอยู่เลย ในพริบตาต่อมาโทสะก็ปะทุขึ้น หญิงวัยกลางคนก้าวฉับๆ ไปดึงหูเด็กหญิง "ยังจะนอนอีกหรือ? เจ้าคิดจะเป็นหมู แล้วรอให้แม่นมอย่างข้าปรนนิบัติหรืออย่างไร?" ช่างเป็นเด็กรับใช้ที่ไม่ตั้งใจจริงๆ หากอยู่ในจวนไม่ถูกตีวันละแปดรอบหรือ

    เถาฮวาที่กำลังฝันหวาน เมื่อถูกดึงหูก็ร้องโอดโอยออกมาอย่างกับหมูถูกเชือดในทันที "อ๊ะ เจ็บๆ เจ็บ!" เพราะเสียงร้องดังลั่นทำให้แม่นมกู้ต้องปิดปากของนางไว้ 

    เมื่อแม่นมกู้ทำอย่างนั้น แรงดิ้นของเด็กหญิงเกือบจะทำให้นางล้มถลาไปด้านหนึ่ง ยันมือกับเตียง ก่อนจะก่นด่าออกมาว่า “นางเด็กสมควรตาย! เหตุใดจะต้องรุนแรงด้วย" เถาฮวาอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดอะไรออกมา

    ภาพเหตุการณ์ที่เถาฮวานอนหลับอยู่ในห้องของเสิ่นเวยฉายซ้ำทุกเช้า แม่นมกู้มักจะโมโหทุกครั้ง และเด็กสาวก็จะมึนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวทุกครั้ง เสิ่นเวยก็คุ้นชินเสียแล้ว

    หญิงกลางคนสั่งให้เถาฮวาไปยกน้ำมา ส่วนตนก็เดินมาหาเสิ่นเวย ช่วยนางสวมเสื้อผ้า 

    “แม่นม เมื่อคืนข้าฝันถึงท่านแม่" อยู่ๆ หญิงสาวก็เอ่ยปากขึ้น

     แม่นมกู้บีบมืออยู่ครู่หนึ่ง “คุณหนูคิดถึงท่านแม่หรือเจ้าคะ" ช่างน่าสงสารจริงๆ อายุยังน้อยก็เสียมารดาไปเสียแล้ว

    "ท่านแม่บอกให้ข้ามีชีวิตที่ดี ดูแลน้องชายให้ดี แล้วยังบอกอีกว่าได้ทิ้งของส่วนหนึ่งไว้ให้ข้า และถามถึงตุ๊กตากระต่ายที่นางทำให้ข้ากับมือด้วย" เสิ่นเวยเรียบเรียงคำพูดมาก่อนแล้ว “แม่นม ตุ๊กตากระต่ายของข้าล่ะ”

    สีหน้าของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนไป "ฮูหยินคงจะเป็นห่วงคุณหนูกับนายน้อยห้า ตอนนี้คุณหนูต้องมาอยู่ในชนบท ส่วนนายน้อยห้าก็ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง มิน่าเล่าฮูหยินจึงมาเข้าฝันคุณหนู"

    "ตุ๊กตากระต่ายของข้านำมาด้วยหรือไม่" มุมปากของเสิ่นเวยยกขึ้นน้อยๆ ถึงแม้นางรู้ว่าการอ้างชื่อฮูหยินผู้ล่วงลับมาเป็นข้ออ้างเป็นการไม่ให้เกียรติ แต่ว่าข้าอ้างนี้ใช้การได้ดี แม่นมกู้ไม่รู้สึกสงสัยสักนิด

    "นำมาเจ้าค่ะ บ่าวเก็บไว้ในกล่อง จะไปหยิบมาให้นะเจ้าคะ" คุณหนูคลอดปีกระต่าย ฮูหยินจึงใช้ตุ๊กตาตัวนี้มาหลอกล่อให้คุณหนูดีใจ หลังจากนางจากไปแล้ว คุณหูก็นอนกอดตุ๊กตาผ้าตัวนี้เสมอ ใช้เวลาเกือบจะสองปีจึงดีขึ้น ตอนนี้คุณหนูคงจะคิดถึงท่านแม่อีกแล้ว

    ตุ๊กตาตัวนี้ขนาดเท่าครึ่งหนึ่งของความสูงของคน สภาพเก่าจนมองไม่ออกแล้วว่าเนื้อผ้าเดิมเป็นสีอะไร เสิ่นเวยรับมาตบตู ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของแม่นมกู้ นางก็ดึงปิ่นปักผมออกมากรีดด้ายให้ขาดออก ล้วงเอาตั๋วเงินและเงินก้อนที่ได้มาเมื่อคืนออกมาจากด้านใน

    "นะ...นี่?" หญิงกลางคนประหลาดใจยิ่งนัก "เหตุใดจึงมีเงินมากมายเช่นนี้เจ้าคะ"

    "นี่ล้วนเป็นเงินที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า ในตอนนั้นข้ายังเล็ก ท่านแม่จึงยัดเงินไว้ในตุ๊กตา" เสิ่นเวยพูดโกหกได้หน้าตาเฉย

    "ฮูหยินช่างจิตใจดีจริงๆ! คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินจะต้องทราบว่าท่านจะต้องพบกับความยากลำบากเป็นแน่!" แม่นมกู้หลั่งน้ำตาออกมา นางเคยเป็นสาวใช้ประจำตัวของฮูหยินจากสกุลหร่วน ติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินตั้งแต่อายุเจ็ดแปดขวบ ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายบ่าว "เป็นเพราะพระพุทธองค์ช่วยคุ้มครองจริงๆ ไม่ได้แล้ว ข้าต้องไปจุดธูปกราบไหว้ท่าน ขอให้ช่วยคุ้มครองคุณหนูกับนายน้อยห้าให้ปลอดภัย"

    แม่นมกู้รีบออกไปจุดธูปในทันที ในที่สุดเสิ่นเวยก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เฮ้อ ในที่สุดก็หาทางอธิบายที่มาของเงินเหล่านี้ได้เสียที


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×