ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดหญิงสกุลเสิ่น

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 แข็งแกร่งขึ้นจึงเป็นเหตุผลที่จริงแท้

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 67


     

    ในที่สุดวันนี้เสี่ยวเถาฮวาก็ได้กินเนื้อ นางมีความสุขมากจนตามติดเสิ่นเวยไม่ยอมห่างไปไหนสักวินาที แม่นมกู้นำตะกร้าเข็มกับด้ายสำหรับทำงานเย็บปักออกมา เสิ่นเวยคอยช่วยแบ่งด้ายอยู่ข้างๆ แม่นมกู้มีฝีมือเย็บปักประณีตมาก ครึ่งเดือนตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นได้เงินเพียงแค่สามร้อยกว่าอีแปะ ซื้อด้ายไหมกับธัญพืชก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว หากพึ่งพาแค่แม่นมกู้แค่คนเดียวต้องไม่ไหวแน่

    "งานปักของคุณหนูก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ" แม่นมกู้มองผ้าเช็ดหน้าปักในมือของเสิ่นเวย แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม 

    มือของเสิ่นเวยที่ถือเข็มพลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางมากมาย เจ้าของเดิมของร่างกายนี้มีฝีมือดีอยู่แล้ว นางก็แค่อาศัยความสามารถเดิมที่มีอยู่ รวมกับสายตาของนางในตอนนี้ รวมกับการจับคู่สีและโครงสร้างแบบใหม่ก็เหมือนกับก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ

    แต่ว่านางก็ไม่คิดจะอาศัยสิ่งนี้เลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต งานเย็บปักหากทำติดต่อกันนานๆ จะไม่ดีต่อสายตา และรายได้ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เสิ่นเวยมีชีวิตที่สุขสบาย แต่ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์คับขัน

    .จะหาเงินได้อย่างไรล่ะ สำหรับเสิ่นเวยแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไร สิ่งที่นางหวั่นวิตกคือจะทำอย่างไรให้แม่นมกู้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของนางได้ หาเงินให้ได้มากมาย มีชีวิตที่มีความสุขและสุขสบายโดยที่ไม่ทำให้ความลับเปิดเผย 

    ในระหว่างที่เสิ่นเวยกำลังสับสนวุ่นวายหาทางแก้ไม่ได้อยู่นั้น วันเวลาก็เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่ออกไปเมื่อครั้งก่อน หญิงสาวก็เดินออกไปดูรอบๆ บ่อยครั้ง จนค่อยๆ คุ้นเคยกับบ้านสกุลเสิ่น

    บ้านสกุลเสิ่นไม่ได้มีขนาดใหญ่มากมาย มีสมาชิกเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วจะใช้แซ่เสิ่น แต่ละครอบครัวเกี่ยวข้องกันด้วยความสัมพันธ์บางอย่าง เสิ่นเวยเป็นลูกหลานลำดับที่สี่ของสกุลเสิ่น

    ปู่ของนางผู้เป็นจงอู่โหวกับผู้นำตระกูลคนปัจจุบันที่เป็นทายาทสายหลักเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ค่อยดีนัก ดูได้จากเรือนตะวันออกในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่นที่ตั้งอยู่เพียงลำพังในหมู่บ้าน ความขัดแย้งภายในหากพูดขึ้นมาแล้วจะยาวความ

    ในวัยเยาว์ เสิ่นผิงหยวน ปู่ของนางมีชีวิตที่ค่อนข้างยากลำบาก เมื่ออายุได้สามขวบก็ไม่เหลือบิดา จึงมีชีวิตที่ยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ มารดาของเขาครองตนเป็นโสด อดทนตรากตรำเลี้ยงดูเขาจนถึงเจ็ดขวบ ในช่วงสามสี่ปี ที่ดินสิบหมู่หดตัวลงมากกว่าครึ่ง มารดาของเขาไม่อาจอดทนถูกคนในตระกูลข่มเหงจึงแต่งงานใหม่ออกไป ที่ดินสี่หมู่ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านถูกตระกูลยึดกลับไป เหลือไว้ให้เพียงแค่กระท่อมสภาพทรุดโทรมขนาดสองห้องเท่านั้น แม้แต่เก้าอี้สภาพยังดีอยู่บ้างก็ไม่รู้ถูกใครหยิบไป เสิ่นผิงหยวนน้อย อ่อ ไม่สิ ในตอนนั้นท่านปู่เสิ่นยังไม่มีชื่อยิ่งใหญ่เช่นนี้ ชื่อเล่นของเขาเรียบง่ายมาก ชื่อว่าโก่วจื้อ นับจากนั้นมาเสิ่นโก่วจื้อต้องดำรงชีพด้วยการกินอาหารที่เหลือจากคนอื่น วันนี้กินข้าวบ้านนี้ พรุ่งนี้กินข้าวอีกบ้านหนึ่ง ยิ่งทำให้เขาอดอยากมากขึ้น ทั้งยังถูกรังแกบ่อยครั้ง

    หลังจากอดทนตรากตรำมาสามสี่ปี เสิ่นโก่วจื้อก็อายุสิบสามปี รูปโฉมของเขางดงาม ร่างกายแข็งแรงกำยำเหมือนกับคนหนุ่ม เพราะมีชีวิตอดอยาก จึงถูกชนชั้นสูงคนอื่นๆ ต่อต้าน ไปที่ใดก็ไม่มีใครพูดด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพ เพราะอย่างน้อยก็มีข้าวกิน

    เสิ่นโกวเป็นคนแข็งแกร่ง ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เขาสนิทสนมกับนายทหารตำแหน่งใหญ่ สายตาแหลมคม มีความปราดเปรื่องแยกแยะได้ดี ทั้งยังเป็นคนที่มีความอดทน เหมาะที่จะฝึกฝนเป็นยอดฝีมือ มีความสามารถโดดเด่นเข้าตาสวีเซิ่นหัวหน้ากองทัพแดงในตอนนั้น ผู้ซึ่งเป็นฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ต้าหย่งในเวลานี้ จนเขาได้เลื่อนขั้นเป็นองครักษ์คนสนิท ประทานนามให้ว่าผิงหยวน เสิ่นผิงหยวน เป็นผู้กล้าในสนามรบ ช่วยนายไว้หลายครั้ง ประสบความสำเร็จมากมาย

    หลังจากก่อตั้งราชวงศ์ สวีเซิ่นรู้สึกถึงความภักดีของเขา จึงแต่ตั้งเป็นจงอู่โหว รับหน้าที่ปกป้องดินแดนทางตะวันตก

    เมื่อข่าวเรื่องที่เสิ่นหยวนรบชนะและได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางแพร่กระจายกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเสิ่น จนพากันตื่นเต้นยินดีทั้งหมู่บ้าน ในสายตาของชาวบ้านทั่วไปมองว่า หัวหน้าหมู่บ้านได้เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่แล้ว จงอู่โหวเป็นขุนนางระดับใดกันเล่า ได้ยินว่าสามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ทุกวัน ทั้งหมู่บ้านตระกูลเสิ่นพลอยรู้สึกภาคภูมิใจไปด้วย เหล่าเครือญาติเมื่อเดินออกไปละแวกใกล้เคียงก็จะยืดอกตัวตรง

    แต่ละคนเหมือนได้รับอานิสงส์ไปด้วย บางคนถึงขนาดคำนวณว่าตนเองจะได้รับผลประโยชน์เท่าไรแน่นอนว่ามีคนบางกลุ่มเช่นเดียวกันที่ไม่พอใจ

    แต่ว่าเสิ่นผิงหยวนมีท่าทีเย็นชามาก เขาเพียงแค่กลับมากราบไหว้บิดา สร้างสุสานขึ้นใหม่ มอบเงินทองให้มารดาที่แต่งงานใหม่ออกไป สร้างคฤหาสน์เรียบง่ายขึ้นแทนคฤหาสน์ของบรรพบุรุษที่ผุพังแล้ว และรับญาติฝ่ายบิดาเข้าไปอยู่อาศัย

    ซื้อที่ดินสำหรับกราบไหว้บรรพชนหนึ่งร้อยหมู่ มอบให้ผู้นำตระกูลดูแล ทั้งยังเปิดสถานศึกษาสำหรับลูกหลานตระกูลเสิ่น ส่วนคำขอที่มากกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องคิดอีก เพียงแค่สิ่นผิงหยวนแผ่ความอำมหิตออกมา ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อหน้าเขาแล้ว แม้จะมีความคิดอะไรก็ทำได้แค่กักเก็บไว้ในใจ

    เสิ่นเวยรู้สึกดีกับท่านปู่ผู้น่าเกรงขามท่านนี้มาก แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมกลับไม่มีเงาของท่านปู่อยู่เลย

    ในคืนนี้หญิงสาวมีเรื่องบางอย่างต้องทำ รอเมื่อแม่นมกู้และเถาฮวานอนกลับแล้ว นางก็แอบออกไปฝึกวรยุทธ์ ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป แค่เดินก็เหนื่อยแล้ว ทำให้นางไม่สามารถทำอะไรได้ดั่งใจ เมื่อเวลาผ่านไปค่อยๆ รู้สึกว่าแขนเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง ขาที่เดินขึ้นเขาก็ไม่ปวดแล้ว ถึงแม้จะอ่อนด้อยกว่าร่างกายในโลกเดิมของนางมาก แต่วันเวลายังอีกยาวไกล นางยังคงมีเวลา

    วันนี้ แม่นมกู้จะไปส่งงานปักในเมืองอีกแล้ว เสิ่นเวยต้องสรรหาเหตุผลร้อยแปดกว่าอีกฝ่ายจะยาอมให้นางตามไปด้วย

    ทั้งสามคนออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงแม้เสิ่นเวยจะอายุสิบสองปีแล้ว แต่เพราะขาดสารอาหารเป็นเวลานานจึงทำให้ร่างกายผอมบาง ดูบริสุทธิ์และใสซื่อ อีกทั้งเมื่อต้องมาเจ็บป่วยครั้งใหญ่ ทำให้สีหน้าก็ไม่สู้ดี มองแล้วไม่สะดุดตานัก แต่ว่าเสิ่ยเวยพูดออดอ้อนออกมา แม่นมก็ห้ามนางไม่ได้แล้ว

    บ้านสกุลเสิ่นตั้งอยู่ค่อนข้างใกล้กับตัวเมือง ห่างกันประมาณสิบลี้ พวกนางออกเดินทางค่อนข้างเช้า จึงไม่พบใครระหว่างทาง เถาฮวาน้อยเห็นอะไรก็รู้สึกประหลาดใจไปหมด กระโดนโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่งก็วิ่งออกมาไกลแล้ว หลังจากนั้นจึงวิ่งกลับมารอเสิ่นเวยและแม่นมกู้ ปากคลี่ยิ้มกว้างอย่างร่างเริง

    ขาของเสิ่นเวยค่อยๆ หนักขึ้น หน้าผากมีเหงื่อบางๆ ซึมออกมา ในที่สุดก็มาถึงตัวเมืองเสียที นางกำหมัดแน่นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ

    แม่นมกู้ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นาง พลางบ่นว่า "ตัวเมืองมีอะไรน่าดูนักหรือเจ้าคะ คุณหนูถึงได้ดื้อดึงจะมาให้ได้เช่นนี ดูสิ เหนื่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ!" มือของนางอบอุ่นมา เมื่อแนบกับใบหน้าจึงรู้สึกสบายมาก เสิ่นเวยยกยิ้มมุมปาก “แม่นม แม่นม อีกเดี๋ยวท่านต้องซื้อของอร่อยให้ข้านะ" นางออดอ้อนอย่างร่าเริง

    “ซื้อเจ้าค่ะ ซื้อ จะซื้อให้คุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ" แม่นมกู้ตอบรับต่อเนื่อง มองหญิงสาวน่าทะนุถนอมตรงหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ นี่คือเด็กที่นางอุ้มชูขึ้นมาเองกับมือ! นางไม่มีคนรักคนอื่นแล้ว คุณหนูเป็นทั้งหมดของนาง เพื่อคุณหนูแล้ว ให้นางทำสิ่งใดนางล้วนเต็มใจ

    แม่นมกู้ไปส่งงานปักก่อน เพราะทำออกมาได้ดี เถ้าแก่เนี้ยร้านขายงานปักจึงยินดีจะให้ราคายุติธรรมปัดเป็นสี่ร้อยห้าสิบอีแปะ "กระเป๋าเงินใบเล็กยี่สิบสามใบ ใบละสิบสองอีแปะ เท่ากับสองร้อยเจ็ดสิบหกอีแปะ ผ้าเช็ดหน้าสิบเจ็ดผืน ผืนละสิบอีแปะ เท่ากับหนึ่งร้อยเจ็ดสิบอีแปะ" เถ้าแก่เนี้ยดีดลูกคิด "รวมกันแล้วเท่ากันสี่ร้อยสี่สิบหกอีแปะ ปัดเป็นสี่ร้อยห้าสิบอีแปะ ป้ากู้ เจ้าดูว่าถูกหรือไม่" เถ้าแก่เนี้ยแย้มยิ้มสดใส

    “ถูก ถูกแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่ดูแล" แม่นมกู้พอใจมาก "เถ้าแก่เนี้ยใจกว้างจริงๆ มิน่าเล่ากิจการของท่านจึงขายดิบขายดีเช่นนี้"

    แม่นมกู้ประจบประแจงเถ้าแก่เนี้ยอย่างไม่กระดากอาย สำหรับคนที่เคยรับใช้อยู่ในจวนมาก่อนอย่างแม่นมกู้ถือเป็นเรื่องง่ายดายมาก 

    รอยยิ้มของเถ้าแก่เนี้ยขยายกว้างมากขึ้น "เด็กสาวสองคนนี้เป็นลูกสาวของเจ้าหรือ หน้าตางดงามสดใสยิ่งนัก" นางมองไปยังเสิ่นเวยและเถาฮวาที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่นมกู้สายตาชะงักอยู่ที่เสิ่นเวยครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้มีสง่าราศีจริงๆ

    ถึงแม้เสิ่นเวยจะยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่บนตัวของนางก็มีความสง่างามน่าเกรงขามอยากบอกไม่ถูก ย่อมหลบไม่พ้นสายตาหลักแหลมของคนที่ทำการค้ามานานปีอย่างเถ้าแก่เนี้ย นางรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้สง่างามกว่าเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ที่มักจะซื้อสินค้าที่ร้านเสียอีก ส่วนเถาฮวาที่ตัวเล็กกว่านั้น นางไม่สนใจสักนิด

    "อ่ะ ไม่ใช่..." แม่นมกู้นิ่งชะงักไป ก่อนจะรีบร้อนปฏิเสธ แต่เสิ่นเวยตาเป็นประกายรีบชิงพูดขึ้นเสียก่อน "ไม่ใช่เจ้าค่ะ นี่คือท่านป้าของข้าเอง" สถานที่เล็กๆ เช่นนี้ทำวางตัวต่ำต้อยสักหน่อยจะดีกว่า

    ถึงแม้แม่นมกู้จะปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว ถึงแม้ภายในใจจะนึกสงสัย แต่สุดท้ายก็นิ่งเงียบยอมรับ


     

    เมื่ออกมาจากร้านขายของเย็บปัก แม่นมกู้ก็เอ่ยปากบ่นในทันที "คุณหนู บ่าวเป็นคนระดับใดเจ้าคะ จะเป็นญาติผู้ใหญ่ของคุณหนูได้อย่างไร คุณหนูก่อเรื่องวุ่นวายเกินไปแล้ว หากใครได้ยินเข้า แล้วบ่าวจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเจ้าคะ" คนที่เป็นบ่าวต้องรักษาระยะห่าง ต้องรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร แม้เจ้านายจะยังเด็ก แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นนาย

    "แม่นม" เสิ่นเวยเอ่ยขัดคำพูดของอีกฝ่าย "แม่นม เวลานี้ข้าพึ่งพางานเย็บปักของท่านเพื่อเลี้ยงชีพ จะถือว่าเป็นคุณหนูได้อย่างไร ถึงแม้เมืองหลินอันแห่งนี้ไม่ได้มีขนาดเล็ก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถึงแม้สกุลหลิวจะไร้ความปราณี แต่ข้าจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสิ่นเสียหายไม่ได้"

    เสิ่นเวยกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง แฝงความน่าเกรงขามของผู้สูงศักดิ์ จนทำให้แม่นมกู้นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่นางโอบกอดไว้ในอ้อมแขนเมื่อวาน วันนี้ได้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว

    "คุณหนูกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ต้องโทษที่บ่าวไม่เอาไหน" หญิงวัยกลางคนรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง แต่นางต้องยอมรับว่าสิ่งที่คุณหนูกล่าวเป็นความจริงๆ

    "เอาเถิดแม่นม ชีวิตของพวกเราจะต้องดีขึ้น" เสิ่นเวยเห็นอีกฝ่ายรู้สึกเศร้าหมองจึงรีบปลอบใจ แม้แต่เถาฮวาก็พยัหน้าแรงๆ "จะต้องดีขึ้น กินเนื้อ"

    เพียงไม่นานก็ถูกทั้งสองคนทำให้ยิ้มได้ "เจ้านี่นะ เป็นจอมตะกละจริงๆ" แม่นมกู้ถลึงตาใส่เถาฮวาอย่างระอาใจ ในตอนนี้ได้ลืมความผิดหวังเมื่อครู่ไปเสียแล้ว

    พวกนางเดินทางมาครั้งนี้ต้องไปซื้อธัญพืชกับเครื่องปรุงด้วย อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว แม่นมกู้คิดจะตัดเย็บเครื่องแต่งกายชุดใหม่ให้คุณหนู ถึงแม้จะเทียบวัสดุในจวนไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นของใหม่

     แม่นมกู้เป็นกังวลว่าคุณหนูจะเดินเหนื่อย นางจึงล้วงเอาเงินสิบอีแปะออกมามอบให้นางและเถาฮวาไปนั่งพักที่ร้านชาริมถนน

    ตอนนี้เป็นเวลาสายแล้ว เสิ่นเวยจึงรู้สึกกระหายนิดหน่อย นางหาโต๊ะนั่งจ่ายเงินหนึ่งอีแปะซื้อชาร้อนสองชามใหญ่ สองมือยกประคองจิบชาเข้าไปทีละคำๆ

    "นี่ สหาย เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าบ้านนายผู้เฒ่าฉางถูกปล้นแล้ว" เสียงกระซิบกระซาบจากโต๊ะข้างพูดอย่างมีลับลมคมใน

    "จริงหรือ ตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าเพิ่งจะไปส่งฟืนให้เขา ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินี่" ชายวัยกลางคนแขนเสื้อมีรอยปะชุนกล่าวขึ้น

    "ไอหยา น้องสามแซ่จู อย่างเจ้าจะมองอะไรออกกัน ดูความสามารถของเจ้าเสียก่อนเถอะ" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน "ลูกพี่ลูกน้องของน้องเขยข้าทำงานในราชสำนัก บอกว่าเป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน ในตอนนั้นขุนนางปกครองเมืองสั่งคนออกไป ก็ไม่รู้ว่าสมบัติอะไรที่หายไป ตามหาอยู่สามสี่วันแล้ว" น้ำเสียงแฝงความอิจฉา

    "แม้จะเป็นสมบัติล้ำค่าเพียงใดก็ไม่มีส่วนของเจ้าสักหน่อย" นี่เป็นคำพูดของอีกคนหนึ่ง "เจ้าไม่เห็นต้องเดือดร้อนด้วยนี่" เพราะคำพูดนี้ทำให้อีกสามสี่คนพากันหัวเราะร่วน

    "พวกเจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของพวกเขาหรือไม่" เสียงนั้นแฝงความสงสัย ลดระดับเสียงลงต่ำ เสิ่นเวยสังเกตเห็นว่ามือของคนผู้นั้นดูเหมือนจะชี้ไปทางตะวันออก

    หญิงสาวหัวใจกระตุกวูบ พลันรู้สึกสนใจขึ้นมา ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป "พูดอะไรกัน เจ้าอยากตายหรือ?" ท่าทีหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เสียงกระซิบกระซาบหยุดลง เพียงอึดใจเดียวก็แยกตัวออกไป

    เสิ่นเวยเอียงคอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าที่นี่จะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×