ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดหญิงสกุลเสิ่น

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1  ข้าจะกินเนื้อ

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 67


     

    ในฤดูเหมันต์ ถึงแม้อากาศจะหนาวเย็น แต่เพราะดวงอาทิตย์ ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นและมีความหวัง

    ในลานที่ไม่ใหญ่มากนัก ไม่มีทิวทัศน์สีสันสดใสของดอกไม้นานาพันธุ์เหมือนอย่างทุกที แม้แต่ต้นไผ่ริมกำแพงก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในลานดูทรุดโทรมมากขึ้นไปอีก

    เสิ่นเวยกำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้โยกตัวเก่า ขาออกแรงกดและผ่อนแรงเป็นจังหวะจนเสียงเสียดสีดังมาจากเก้าอี้ หญิงสาวหรี่ตานอนอาบแดด เรือนผมสีดำขลับพลิ้วไหวไปในอากาศตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตใจผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

    ข้างกายของนางยังมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณเจ็ดแปดขวบ เกล้ามวยผมเหนือศีรษะ กำลังนั่งยองๆ ด้วยท่านั่งม้า มือยกโม่หินไว้ ปากขยับนับเลขเสียงเบา

    ใช่แล้ว! ไม่ได้มองผิดไป นั่นก็คือโม่หินจริงๆ! ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็หนักหลายสิบจิน ใครที่ได้เห็นภาพนี้ล้วนจะต้องตกตะลึงกับแรงกายของเด็กผู้นี้

    "คุณหนู ถือไว้อย่างนี้ทุกวัน เรี่ยวแรงจะมีมากขึ้นหรือเจ้าคะ" ใบหน้าของเด็กหญิงแดงก่ำ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่เต็มไปหมด

    "เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไหร่กัน" เสิ่นเวยอารมณ์ดีมาก อยู่ๆ ก็มาโผล่ในสถานที่บ้าๆ เช่นนี้ อีกทั้งยังรับช่วงร่างกายอ่อนแอของคนอื่นมาใช้ต่อ รอเมื่อนางจัดระเบียบความทรงจำที่แสนวุ่นวายในสมองเรียบร้อยแล้ว ก็รู้ว่าตนคงไม่หวังที่จะมีอนาคตที่สวยงามอีกแล้ว

    เวลานี้นางมีชีวิตอยู่ในยุคที่ชื่อว่าต้ายง แม่นางน้อยที่มีนามว่าเสิ่นเวยเช่นเดียวกันนี้มีชีวิตที่ทุกข์ระทม นางมีชีวิตอันแสนสั้นแค่สิบสองปี เสียแม่บังเกิดเกล้าไปตั้งแต่อายุยังน้อย แม่เลี้ยงก็ไม่ใช่คนดีอะไร พ่อที่ไม่เอาไหนก็ไม่แยแส ถูกน้องสาวต่างมารดากลั่นแกล้งจนตัวตาย ถึงแม้พ่อของนางไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตนักแต่ก็เป็นขุนนางขั้นสี่ในเมืองหลวง แต่แม่นางผู้นี้กลับมีชีวิตแร้นแค้นยิ่งกว่าสาวใช้ ถูกแม่เลี้ยงรังแกจนกลายเป็นคนขี้ขลาด

    ไม่เพียงเท่านี้ ในวันที่อากาศหนาวเย็นมากวันหนึ่ง นางถูกน้องสาวต่างแม่ผลักลงไปในสระน้ำ พวกเขาไม่แม้แต่จะเชิญท่านหมอมาดูอาการ นางก็ถูกแม่เลี้ยงส่งมาทิ้งไว้ที่บ้านเดิมของบรรพบุรุษอันอยู่ห่างไกล ตั้งอยู่ในหมู่บ้านทางเหนือที่ชื่อว่าบ้านสกุลเสิ่น โดยอ้างว่าเพื่อให้นางรักษาตัว หมู่บ้านแถบชานก็มีแต่ไม่ยอมส่งไป แต่กลับเลือกส่งนางมายังบ้านเดิมของบรรพบุรุษที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้ แม่เลี้ยงก็คงเกลียดชังนางมากจริงๆ!

    เงินก็ไม่มี  ส่วนคนก็มีแค่คนตัวเล็กๆ สองสามคน มีแม่นมที่ดูแลนางตั้งแต่ยังเด็ก เด็กผู้หญิงอายุแปดขวบที่ชอบนั่งเหม่อ และชายชราที่รับหน้าที่เฝ้าประตูอีกคน ทำให้เสิ่นเวยที่เพิ่งมาถึงโลกใบนี้ก็นึกอยากตายเสียเดี๋ยวนั้น

    หลังจากที่ต้องทนดื่มยาขมๆ มาเป็นแรมเดือน ในที่สุดเสิ่นเวยก็มีแรงลุกจากเตียง นางก็ยอมรับชะตากรรมได้แล้ว รู้ว่าตัวเองคงไม่มีทางที่จะกลับไปได้อีก แต่ว่านางเสิ่นเวยผู้นี้เป็นใครกัน? จะยอมทนมีชีวิตที่ยากลำบากได้อย่างไร โจ๊กข้าวกล้องนั่นนางก็กินมามากพอแล้ว ปากที่คุ้นชินกับอาหารโอชะ ไม่ได้กินของดีๆ มันก็แทบจะไม่รู้รสชาติเสียแล้ว

    ทำอย่างไรถึงจะมีเงินล่ะ? เมื่อยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้ เสิ่นเวยก็เริ่มคิดหาหนทางยังชีพ เมื่ออารมณ์ความรู้สึกเปลี่ยนไป เพียงไม่นานก็จะค้นพบอะไรใหม่ๆ ข้างกายนางมีแค่เสี่ยวเฉ่า ไม่ใช่สิ เถาฮวา เดิมทีเด็กคนนี้ชื่อว่าเสี่ยวเฉ่า แต่นางรู้สึกว่าไม่ไพเราะ เช่นนั้นจึงเปลี่ยนชื่อนางเป็นเถาฮวา

    เรื่องก็เป็นเช่นนี้ วันนั้นเสิ่นเวยออกมาเดินเล่น เมื่อมองไปก็ได้เห็นร่างผอมบางของเถาฮวากำลังใช้ขวานเล่มใหญ่ผ่าฟืน มีเสียงท่อนไม้ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนดังมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่น่าเชื่อ! นี่มันหญิงแกร่งชัดๆ! เด็กคนนี้ก็มีฝีมือทีเดียว หากสอนอีกหน่อย วันหน้านางจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือของยุทธภพแน่!

    ด้วยเหตุนี้เอง ชีวิตที่ยากลำบากของนางจึงมีสีสันขึ้นมาแล้ว

    "คุณหนู หากวันนี้ข้ายกได้ครบห้าสิบครั้งจะมีเนื้อกินแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ" เถาฮวามองคุณหนูของตัวเองด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงแม้ว่าการยกหินหนักๆ จะเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก แต่อีกเดี๋ยวก็จะมีเนื้อกินเชียวนะ! นานมากๆ แล้วที่นางไม่ได้กินเนื้อ เมื่อปีที่แล้วตอนวันเกิดคุณหนู ท่านก็แอบมอบเนื้อตุ๋นน้ำแดงให้นางหนึ่งชิ้น มันรสชาติดีมากเสียจนนางแทบจะเผลอกลืนลิ้นลงท้องไปเลยล่ะ

    “กินเนื้อ?” ขาที่แกว่งไกวของเสิ่นเวยพลันหยุดชะงัก "ระ...เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วสิ คำพูดของคุณหนูเช่นข้าก็เชื่อถือได้นะ" เสิ่นเวยตบอกยืนยัน แต่ในใจไม่รู้สึกดีนัก กินเนื้อ! เจ้ากินเนื้อ! ข้าก็อยากกินเหมือนกัน! อย่าว่าแต่กินเนื้อเลย แม้แต่โจ๊กข้าวกล้องก็จะไม่มีให้กินแล้ว อย่าคิดว่านางไม่รู้นะว่าแม่นมกู้กับเถาฮวาก็กินแต่ผักชุบไข่ทอด

    "คุณหนู คุณหนู ครบแล้วเจ้าค่ะ! ข้านับถึงห้าสิบแล้ว ไม่ขาดไปแม้แต่นิดเดียว" ในขณะที่เสิ่นเวยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสี่ยวเถาฮวาก็โยนโม่หินทิ้งไป ก่อนจะมองมาที่นาง ดวงตาสีดำกลมโตสะท้อนความใสซื่อของนาง

    เสิ่นเวยถอนหายใจ ก่อนจะลุกยืนขึ้น "ไปเถอะ!"

    “อ้อ" เถาฮวาไม่คิดจะถามสิ่งใดอีก เพียงแต่ติดตามไปด้านหลังด้วยความตื่นเต้นยินดี

    ลมหนาวครั้งนี้แทบจะคร่าชีวิตของเสิ่นเวยเสียแล้ว หรือหากจะพูดให้ถูกก็คือมันได้พรากชีวิตของหญิงอาภัพผู้นั้นไปแล้ว นอกจากเงินสิบสองตำลึงที่แม่เลี้ยงมอบให้เพื่อรักษาหน้าตัวเอง นางก็แทบจะไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นเลย นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่ซักจนซีด ปิ่นปักผมสามสี่ชิ้นที่แม้แต่สาวใช้ขั้นสองในจวนก็ไม่เห็นค่าถูกนำมาใช้แลกเป็นค่าหมอกับค่ายา ในมือของเสิ่นเวยไม่มีเงินเหลือสักแดงเดียว แล้วจะมีเนื้อกินได้อย่างไร

    นางรู้สึกว้าวุ่นใจ! เผลอเดินออกมาจากบ้านโดยไม่รู้ตัว แม่นมกู้ไปซื้อด้ายที่ตลาดยังไม่กลับมา ส่วนท่านลุงฝูที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูลื่นล้มเมื่อหลายวันก่อน เสิ่นเวยจึงให้เขานอกพักอยู่ที่ห้อง ตอนนี้นางจึงออกจากบ้านได้อย่างสะดวก

    เมื่อเดินออกจากบ้านสกุลเสิ่นไปทางตะวันออกหนึ่งลี้ก็เป็นภูเขาแล้ว เพราะบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของหมู่บ้าน จึงไม่พบชาวบ้านคนอื่นๆ ระหว่างที่เดินมา

    บนภูเขาในช่วงฤดูหนาว นอกจากต้นไม้ก็เป็นก้อนหินและหญ้าแห้ง เสิ่นเวยพาเถาฮวาเดินไปตามทางสายเล็กมุ่งหน้าไปยังภูเขา มองหาสิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ ไหนๆ นางก็พูดออกไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องหาเนื้อมาให้เด็กคนนี้กินให้จงได้

    เดินมาได้หนึ่งชั่วยามก็ไม่พบอะไร แม้แต่ผลไม้แห้งก็ไม่มี ในตอนที่เสิ่นเวยกำลังสิ้นหวังนั้น กระต่ายป่าตัวสีเทาก็กระโดดพรวดออกมาจากด้านข้าง หญิงสาวตาเป็นประกายในทันที นี่ก็คือเนื้อไม่ใช่หรือ? ในเมื่อบนภูเขามีกระต่ายป่า เช่นนั้นก็ต้องมีพวกไก่ป่าด้วยสิ หากจับไปขายก็พอมีเงินแล้ว

    เสิ่นเวยมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะก้มลงเก็บหินขึ้นมาโยนขึ้นโยนลงเพื่อกะจังหวะ แล้วขว้างไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปสิบก้าว บนเปลือกไม้ปรากฏเป็นรอยบากเพียงตื้นๆ เท่านั้น นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้ามองข้อมือเล็กๆ ของตัวเอง พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ร่างนี้ก็ช่างอ่อนแอเสียจริง คิดถึงตอนที่นางเป็นถึงกุหลาบเหล็กผู้คร่ำหวาดอยู่ในโลกของทหารรับจ้างแล้ว แค่ปืนไรเฟิลกระบอกเดียวก็สาดยิงไอ้พวกเลวได้เป็นสิบๆ 

    หญิงสาวส่ายหน้าหยุดความคิดของตัวเอง ก่อนจะเก็บก้อนหินขึ้นมาลองอีกสามสี่ครั้ง เถาฮวามองตาไม่กะพริบ "คุณหนูเก่งจริงๆ เลยเจ้าค่ะ"

    เมื่อพบกระต่ายป่า พวกนางก็เริ่มมีความหวัง หลังจากใช้เวลาสามชั่วยามในตอนเช้าไปกับการล่าสัตว์ เสิ่นเวยก็ได้กระต่ายป่ากับไก่ป่ามาอีกสองตัว นี่ก็ถือว่านางไม่ได้มาเสียเที่ยว

    ส่วนเถาฮวานั้นก็เกาะเสื้อของหญิงสาวอย่างมีความสุข "คุณหนู ข้าอยากฝึกอันนี้" หากฝึกสำเร็จก็จะมีเนื้อกิน กระต่ายตัวอวบอ้วนอย่างนี้ ไก่ป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ มีเนื้อเยอะเลย!”

    เสิ่นเวยรับปากอย่างอารมณ์ดี "ได้สิ รอเมื่อเจ้ายกโม่หินได้ครบร้อยก่อนนะแล้วข้าจะสอนเจ้า"

    เสี่ยวเถาฮวาที่อยากกินเนื้อพยักหน้าหงึกๆ ไม่ยอมหยุด หิ้วกระต่ายและไก่ป่าตามคุณหนูของตนไปด้านหลัง มองกระต่ายที ลูบไก่ป่าที ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างดีใจ

    เมื่อมาถึงบ้าน แม่นมกู้กลับมาถึงก่อนแล้ว เมื่อหญิงวัยกลางคนในชุดสีครามเรียบง่ายมองเห็นเสิ่นเวย ความกังวลในสายตาจึงเลือนหายไป รีบพุ่งเข้ามาจับมือคุณหนูของตนไว้ สายตากวาดมองอย่างสำรวจด้วยกลัวว่าจะพลาดตรงไหนไป "คุณหนูไปที่ไหนมาเจ้าคะ บ่าวตกใจหมด"

    เสิ่นเวยคลี่ยิ้มบาง "ก็แค่ออกไปเดินเล่นข้างนอกเท่านั้นน่ะ แม่นม ข้าไม่เป็นไรหรอก"  หนึ่งเดือนมานี้หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็ดูแลนางทั้งยามกลางวันและกลางคืน คอยเช็ดตัว คอยป้อนยา พูดนั่นพูดนี้อยู่ข้างหูนาง เสิ่นเวยก็รู้สึกดีกับนางมาก

    "แม่นม กินเนื้อ" เถาฮวาที่อยู่ด้านหลังยกกระต่ายและไก่ป่าในมือให้แม่นมกู้ดูพลางยิ้มตาหยี่

    หญิงวัยกลางคนประหลาดใจมาก "ได้มาจากที่ไหนกัน คุณหนูขึ้นไปบนเขาหรือเจ้าคะ นี่ก็ขึ้นไปไม่ได้นะเจ้าคะ" แม่นมกู้ตื่นตระหนกขึ้นมา "บนภูเขมีสัตว์ร้ายมากมาย เมื่อปีก่อนนายท่านเจ็ดของตระกูลทางฝั่งตะวันตกก็ถูกหมีทำร้ายจนขาขาด เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เป็นทายาทสายตรงของสกุลเสิ่นแห่งเมืองจิงเฉิง หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ข้าจะชดใช้ให้กับฮูหยินผู้ล่วงลับได้อย่างไรกัน"

    แม่นมกู้สะอึกสะอื้น ดวงตาแดงก่ำ ใช้แขนเสื้อซับน้ำตา "คุณหนูอย่าทำให้บ่าวตกใจนะเจ้าคะ โธ่ ไม่มีท่านแม่ก็ลำบากอยู่แล้ว พวกคนเลวใจจืดใจดำ คราแรกสาบานต่อฟ้าดินว่าจะเมตตาคุณหนู เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปีก็ส่งคุณหนูมายังชนบท น่าสงสารนายน้อยห้าก็ไม่รู้ว่าถูกกลั่นแกล้งอย่างไรบ้าง"

    นายน้อยห้าเป็นน้องชายร่วมมารดาของเสิ่นเวย ชื่อว่าเสิ่นเจวี๋ย อายุน้อยกว่าเสิ่นเวยสี่ปี มารดาของพวกเขาเป็นคนสกุลหร่วน นางได้รับบาดเจ็บตอนที่คลอดเฉินเจวี๋ย ไม่ถึงครึ่งปีก็ตายจากไป ทิ้งเสิ่นเวยที่อายุเพียงสี่ขวบและน้องชายของนางที่ยังไม่ครบขวบปีไว้

    "แม่นม ข้าก็แค่เดินเล่นอยู่ด้านนอกเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปด้านในเสียหน่อย" หญิงสาวปลอบอีกฝ่ายเสียงเบา แม่นมที่คอยพึ่งพออาศัยกันเป็นเพียงคนเดียวที่ดีกับนาง "แม่นม ถึงตอนนี้แล้ว ข้าก็ไม่ใช่คุณหนูผู้สูงศักดิ์อีกแล้วนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือพวกเราต้องมีชีวิตที่ดี ยังจะต้องสนใจกฎระเบียบอะไรอีก แม่นม ข้าโตแล้ว"

    เสียงของเสิ่นเวยไม่ดังนัก แต่แฝงความหนักแน่นเอาไว้ นางต้องอาศัยโอกาสนี้ทำให้แม่นมกู้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของนางให้ได้โดยเร็ว เช่นนี้นางจึงจะสามารถทำเรื่องต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกังวล

    เป็นดังที่คาด หญิงวัยกลางคนนิ่งชะงักไป ก่อนจะน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหนูโตแล้ว เข้าใจสิ่งต่างๆ แล้ว" แววตาของนางฉายความชื่นชมมาก ในความอ่อนโยนนั้นเจือความรักใคร่ไว้ด้วย

    หลายวันมานี้ความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูล้วนอยู่ในสายตาของนาง เด็กขี้กลัวคนนั้น แม้จะต้องกินยารสขมหรือกินโจ๊กข้าวกล้องที่กลืนยากก็ไม่มีน้ำตาสักหยด หญิงวัยกลางคนคลี่ยิ้มบาง เหมือนกับท่านแม่ผู้ล่วงลับของนางไม่มีผิด ฮูหยินเจ้าคะ เป็นเพราะบ่าวไม่เอาไหน ไม่อาจปกป้องคุณหนูได้ ทำให้นางต้องทุกข์ยากตั้งแต่ยังเล็ก

    “แม่นม กินเนื้อ!" เถาฮวาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายปวดใจเรื่องอะไร "คุณหนูรับปากว่าจะให้ข้ากินเนื้อ" นางกอดกระต่ายกับไก่ป่าไว้แน่นด้วยกลัวว่าแม่นมกู้จะไม่ให้นางกิน

    “กิน กิน เจ้าก็รู้จักแต่เรื่องกินเท่านั้น!"  แม่นมกู้เกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันที ชี้หน้าผากของเถาฮวา ราวกับว่าอีกฝ่ายทำตัวไม่ได้ดั่งใจ  "เจ้าก็ระวังกิริยาไว้บ้างเถอะ ข้าเคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว พูดกับเจ้านายเสียงต้องเบาและไพเราะ ใครจะเหมือนเจ้าที่พูดจากระโชกโฮกฮาก? เจ้าอย่างนั้น ข้าอย่างนี้ ต้องแทนตัวเองว่าบ่าว ถ้าหากเจ้าแสดงกิริยาอย่างนี้ในจวนก็คงถูกตีจนตายแล้วโยนศพไว้ในสุสานไร้ญาติเสียตั้งนานแล้ว เพราะคุณหนูของเราจิตใจดีมีเมตตาต่อเจ้า หากไม่ใช่คุณหนู ก็ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะถูกพ่อผีพนันนำไปขายซ่องแล้วก็ได้ บอกว่าอยากกินเนื้อมิใช่หรือ แล้วยังไม่รีบไปผ่าฟืนในครัวอีก!"

    เถาฮวายู่ปากอย่างขุ่นเคือง ทำให้แม่นมกู้โมโหจนนึกอยากดึงนางกลับมาด่าสักยก

    "พอแล้วแม่นม เถาฮวายังเด็ก วันนี้พวกเรากินเนื้อก็แล้วกัน ข้าเองก็อยากกิน" เสิ่นเวยโอบกอดหญิงกลางคนไว้ ท่าทีออดอ้อนอีกฝ่าย นางรู้ว่าแม่นมกู้ปากร้ายแต่จิตใจดี ปกติก็ดีกับเถาฮวามาก

    คุณหนูอยากกินเนื้อ ก็ต้องเป็นเช่นนั้น แม้จะตอบรับ แต่แม่นมกู้ก็ไม่ลืมบ่นอีกหน่อย "คุณหนูอย่าตามใจเด็กคนนั้นเกินไปนะเจ้าคะ นางไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ควรจะเรียนรู้กฎระเบียบได้แล้ว"

    "รู้แล้ว ข้ารู้แล้ว" หญิงสาวตอบรับอย่างขอไปที

    ทว่าแม่นมกู้ผู้หลักแหลมกลับลืมถามไปเสียว่ากระต่ายกับไก่ป่าได้มาจากไหน จนกระทั่งตอนที่เก็บจานเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามออกไป แต่เสิ่นเวยกลับโยนไปให้เถาฮวาแทน

    หญิงกลางคนคิดว่า ถึงแม้เถาฮวาจะยังเล็ก แต่ก็มีเรี่ยวแรงมากพอตัว ไม่แน่ว่าแมวตาบอดอาจจะโชคดีไปพบเสือตายก็เป็นได้ เช่นนั้นจึงไม่คิดสงสัยอะไรอีก




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×