ตอนที่ 5 : เบาหน่อยมินโฮ ตอนที่5
เบาหน่อยมินโฮ ตอนที่5
SEUNGYOON’S PART
มันคือเวลาช่วงเช้ามืด เราเดินทางต่อจากโกดังร้างที่เป็นจุดคุมขัง กลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้งหนึ่งด้วยรถยนต์สองคัน และรถตู้แวนคั่นระหว่างกลางขบวน มุ่งหน้าไปยังสถานที่สุดท้าย บ้านของ อิม แจบอม ผมไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าเมื่อวานแล้ว คนของเด็กแฝดจัดการได้ค่อนข้างสมใจผม
แสงไฟทางหลวงสาดใส่ภายในตัวรถเป็นช่วง ๆ ใบหน้าของมินโฮผินมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ความสลัว เสี้ยวโครงหน้าหล่อของน้องเป็นสิ่งที่ผมจด ๆ จ้อง ๆ มาตลอดระยะทาง
เพราะเขาไม่พูด ไม่มีบทสนทนาตั้งแต่เราได้รับข่าวว่าพบแจบอม ยอมรับว่านั่นบั่นทอนความมั่นใจในตัวผม แต่ผมก็ไม่ได้หวังให้มินโฮอยากสนิทสนมเช่นเก่า และไม่เป็นไรหากเขาจะตีตัวออกหากจากความสัมพันธ์ ... ผมรู้ดี ว่าไม่มีคุณค่ามากพออย่างที่น้องเขาเคยเข้าใจไว้
ลังเลที่จะเอื้อนเอ่ย ได้แต่ชำเลืองมองมินโฮซ้ำ ๆ ก่อนจะตัดใจละสายตามองกระจกรถอีกฝั่งที่ผมนั่งชิด ฝนตกหนักในตอนที่รถแล่นสู่ชั่วโมงใหม่ เช่นนั้นเองท้องฟ้าปิดและเมฆครึ้มจึงทำให้เราอำพรางเที่ยวรถเที่ยวนี้ต่อไปอย่างไร้คนสงสัย
“ขอโทษครับ พ้นจากแยกนี้แล้วเลี้ยวซ้ายใช่ไหมครับ”
คนขับรถถามขึ้นทำลายความเงียบ ผมสบตากับหนุ่มสูงวัยผ่านกระจกมองหลังแล้วพยักหน้า
“ครับ หน้าตรอกจะมีตึกเก่า ๆ เข้าไปสุดถนน” ตอบกลับฉะฉานเพราะเคยมา และรถคันแรกของขบวนคือรถคันของผมกับมินโฮ
ในเวลาเดียวกัน ผมหันมองมินโฮอีกครั้ง น้องยังนิ่งงันไม่มีการตอบสนอง มีแค่แขนแข็งแรงของเขาที่กอดอกรัดตัวเองไว้ ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน กลับมาก้มมองมือตัวเองบนหน้าขา ก่อนเบือนหนีไปมองบรรยากาศฝนคะนองอย่างทำใจ อีกนัยหนึ่งเพียงต้องการจะซ่อนใบหน้า และขอบดวงตาที่อุ่นร้อน มันผะผ่าวพร้อมจะปล่อยน้ำใส่ ๆ เสียเต็มอิ่มแล้ว
รถเลี้ยวเข้ามาในตรอกที่ตั้งบ้าน ระยะทางร่นลงทำหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมแหงนหน้าจนศีรษะแนบไปกับเบาะหนัง หลับตาเพื่อไล่น้ำที่คลอหน่วง เป่าลมหายใจออกทางปากเสียงแผ่ว เรียกกำลังใจเฮือกสุดท้าย
..มันจะจบแล้ว ผมต้องการแค่อีกไฟล์ที่มันยอมสารภาพว่าแยกเอาไว้ในโน้ตบุ๊ก...
“อย่าบีบมือตัวเอง!!”
เสียงทุ้มนุ่มนวลชวนให้คล้อยลืมตา ไม่ทันตั้งตัว สัมผัสจากมือใหญ่ก็แทรกมาแกะมือผมเพื่อดึงไปจับไว้ นั้นทำผมสะดุ้งน้อย ๆ ผมมองใบหน้าหล่ออีกครั้งแต่ยังไม่ได้รับการเหลียวแล ทว่ากระนั้นแววตาของมินโฮกลับไม่ทำให้ผิดหวัง น้องกำลังจดจ่อกับมือของผมบนหน้าตักตัวเองอย่างตั้งใจจะปลอบโยนกัน
“....”
“แดงหมด”
โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กพูดน้อย ...มือใหญ่อีกข้างที่ว่างเคลื่อนมาช่วยประคองมือของผม น้องเขาใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างไล้ลูบเบา ๆ ตามรอยปื้นแดง หางตาตกและคิ้วทรงสวยที่ขมวดย่นช่างเดียงสา
ผมนึกเอ็นดู หัวเราะหึอยู่ในลำคอ
นั่นเรียกให้น้องเขาเงยหน้า กล้าหันมาสบตา
“อะไร? ไม่เจ็บหรือไง” มินโฮถาม
ผมยิ้มหวานใส่ นั่นทำให้ได้เห็นสิ่งที่น่ามองกว่าแสงของแดดในฤดูฝน ผมเห็นแก้มผิวน้ำผึ้งนั่นขึ้นสีระเรื่อ
“เปล่า ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบีบอยู่” ใช่ผมไม่รู้ตัวจริง ๆ อาจเพราะยิ่งใกล้ที่หมายก็ยิ่งตื่นกลัว
มินโฮหลุบสายตา กลับไปจ้องเพียงมือของผม “ถ้าต่อว่าตัวเองอยู่ หยุดเถอะ” น้องมีรอยยิ้มมุมปากน้อย ๆ ให้กับมือข้างนั้น “ถ้าคิดว่าผมจะเปลี่ยนไป ก็ควรหยุดด้วย”
“มินโฮยา~” ผมเสียงระทวย คำพูดมินโฮเรียบง่าย แต่กินใจ
มินโฮไม่มองมาที่ผมอีก ประจวบกับรถยนต์ของเราหยุดพอดีด้วยนั่นล่ะ ผมเองก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เราจอดหน้าทาวเฮ้าส์สองชั้นหลังสุดท้าย ผมกลืนนำลายอึกใหญ่ ขนแขนลุกชัน ภาพทั้งที่เคยรักกันและเคยโดนกระทำต่ำทรามผุดขึ้นมาเป็นฉากให้มั่วในหัว
“ผมแค่ยังเจ็บใจแล้วก็อึ้ง ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากคุย”
มินโฮคงอ่านท่าทีของผมออก และเขาแถลงไขให้เข้าใจเป็นที่เรียบร้อย มือใหญ่ที่กุมมือของผมกระชับแน่น เราหันมองกันเพียงครู่เดียว แล้วผมก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่หรือสู้เพียงลำพัง
ผมกระชับมือกลับแม้ว่ามือชื้นเหงื่อ ก่อนจะขยับลงจากประตูเดียวกับมินโฮ ร่มสีดำถูกชูอยู่เหนือหัว มือของผมเลื่อนขึ้นเกาะแขนน้องชายแน่น
นัยน์ตาสีนิลกดต่ำเล็กน้อยเพื่อมองผม ผมเองก็ช้อนมองใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มที่มีหัวใจอ่อนโยนต่อผมเสมอ
“มีบางอย่างที่ผมจะพูดกับพี่ แต่...หลังมือเช้าแล้วกัน”
“อืม” ผมเพียงยกยิ้มด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาพักใหญ่ ผมอุ่นใจ
#เบาหน่อยมินโฮ
“เรียบร้อยครับ”
โน้ตบุ๊กเครื่องนั่นถูกพับลง คนที่ช่วยจัดการใช้เวลาไม่นานนัก เราทุกคนหยุดสนใจโต๊ะคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนจุดนำสายตาเป็นชายในชุดคลุมอาบน้ำมอมแมมกลางห้องรับรอง
อั้ก!! ด้ามปืนสองกระบอกฟาดอย่างหนักมือลงบ่าซ้ายและขวา ชายชั่วทรุดเข่าลงต่อหน้าผม โดยมีคนคุ้มกันกักแขนที่ไพล่หลังของมันไว้ ศีรษะถูกกระชากให้แหงนมองผม ใบหน้าของแจบอมบูดบวมโชกเลือด
“ได้โปรด” เสียงแหลมพร่าแหบแห้งเหมือนผุยผง “ผมแค่รักคุณมาก ซึงยุนนา”
สองมือผมกำแน่น เนื้อตัวสั่นเทิ้มเพราะโกรธแค้น เท้าก้าวไปข้างหน้าหมายจะชกมัน แต่เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้นแขนของผมก็โดนกระตุกคว้า ผมหันขวับกลับไปและไม่ผิดเลย เป็น ซง มินโฮ ที่เหนี่ยวรั้ง สายตาแค้นเคืองไม่ต่างกันนัก แตกต่างกันเพียงว่าเขาไม่เห็นด้วยกันการที่ผมจะเข้าไปใกล้คนสารเลวพรรค์นั้น
“พี่อยากชกมัน!!” ผมบอกตามตรงด้วยน้ำเสียงแข็ง ถึงกับกัดฟันกรอด หายใจแรงคล้ายว่าจะคุ้มตัวเองไม่อยู่แล้ว
“ผมไม่ต้องการให้มือพี่เปื้อนแล้วครับ”
“ใช่”
ฮันบินเสริมมาจากด้านหลังมินโฮอีกที น้องชายเบี่ยงตัวให้เห็นคู่แฝด จากมุมโซฟาตัวเขือที่พวกเขานั่งกอดอกดูเราอยู่
“ถ้าต้องการอะไร ก็แค่สั่ง” จีวอนพูดบ้าง
ผมถอดหายใจแรง และก้มหน้าระงับอารมณ์ ผมบิดข้อมือที่อยู่ในมือมินโฮ น้องยอมคลายมือนั้นออกง่ายดาย ผมเงยหน้าและพูดกับมินโฮว่าผมเข้าใจแล้ว ก่อนจะหันกลับไปหาแจบอม
“นั่นยังไม่สาสมด้วยซ้ำ” ผมพูดออกไปด้วยความเยือกเย็น
“ที่รัก ..ได้โปรด ผมผิดไปแล้ว ขอแค่คุณให้โอกาส--”
“ผมไม่มีให้” ผมส่ายหน้าเอือยพร้อมยิ้มหยันสภาพของคนตรงหน้า “คุณทำเหมือนผมเป็นสัตว์ ผมคิดว่าคุณควรได้รู้รสชาตินั้นบ้าง ผมต้องการ..” ผมเน้นย้ำเสียง และสบตากับลูกน้องกล้ามโตที่ยืนเรียงรายอยู่หลังแจบอมหลายคน พวกเขาโค้งหัวแทนการตอบรับคำสั่ง “ให้คุณโดนย่ำยีไม่ต่างจากผม”
“โอ!! คัง ซึงยุน!! คัง ซึงยุน.. ที่รัก ขอร้อง~ อย่าทำแบบนี้ คัง ซึงยุน…” ชายสารเลวฟุบไปหมอบแนบกันพื้นพรมเช่นคนสิ้นเรี่ยวแรง เสียงแหบแห้งนั้นเอาแต่พร่ำชื่อของผมด้วยความหวาดผวา ต้องการขอความเมตตา
ผมจำได้ขึ้นใจว่าผมก็เคยตกอยู่สถานการณ์คล้าย ๆ กัน
และผมไม่ได้รับการเห็นใจใด ๆ
อ้อมแขนแข็งแกร่งเคลื่อนโอบไหล่ของผมและดึงเข้าประชิดตัว มินโฮก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างผม กระซิบแผ่วข้างใบหู
“ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน”
นั่นเหมือนประโยคสั่งเป็นตาย ดูไร้ศีลธรรมแต่เรื่องราวที่ต้องเจอมาตลอดหลายเดือนที่ผ่าน ผมจึงไม่ได้เห็นต่างไปจากมินโฮเลยสักนิด
“และผมต้องการให้คุณหายไป แจบอม”
ประโยคสุดท้ายจากปากผม ก่อนที่มินโฮจะรวบกอดผมเอาไว้แนบอก มือหนาลูบไล้ไปตามแนวเส้นผมและแผ่นหลัง
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ พี่ซึงยุน”
และนั้นเป็นประโยคสุดท้าย ณ ที่แห่งนั้น ก่อนที่ผมจะใช้ทั้งสองแขนกอดมินโฮเอาไว้สุดแรงเช่นกัน
#เบาหน่อยมินโฮ
“ที่พูดมาทั้งหมด ผมแค่อยากจะบอกว่า...”
“....”
“....”
“....”
อีกสองคนที่ฟังมินโฮพูดคงลุ้นไม่ต่างไปจากผม ด้วยมาดนิ่งและเป็นคนพูดน้อย ทำให้เราแม้จะสนิทแต่จับทางยาก เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจของมินโฮ
“ผมเข้าใจทุกอย่าง แล้วก็อยากให้พี่ได้พัก หลังจากนี้ผมจะเป็นแค่น้องชายของพี่ จนกว่าพี่จะรู้สึกดีขึ้น แล้วเราค่อยมาพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อกัน”
“...”
ใจหวิวเลยแฮะ ผมวางช้อนลงกับขอบจานข้าวเช้า แต่นี่เป็นเช้าอีกสองวันถัดจากวันที่แสนโหดร้าย
“หุ้!! มินโฮไอ้เพื่อนบ้า!!” แทนที่ผมจะเป็นคนมีอาการ กลับเป็นเจ้าฮันบินจอมแผนการที่หงุดหงิดสะบัดก้นหนี จีวอนหลุดหัวเราะร่าก่อนจะลุกเดินตามน้องชายตัวเองออกไปทางห้องทีวีที่เปิดค้างไว้ ผมก็หัวเราะและมองตามพวกเขาไป
“อะไร หัวเราะอะไร?”
เสียงขรึมเอ่ยถาม ทำเอาชะงักปากค้างและหุบยิ้ม ผมสบตากับดวงตาคู่ตรงข้ามที่จ้องมานิ่ง ๆ ผมไหวไหล่ใส่มินโฮ
“เปล๊า~ ก็แค่ค่าจ้างที่ฮันบินเสนอมาคือการรับความรู้สึกนายน่ะ พี่รับปากไปเพราะตั้งใจจะทำงั้นอยู่แล้ว แต่..” ผมยักไหล่ซ้ำ “นายปฏิเสธตอกหน้าฮันบินซะงั้น”
“จริงดิ!”
“อื้ม” ฮึมฮัมพลางกระดกน้ำดื่ม ผมอยากรู้เหมือนกันว่าสีหน้ามินโฮที่ก้มงุดครุ่นคิดนั้นจะเป็นการคิดถอนคำพูดหรือเปล่า
“แต่...แต่ผมน่ะ ยืนยันคำเดิมนะ”
แวตาสลด คำพูดติด ๆ ขัด ๆ คล้ายไม่มั่นใจตอบนั่นทำผมแปลกใจพิลึก ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง กอดอกไขว่ห้างแล้วถาม
“มีอะไรมากกว่าอยากให้พักไหม นายไม่ได้รู้สึกกับพี่--”
“เปล่า ๆ ผมรู้สึกดี เอ่อ.. เหมือนเดิม แค่คิดว่าพี่ควรจะพักใจ เพราะถ้าผมไปต่อด้วยความรู้สึกตอนนี้ของผม ผมเดาว่าพี่อาจจะรำคาญได้เลย”
“ขนาดนั้น?” ผมเล่นหูเล่นตาเย้าแหย่
มินโฮพยักหน้าใส่อย่างหนักแน่น
..เด็กดี ..
น้องเขาคิดเกินพี่น้องผมพอรู้ แต่ที่ไม่รู้คือมันมากแค่ไหนแล้ว ...ผมช่างใจ และเลือกจะใช้การตัดสินใจด้วยการมองโลกตามที่เป็นอยู่ มินโฮยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซ้ำร้ายยังไม่รู้ว่า ดาร่า พี่สาวคนสวยจะรับได้แค่ไหน อีกอย่างผมก็คิดว่าหัวใจที่โดนกรีด โดนทำร้ายมาควรได้รับการรักษาก่อน ตอนนี้ผมยังไม่อยากจะรักใครนอกจากตัวเอง
“คิดดูแล้ว ...พี่ก็ต้องการแบบนั้น” พูดออกไปเพราะอย่างให้น้องสบายใจ
“ใช่ไหมล่ะ?”มินโฮสีหน้าดีขึ้นทันตาเห็น
“หึ~..”
ผมพยักหน้าหงึก ฉีกยิ้มกว้าง นั่นทำคนเด็กกว่าอมยิ้มขวยเขิน ดวงตาคมเซซ้ายเซขวาเลิกลั่กน่าเอ็นดู อดจะเอื้อมตัวเอามือไปยีหัวเกรียน ๆ ของมินโฮไม่ได้
“ขอบใจมากนะ เด็กซึน”
“อือ” มินโฮตอบก่อนจะปัดมือผมทิ้ง “เฮ้~ พอน่า เป็นเด็กไม่ใช่หมานะ เอาจานมา” ก่อนหนุ่มน้อยจะหัวเราะเคล้ารอยยิ้ม หยิบจานชามไปใส่อ่างล้างด้านหลังผมเสียเรียบร้อย
ผมขึ้นนั่งบนโต๊ะอาหาร ยันแขนทั้งสองข้างไปด้านหลังอย่างสบายใจตอนดูมินโฮล้างจาน ผ้ากันเปื้อนสีหวานทำให้ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เลิก ก็มันขัดกับหุ่นกำยำของน้องเขาหมดเลยนี่นา
“นี่พี่ชาย” เสียงทุ้มเรียกผมพร้อมกับเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เหลียวมา มุมปากของมินโฮกระตุกยิ้มร้าย สร้างความแปลกใจไม่น้อย
“อะไร?”
“คิดอะไรออกอย่างนึง ..ผมว่าเราเป็นพี่น้องกันแค่หกวันต่อสัปดาห์แล้วกัน ไหน ๆ พี่ก็ตกลงกับฮันบินแล้ว ผมต้องการหนึ่งวันเพื่อยืนยันว่าผมจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกกับพี่”
ว้าว~ ... ค่อนข้างเอาแต่ใจทีเดียว แต่ก็เป็นข้อเสนอที่ผมสนใจนะ
“ยังไงล่ะ?”
“เลือกมาวันหนึ่งไง เป็นวันที่ผมกับพี่จะทำทุกอย่างตามใจต้องการเลย แบบไม่สนสถานะ” มินโฮถอดถุงมือยางออกก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากันตรง ๆ “แต่ไม่อยากฝืนใจนะ อยากให้เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะงั้นถ้าพี่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่ากัน”
“เหอะ~ หน้าเจ้าเล่ห์จังวะมินโฮ” ผมถึงกับเอ่ยแซวพลางหัวเราะคิก
มินโฮวางหมาดนิ่งแล้วไหวไหล่ใส่บ้าง “จะว่าไง?” น้องขอคำตอบ
“ตกลง” ผมก็อยากลองดู มันแปลกใหม่ดีและผมไม่เคยเจอใครเป็นแบบมินโฮคนนี้ “ทุกวันเสาร์ ถ้านายโอเค”
“รอแทบไม่ไหวเลยล่ะครับ” มินโฮขยิบตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันกลับไปจัดการจานที่ค้าง
น้องมันคงไม่ทันเห็น ว่าหน้าผมมันแดงจัดจ้าน ผมรับรู้ได้เพราะอุณหภูมิในร่างกายจู่ ๆ ก็พุ่งสูง เลือดสูบฉีดพลุพล่าน หัวใจก็เต้นโครมคราม ...มินโฮตอนไม่ตั้งใจจะหว่านเสน่ห์นั้นค่อนข้างรุนแรงกับใจผมเกินไป
...เด็กนั่นเพิ่งสิบเจ็ดเอง ให้ตายสิ..
#เบาหน่อยมินโฮ
ผมดันแขนกันกระเป๋าเป้ที่พาดอยู่บนไหล่ข้างนั้นจะเลื่อนตก มือหนึ่งล็อกกุญแจประตูบ้านมืออีกข้างถือโทรศัพท์แนบหู
“แล้วแม่ล่ะพ่อ?”
ปลายสายคือครอบครัวที่ผมไม่กล้ากลับไปสู้หน้ามาระยะหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว ผมจิตใจดีขึ้นเพราะได้พบจิตแพทย์ และพร้อมจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง
[“อบพายสัปปะรดไปฝากแม่จินอู ไปตั้งแต่เช้าแล้วสงสัยจะเม้าท์กันอยู่มั้งลูก ฮะฮะ~ ซึงยุนนา ขับรถดี ๆ นะ ”]
“ครับพ่อ ผมคิดถึงนะ ทั้งคู่เลย แล้วเจอกันนะครับ --..โอ๊ะ!”
ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนสายแทรก พอผละโทรศัพท์ออกจากหูมาดูก็เห็นรายชื่อของเด็กที่เพิ่งจะย้ายกลับบ้าน ผมหัวเราะ “พ่อวางเลยครับ พอดีมีสายโทรซ้อน รักนะ”
[“อ้าว ได้ ๆ แล้วเจอกันหนุ่มน้อย”]
“ครับ”
ตอบรับคุณพ่อก่อนที่สายต่อไปจะโชว์เต็มจอ ผมเลื่อนนิ้วบนปุ่มสีเขียวแล้วแนบมือถือเข้าที่หูอีกรอบ
[“คุยกับใครหรอ?”] มินโฮถามพรวด ไม่รีรอคำทักทาย
“แล้วยุ่งไร?” ผมตอบกวน ๆ เราสนิทกันแล้ว ระหว่างนั้นผมก็ก้าวเข้ามาในลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นจอดรถ
[“ผมกำลังจะโดดเรียน ขี้เกียจทำกิจกรรมบ่าย”]
“เอ้า ทำไมล่ะ?” ไอ้ดื้อเอ๊ย ผมหน้ามุ่ย
[“แล้วพี่ยุ่งไรอะ? ฮะฮ่า ๆ ”]
บ้าจริง ผมหัวเราะตาม เสียท่าให้มินโฮแต่หัววัน
“ตลกหรอหื้ม ? นี่ทำอะไรอยู่มินโฮ โทรมาผิดเวลานะวันนี้”
[“ลงมาประชุมกิจกรรมครับ รอสายชั้นครบอยู่แต่รอนานแล้ว เบื่อ ๆ เลยโทรหา ตกลงคุยกับใคร จะไปไหนน่ะ! ได้ยินเสียงลิฟต์นะ”]
พอดีกับประตูลิฟต์เปิด ผมก็เดินออกมา
“กลับบ้าน”
[“พี่ซึงยุนครับ!!”] มินโฮคลายตวาดเลย ผมทำให้ฝังใจเรื่องนี้สินะ
“ใจเย็นน้องชาย กลับไปหาพ่อกับแม่จริง ๆ คราวนี้ไปจริง ๆ พี่ไม่ได้โกหกนะ” ผมถึงรถและปลดล็อค ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปด้านใน “เมื่อกี๊ที่คุย คุยกับคุณพ่อน่ะ”
[“ถึงแล้วถ่ายรูปมาได้ไหมครับ อย่าปิดเครื่องด้วย แป๊บๆ -- ...เฮ้ย!! ฮันบิน!! ทางนี้!! ...อ้าว ไปทางนั้นหรอ --....ฮัลโหลพี่ครับ ”]
“หึ~ มินโฮยา ถึงแล้วจะถ่ายรูปส่งไปนะ นายไปทำกิจกรรมเถอะ ไม่ต้องห่วง เข้าใจ๊?”
[“จนกว่าจะเห็นว่าพี่ปลอดภัยดี รอนะครับ วางก่อนนะ”]
“อือ ตั้งใจเรียนนะ”
ผมเก็บมือถือและออกรถมาจากอะพาร์ตเม้นต์ วันนี้ฟ้าครึ้มแต่คาดว่าคงไม่มีฝน ขับมาเรื่อย ๆ ราวสองชั่วโมงก็ถึงหน้าไร่สีเขียวอุ่น ทางเข้าที่ตัดถึงบ้านเป็นถนนขรุขระเล็กน้อย ต้นไม้สองข้างทางทำให้อดจะลดกระจกลงไม่ได้ ไม่เชิงว่าแถวนี้เป็นต่างจังหวัดเสียทีเดียว มันคือจังหวัดแทบชานเมืองหลวง
ลงรถได้ก็พาดเป้บนบ่าอีกหน บ้านไม้สองชั้นหลังนี้เงียบสงบ ร่มรื่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัยเด็กของผม ผมไม่ลืมที่จะถ่ายภาพบ้านและสวนหย่อมผักสวนครัวที่ผมยืนอยู่ตรงหน้าส่งไปให้มินโฮได้ใจชื้น
“โว้ยยย~ ไอ้ซึงยุนนน คิดเถิงงง~” เสียงหวาน ๆ ตะโกนให้ลั่น ผมหันหลังกลับไปมองทางเส้นเล็ก ๆ ที่วิ่งรถเข้ามา
จักรยานแม่บ้าน มีตระกร้าหน้า กับชายที่มีใบหน้าหวานสวยและหมวกฟางบนหัวทำผมยิ้มแป้น ผมโบกมือสุดแขนให้คนขี่
“จินอูยา ” ไม่วายส่งเสียงดังทักทายเพื่อนสนิทตั้งแต่ประถม
“ย่า!! ไหนผู้ชายที่บอกจะหิ้วมาด้วยละห้ะ!!”
เอี๊ยดด ..เสียงเบรกดังก้องหู ผมก็ไม่ไหวจะหัวเราะ จักรยานถูกจอดอยู่ข้าง ๆ รถยนต์ของผม ก่อนที่ผมและจินอูจะโผเข้ากอดกัน
เราสลับกับตบบ่าตบหลังแทนความคิดถึงมากมาย และผมก็ตอบคำถามจินอูถึงเรื่องผู้ชาย
“ผู้ชาย...ไปโรงเรียนน่ะสิ” กระซิบกระซาบชวนให้อีกฝ่ายสนใจหนัก
จินอูรีบผงะจากผม มันบีบแขนของผมทั้งสองข้างแล้วเขย่า ๆ ด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเก่า
“เด็กหรอ เด็กวันเสาร์ใช่ปะ แซ่บแน่งานนี้”
ผมยกยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนตอบ
“ใช่ เมื่อเสาร์ที่แล้วก็...ไม่เบานะ”
#เบาหน่อยมินโฮ
โอ้ววววววววววว ><
ยังไงก็ฝากคอมเม้นต์ ติดแฮชแท็กเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคนที่ช่วยกันสตีมแท็กแล้วก็คอมเม้นต์ด้วยนะคะ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ได้อ่านแล้วก็ชื่นใจ อยากแต่งให้อ่านอีกเรื่อย ๆ เลย หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เข้มข้นและหวานอุ่นแค่ไหนมาติดตามไปพร้อม ๆ กันน้า ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ช่วยย้อนกลับไปวันเสาร์หน่อยได้ไหมคะไรท์มันเกิดอะไรขึ้นอยากรู้จัง
มันยังไงนะ -คำว่าไม่เบานี่ คิดไปไกลแล้วววววว
แซ่บแค่ไหนกัน หึ!