ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    knight-errant

    ลำดับตอนที่ #5 : แผนการ

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 48


    “ไง” เป็นไงมั่งวะเรน



    คานินที่นั่งรออยู่นานถามขึ้นหลังจากที่เพื่อนวางโทรศัพท์แล้ว “ได้เรื่องมั๊ย”



    “อือ พอได้” เรนตอบท่าทางพึงพอใจ



    “ก็เหลือแต่รอผลละนะ” ทีนพูดยิ้มๆ “ถ้างั้นชั้นไปนอนก่อนดีกว่า เดี๋ยวผิวเสีย”



    “เชิญเถอะครับคุณหญิง” คานินพูดเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ พร้อมกับที่คุณหญิงของเขาเดินออกจากห้อง



    “ถึงจะพูดอย่างงั้นอย่างงี้ก็เหอะ เธอก็ช่วยไอ้เอสมันทุกทีที่เกิดเรื่องละน่า” คานินเสริมเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเงียบไป



    ………………………………………………………



    หลายวันต่อมา ไอ้คนขี้เซาก็ยังคงขี้เซาอยู่ และยังนอนสบายในชายป่าโดยไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนตึกเลยแม้แต่น้อย



    บนตึก ทีนนอนอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ขณะเดียวกับที่วิลส์เหม่อมองอะไรรอบๆห้องอยู่ด้วยและเรนที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง



    เสียงประตูเปิดและคานินเดินเข้ามาในห้อง



    “ว่าไง” เรนถามทันทีที่ประตูห้องปิดลง



    “ไม่รู้ แต่ชั้นมีข่าวไม่ค่อยดีมาบอก”



    “อะไรวะ”



    “เมื่อเช้าชั้นเจอไคท์ เค้าบอกว่า ให้พยายามทำสิ่งที่กำลังทำให้สำเร็จ แล้วเค้าก็เล่าเรื่องของเบื้องบนให้ฟัง”



    “ไม่จริงน่า เรื่องของเบื้องบนพวกเราไม่มีสิทธิ์รู้”



    “ถึงเป็นข่าวร้ายไง” คานินยิ้มเศร้า



    “เรื่องที่ว่ามีอะไรบ้าง” ทีนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่วางหนังสือลงแล้วหันมาถาม



    “เค้าบอกว่า เบื้องบนที่พวกเราเรียกกันนั้นที่จริงแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วนและขึ้นตรงต่อส่วนกลางที่มีจ้าวสูงสุดเป็นคนปกครอง เบื้องบนฝั่งซ้าย ขอเรียกอย่างนี้นะ มีเสธฝ่ายซ้ายดูแลอยู่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทหาร การว่าจ้างงาน และการจัดสรรกำลังคน งานที่พวกเราทำขึ้นตรงกับฝ่ายนี้ หรือจะบอกว่าเทรน อีเรส และโซลทั้งหมดสังกัดอยู่ที่นี่ ถ้าฟังมาถึงตอนนี้ก็จะคิดว่าฝ่ายซ้ายจะกุมอำนาจใช่ไหมล่ะ แต่เราเข้าใจกันผิด เสธผ่ายขวามีอำนาจเช่นกัน เขาดูแลกฎระเบียบต่างๆ อย่างเข้มงวดตรวจตราทุกตารางนิ้วในองค์กรยังได้เลย เสธฝ่ายขวามีกองทัพอยู่ในมือกองทัพที่มีไว้เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายซ้าย โดยมีข้ออ้างบอกว่าใช้กองกำลังนี้ใจการตรวจดูผู้กระทำความผิดและตรวจตราความสงบ” เล่ามาถึงตรงนี้คนเล่าก็กัดฟันกรอด



    “แกจะบอกว่า เรื่องที่เราทำส่งไปถึงฝ่ายซ้ายแต่คนที่ต้องการตัวเอสอยู่คือฝ่ายขวา”



    “ใช่ และไคท์ก็ทำงานให้กับฝ่ายซ้ายถึงได้ยอมบอกรายละเอียดกับชั้นไง เค้าต้องทำยังไงก็ได้ให้ฝ่ายขวาไม่ได้ตัวเอสไป”



    “แล้วจะทำไงต่อดีล่ะ” เรนพูดเสียงครุ่นคิด



    “ชั้นคิดว่าถ้าหนีโทษไปเรื่อยๆได้ก็ดีแต่มันเป็นไปไม่ได้ลำพังพวกเราถ่วงเวลาหรือหลบไปเรื่อยๆน่ะ มันคงจะใช้ได้อีกไม่นานดังนั้น”



    “ดังนั้น” ทุกคนร้องถามอย่างสงสัย



    “เราต้องทำยังไงก็ได้ให้เสธฝ่ายซ้ายลงมาร่วมเกมส์นี้ ทำให้เขาต้องการเอสก่อนที่ฝ่ายขวาจะได้ไป”



    “งั้นก็ง่ายสิ ฝ่ายซ้ายต้องการเอสอยู่แล้วถึงได้ส่งไคท์มาทำงาน”



    “ไม่ ไคท์ไม่ได้รับคำสั่งมาจากท่านเสนาโดยตรงแต่รับคำสั่งมาจากกลุ่มที่ไคท์สังกัดอยู่ ซึ่งนั่นไม่พอที่จะคานอำนาจของเสธฝ่ายขวาหรอก”



    “แต่ถ้าท่านเสธลงมาร่วมเกมส์แล้วยังไงซะสุดท้ายก็ต้องไปข้างบนนั่น” เรนพูดอย่างนึกได้



    “ก็ยังดีกว่าโดนลากไปทำโทษละนะ” วิลส์แย้ง



    “ไม่หรอก เสธฝ่ายขวาต้องการเอสไปเสริมกำลัง ไปเป็นคนในสังกัดต่างหาก ไม่แน่มันอาจจะต้องการยึดอำนาจการทหารก็ได้”



    “แล้วนายใหญ่ไม่ห้ามเรอะ งานนี้ท่านจะได้ลงมาเองน่ะสิ”



    “ไม่ห้ามหรอก ถ้ายังมีคนคุมงานให้ แล้วยังไงถึงได้กำลังทหารก็ได้แค่อำนาจ แต่ไม่สามารถคุมองค์กรได้อยู่ดี นายใหญ่มีอะไรมากกว่าที่เรารู้”



    “ถ้างั้น งานนี้กว่าจะลากท่านเสธลงมาเล่นเกมส์นี้ได้คงต้องเหนี่อยกันหน่อยล่ะ” วิลส์ทำสีหน้าครุ่นคิด “แล้วแกจะเอาไงวะ”



    “ไม่รู้ คงต้องทำงานเอาคะแนนแล้วมั้ง” คานินยักไหล่



    …………………………………………………



    หลังจากนั้นไม่นาน



    ทีนเดินเข้าห้องมาพร้อมกับในมือหอบถุงอะไรซักอย่างมาด้วย



    “ว่าไงได้มั๊ย” คานินเอ่ยถาม



    “งานน่ะเหรอ ได้มากกว่าที่ต้องการเยอะ” ทีนทำสีหน้าสยอง



    “หมายความว่าไง” แล้วไหนล่ะ พูดจบทีนก็เอาถุงที่หอบมาด้วยวางลงตรงหน้าให้เพื่อนๆที่นั่งอยู่ใจไม่ดี



    “อย่าบอกว่าทั้งหมดนี่นะ” เรนถามเสียงไม่แน่ใจ



    “เก่ง ใช่แล้วทั้งหมดนี่แหละ” คำตอบที่ทำให้ทุกคนแทบเป็นลม



    “งานนี้ไม่ตายก็ใกล้เคียงว่ะ ชั้นไปตามเอสมาให้นะ” เรนพูดพร้อมกับวิ่งออกไปนอกห้อง



    “เออ งั้นเราก็มาแบ่งกันบ้าง” คานินพูดพร้อมหยิบเอกสารในถุงออกมาดู



    “ว่าแต่ เธอเอามาได้ไงเนี่ย” วิลส์ที่นั่งอยู่เฉยๆถามบ้าง



    “ก็แค่เดินเข้าไปในห้องไคท์แล้วเลือกมาแค่นั้นเอง”



    “เหอะ แล้วถ้าทำทั้งหมดนี่แล้วไม่รายงาน เบื้องบนก็คงต้องร้อนอาสน์กันบ้างล่ะ” ถ้างั้นเริ่มเลยนะ แกจะเบิกอุปกรณ์มั๊ยคานิน



    “ไว้ดูก่อนถ้าต้องใช้ก็จะเบิกให้ แต่ถ้าไคท์ไม่ฆ่าตายซะก่อนนะ” ตานินพูดกลั้วหัวเราะ



    วิลส์ยิ้มๆ แล้วหยิบเอกสารออกมาจากถุงอ่านดูซักครู่แล้วก็บอกกับเพื่อนที่นั่งอยู่ว่า



    “แกเบิกรถให้คันเดะ แต่ถ้าทำได้ขอคอบเตอร์ก็ดีนะ แถวๆนี้เอง แล้วจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง” วิลส์พูด พร้อมกับยื่นเอกสารให้ดู



    “ได้ แต่งานนี้กำหนดเวลาให้สองวันแกจะทำภายในชั่วโมงนึงเนี่ยนะ” คานินทำหน้าแหย



    “เออ ทำได้แล้วกัน รถจะได้เมื่อไหร่”



    “ตอนนี้เลย แกไปรอที่ท่ารถได้เลย ชั้นจะโกงอะไรนิดหน่อยเอง”



    “ถ้างั้นชั้นเอามั่ง” ทีนที่นั่งฟังอยู่ยิ้มๆ แล้วหยิบเอกสารออกมาจากถุง อ่านมันสักครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมาอีก ขอสองวันสำหรับงานนี้ คานินติดต่อผู้ว่าจ้างให้ชั้นหน่อยแล้วก็หาพาหนะอะไรก็ได้ที่คิดว่าเร็วๆมาซักอย่างด้วย เอ้อ ชั้นจะขับไปเอง ไม่ต้องเอาคนขับนะ” พูดจบก็ยื่นเอกสารให้ดูบ้าง



    “เอากันเข้าไป จะแข่งกันทำลายสถิติรึไงวะ สองเดือนเป็นสองวัน” คานินยิ้มแห้ง แต่ก็รับปากเรื่องอุปกรณ์



    ทั้งสามแยกกันไปตามหน้าที่ของตน หลังจากนั้นไม่นานวิลส์และคานินก็ได้พาหนะตามต้องการแล้วไปทำงานอย่างรวดเร็ว



    คานินเดินกลับไปที่ห้องเดิม เขาเปิดประตูห้องและต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเรนนั่งอยู่ในห้องคนเดียว



    “แล้วไอ้เอสล่ะ”



    “ไปทำงาน”



    “งาน?”



    “เออ ชั้นส่งไปเมื่อกี้ ไอ้นี่แหละ” เรนส่งเอกสารให้คานินดู แล้วคนที่ดูเอกสารอยู่ก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้



    “ถ้ามีการบันทึกสถิติการทำงานล่ะก็มันคงเผาสมุดบันทึกทิ้งแล้วเริ่มเขียนใหม่เลยแหละ” คานินพูด เรนยิ้มนิดๆ



    “ทีนี้ก็เหลือแกกับชั้น เดี๋ยวชั้นไปเองแกประสานงานอยู่นี่นะ เอ้อแล้วโทรบอกไอ้เอสมันด้วย กะเวลาดีดีล่ะเดี๋ยวโดนมันฆ่าเอา” แล้วคนพูดก็หยิบเอกสารใสถุงออกมาสำหรับตัวเองบ้าง



    “ต้องการอุปกรณ์อะไรมั๊ย” คานินถาม



    “ไม่ ไปเลยก็ได้ อีกไม่เกินชั่วโมงจะกลับมา ชั้นขี่มอไซด์ไปได้” แล้วคนพูดก็พลันออกจากห้องทันที



    “เอ้อ ไอ้พวกนี้” คนที่เหลืออยู่ในห้องเปรยยิ้มๆ



    ..................................................................................



    “ถึงแล้วครับ” นักบินยื่นหน้ามาบอกผู้โดยสารของเขา



    “อ๊ะ ขอบคุณ ผมมีเวลาอีกกี่นาที” ผู้โดยสารถามกลับ



    “อีกสี่สิบห้านาทีครับ ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มตรง สามทุ่มสีสิบห้าต้องออกจากที่นี่ครับแล้วผมต้องคืนเครื่องตอนสี่ทุ่ม”



    “ขอบคุณ” วิลส์เดินออกจากคอบเตอร์แล้ววางแผนการทำงาน “ของอยู่ในห้องจัดแสดง แล้วต้องเอาไปส่งที่องค์กร ไว้ให้ไอ้คานินมันทำให้แล้วกันที่เหลือ”



    เขาเดินไปยังขอบดาดฟ้าของพิพิธพันธ์แห่งหนึ่งที่สูงประมาณสามชั้นแต่มีพื้นที่กว้างมาก “ห้องจัดแสดง ชั้นสองปีกตะวันออก” เขาจัดแจงหยิบแท่งทรงกระบอกสีดำออกมาแล้วเล็งมันอย่างเล็งปืนไปทางขอบหน้าต่างที่ยื่นออกมาของพิพิธพันธ์ เชือกเส้นเล็กสีใสถูกยิงออกไปติดกับขอบหน้าต่างนั้นโดยไม่มีเสียงแม้แต่น้อย แล้วเขาก็กระโดดไปตามเชือกเส้นนั้นลงไปยืนบนขอบหน้าต่าง ผู้ที่กำลังจะทำการบุกรุกหยิบที่ตัดกระจกออกมาจากในเสื้อโคทสีดำ ที่เป็นเครื่องแบบขององค์กร



    กระจกถูกตัดออกและผู้บุกรุกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อเข้าไปข้างในได้แล้วอุปกรณ์ชิ้นต่อไปก็ถูกนำมาใช้ แว่นตาที่หน้าตาคล้ายแว่นดำน้ำอันหนึ่ง



    “โอเค ทีนี้ก็ไปทางปีกตะวันออก” คนพูดเดินออกจากห้องไปยังจุดหมายอย่างชำนาญ “ต้องขอบคุณแผนที่ของไอ้คานินมันที่ให้ติดมาดูในเครื่อง” เขาพึมพำกับตนเอง



    “ห้องจัดแสดงสี่สามหนึ่งแปด” วิลส์ส่งเสียงพึมพำเบากับตัวเองขณะที่หลบยามที่เดินตรวจตรารอบๆ



    หลังจากที่ยามตรวจตราเดินผ่านไปไม่นานนักผู้บุกรุกก็ออกมาจากที่ซ่อนตรงไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว “ชิบหายล็อกว่ะ” แล้วก็หยิบแท่งเหล็กสีดำอันเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วทำการสะเดาะกุญแจทันที



    กุญแจถูกปลดผู้บุกรุกเดินอย่างอาจหาญเข้าไปในห้องจัดแสดงได้อย่างง่ายดาย



    ภายในห้องมีของแสดงอยู่เพียงชิ้นเดียววางอยู่กลางห้องโล่ง แต่แว่นของเอสเตือนให้เขารู้ว่าภายในมีกับดักอยู่มากมายและมีกล้องวงจรปิดอีกด้วย



    ผู้บุกรุกครวจสอบการทำงานของกล้องวงจรปิดแล้วเดินเข้าหาของตรงกลางตามทางที่กล้องไม่สามารถเห็นได้ “ที่เหลือคงไม่เป็นไรแล้วมั้ง” วิลส์พูดพลางมองไปยังหน้าต่างของห้องจัดแสดงแล้วยิ้มๆ



    เพล้ง ผู้บุรุกทำลายกระจกที่ครอบของที่อยู่กลางห้อง เสียงหวีดเตือนภัยดังขึ้นเหล่าผู้รักษาความปลอดภัยต่างพากันกรูกันเข้ามาให้ห้องจัดแสดง แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในห้อง



    “มันหนีไปแล้ว” ยามคนหนึ่งตะโกนลั่น “ลองไปตรวจที่หน้าต่างบานนั้น ที่เหลือลงไปดักข้างล่าง”



    “ท่านครับพบเชือกสำหรับหนีอยู่ที่หน้าต่างครับ” คนที่ไปตรวจที่หน้าต่างรายงาน



    “ทุกคนลงไปข้างล่างปิดถนนทางออกก่อนที่มันจะหนีไปได้” แล้วยามทั้งหมดก็ออกจากห้องไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว



    เวลาผ่านไปซักครู่



    “งี่เง่าชะมัด ขนาดใช้มุขเดิมๆแล้วนะ” วิลส์ที่ออกมาจากที่ซ่อนในห้องจัดแสดงบ่น “งานที่ง่ายชะมัดให้มาทำไมวะตั้งสองวัน” แล้วคนพูดก็เดินกลับไปหาคอบเตอร์ที่จอดรออยู่ หลังจากนั้นจึงบินกลับองค์กร



    “กี่โมงแล้ว” วิลส์ถามนักบิน



    “สะ สามทุ่มครึ่งครับ งานเสร็จแล้วหรือครับ” นักบินทำสีหน้างงๆ



    “อือ เสร็จแล้วไปเลย”



    ..........................................................................................



    “สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นพนักงานใหม่ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่จัดว่าเป็นคนสวยพูดอย่างนอบน้อม



    “มาซะดึกเชียวเราจะกลับกันพอดีเลย” ชายคนหนึ่งกล่าวตอบ



    “ขออภัยค่ะ คือพอดีเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยค่ะก็เลยมาสาย”



    “ถ้าสายกว่านี้ก็คงไม่มีใครอยู่แล้วแหละ อือ ไว้ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้นะ ตอนนี้บริษัทปิดแล้ว”



    “จริงหรือคะ แย่แล้วดิฉันยังไม่ได้หาที่พักเลย” หญิงสาวทำสีหน้าเศร้าๆทำให้ชายที่อยู่ตรงหน้าหน้าแดงวาบ



    “เอ่อ ถ้าไม่รังเกียจไปพักที่บ้านผมก่อนก็ได้นะครับ” ชายคนเดิมตอบ



    “จริงหรือคะ ไม่รังเกียจหรอกค่ะ ต้องขอบคุณที่กรุณา” หญิงสาวพูดอย่างนอบน้อม ทั้งที่ในใจกลับคิดตรงข้าม ‘ไอ้พวกหัวงูเอ๊ยแล้วจะได้เห็นดีกัน’



    ..............................................................................................



    กรี๊งงง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่เอสกำลังพยายามหาห้องของเป้าหมายที่เขาต้องฆ่าอยู่ในคฤหาสที่กว้างใหญ่แต่กลับไม่มียามแม้แต่คนเดียว



    “อะไรวะ” เอสถาม



    “ชั้นกะเวลาไม่เก่งเหมือนเรนมัน ตอนนี้เป็นไงมั่ง” เสียงคานินตอบรับมา



    “อ้อ พอดีเลยเป้าหมายอยู่ไหนวะ แล้วทำไมมันไม่มียามซักคน”



    “ยามไม่มีหรอก ไอ้เจ้าของคฤหาสนั่นมันเป็นพวกมั่นใจในตัวเองสูง แกระวังตัวด้วยละกัน ส่วนเรื่องห้องก็อยู่ชั้นบนสุดตอนนี้แกอยู่ไหนล่ะ”



    “อยู่ชั้นหนี่ง ไอ้บ้านเวรนี่กว้างเป็นบ้า บันไดยังหาไม่เจอเลย”



    “เหอะ” เสียงคานินอุธานแล้วจึงบอกทางให้กับเอส



    “ประตูไม้บานใหญ่ๆที่มีลายสิงห์สลักอยู่นั่นแหละ” เอสยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วเขาก็พูดกับคนในโทรศัพท์ “ขอบใจ ที่เหลือชั้นจัดการได้แล้ว เอ้อ ถ้าโทรมาอีกทีตอนกลับจะดีมากเลยว่ะ เพราะชั้นไม่มั่นใจว่าจะหาทางกลับได้” แล้วโทรศัพท์ก็ถูกเก็บลงในกระเป๋าเสื้อโคท



    นักฆ่าเปิดประตูห้องเข้าไป



    “ใครน่ะ”



    “เอ่อ ผมจะมาขอชีวิตคุณครับ ยังไงก็กรุณา”



    “หือ มาฆ่าชั้น ตลก”



    “ไม่ตลกฮะ ถ้าฆ่าไม่ได้เพื่อนๆผมเอาตายแน่เลย ขอเถอะฮะ”



    “นายนี่ตลกดีนะ เอาสิถ้ามั่นใจนักก็เข้ามา”



    แสงไฟในห้องสว่างขึ้นเผยให้เห็นร่างของเหยื่อที่สูงโปร่งมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ



    “ตั้งแต่เกิดมาชั้นยังไม่เคยแพ้ใครเลย หึหึ” แล้วชายร่างสูงก็รุกเข้าหมายจะทำร้ายผู้บุกรุก แต่ว่าลูกเตะที่ถูกส่งออกมาใช้นั้นกลับกวาดถูกแต่อากาศ นักฆ่ากระโดดหลบได้อย่างง่ายดาย



    “คุณช้าไปหน่อยฮะ ถ้าเร็วกว่านี้แล้วท่าพื้นฐานดีกว่านี้สักเล็กน้อยก็คงจะถูกหรอก” เอสพูดกับเจ้าของบ้านที่ทำสีหน้างุนงงกับการโจมตพลาดของตัวเอง



    “หนอย แก” คนโจมตีพลาดสบถก่อนที่จะรุกโจมตีต่อไป



    “สงสัยคู่ต่อสู้ที่ผ่านมาของคุณคงฝีมือเลวร้ายมากแน่ๆเลย ถึงได้แพ้” เอสพูดสบประมาทเข้าอย่างจัง



    “ว่าไงนะ” คนโจมตีไม่โดนเริ่มโกรธมากขึ้นเรื่อยๆและรุกโจมตีต่อไปโดยเป้าหมายก็ยังตีหน้าตายราวกับว่าเล่นขายของอยู่กับเด็กห้าขวบ



    กรี๊งงงงงงงงงงงงงง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คนทำหน้าตายหลบพลาดเป็นครั้งแรกเป็นผลให้ถูกเตะกระเด็นไปติดฝาผนัง



    “ไอ้เวร” เอสรับโทรศัพท์



    “อ้าว ยังไม่เสร็จหรอ”



    “เออ”



    “งั้นชั้นวางก่อน”



    “ไม่ต้องจะเสร็จแล้วแหละ” จบประโยคมีดสีเงินคู่ใจก็ถูกขว้างออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่คนถูกโจมตียังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ



    “เจ็บชะมัดไอ้เวร”



    “หือ ก็แกมัวแต่เล่นอยู่นี่หว่า คนระดับนั้นไม่ถึงนาทีก็จัดการได้แล้ว” เสียงใจโทรศัพท์สมน้ำหน้า



    “ชิ เออรีบๆบอกทางออกมาเลย”



    “เดี๋ยวก็ให้ออกเองเลยนี่” คำพูดที่ทำให้คนหลงทางต้องทำเสียงเหวอก่อนที่จะยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้



    .....................................................................................



    “ทำลายมันเนี่ยนะ” เรนร้องเสียงหลงกับพนักงานที่อยู่ข้างๆ



    “ครับ”



    “จะทำยังไงวะ” เรนสบถกับตัวเองขณะที่มองไปยังสิ่งที่เขาต้องทำลายมันเป็นอาวุธขนาดยักษ์ที่องค์กรยึดมาได้แต่ฝ่ายเครื่องกลไม่มีปัญญาทำลายและคิดถึงเวลาที่ทางองค์กรกำหนดมาให้ ‘ให้เวลาเป็นเดือนอาจจะเหมาะสมจริงๆก็ได้’ แล้วก็ต้องถอนหายใจพร้อมกับประเมิณอาวุธตรงหน้าด้วยสายตา



    “มีไขควงสี่แฉกมั๊ย” เรนหันหน้าไปหาช่างเครื่องคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ



    “มีครับ” แล้วช่างคนนั้นก็ส่งไขควงให้



    เรนรับมาพร้อมกับปีนขึ้นไปยังอาวุธนั่นและเริ่มใช้ใขควงขันที่ปิดแผงวงจรออกมาดู “มิน่าถึงทำลายไม่ได้ มีระบบระเบิดตัวเองด้วย” สีหน้าเริ่มสนุก



    “เฮ้ ขอกุญแจปากตายโน๊ตบุ๊กเครื่องนึง แล้วก็กาวลาเท็กซ์ด่วน” เรนตะโกนลงมาข้างล่างทำให้เหล่าพนักงานต้องงุนงงกับของที่เรนขอแต่ก็จัดหามาให้อย่างรวดเร็ว



    หลังจากนั้นประมาณห้านาทีเป็นอย่างมากเอสก็กระโดดลงมา “เสร็จแล้วที่เหลือจะเอาไปทำลายยังไงมันก็ไม่ระเบิดแล้ว”



    เหล่าช่างเครื่องต่างพากันงุนงง เรนจึงหัวเราะก่อนที่จะอธิบาย “ไม่มีอะไรมากหรอกในเมื่อมันตั้งระบบระเบิดตัวเองเราก็ส่งไวรัสเข้าไปทำลายซะง่ายๆส่วนเรื่องไฟหรืออะไรที่จะทำให้ไอ้ยักษ์นี่ทำงานได้ก็เอากาวเคลือบซะ เอ้อแล้วไอ้เรื่องแบบนี้ถ้าจะขอความช่วยเหลือน่าจะส่งเรื่องไปทางพวกเกี่ยวกับคอมดีกว่านะ พวกชั้นรับแต่หน้าที่ ฆ่า ขโมย หรือสืบข่าวเท่านั้นแหละ เรื่องแบบนี้ไม่ถนัด” พูดจบเหล่าช่างเครื่องก็ถลึงตาให้กับคำว่าไม่ถนัดของไอ้คนพูด



    .....................................................................



    ประตูห้องถูกเปิดวิลส์เดินเข้ามาในห้อง



    “ไงเรียบร้อย?”คานินเอ่ยทักคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง



    “เออ มีงานไรทำอีกป่าว”



    “เฮ้ย อย่าบ้า”



    “ไม่บ้าหรอกอยากทำหนุกดี แล้วยังไงก็ต้องช่วยไอ้เอสด้วยนี่” คำตอบที่ทำให้คานินต้องยิ้มแห้งและคิดว่ามันเอาไอ้เอสเป็นข้ออ้างทำงาน



    “มีงานไรอีกมั๊ยเนี่ย เพิ่งสามทุ่มสี่สิบห้าเอง หาอะไรทำอีกก็ได้ค่อยนอนตอนกลางวัน” แล้วคนพูดก็เริ่มหางานที่จะทำต่อ



    “งึมๆ ไอ้นี่ไว้ให้เอสมันทำ”แล้วก็เปลี่ยนเอกสารในมือ “เอาไอ้นี่ดีกว่า ไปก่อนนะเดี๋ยวมาไม่เกินสองชั่วโมง”



    หลังจากที่ประตูถูกปิดตานินก็ต้องถอนหายใจมองตามเพื่อนของเขาไป



    “เฮ้อ พวกมันบ้าหรือไงกันนะ”



    “ไม่บ้าหรอก” เรนเปิดประตูเข้ามาหลังจากที่วิลส์เพิ่งปิดลงไป “ไอ้วิลส์มันไปทำงานอีกแล้วหรอ งั้นชั้นหามั่งดีกว่า มีงานไรอีกมั๊ยที่ไม่ใช่พวกสืบข่าวนะ ชั้นทำไม่เป็น”



    “มี จะเอา?”



    “เออ เอามา” แล้วเรนก็รับเอกสารจากคนพูดมาอ่านดู “อือ ไม่น่านานนะ เตรียมรถให้หน่อยดิแล้วจะรีบกลับ”



    “หึ ชั้นว่าแล้วว่าต้องเป็นงี้ก็เลยให้รถรอแกอยู่แล้ว” คานินพูดยิ้มๆ



    “เออ” เรนพูดอย่างถูกใจก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป



    เสียงประตูถูกเปิดอีกครั้งเอสเดินเข้ามาในห้อง



    “อ้าวไปไหนกันอีกล่ะ” คนเพิ่งเข้ามาพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนกำลังจะออกไปข้างนอก



    “ทำไอ้นี่” คำตอบที่ทำให้คนถามต้องนิ่วหน้า



    “ทำไมมันมีงานให้ทำเยอะจังวะ”



    “นั่นสิ” คนถูกถามพูดยิ้มๆแล้วเดินออกจากห้อง



    “มันเกิดไรขึ้นวะ”



    “ไม่มีอะไรหรอก แกจะไปนอนใช่มะ”



    “หือ ไม่อะ นอนมาหลายวันแล้วชักเบลอ ถ้ามีงานเยอะขนาดนั้นแบ่งมาให้ชั้นมั่งเดะ จะได้ยืดเส้นสาย” แล้วคนพูดก็เหลือบไปเห็นถุงเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะพอดี



    “วู้ว จะทำกันทั้งปีเลยหรอวะ ไปหามาจากไหนเนี่ย” แล้วก็ไม่ดูแต่ตา ใช้มือต้องด้วยโดยการขุดหางานที่อยากทำ



    “ไอ้นี่ดีกว่า จะได้ไปสูดอากาศเย็นในแดนเหนือ เตรียมเจ๊ตให้หน่อยเดะ” เอสพูดกับคนที่กำลังยิ้มแหยอยู่



    “ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอกแต่”



    “ไม่ต้องแต่หรอก ถ้าได้ก็ไปเลย” แล้วก็ไม่ว่าเปล่าพลันออกจากห้องไปยังท่าจอดเครื่องอย่างรวดเร็วทำให้คนที่ยังอยู่ในห้องต้องหันมาพิจารณาตัวเองบ้างว่าจัดอยู่ในจำพวกเดียวกับมันหรือเปล่า



    ...........................................................



    หลายวันต่อมางานทั้งหมดที่เอสล้อว่าจะทำทั้งปีกลับเสร็จลงอย่างรวดเร็วทำเอาเหล่าสมาชิกที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำงานไปเท่าไหร่ในหลายวันที่ผ่านมาต้องงงกับฝีมือตัวเอง



    “เฮ้ย หมดแล้วหรอ” เรนร้องอย่างงงๆ



    “เออ เดะ แล้วแกจะให้มันเหลืออะไรวะ แม่งปีศาจบ้างานเข้าสิงหรอวะสองสามวันนี้” คานินพูดกวนตีน ทำให้เหล่าสมาชิกต้องยิ้มแห้ง



    “ถ้างั้นก็ว่างสิ” เอสซึ่งไปติดอยู่พูดอย่างเซ็งๆ



    “หือ ไม่ดีหรอ” ทีนพูดล้อ



    “ไม่ดีน่าเบื่อออก”



    “ถ้างั้นจะไปหามาเพิ่มให้”



    “เอาเดะ” คำตอบของเอสที่ทำให้ทุกคนยิ้มแห้ง



    ....................................................................................













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×