คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Prince of Unseam 4
“ไปไหนมาน่ะ” เร็กซ์เอ่ยถาม คานินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“อ้าว แกทำใจเรื่องท่านหญิงได้แล้วหรือไง” เขาถามเพราะเห็นท่าทีของเพื่อนรักเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ พร้อมกับเดินไปนั่งบนเตียงด้วยท่าทางสบายๆ
“อะ” เร็กซ์ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “แกรู้จักท่านหญิงนานแล้วหรือ” เขาถาม
“ก็ค่อนข้างนาน รู้จักตั้งแต่ตอนยังเป็นเจ้าชายอยู่ เธอเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายฮานีนที่ได้รับการคัดเลือกมา” เขาตอบพลางมองหน้าคนถามอย่างไม่เข้าใจ
“อืม แล้วนายรู้จักนิสัยหรือของที่ชอบของท่านบ้างหรือเปล่า”
“ก็ ถ้านิสัย ที่นายเห็นเมื่อครู่นั่นเป็นนิสัยที่แท้จริง เจ้าเล่ห์ เล่นละครเก่ง เอาตัวรอดเป็นที่หนึ่ง ส่วนของที่ชอบก็พวกอาวุธลับ ไม่ก็ของแปลกๆอย่างอาวุธโบราณ”
“อืม แล้วดอกไม้ล่ะ”
“คงไม่ชอบ ชั้นว่าที่เธอปลูกไว้ก็คงแค่...เล่นละคร ล่ะมั้ง” คานินตอบยักไหล่พลางมองดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม
เร็กซ์ทำสีหน้าแปลกๆก่อนที่จะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ขอบใจ” เขาตอบเรียบๆ ซึ่งคานินต้องเป็นฝ่ายงงกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้าแทน
“ชั้นนึกว่าแกจะช็อคอะไรมากกว่านี้ซะอีก” คานินทักแต่เร็กซ์ยิ้มเจ้าเล่ห์รับ
“ก็ช็อคนะ ถูกสาวหลอกเป็นครั้งแรก แต่ชั้นก็คิดว่า ชั้นจะเอาชนะเจ้าหล่อนให้ได้ เอาหัวใจเธอมาครอง” คำตอบที่ทำให้คานินหน้าเบ้ ‘มันยังไม่เข็ด’ แต่เขาก็ไม่ตอบอะไร
...............................................................................................
เช้าวันต่อมาคานินทรงชุดเจ้าชายเต็มยศแล้วเข้าไปประชุมของเหล่าทหารตามที่ได้รับยัดเยียดมาจากผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ ถุงมือสีขาวสะอาดปักลายสีทองของราชวงศ์ถูกสวมช้าๆอย่างเบื่อหน่าย ผ้าคลุมสีเข้มกับชุดทหารที่เข้าชุดกันถูกใส่อย่างรีบร้อนแล้วเจ้าตัวก็เผ่นออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเพื่อนรักอีกคนหนึ่งที่ต้องไปประชุมด้วยกัน
“เร็กซ์แกไม่กลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องก่อนแน่นะ” คานินถามขณะที่กำลังรีบเร่งเดินไปยังสถานที่ที่จะประชุมกัน
“เปลี่ยน เดี๋ยวกะว่าจะแวะบ้านก่อน เมื่อคืนก็ดันลืมไปนะว่าวันนี้มีประชุมให้ตายเหอะ” เร็กซ์บ่น ทั้งเขาและเจ้าชายตรงหน้าต่างพร้อมใจกันลืมการประชุมที่จะถูกจัดขึ้นในวันนี้เสียสนิท “อีกกี่นาทีนะ” เสียงของเจ้าชายที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้าถาม
“แก เอ้ย ท่านไปถึงเมื่อไหร่ก็เข้าประชุมเมื่อนั่นแหละขอรับ” เร็กซ์รีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าอยู่ในฐานะเจ้าชาย คานินทำหน้าเบ้แต่ก็ไม่ตอบอะไร
“เฮ้ย ไม่ใช่สิวะ ชั้นถามเวลาเข้าที่นัดกันเอาไว้น่ะ” คานินถามอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก ตอนที่เขากำลังเดินเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ้าวิ่งไปได้เขาคงวิ่งไปนานแล้ว ‘ให้ตายเหอะต้องมานั่งรักษาภาพพจน์เจ้าชายนี่อีก’ เจ้าชายนึกบ่นในใจอย่างอารมณ์เสีย
“เวลาที่นัดไว้คือแปดนาฬิกาตอนเช้าครับ แต่ถ้าท่านไปสายก็ไม่เป็นไรเพราะการประชุมจะเริ่มต่อเมื่อประธานในที่ประชุมกล่าวเปิดการประชุมแล้วเท่านั้น”
“แล้วถ้าแกไปสายจะเป็นไงวะ” ประธานที่กำลังจะไปสายถาม
“ก็คงไม่เป็นไรมั้งครับ ถ้าท่านประธานไม่เอาเรื่อง” น้ำเสียงที่อ่านไม่ออกตอบยิ้มๆ คานินนิ่วหน้าและยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบ
“ดี ถ้าอย่างนั้นชั้นไปก่อน แล้วเดี๋ยวแกตามไปแล้วกัน”
“ครับ” สิ้นเสียงตอบเจ้าชายตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว ด้วยความเร็วที่ถูกฝึกมา เร็กซ์ถอนหายใจเหนื่อยๆกับท่าทางที่ไม่สมเป็นเจ้าชายของเพื่อนรัก
คานินวิ่งตามทางเดินที่ถูกปูด้วยหิน ซึ่งมันเป็นทางเดินออกจากตัวปราสาท และเขาจะต้องไปประชุมที่กระทรวงซึ่งอยู่ห่างจากตัวปราสาทค่อนข้างมาก เจ้าชายหันไปมองด้านซ้ายขวาหาพาหนะที่เขาจะใช้ได้
ดวงตาสีทองเหลือบมองไปยังรถยนต์สีทองคันหนึ่งซึ่งเป็นพาหนะประจำตำแหน่งของเจ้าชาย ‘ไม่เอาดีกว่า ถ้าเอาไอ้นี่ออกไปเดี๋ยวก็ต้องมีการปิดถนนให้ยุ่งเดือนร้อนชาวบ้าน’ เจ้าชายที่เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้านเป็นอย่างดีสะบัดหัวแรงๆไล่ความคิดเดิมออกไปแล้วเริ่มกวาดสายตาไปเรื่อยๆ แต่ไม่เจอพาหนะที่จะใช้ได้
เจ้าของดวงตาสีทองเริ่มร้อนใจ การประชุมที่ต้องไปแทนผู้เป็นพี่ในฐานะประธานการประชุมจะไปสายก็ไม่ได้ สมองที่ว้าวุ่นเริ่มทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางออก และก็ได้ผล ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัวสมอง นัยน์ตาสีทองมีแววเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นและขาทั้งสองเริ่มทำงานอย่างรวดเร็วตามที่เจ้าของสั่ง
เจ้าชายเดินไปยังโรงเก็บพาหนะ แต่ไม่ใช่สถานที่สำหรับเก็บพาหนะที่จะเป็นพาหนะพระที่นั่ง ทำให้เหล่าทหารที่เฝ้าอยู่งุนงงไปตามๆกัน
“เปิดประตู” เจ้าชายสั่งเร็วๆ และทหารที่รับคำสั่งก็ทำตามอย่างงงๆ
“แต่ ท่านครับ ตอนนี้ไม่มีคนที่ขับเครื่องพวกนี้เป็นนะครับ” ทหารที่เปิดประตูกล่าวรายงาน ซึ่งเจ้าชายก็โบกมือในทำนองว่าไม่เป็นไรทำให้คนถามงุนงงขึ้นอีก
ประตูโรงเก็บยานพาหนะสำหรับใช้ในสงครามถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเครื่องบินรบขนาดใหญ่หลายคันที่ถูกเก็บอยู่ภายใน แล้วเจ้าชายก็หันไปถามทหารที่มาเปิดประตูให้ “เครื่องในนี้ ใช้ได้ทุกเครื่องใช่มั๊ย”
“คะ ครับ เครื่องด้านในใช้ไม่ได้ครับ แต่เครื่องที่จอดอยู่ด้านนอกทางนี้ใช้ได้ แต่ไม่มีคนขับ” คนที่ถูกถามตอบ ซึ่งเจ้าชายก็พยักหน้ารับรู้ และเดินเข้าไปใกล้เครื่องบินรบเครื่องหนึ่งซึ่งจอดอยู่ใกล้ทางออกมากที่สุด
“เตรียมนำเครื่องออกเลย” เจ้าชายสั่งพลางหารีโมตที่จะใช้เปิดเครื่องบินรบลำนั้น
“คะ ครับ?” ทหารถามอย่างงงๆ ราวกับไม่เข้าใจคำสั่งนั้น
“ก็ เตรียมเปิดรันเวย์ ที่จะให้เครื่องขึ้น เออ ใช่แจ้งสนามบินทางกองทัพที่อยู่ที่กระทรวงด้วยว่าให้เตรียมที่สำหรับนำเครื่องลงด้วย” คนสั่งสั่งพร้อมกับกดปุ่มบางอย่างบนรีโมตเพื่อให้เครื่องเปิดให้เข้าและกระโดดเข้าไปอย่างรวดเร็ว “เตรียมให้พร้อมภายใน ” คนพูดเหลือบไปมองนาฬิกา 7.50 น. “5นาที”
“ตะแต่ว่า ไม่มีคนขับนะครับ” นายทหารยังคงย้ำคำเดิมซึ่งคานินก็หยักหน้ารับอย่างเบื่อๆ
รันเวย์ถูกเตรียมพร้อม ประตูของโรงเก็บพาหนะถูกเปิดตามคำสั่งของเจ้าชายอย่างรวดเร็วท่ามกลางความงุนงงของทหารทุกนายที่อยู่ที่นั่น เจ้าชายขึ้นไปประทับยังที่คนขับ คาดเข็มขัดและสวมแว่นตากันลมเตรียมพร้อม
เครื่องยนต์เริ่มทำงานเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มไปทั่วเป็นสัญญาณว่า เครื่องกำลังจะถูกใช้งาน เจ้าชายกดปุ่มบางอย่างที่อยู่บนแผงด้านหน้า และเครื่องยนต์ก็เริ่มออกวิ่ง เหล่าทหารต่างพากันอ้าปากค้างและถลึงตามองกับการกระทำนั้น “เจ้าชายจะทรงขับเครื่องบินรบไปเอง” ทหารคนหนึ่งร้องอย่างหวาดๆ แต่เจ้าชายก็ไม่ทรงได้ยินเพราะเครื่องบินได้เริ่มออกบินแล้ว และไม่นานนักเครื่องก็หายลับไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าท่านเป็นอะไรไป จะทำยังไง” นายทหารคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างหวาดๆพลางหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ซึ่งก็หน้าซีดไม่แพ้กัน เพราะทุกคนต่างรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายพวกตนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
หลังจากที่เครื่องขึ้นไม่นานนัก บุรุษผมสีทองก็เริ่มมองหาจุดที่จะต้องนำเครื่องลงจอดและก็มองเห็นอาคารหลังหนึ่งที่ถูกสร้างจากหินอ่อนสีขาวทั้งหลังและมีรูปทรงเหลี่ยม บนดาดฟ้าของอาคารนั้นเป็นลานกว้างที่ทำจากหินไว้ใช้สำหรับการนำเครื่องบินลงจอด แต่ส่วนมากจะใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
เจ้าชายหันหัวเครื่องลงจอดทันทีอย่างไม่ลังเล เครื่องเริ่มลดความเร็วลงและวิ่งไปตามทางยาวของอาหารหินแห่งนั้น และในที่สุดมันก็หยุด
นักบินจำเป็นถอดแว่นกันลมออกพร้อมกับเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็วและเหลือบไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่กับเครื่องที่พระองค์ประทับมา 7.56 น. เจ้าของผมสีทองถอนหายใจช้าๆก่อนจะกระโดดอย่างรวดเร็วลงจากเครื่องและก้าวเดินยาวๆไปยังประตูที่เปิดลงไปสู่ตัวอาคารด้านล่าง
.........................................................................................
7.59 น. ณ ห้องประชุม
ภายในห้องถูกประดับด้วยเครื่องใช้สีน้ำตาล พรมสีน้ำตาล และหนังห้องสีครีมทำให้ห้องดูศักดิ์สิทธิ์ โต๊ะยาวที่อยู่ตรงกลางห้องกำลังรับแขกผู้มีเกียรติจำนวนมากซึ่งกำลังรอการมาของบุรุษผู้สูงศักดิ์
“เจ้าชายยังไม่เสด็จอีกหรือ” บุรุษสูงวัยเจ้าของผมสีเทาคนหนึ่งที่นั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งที่สามารถของศักดิ์ของเจ้าของที่นั่งได้เป็นอย่างดีกล่าวอย่างแสดงความไม่เคารพออกมาโจ่งแจ้ง
“ใช่ ใจเย็นๆน่า ยังไม่แปดโมงเลยท่านคาลอส” คนที่มีอายุน้อยกว่าชายคนแรกกล่าวเรียบๆ เขาเป็นคนที่นั่งตรงข้ามกับบุรุษสูงวัยผู้นั้น
“อีกหนึ่งนาทีน่ะหรือท่านเวนิก” คนถูกบอกให้ใจเย็นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ แต่คนฟังก็เพียงแต่ส่ายหน้าแล้วยิ้มๆ
“อีกสามสิบแปดวินาที” สตรีที่มีใบหน้าอ่อนหวานและมีผมซอยสั้นสีอ่อนจนเกือบขาวที่นั่งอยู่ด้านข้างชายหนุ่มคนที่มีนามว่าเวนิกตอบพลางเหลือบมองนาฬิกา
บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียด สมาชิกในห้องทั้งหมดเกือบยี่สิบคนต่างพากันเงียบและฟังบทสนทนาที่ไม่น่าพิสมัยนั้นด้วยหัวใจที่เต้นแรง และหวังเพียงว่าอย่าให้มีเรื่อง และดูเหมือนท่านเวนิก จะสามารถจับความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดีจึงหัวเราะขึ้นเบาๆและยกมือขึ้นเสยผมตรงยาวสีแดงเลือดของตนช้าๆอย่างอารมณ์ดี
“หัวเราะอะไร ท่านเวนิก”คาลอสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิมนักซึ่งคนถูกเอ่ยชื่อก็เพียงแต่โบกมือช้าๆในทำนองว่าไม่มีอะไร
“ขออภัยๆ ท่านคาลอสพอดีข้าเผลอไปหน่อย” คนเผลอกล่าวยิ้มๆซึ่งคนฟังไม่ได้มีสีหน้านั้นตามไปด้วย
“เผลอหรือ ระดับท่านน่ะหรือ จะเผลอ ข้าว่าจงใจมากกว่า” สายตาสีเทาจนเกือบขาวของบุรุษที่มีเรือนผมสีเดียวกันนั้นจับจ้องมายังผู้ที่นั่งตรงข้ามพร้อมกับกล่าวคำด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
“อย่าคิดเช่นนั้นสิ ข้าก็เป็นเพียงมนุษย์เดินดินคนหนึ่งเท่านั้นการเผลอมันก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ” เจ้าของเรือนผมสีแดงตอบด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนความขบขันไว้ไม่มิด
“มนุษย์เดินดิน ท่านน่ะหรือ” ชายสูงวัยเอ่ยพลางหรี่ตามองคนตรงหน้า “ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นมนุษย์เดินดิน ท่านก็น่าจะอธิบายวีรกรรมของท่านในการรบครั้งที่แล้วให้ข้าฟังได้สินะ”
“การรบครั้งที่แล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรมากมายเลยนะท่าน ข้าก็เพียงแต่ทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุดเท่านั้น เพียงแต่ผู้คนนำไปเล่าลือกันต่อ และผลจากการเล่าลือนั้นทำให้เรื่องต่างๆมันดูอลังการมากขึ้นเท่านั้น”
“ถึงจะมีคนไปลือกันผิดๆแต่เนื้อหาหลักมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงเยาะกล่าวซึ่งคนที่ถูกเยาะก็ได้แต่ยิ้มเรียบๆไม่ตอบอะไร ห้องเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่จะมีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นทำให้เหล่าทหารในห้องพากันสะดุ้ง
“แล้วข้าจะเริ่มประชุมได้หรือยัง หรือจะต้องรอพวกท่านคุยกันโดยไม่เห็นหัวข้าต่อไป” เสียงนั้นดังมาจากทางหัวโต๊ะซึ่งเป็นที่นั่งที่เมื่อครู่ว่างอยู่
“จะ เจ้าชาย ท่านเสด็จมาเมื่อไหร่ขอรับ ขออภัยด้วย” ทหารคนหนึ่งในโต๊ะกล่าวแล้วทหารทั้งหมดก็ยืนขึ้นพร้อมกันแล้วทำวันทยหัตถ์แสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
“ก็ มาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ท่าน” เจ้าชายมองไปทางบุรุษเจ้าของผมยาวสีแดง “หัวเราะนั่นแหละ” จบประโยคทุกคนในห้องต่างพากันหน้าซีด ‘เจ้าชายพระองค์นี้ไม่ธรรมดา ทั้งๆที่ทหารในห้องทั้งหมดรวมทั้งตัวข้าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแท้ๆ กลับไม่มีใครรู้ตัวเลยแม้แต่คนเดียวว่าท่านได้เข้ามาในห้องแล้ว’ คนที่ถูกมองคิดอย่างหวาดกลัว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเปิดการประชุม ณ บัดนี้” คานินกล่าวเรียบๆพลางหยิบเอกสารการประชุมที่ถูกเตรียมไว้ขึ้นมาอ่านผ่านๆอย่างรวดเร็ว แล้วเหลือบไปมองยังที่นั่งสุดท้ายที่ว่างอยู่ซึ่งเป็นที่นั่งของเพื่อนรัก
แต่ก็ไม่ต้องให้รอนานนักเพราะเจ้าของที่นั่งที่สุดท้ายที่ยังว่างอยู่ได้เดินเข้ามาทันทีที่สายตาของเจ้าชายมองกลับมายังเอกสารในมือ
“ขออภัยครับ” นายทหารที่มาสายกล่าว ทั้งห้องพากันเงียบและมองไปยังเจ้าของเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง มีสายตาหลายคู่ที่แสดงออกถึงความเหยียดหยามอย่างออกนอกหน้าแต่คนถูกมองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่จ้องตรงมายังบุคคลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
“ตามสบาย” เจ้าชายกล่าวเรียบๆ เร็กซ์เดินเข้ามาในห้องทันทีเมื่อสิ้นเสียงนั้น แต่บุรุษที่มีนามว่าคาลอสกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “ตามสบายหรือท่าน จะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ การที่นายทหารมาสายแล้วไม่มีการลงโทษเลยแม้แต่น้อย” เจ้าชายเหลือบมองมายังเจ้าของเสียง แล้วทันใดนั้นเหล่าทหารทุกคนที่อยู่ในห้องก็รับรู้ถึงรังสีฆ่าฟันที่รุนแรงเมื่อคำพูดคำต่อมาหลุดออกจากพระโอษฐ์ของผู้สูงศักดิ์ “ท่านจะเป็นผู้ตัดสินหรือข้าเป็นผู้ตัดสิน ถ้าท่านอยากทำหน้าที่นั้นท่านก็เป็นประธานในการประชุมเสียเองเลยสิ” น้ำเสียงเรียบๆที่เต็มไปด้วยแรงกดดันทำให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินต้องเงียบ แรงกดดันที่ทำให้หายใจลำบากเมื่อครู่ได้ถูกสลายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีมาก่อน
‘คนๆนี้เก่ง’ เวนิกคิดพลางจ้องไปยังผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า ‘นอกจากนี้ยังเจนจัดสนามรบเสียด้วยสิ’ แล้วเขาก็ต้องหลบสายตาทันทีเพราะคนที่ถูกจ้องกลับกลายเป็นฝ่ายที่จ้องเขาแทน
การประชุมได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนาฬิกาชี้บอกเวลา 8.30 น. พอดีและเวลาก็ล่วงเลยไปอย่างช้าๆจนกระทั่งนาฬิกากระดิกเข็มอย่างเชื่องช้าบอกเวลา 14.00 น. ทั้งๆที่ความจริงแล้วการประชุมควรจะจบลงตั้งแต่เที่ยงแต่เจ้าชายผู้เป็นประธานในการประชุมยังไม่ยอมเลิกประชุมเสียทีจึงทำให้เหล่าสมาชิกต่างกระวนกระวาย แต่แล้วในที่สุดเสียงสวรรค์ของผู้ร่วมการประชุมก็ดังขึ้นเมื่อเวลา 14.30 น. “เลิกประชุมแค่นี้แล้วกัน” เจ้าชายกล่าวเนือยๆ พลางสังเกตพฤติกรรมของสมาชิกแต่ละคนที่รีบเร่งออกจากห้องประชุมอย่างเรวดเร็วหลังจากทำความเคารพเสร้จ เจ้าชายแล้วหัวเราะน้อยๆอย่างขบขัน จนกระทั่งในห้องว่างเปล่าเหลือเพียงเขากับเร็กซ์เท่านั้นบุรุษผู้เคยเป็นเจ้าชายจึงได้กลับมาเป็นหนุ่มวัยรุ่นอีกครั้ง แล้วเดินไปหาเพื่อนรัก
“นี่เร็กซ์ ไอ้สามคนนั้นใครกันวะ” คานินถามพลางนั่งลงที่ที่นั่งที่ว่างอยู่ข้างๆเพื่อนรัก
“สามคน อ้อ สามคนที่นั่งติดกับนายใช่มั๊ย” คานินพยักหน้ารับพลางจ้องไปยังคนถามเพื่อรอฟังคำตอบ
“สามคนนั้น คือ ไตรเทพแห่งกองทัพ คนที่ผมยาวสีแดง ชื่อเวนิก ท่านเวนิกเป็นผู้นำกองทัพบก อีกคนที่ผมขาวๆหน่อยนั่นท่านคาลอส เป็นเจ้าแห่งทัพอากาศ แล้วผู้หญิงคนนั้นที่ผมสีอ่อนๆน่ะ คือท่านราสเจ้าแห่งทัพเรือ”
“อืม มิน่าล่ะ” คานินพูดเบาๆกับตัวเอง แต่เร็กซ์หันมามองอย่างงงๆ
“อะไร”
“สามคนนั่น เป็นคนสามคนที่ไม่มีทีท่ากระวนกระวายที่ชั้นเลิกประชุมช้าแล้วคนที่ผมแดงน่ะ จ้องชั้นตลอดการประชุมเลย ท่าทางจะเป็นคนที่ประมาทไม่ได้” คานินบ่น “ถามอีกอย่าง เวนิกเออ คนผมแดงเมื่อกี้ที่บอกว่าวีรกรรมน่ะเรื่องอะไรหรือ”
“วีรกรรม อ๋อ วีรกรรมของท่านเวนิกในสงครามครั้งสุดท้าย” คำพูดหยุดลงครู่หนึ่งเพราะเจ้าของคำพูดกำลังคิดสรรค์คำพูดที่จะนำมาตอบ “ไม่ยาก ท่านเวนิกคุมทหารจำนวนไม่ถึงร้อยบุกเข้ากองทัพหลักของศัตรูแล้วตัดหัวแม่ทัพมาเป็นบรรณาการให้ประเทศได้” เมื่อฟังจบคนถามก็มีรอยยิ้มอย่างพอใจ “ไม่นึกว่าประเทศเราก็ยังมีคนมีฝีมืออยู่นะ”
“มันก็ต้องมีสิวะ ถ้าแกไม่เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน” เร็กซ์พูดเชิงประชดให้คนฟังต้องหัวเราะเบาๆ
“เอาชั้นเป็นมาตรฐานแล้ว ในโลกนี้ก็ยังมีคนเก่งอยู่ดีนั่นล่ะ โดยเฉพาะที่องค์กรนั่น” คานินตอบเบาๆแต่เร็กซ์ยิ้มแห้งแล้วลุกขึ้นยืนพลางพูดว่า “เออ ยังไงก็บ่ายแล้ว ไปหาข้าวเที่ยงกินกันดีกว่า หรือแกจะไปเสวยที่ห้องอาหาร”
“ไม่เอา ขี้เกียจนั่งเก็ก ไปกินกับแกก็ได้” แล้วคานินก็ลุกตามและเดินตามเพื่อนออกไปจากห้องประชุมที่ไม่มีใครอยู่แล้ว
................................................................................................................................................
คานินเดินออกมาจากห้องพร้อมกับพยักหน้าให้กับคนที่ยืนรออยู่ซึ่งกำลังแอบขำอยู่ในใจ
เรือนผมสีทองที่เป็นประกายล้อกับแสงแดดกลายเป็นสีดำที่เข้ากับความมือแห่งรัตติกาลที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนัก นัยน์ตาสีทองที่มีแววสงบนิ่งหน้าเกรงขามกลับเปลี่ยนเป็นสีดำที่พราวระยับอยู่เสมอ ชุดที่หรูหราราคาแพงถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงขายาวธรรมดารองเท้าหนังคู่งามถูกเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าสีดำสนิท แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือ บุคลิกที่น่าเกรงขามและทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ถูกแทนที่ด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานอยู่เสมอของคนๆหนึ่ง เร็กซ์คิดขำๆกับท่าทีที่เปลี่ยนไปในช่วง 5 นาทีพร้อมกับส่ายหัวและเดินตามคนตรงหน้าไปช้าๆ
“จะไปหาอะไรกินที่ไหน” คานินหันไปถามคนที่เดินตามหลังอยู่
“แล้วแต่อยากกินอะไรล่ะ” เร็กซ์ถามกลับ
“อะไรก็ได้” คนพูดหยุดเดินเพื่อรอให้เพื่อนรักเดินตามมาให้ทัน
“อะไรก็ได้ ดี งั้นไปบ้านชั้นนะ” คำตอบที่ทำให้คานินต้องเลิกคิ้วอย่างสงสัย “บ้านแกเหรอ”
“เออ หรือจะไม่ไป ความจริงบ้านของทหารอย่างชั้นก็ไม่มีอะไรจะมารับรองเจ้าชายอย่างแกได้หรอก” คำพูดที่ทำให้เจ้าชายที่ถูกพูดถึงต้องแยกเขี้ยวรับ “ไปสิ แต่ชั้นก็แค่สงสัย ปกติไม่เห็นแกจะชวนไปบ้านเลย”
“ที่ไม่ชวนก็เพราะ มันไม่มีอะไรน่ะสิ ปกติก็ไม่มีเรื่องต้องไปอยู่แล้วนี่ คราวนี้จะไปกินข้าวก็ไม่แปลกอะไร” เร็กซ์ตอบเรียบพลางมองหน้าคนถามที่ยักไหล่และตามไปดีๆ
ทั้งสองเดินออกจากปราสาทหลังงามของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์และเดินตามทางเดินที่ปูด้วยหินไปยังส่วนของบ้านพักทหาร ซึ่งบ้านของคนระดับพันเอกตรงหน้าก็ตั้งอยู่ไม่ห่างจากพระราชวังมากนักเมื่อทั้งสองนั่งรถที่มีรูปร่างคล้ายๆรถกอล์ฟที่ใช้ขับในเขตพระราชฐานไป
บ้านหลังสีขาวที่ขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่นๆที่อยู่บริเวณรอบๆ นอกจากนี้บริเวณบ้านถูกปลูกต้นไม้ไว้ทำให้บริเวณโดยรอบดูร่มรื่นมากกว่าบ้านหลังอื่นที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน คานินจ้องไปยังสวนที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามสลับกับจ้องหน้าเจ้าของบ้าน
“อะไรของแก” เร็กซ์ที่รู้สึกตัวว่าถูกจ้องก็หรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหาเรื่อง ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือเสียงหัวเราะลั่น “ไอ้บ้า”
“เปล่าๆๆ ชั้นก็แค่...” คานินตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “คิดว่ามันไม่เหมาะกับจะเป็นบ้านแกซักนิด” เมื่อพูดจบเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้งทำให้เจ้าของบ้านที่ถูกสบประมาทต้องกุมขมับ พลางลากคนที่กำลังหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเข้าไปในบ้าน
“กลับมาแล้วหรือคะ” เสียงหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งทักขึ้นเมื่อเร็กซ์เปิดประตูเข้าไปในบ้าน “ครับ ช่วยเตรียมอาหารไว้ให้ด้วยนะฮะ วันนี้ผมพาเพื่อนมาด้วย”
“เพื่อนหรือคะ” แล้วเธอก็มองไปยังคนที่ถูกลากเข้ามาด้วยแล้วทำสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “เพื่อน ผู้ชาย ?” เร็กซ์นิ่วหน้ากับคำกึ่งๆคำถามนั้น
“ก็ปกติเห็นท่านไม่เคยพาผู้ชายมานี่คะ ดิฉันก็เลยสงสัย” คำตอบที่ทำให้คนที่เพิ่งหายขำไปได้เมื่อครู่ต้องปล่อยก๊ากอีกครั้ง “เฮ้ย ไอ้คานิน” น้ำเสียงดุพร้อมกับสายตาข่มขู่ถูกส่งไปให้คนที่ยังหัวเราะไม่หยุด
“สมกับเป็นแกเลยว่ะ แล้วแกมาชั้นมาอย่างงี้จะโดนบอกว่าเปลี่ยนรสนิยมมั๊ยวะ ผลจากการอกหักจากท่านหญิงราสคีลคนสวย” คานินแซวซึ่งคนถูกแซวก็ยิ้มแห้งๆแล้วลากเพื่อนตัวดีเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
ตัวบ้านที่ถูกประดับประดาด้วยหินแกรนิตสีดำที่ตัดกับผนังสีขาวทำให้ดูสะดุดตาไปอีกแบบ พื้นทางเดินที่ถูกทำด้วยหินอ่อนสีหม่นนำทั้งสองเข้าไปสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งตรงกลางของห้องมีบันไดขนาดใหญ่นำไปสู่ชั้นบน
เร็กซ์ลากเพื่อนตัวดีขึ้นไปตามบันไดและเปิดประตูเข้าไปในห้องที่อยู่บริเวณชั้นบนห้องหนึ่ง
“แกจะขำอะไรนักหนาวะ” เร็กซ์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ เมื่อประตูถูกปิดสนิท
“ก็มันขำนี่หว่า ไอ้เสืออย่างแกพาผู้ชายเข้าบ้านทีเป็นเรื่องใหญ่” คนที่เพิ่งหายขำหมาดๆตั้งท่าจะเริ่มหัวเราะใหม่ทำให้คนถูกหัวเราะต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง “เออ คานินแล้วไอ้แผนนั่นของแกน่ะ จะเริ่มเมื่อไหร่”
คนถูกถามทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมเปลี่ยนเรื่องแต่โดยดี “เริ่มไปแล้ว” คำตอบเรียบที่ทำให้คนถามต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “เริ่มแล้วหมายความว่าไง”
“ตามคำพูด ชั้นให้นักข่าวคนเก่งของเราเริ่มงานแล้ว”
“งานอะไร”
“ไม่ยากขั้นแรกก็ต้องหาแหล่งธุรกิจ การลงมือทำอะไรซักอย่างตอนนี้มันจำเป็นต้องใช้เงิน ดังนั้นขั้นแรกก็หาเงินก่อน”
“แหล่งธุรกิจแกหมายความว่าไง” เร็กซ์นิ่วหน้าแล้วถามต่อ “แล้วจะไปหาเงินมาจากไหน” คานินยิ้มแห้งๆแล้วตอบ “แกลืมที่ชั้นบอกวันที่ประชุมไม่ได้แล้วหรือไง”
“ที่แกบอก” คนถามเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่ยาก ปล้นเอา” คำตอบที่ทำให้นายทหารต้องอ้าปากค้าง
“เฮ้ย แกจะเอาจริงน่ะ” คำอุธานหลุดจากปากนายทหารตรงหน้า ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเร็กซ์ก็พูดออกมาอีกครั้งอย่างจำนน“เออ ชั้นลืมไปว่าแกเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าอยากได้อะไรต้องทำให้ได้ตามที่ต้องการ” หยุดไปนิดหนึ่ง “นิสัยเจ้าชายอย่างแรกที่เห็นจากแกเลยว่ะ” คนถูกประชดยิ้มนิดๆ
ทั้งสองเงียบไปสักพักคานินหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่แถวนั้นออกมาอ่านแต่อ่านไปได้ไม่นานก็มีเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่คานินจำได้ว่าเป็นเสียงของแม่บ้านเมื่อครู่ แต่ทั้งสองจับใจความไม่ได้ว่าเจ้าของคำพูดนั้นต้องการจะบอกอะไร เร็กซ์จึงเปิดประตูออกไปถาม “อะไรนะครับ”
“ท่านเวนิกมาเยี่ยมเจ้าค่ะ” เสียงๆเดิมบอกเมื่อเห็นว่าเจ้านายของคนโผล่ออกมาถาม แต่แล้วคนตอบก็ต้องทำสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเจ้านายของตน เร็กซ์หน้าซีดขึ้นมาทันทีแล้วก็รีบปิดประตูเข้าไปในห้อง “เฮ้ย คานิน แกรีบๆไปหาที่ซ่อนเลยเร็วๆเข้า” คำพูดอย่างรีบร้อนทำให้คนฟังต้องทำสีหน้างุนงง
“ทำไม”
“ท่านเวนิกมา” คำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
“เวนิกไหน” แต่คำถามยังไม่ทันได้รับคำตอบกลับมีเสียงขุ่นๆดังขึ้นก่อน
“ไอ้เร็กซ์ ไม่ต้องมาหลบเลย ออกมาซะดีๆ แล้วสาวที่แกชอบน่ะ ไม่ใช่เสป็กชั้นหรอก ไม่ต้องหลบ” น้ำเสียงที่คานินต้องนิ่วหน้า แต่เขาไม่ต้องคิดอะไรเพื่อหาคำตอบเพราะเจ้าของเสียงโผล่เข้ามาในห้องทันทีที่จบคำ
แล้วคานินก็เข้าในคำพูดของเพื่อน เวนิก เจ้าของผมยาวสีแดง คนที่เขาเพิ่งจากมาเมื่อครู่ในฐานะเจ้าชาย ท่านเวนิกแห่งกองทัพบก
แล้วสายตาของบุรุษผมแดงก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของคานินทำให้คนถูกจ้องหน้าต้องหนาวๆร้อนๆ แต่แล้วจอมทัพก็หลุดเสียงหัวเราะลั่นออกมาพลางจ้องหน้าเร็กซ์ที่ยืนยิ้มแห้งๆอยู่ด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากคานินเท่าไหร่นัก ‘หวังว่าคงจำไม่ได้’ เป็นคำที่เกิดขึ้นในใจของทั้งสอง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่เร็กซ์ก็แปลความหมายของเสียงหัวเราะนั้นออกทำให้รอยยิ้มแห้งๆของเขาต้องแห้งยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ หยุดหัวเราะเสียทีเถอะน่า” น้ำเสียงแกนๆบอกกับคนที่ยังคงหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่คานินกลับไม่ได้สนใจเพราะความสนใจของเขาถูกดึงมาอยู่ที่สรรพนามที่เพื่อนรักใช้เรียกบุรุษตรงหน้าแทน ‘ท่านพี่’ แล้วคานินก็จ้องทั้งสองสลับไปมาด้วยท่าทีสงสัย และโชคดีที่ผู้ที่ถูกจ้องทั้งสองกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ได้สนใจอะไรรอบข้าง
“ฮะๆๆๆ แกเปลี่ยนรสนิยมเหรอวะ พาผู้ชายเข้าบ้านเนี่ย “ประโยคที่ทำให้คานินต้องแอบยิ้มตามไปด้วยอีกคน
“ไอ้พี่บ้า นานๆทีมาเยี่ยมแล้วยังจะมาหัวเราะกันอีก ไม่ได้เปลี่ยนรสนิยมเว้ย นี่เพื่อนผม” เร็กซ์ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ
“เอาน่าๆ จะเปลี่ยนรสนิยมก็บอกมาดีๆ” เสียงหัวเราะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกวนประสาท
“บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ นี่เพื่อนผม ชื่อคานิน เป็นเพื่อนสมัยเด็ก” เร็กซ์เดินไปนั่งที่ชุดรับแขกที่คานินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เพื่อนสมัยเด็ก ไม่เห็นรู้จัก” เจ้าของผมยาวสีแดงเดินตามเจ้าของห้องไปพร้อมกับทำสีหน้างงๆ
“ก็ไม่น่าจะรู้จัก ตอนที่ผมคบกับไอ้หมอนี่พี่ไปอยู่หอนี่ ตอนที่เรียนทหารน่ะ” เร็กซ์ตอบพร้อมกับที่คนตรงหน้านั่งตรงข้ามกับเขา
“อ๋อ ช่วงนั้นชั้นไม่อยู่นานด้วยนี่ ถ้างั้นก็แนะนำเพื่อนแกให้ชั้นรู้จักซะดีๆ”
“ก็ได้แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่านี่เพื่อนผมพี่ห้ามยุ่ง” แล้วเร็กซ์ก็มองไปทางคานิน “พี่นี่คานิน เป็นลูกชายของท่านอดีตแม่ทัพ” เมื่อคำแนะนำตัวจบคานินก็ก้มหัวให้เล็กน้อยแสดงความเคารพ “คานิน นี่พี่ชั้น เป็นจอมทัพบก แต่แกอย่าไปยุ่งกับเค้าดีกว่า เพราะรสนิยมของพี่ชายชั้นมันยิ่งแปลกๆอยู่”
“ไอ้ เร็กซ์ชั้นบอกให้แกแนะนำเฉยๆ ไม่ต้องมาสาธยายรสนิยมชาวบ้าน” คนถูกแนะนำว่ามีรสนิยมแปลกๆแยกเขี้ยว “แล้วมันก็ไม่แปลกด้วย”
“อย่างงี้ไม่เรียกว่าแปลกแล้วจะเรียกว่าอะไร” แล้วคานินก็ถามแทรกขึ้นมา
“แล้วอะไรที่แกบอกว่าแปลกล่ะ” คำถามที่ทำให้คนตอบต้องทำสีหน้าลำบากใจ
“ไอ้พี่บ้าของชั้นมันชอบหนุ่มๆ โดยเฉพาะพวกหน้าตาดีๆ” แต่ยังไม่ทันพูดจบก็มีวัตถุแปลกประหลาดบางอย่างพุ่งเข้ามาที่หน้าของคนพูด แต่ยังดีที่เป้าหมายของวัตถุแปลกประหลาดนั้นรับมันได้ทันพอดี พร้อมๆกันที่คนที่อยู่ข้างๆเป้าหมายต้องยิ้มแห้งๆ ‘ตอนอยู่ในห้องประชุมวางมาดซะเท่ห์เชียว....แต่เอาเหอะ ถ้ามารู้ความลับของชั้นบ้างสีหน้าคงไม่ใช่แค่นี้’
“อย่าพูดซะชั้นเสียหายอย่างนั้นสิวะ ชอบของสวยๆงามๆไม่ได้หรือไง” เจ้าของวัตถุแปลกประหลาดเขม่น เร็กซ์มองไปยังของที่อยู่ในมือ แล้วก็ต้องสบถ “เฮ้ย ไอ้พี่นี่ เอาตราประจำตำแหน่งที่ได้รับพระราชทานมาโยนเล่นอย่างงี้ได้ไง”
“ไม่ยาก ก็หยิบออกมาจากกระเป๋า เล็งเป้า แล้วก็โยน” คำตอบสบายๆจากปากของผู้ที่เอื้อมมือมารับตราประจำตำแหน่งคืน “จะว่าไปหน้าเพื่อนนายนี่เหมือนเจ้าชายฮานีนเลยนะ”
ทั้งสองสะดุ้งเฮือกพร้อมกันแล้วคานินก็ยิ้มแห้งๆ “หรือฮะ เพิ่งมีคนบอกเป็นคนแรก”
“เอ้า ไม่เชื่อหรือไง ไม่งั้นก็ไปถามคนอื่นก็ได้” คำท้าให้พิสูจน์ที่ทั้งสองไม่ต้องการจะพิสูจน์
“มะ ไม่ดีกว่าฮะ”
“แต่นายก็เหมือนแค่หน้าแหละ บุคลิกท่าทางยังไม่ติดฝุ่น” คำพูดยิ้มๆที่ทำให้เร็กซ์และคานินต้องหันมายิ้มแห้งๆให้กัน
“ว่าแต่วันนี้พี่มาทำอะไรน่ะ” เร็กซ์รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
“ไม่มีอะไร แค่อยากรู้ข่าวเรื่องเจ้าชายฮานีน แกหาให้หน่อยสิ” เวนิกพูดง่ายๆ “ข่าวแค่นี้หาให้ได้ใช่มั๊ย”
“แล้วทำไมมาถามผมล่ะ” เร็กซ์ถาม
“ก็แกเป็นทหารรักษาพระองค์ไม่ใช่หรือไง ก็น่าจะเจอท่านบ่อยนี่ หรือว่ายศพันเอกมันไม่ทำให้แกฉลาดขึ้น” คำเสียดสีที่เร็กซ์อยากจะยอมรับแต่โดยดี เพราะเขารู้ข่าวที่คนตรงหน้าต้องการยิ่งกว่าดีเสียอีก
“จะพยายามหาให้แล้วกัน” เร็กซ์ตอบเลี่ยงๆซึ่งคนถามก็ไม่ได้ติดใจเท่าไหร่นัก “แล้วท่านพี่มีธุระอื่นอีกหรือเปล่าครับ”
“มี กำลังหาพระเอก”
“พระเอก พระเอกอะไรน่ะ”
“พอดีเมื่อวันก่อนกำหนดการแสดงและแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบวันสถาปนาอาณาจักรได้แล้วน่ะ แล้วปีนี้ทัพเรือได้เรื่องพิธีการ ทัพอากาศได้ดูแลความปลอดภัย”
“แล้วทัพบก” เร็กซ์นิ่วหน้า เพราะยังไม่ได้ยินคนตรงหน้ากล่าวถึงหน้าที่รับผิดชอบของตน
“เรื่องการแสดง และอำนวยการ” คำตอบที่ทำให้คนถามต้องอ้าปากค้างอย่างหุบไม่ลง
“ถ้าอย่างนั้น พระเอกที่ท่านหมายถึงก็”
“ใช่ เมื่อวันก่อนประชุมภายในแล้วก็เลยตกลงเรื่องพิธีการกันเลย วันที่แกโดดประชุมพอดีเลย” น้ำเสียงตำหนิถูกนำออกมาใช้ทำให้คนถูกตำหนิต้องทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ขึ้นมาทันที
“พิธีที่ว่าก็เหมือนเดิม ตอนแรกก็กะว่าจะมีการสวนสนาม แสดงอำนาจของกองทัพอะไรแบบนั้น แต่ก็มีเสียงในที่ประชุมบอกว่าการแสดงแบบเดิมๆมันน่าเบื่อก็เลยจะมีการเพิ่มการเล่นละครถวาย แล้วก็เลยตกลงกันว่าจะเล่นละครตลก” คำตอบที่ทำให้คนถามต้องกุมขมับกับความไม่ปกติของกองทัพที่ตนสังกัด ‘ถ้าไม่ปกติแค่ลูกน้องยังพอว่า แต่นี่ หัวหน้าดันบ้าจี้ตามอีกนี่สิ’
“แล้วละครตลกที่ว่า อย่าบอกนะว่าพี่จะมาหาคนแสดง”
“ใช่แล้วตอนแรกก็กะว่าจะเอาแก” คนตอบหยุดไปนิดหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อเพื่อรอดูปฏิกิริยาของคนฟัง “แต่พอมาเห็นไอ้คานินก็เลยเปลี่ยนใจแล้ว”
คราวนี้คนถูกเอ่ยชื่อกลับสะดุ้งแทน “หะ หา ผมหรือครับ” คานินทำหน้าเหรอพร้อมหันไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างๆที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับละครตลกนั่น
“มะ ไม่เหมาะมั้งฮะ” เหยื่อผู้โชคร้ายเริ่มหาทางแก้ตัวเอง เมื่อเห็นว่าคนข้างๆไม่ยอมช่วยพร้อมกับใช้สายตาอาฆาตมองคนที่กำลังทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่หรอก นายนั่นแหละ เหมาะสุดแล้ว ยังไงก็ไม่ได้สังกัดกองทัพนี่ ดังนั้นวันงานก็คงว่างใช่มั๊ยล่ะ”
‘ไอ้ว่างน่ะมันก็ว่างอยู่แต่ต้องนั่งว่าบนบัลลังก์เจ้าชายน่ะสิ’ เมื่อเห็นสีหน้าปฏิเสธไม่ได้ของเหยื่อผู้โชคร้ายคนได้เปรียบจึงจัดการสรุปเรื่องเองซะเลย “ตกลงจะเริ่มซ้อมพรุ่งนี้ตอนบ่ายสาม ห้ามเบี้ยว ถ้าเบี้ยว ไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้คนมองต้องหนาวแล้วเจ้าของรอยยิ้มก็รีบกลับออกไปราวกับพายุพัด “ไปก่อนนะ” แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วและอารมณ์ดีผิดกับคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องสองคน
“บ้ากันทั้งกองทัพ” เร็กซ์พูดเมื่อคิดว่าเวนิกน่าจะออกไปพ้นระยะได้ยินเสียงแล้ว “ตั้งแต่ระดับแม่ทัพ เสธประจำกองทัพ จนถึงทหารในกองทัพ”
“เออ เล่นละครตลกถวาย พูดไม่ออกเลยว่ะ” คานินเห็นด้วย “แล้วแกไปเป็นน้องท่านเวนิกที่ว่านั่นได้ไง”
“ไม่ยาก พี่เค้าก็เกิดมาก่อนสิ แต่ถ้าถามว่าทำยังไงให้ได้คนพิลึกๆแบบนั้นออกมาแกคงต้องไปถามท่านพ่อท่านแม่ชั้นเองว่ะ” คำตอบที่ไม่ตรงคำถามทำให้คนถามต้องถอนหายใจ เพราะดันหวังไว้ว่าจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้
แล้วความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว “ชั้นได้ไอเดียอะไรดีๆแล้ว คืนนี้แกนัดพวกนั้นประชุมให้หน่อยสิ ชั้นจะไปรอก่อนที่เดิมนะ ไม่อยากเข้าวังเดี๋ยวเจอตัวยุ่งอีก”
“ประชุมอะไร คืนนี้เนี่ยนะ ชั้นนึกว่าแกจะใช้เวลาอันมีค่าของแกหาทางปลีกตัวออกจากไอ้ละครบ้าๆนั่นของพี่ชั้นซะอีก”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นชั้นหาทางได้แล้ว แกจัดการนัดพวกนั้นให้ด้วยแล้วกัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเจ้าชายที่กำลังวางแผนจะก่อเรื่องทำให้คนที่เห็นต้องเสียวสันหลัววูบไปตามระเบียบ
...........................................................................................
ความคิดเห็น