ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Prince of Unseam

    ลำดับตอนที่ #3 : Prince of Unseam 3

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 49


    ยามค่ำคืนอันมืดมิดและหนาวเหน็บ แสงจันทร์ส่องสว่างลงมาราวกับจะเป็นกำลังใจให้กับคนที่แฝงตัวอยู่ในเงามืด

    คานิน กระโดดขึ้นไปยังหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์กุหลาบ และเริ่มหาเป้าหมายที่เขาต้องการจะพบ 'กลางคืนที่มืดมิดและหนาวเหน็บ แต่มันก็ทำให้เห็นแสงแห่งความหวัง' เขาคิดต่อในใจขำๆ 'และที่สำคัญความมืดนี่แหละที่ช่วยในการอำพรางได้อย่างดีเยี่ยม'

    'ถ้าคิดว่าเจ้าชายจะต้องประพฤติตนเรียบร้อยนั่งเฉยๆอยู่ในปราสาทแล้วล่ะก็ คิดผิดอย่างแรง' เขาคิดพร้อมๆกับที่โยนตัวเองขึ้นไปยังหน้าต่างชั้นต่อไปอย่างง่ายดาย 'เพราะชั้นมันประเภทเจ้าชายที่ชีพจรลงเท้าด้วยสิ' แล้วก็เริ่มมองหาหน้าต่างบานที่ไม่ได้ล็อคเพื่อที่จะแอบเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ไม่นานนักคานินก็หาสิ่งที่ต้องการเจอ เขาเลื่อนหน้าต่างบานที่ไม่ได้ลงกุญแจเบาๆ แล้วมันก็เลื่อนเปิดตามแรงเลื่อนของเขาอย่างง่ายดาย "จุ๊ๆ ท่านหญิงที่รัก ประมาทไปไม่ดีนะ"

    แล้วผู้ร้ายก็เข้าไปในคฤหาสน์สำเร็จ

    .......................................................................................................

    "ท่านหญิงครับ ไม่ทราบว่าต้องการอะไรก่อนเข้านอนหรือไม่ครับ" พ่อบ้านโค้งตัวต่ำทำความเคารพเมื่อเห็นท่านหญิงของเขากลับมา

    "ไม่ต้อง เดี๋ยวชั้นจะอาบน้ำแล้วนอนเลย" น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือหลังมือกับตอนที่อยู่ต่อหน้า เร็กซ์ "แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งด้วย ชั้นต้องการอะไรชั้นหาเองเป็น"

    "ครับ ท่านหญิง" พ่อบ้านโค้งตัวทำความเคารพจนกระทั่งท่านหญิงเดินจากไปจึงยืนขึ้นอย่างเดิม พร้อมกับถอนหายใจยาวๆ 'ท่านหญิง ของข้า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้นะ'

    …………………………………………..

    เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ประดับด้วยวอลเปเปอร์สีฟ้าอ่อน เตียงนอนทำจากไม้อย่างดีวางอยู่ตรงกลางห้อง และมีตู้ที่ทำจากไม้ชนิดเดียวกันวางอยู่ไม่ห่างนัก อีกฟากหนึ่งของห้องถูกจัดด้วยรูปภาพธรรมชาติและที่นั่งที่เป็นชุดเข้าชุดกัน หญิงสาวล้มตัวลงนอนหงายแล้วหาวยาวๆบนเตียงที่ทำจากไม้และปูลาดด้วยเบาะสีเดียวกับสีของห้อง "ขี้เกียจจัง แต่ว่ายังไงก็ต้องไปอาบน้ำก่อน" เธอยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่ง

    "สาวสวยขี้เกียจนี่ไม่ดีเลยนะครับ" เสียงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญดังขึ้น ทำให้หญิงสาวสะดุ้งแล้วหันหน้าไปมองทางต้นเสียงซึ่งชายหนุ่มเจ้าของผมสีดำสนิทยืนอยู่ไม่ห่างจากเตียงที่เธอนอนอยู่นัก

    "แหม ชายหนุ่มที่แอบเข้ามาในห้องผู้หญิงนั่นแหละค่ะ ที่ไม่ดี ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือคะ คุณคานิน" คราวนี้ทั้งน้ำเสียงและแววตามุ่งที่จะเชือดเฉือนอย่างแท้จริงโดยไม่มีการหลบซ่อนจ้องตรงไปยังแขกผู้ไม่ได้รับเชิญของหล่อน

    "ไม่ต้องทำเสียงแบบนั้นหรอกครับท่านหญิง ผมแค่อยากทำความรู้จักท่านให้ดีกว่านี้" คนที่ถูกจ้องกล่าวขึ้นช้าๆแล้วก็เงยหน้าขึ้นจ้องเธอบ้าง

    "ทำความรู้จัก โดยการบุกเข้ามาในห้องนอนยามวิกาลอย่างนี้หรือคะ ระวังนะคะเดี๋ยวดิฉันจะแจ้งจับคุณข้อหาบุกรุกและทำอนาจาร" เธอหรี่ตาลงอย่างพินิจขณะพูด

    "คุณไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ" คานินตอบพร้อมกับยิ้มมีเลสนัยให้กับคนตรงหน้า "นะครับ ท่านหญิงราสคีล แต่จะว่าไป ท่านหญิงราสคีลที่ผมรู้จัก เธอไม่มี่ทางทำตัวเป็นกุลสตรีอยู่กับบ้านเฉยๆแน่"

    "คุณเป็นใครกัน ทำไมถึงทำเป็นรู้จักชั้น" น้ำเสียงและคำพูดที่แข็งกระด้างอย่างเห็นได้ชัด สายตาเชือดเฉือนที่จ้องมาตรงๆทำให้คานินต้องขนลุก

    "จำผมไม่ได้จริงๆหรือท่านหญิง" เขาตอบน้ำเสียงสนุกทั้งๆที่ร่างกายและความรู้สึกจริงๆไม่ได้สนุกตามไปด้วย 'จิ้งจอกที่รักเธอก็ยังคงเป็นผู้ที่สามารถฆ่าคนอื่นได้ด้วยคำพูดอยู่ดี'

    "ชั้นไม่เคยรู้จักคุณ และชั้นก็เพิ่งจะรู้วันนี้ด้วยว่าท่านอดีตแม่ทัพมีบุตรชาย" ท่านหญิงมองคานินอย่างไม่ไว้ใจ ทั้งๆที่เธอมั่นใจว่าเธอไม่รู้จักคนตรงหน้านี่มาก่อนแต่เธอก็มีความรู้สึกอันคุ้นเคย คุ้นเคยกับใบหน้าและท่าทางเช่นนี้

    "เธอไม่รู้จักคานินหรอก แต่เธอรู้จักชั้น" น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กับคำตอบที่ทำให้คนฟังต้องนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แต่คนพูดก็ไม่ได้ปล่อยให้คนฟังรอนาน เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบน้ำยาสีเหลืองขวดเล็กขึ้นมาแล้วเปิดฝาช้าๆ

    น้ำยาสีเหลืองถุกหยดลงบนผมสีดำสนิทหยดหนึ่ง แล้วปิดฝาขวดและหย่อนมันกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงช้าๆ ทันทีที่หยดน้ำสีเหลืองสัมผัสถูกเส้นผมสีดำมันก็เปลี่ยนสีของเส้นผมนั้นให้กลายเป็นสีเหลืองทองที่ราวกับเปล่งประกายได้

    สีทอง สีของราชวงศ์ แล้วเจ้าของผมสีทองก็ยกมือขึ้นช้าๆเพื่อจัดการถอดคอนแท็กเลนส์ที่ปิดบังสีตาที่แท้จริงออก "ทีนี้จำได้รึยังล่ะ ราสคีล" น้ำเสียงเรียบๆ และท่าทีอันมีอำนาจราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ท่านหญิงราสคีลเบิกตากว้างอย่างตกใจ

    "จะ เจ้าชาย" ราสคีลพูดเสียงสั่นๆ "ไม่จริงน่า ก็ท่านหายตัวไป.." แต่คำพูดหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อความคิดบางอย่างแล่นเข้าสู่หัวสมอง

    "เธอคิดถูกแล้ว ราสคีล ชั้นกลายเป็นคนที่ชื่อคานิน ทำให้เจ้าชายฮานีนหายไปจากพระราชวังเป็นสิบปี" เจ้าชายพูดเรียบๆ "ไม่นึกว่าเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าชายฮานีนจะเป็นคนที่ความจำสั้นอย่างนี้นะ" น้ำเสียงอันทรงอำนาจถูกพับเก็บไปและน้ำเสียงหยอกล้อถูกนำกลับมาใช้แทนในประโยคหลัง ทำให้บรรยากาศกดดันเมื่อครู่หายไป

    "อะ ..." ท่านหญิงปรับตัวไม่ทันกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของคนตรงหน้า "ท่าน.."

    แต่เจ้าชายยกมือขึ้นห้ามคำพูดที่จะหลุดจากปากคนตรงหน้าเสียก่อน "ไม่ต้องเรียกว่าเจ้าชายหรือท่านหรอก มันน่ารำคาญเรียกเหมือนเดิมก็ได้นะ ราสคีล"

    "ตะ แต่ว่า ท่านเป็นเจ้าชาย" ท่านหญิงปฏิเสธทันที

    "เมื่อก่อนชั้นก็เป็นเจ้าชาย ไม่เห็นเธอจะต้องพิธีรีตองอะไรนี่" เขาจ้องหน้าเธอที่กำลังจะปฏิเสธแล้วก็ถอนหายใจยาว "นี่เป็นคำของร้องนะราสคีล ถ้าเธอไม่อยากให้มันเป็นคำสั่ง" เขาพูดยิ้มๆ ทำให้ท่านหญิงต้องยิ้มตอบเหนื่อยๆ พร้อมกับถอนหายใจยาวกับนิสัยที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยของคนตรงหน้า

    "ก็ได้ ฮานีน หรือจะให้เรียกว่าคานินดีล่ะ หืม" เธอถามทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

    "เรียกว่าคานินดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวแผนการชั้นถูกเปิดโปงหมด" เจ้าชายตอบยิ้มๆพลางเอามือเขี่ยผมสีทองของตัวเองอย่างรำคาญ

    "แผนการ นายมีแผนการอะไรหือ" ท่านหญิงถามพลางนิ่วหน้าอย่างสงสัย และจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ราวกับจะอ่านใจได้

    "เฮ้ยๆ อย่าจ้องด้วยสายตาแบบนั้นสิ ชั้นล่ะไม่ชอบสายตานั่นของเธอเลย เหมือนจะโดนจับผิดอยู่ตลอดเวลา" คำเย้าที่ทำให้หญิงสาวยิ้มน้อยๆ "ก่อนที่เธอจะถามชั้นว่ามีแผนการอะไร เธอน่าจะบอกมาก่อนนะว่าเธอนั่นแหละมีแผนการอะไร"

    "แผนการอะไร อย่ามาใส่ความชั้นสิ สาวน้อยน่ารักเรียบร้อยอย่างชั้นจะไปมีแผนการอะไรเหมือนเจ้าชายชั่วร้ายอย่างนาย" คำตอบที่ทำให้เจ้าชายชั่วร้ายต้องยิ้มแห้ง

    "ไม่ต้องมาหาเรื่อง ก็ไอ้เรื่องที่เธอจีบเพื่อนชั้นอยู่นั่นแหละ วางแผนอะไรไว้" คานินพูดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจแล้วมองไปรอบๆห้องเพื่อหาที่นั่ง

    "ชั้นไม่ได้จีบนะ เค้ามาจีบชั้นเองต่างหาก" หญิงสาวแก้ตัวพลางชี้มือไปยังชุดรับแขกที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง ให้คนตรงหน้าไปนั่ง และเธอก็ลุกตามไปด้วย

    "ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นเลย เธอนี่ ถ้าไม่มีแผนอะไรจริง อย่างราสคีลจิ้งจอกสาวคนนี้นะหรือจะยอมให้ผู้ชายมายุ่ง" คานินยิ้มอย่างรู้ทันพร้อมกับทิ้ง ตัวลงนั่งพร้อมกับหญิงสาวที่กำลังยิ้มน้อยๆ

    "นายก็ยังรู้ทันชั้นอยู่ดี" เธอกระเซ้า

    "ถ้าชั้นไม่รู้ทันเธอ เพื่อนชั้นก็กลายเป็นเหยื่อของนางจิ้งจอกพอดีสิ" คานินตอบด้วยน้ำเสียงล้อๆ แต่คนโดนล้อกลับยิ้มอย่างพอใจ

    "ก็ดี พอคิดอะไรแล้วไม่มีใครรู้ทันเลยมันน่าเบื่อ หรือนายว่าไง" เธอแกล้งถาม

    "พอเหอะ ชั้นไม่คิดยังไงหรอก เพียงแต่เธอรีบๆบอกมาได้แล้วว่าเธอวางแผนอะไรอยู่"

    "ก็ได้ นายอยากรู้ใช่มั๊ยว่าชั้นยอมให้เพื่อนนายมาจีบเพราะอะไร ง่าย ชั้นต้องการข่าวทางทหาร แต่น่าเสียดายที่ท่านผู้พันคนนั้นเค้าไม่ยอมปริปากเรื่องงานออกมาซักคำในเวลาเดท"

    "เธอต้องการข่าวทางทหารไปทำไม" คานินนิ่วหน้าด้วยความสงสัย "จะปฏิวัติหรือไง"

    ท่านหญิงยิ้มนิดๆก่อนตอบ "ทำนองนั้นแหละ ปฏิวัติหรือเป็นคำที่เข้าท่าเหมือนกัน" เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคานิน "นายเคยได้ยินเรื่องจอมโจร แมร์รี่มูนบ้างมั๊ย"

    "หือ ทำไมจะไม่เคย จอมโจรชื่อดังที่ไม่เคยมีใครจับตัวได้หรือแม้แต่เห็นเงานั่นนะ" เขาตอบพลางจ้องหน้าของหญิงสาวที่กำลังยิ้มอย่างพอใจ "หรือว่า เธอจะบอกว่าเธอคือจอมโจรนั่น"

    "เก่ง ชั้นชอบนายจัง เพราะความฉลาดนี่แหละ" เธอหัวเราะน้อยๆอย่างพอใจ "ชั้นชอบพระจันทร์ เพราะมันคอยให้กำลังใจชั้นเสมอในเวลาค่ำคืน"

    "หึ ชั้นไม่ได้อยากรู้ที่มาของชื่อจอมโจรของเธอสักหน่อย แต่ชั้นอยากรู้ว่าเธอจะทำไปทำไม ไอ้เรื่องขโมยนี่ เงินเธอก็มี ชาติตระกูลก็มี"

    "นั่นสิ แต่นั้นชั้นน่าจะถามนายมากกว่านะ เป็นถึงเจ้าชายแต่เล่นทิ้งทุกอย่างออกไปเป็นนักฆ่านี่" นัยย์ตามองทะลุของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "นายไม่คิดบ้างหรือว่าตอนนี้ประเทศเรากำลังแย่ คนจนที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงถูกเอาเปรียบแล้วก็ไม่มีสิทธิร้องเรียน อำนาจจากพระราชวังไปไม่ถึง"

    "อ้อ แล้วเธอก็เลยขโมยของจากพวกคนรวยที่เอาเปรียบคนจนที่ว่านั่นไปให้พวกคนจนของเธอน่ะสิ"

    "เก่ง" หญิงสาวเปลี่ยนท่านั่งแล้วกล่าวต่อ "ชั้นก็แค่อยากช่วยในแบบที่ชั้นทำได้"

    "แล้วทำไมไม่แจ้งพระราชา หรือพ่อของเธอล่ะ"

    "แจ้งแล้ว แจ้งแล้วเป็นร้อยๆครั้ง แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่สิไม่คิดจะทำอะไรมากกว่า ปล่อยให้พวกคนรวยที่อยู่รอบๆหลอกไปเรื่อยๆว่าบ้านเมืองสงบสุข ทั้งๆที่มันกำลังจะลุกเป็นไฟ" น้ำเสียงโกรธแค้นและคำพูดหนักๆช่วยตอกย้ำกับสิ่งที่คานินเคยพบ

    "แล้วเธอก็เลยช่วยให้ไฟที่มันจะลุก ปะทุช้าลงงั้นสิ" คานินกล่าวเรียบๆ "คิดเหมือนกันเลย"

    "นายหมายความว่าไงน่ะ"

    "ก็ ที่ชั้นมาหาเธอวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้แหละ สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ชั้นก็คิด แต่ชั้นคิดไปไกลกว่านั้น แล้วก็รู้ว่ามันคงจะทำคนเดียวไม่สำเร็จแน่ ก็เลยมาลองขอความช่วยเหลือดู" คานินยิ้มอย่างยินดี ยินดีที่มีคนคิดเหมือนเขา ยินดีที่ประเทศนี้ยังมีคนที่คิดเพื่อประเทศอยู่และยินดีที่เธอคนตรงหน้ายอมสละได้ทุกอย่างเพื่อประเทศที่เธอรัก

    "นายจะทำอะไรน่ะ ถ้าชั้นช่วยได้ก็จะช่วยอยู่" หญิงสาวตอบ เป็นครั้งแรกที่เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้าวางแผนอะไรอยู่ เจ้าชายที่ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองไป แล้วตราวนี้จะกลับมาช่วยประเทศงั้นหรือ

    "ไม่ยาก แล้วเดี๋ยวเธอก็จะรู้ แต่ก่อนหน้านั้นชั้นอยากได้ผู้ร่วมงานเพิ่มอีก แล้วคนแรกที่ชั้นนึกออกนอกจากเธอก็คือ เวลสต์" ชื่อที่คานินเอ่ยออกมาทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้ง

    "เวลสต์ ลูกชายของผู้พิพากษานั่นน่ะนะ นายคิดว่าเค้าจะยอมมาช่วยหรือไง" ราสคีลถาม คานินพยักหน้ารับช้าๆ "ชั้นว่าเค้าจะช่วย เพราะเท่าที่จำได้มันก็เป็นคนหนึ่งที่รักประเทศนี้ไม่แพ้พวกเราเลย"

    "ตามใจนาย"เธอหยุดชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ถ้าอย่างนั้นชั้นจะบอกอะไรอีกอย่างให้ เวลสต์ ไอ้หมอนั่นมันกำลังดังอยู่ในโลกมืดเลยแหละ ในฐานะนักค้าข่าว ชื่อดัง" ความจริงที่ทำให้คานินยิ้มอย่างพอใจ

    .........................................................................................................

    เจ้าชายสวมเสื้อโคทสีดำยาวตัดกับสีผมและสีนัยน์ตาอย่างสิ้นเชิง เดินเร็วๆราวกับจะหลบอะไรบางอย่างออกจากตัวปราสาท เขามองไปรอบๆก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง และหยิบวิกผมสีดำและใส่คอนแท็กเลนส์สีดำอย่างรวดเร็วแล้วรีบออกจากห้องด้วยความระมัดระวัง

    แต่ก็ไม่พ้นจนได้ "เจ้าชาย ท่านจะไปไหน แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้" เสียงที่ฟังแล้วทำให้เจ้าชายที่กำลังวางแผนจะทำอะไรบางอย่างอยู่ปวดหัวขึ้นมาทันที คนที่เขาไม่อยากให้มาเจอมากที่สุดตอนนี้ดันมาเจอเข้าพอดี

    "แกน่ะ มาทำอะไรตรงนี้วะ" เจ้าชายพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆพร้อมกับเหลือบมองหน้าที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดตอนนี้

    "ท่านนั่นแหละทำอะไรของท่าน แล้วทรงชุดอะไรอยู่นี่" เรรวิกมองชุดที่เจ้าชายใส่อยู่ "อย่าบอกนะครับว่าท่านจะออกไปข้างนอก" แล้วถามคำถามที่แทงใจดำพอดีก็ถูกถามจนได้

    "เออ แกกลับไปนอนเลยไป ไม่ต้องมายุ่ง" เจ้าของผมสีทองไล่อย่างออกจะรำคาญ แล้วรีบเดินหนีออกไปเร็วๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สำเร็จ เพราะคนที่เขาพยายามจะหนีกำลังวิ่งตามมาอยู่พร้อมกับตะโกนดังๆ "ถ้าท่านไม่หยุดข้าจะตะโกนให้ตื่นทั้งปราสาทเลย" คำขู่ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำขู่เพราะตอนนี้เสียงนั้นก็เกือบๆจะปลุกทุกคนในปราสาทได้อยู่แล้ว

    คานินรีบคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าทางออกที่เขาคิดไว้จะใช้ไม่ได้ผล เพราะไอ้คนตรงหน้ามันรู้ทันก่อน "ไม่ต้องคิดจัดการผมให้สลบนะครับ เพราะวันนี้ผมมาตรวจตราความปลอดภัย ถ้าถูกโจมตีหรือถูกทำให้สลบจะมีเสียงสัญญาณดังไปที่ห้องตรวจการณ์"

    เจ้าชายกุมขมับพร้อมกับยื่นการเจรจา "ได้โปรดเหอะ ช่วยทำเป็นไม่เห็นซักวันไม่ได้หรือไง" เขากัดฟันพูดอย่างแค้นๆ "หรือจะต้องให้ก้มหัวขอร้อง" คำที่ถูกยื่นออกจากปากคนเป็นเจ้าชายทำให้คนที่ต่ำศักดิ์กว่าต้องเงียบ

    "ไม่ได้นะครับ ถ้าท่านทำอย่างนั้นท่านจะต้องเดือดร้อนแน่" เรรวิกรีบห้าม

    "งั้นบอกมาจะให้ทำยังไงแกถึงจะปล่อยให้ชั้นออกไปได้ซักที"

    "ไม่ได้ครับ ออกไปตอนนี้มันเป็นอันตราย อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ติดตาม ถ้าท่านจะยอมให้ข้าไปจัดผู้ติดตามให้ล่ะก็" ข้อเสนอที่คานินอยากจะฝังมันลงดินไปเสียให้พ้นๆ

    "เสียใจเฉพาะเรื่องนั้นแหละ ที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องที่ชั้นจะทำวันนี้ต้องเป็นความลับ และแน่นอน เพราะถ้ามันเปิดเผยจะเป็นอันตรายต่อคนที่ชั้นจะไปพบ"

    "ท่าน หมายความว่าอย่างไร" เรรวิกทำหน้านิ่งอย่างไม่เข้าใจ "แต่อย่างไรก็ตามท่านจะออกไปเพียงพระองค์เดียวไม่ได้"

    "ดี งั้นชั้นให้แกได้มากที่สุดแค่นี้นะ"

    "อะไรครับ" เรรวิกทำสีหน้าสงสัย พร้อมๆกับที่เจ้าชายก้าวเท้ายาวๆเข้าไปหา แล้วก้มหน้าลงข้างหูพร้อมกับกระซิบเบาๆ "ชั้นให้แกตามไปด้วย ไปเตรียมตัวมาไม่เกินสิบนาที แล้วเรืองที่ไปวันนี้ฝังมันให้ลึก ไม่งั้นแกไม่รอดแน่"

    "ตะ แต่"

    "ไม่ต้องแต่ ไปเร็วๆ บอกไว้ก่อนนะข้ารอแค่สิบนาทีเท่านั้น" คานินพูดด้วยน้ำเสียงที่ข่มอารมณ์ไว้เต็มที่ และพยายามทำให้มันดูทรงอำนาจ และดูเหมือนจะได้ผลองครักษ์ตัวยุ่งตรงหน้ารีบทำตามคำสั่งนั้นโดยเร็ว

    ................................................................................

    สิบนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของคนที่ต้องรอ นาฬิกาถูกยกขึ้นมาดูเป็นรอบที่สิบเจ็ดในสิบนาที ถ้าเขาไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่คงแอบออกไปก่อนแล้ว

    และในที่สุดก่อนที่คนรอจะฟิวส์ขาด คนที่ถูกรอก็วิ่งมาแล้ว เจ้าชายก้มลงไปมองนาฬิกาก่อนที่จะถอนหายใจอย่างเซ็งๆ สิบนาทีห้าวินาที

    "มาแล้วครับ ขออภัยที่ให้รอ" องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์วิ่งอย่างเร็วๆตรงมาทางที่เจ้านายของเขายืนรออยู่อย่างหัวเสีย

    "เออ ถ้าช้ากว่านี้ข้าคงจะเตรียมมีดรอแล้ว" เจ้าชายพูดเล่นด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้คนถูกล้อเล่นต้องขนลุก ทั้งสองเดินไปขึ้นรถคันหนึ่งที่จอดรออยู่แล้ว รถสีเงินคันงามที่เมื่อเรรวิกเห็นก็จำได้ทันที "รถของผู้พันเร็กซ์นี่ครับ"

    "เออ ใช่ ชั้นยืมมันมา พอดีมันไปก่อนแล้ว" เจ้าชายพูดเรียบๆพร้อมกับก้าวเข้าไปนั่งในรถ

    "งั้นหมายความว่า ผู้พันท่านก็ร่วมมือด้วยงั้นหรือครับ" เรรวิกถามพร้อมกับก้าวเข้าไปในรถอย่างกล้าๆกลัวๆ

    "คงงั้นแหละ" คานินตอบพร้อมกับออกรถอย่างรวดเร็ว

    "ท่านขับรถเป็นด้วยหรือครับ"

    "พอได้ เมื่อก่อนขับพวกเครื่องบินเจต หรืออะไรทำนองนี้บ่อยๆ" คำตอบที่ทำให้คนถามต้องอึ้ง 'นักฆ่าบ้านไหนเนี่ย ขับเจตไปทำงาน'

    ไม่นานนักรถก็จอดสนิทอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งค่อนข้างห่างจากปราสาท คานินก้าวลงจากรถแล้วโยนกุญแจให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆปิดประตู

    ทั้งสองเดินไปยังประตูบ้านหลังนั้น คานินยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ แล้วเสียงๆหนึ่งก็ตอบกลับมา "มาช้าจริงนะ นายมาช้าที่สุดเลย กะว่าถ้าช้ากว่านี้อีกนิดชั้นคงจะโทรตามแล้วแหละ" เสียงใสๆของผู้หญิงที่เรรวิกจำได้ว่าเป็นเสียงของท่านหญิงราสคีล บุตรีที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาของท่านราชครู

    "เออ พอดีมีปัญหานิดหน่อย คนอื่นมากันครบแล้วใช่มั๊ย" คานินถามพลางเปิดประตูเข้าไปข้างใน เมื่อก้าวเข้าไปข้างในเรรวิกก็ต้องยืนค้างด้วยความประหลาดใจ แล้วนึกทวนคำที่เจ้าชายตรัสก่อนที่จะออกจากปราสาท 'เสียใจเฉพาะเรื่องนั้นแหละ ที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องที่ชั้นจะทำวันนี้ต้องเป็นความลับ และแน่นอน เพราะถ้ามันเปิดเผยจะเป็นอันตรายต่อคนที่ชั้นจะไปพบ'

    'คนที่ท่านมาพบ คือคนพวกนี้หรือ' เรรวิกมองไปยังแต่ละคน ผู้พันเร็กซ์บุรุษผู้มีความสามารถที่ขึ้นเป็นพันเอกได้ตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าเจ้าของผมสีดำสนิทและท่าทางที่ทรงอำนาจ ท่านหญิงราสคีลบุตรีของท่านราชครูผู้มีใบหน้าและกิริยาอันงดงามราวกับเทพธิดา ผมสีชมพูยาวของเธอช่างไม่เข้ากับชุดสีดำสนิทที่เธอหยิบมาสวมในวันนี้เลยแม้แต่น้อย และคนสุดท้าย ท่านเวลสต์ บุตรชายของท่านผู้พิพากษาศาลสูงชายหนุ่มผู้ลึกลับกับเรือนผมสีน้ำตาลที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่นักแต่มันก็ช่วยเสริมเสน่ห์ของเขาได้เป็นอย่างดี

    "นั่นใครวะ คานิน" เร็กซ์ถามขึ้นเมื่อเขาเห็นคนอีกคนหนึ่งที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นั่น

    "ตัวแถม ชั้นเจอมันตอนหลบจากปราสาท ให้ตายเหอะ ถ้าไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่คงอัดมันสลบตั้งแต่เจอแล้วแกเอ๊ย" คานินพูดอย่างเซ็งๆพลางเดินไปนั่งที่ที่นั่งซึ่งว่างอยู่สำหรับเขาซึ่งองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์เดินตามไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

    "แล้วทีนี้ นายจะบอกแผนการที่คิดไว้นั่นได้หรือยัง" ท่านหญิงพูดพลางหรี่ตามองคนที่เพิ่งเข้ามา

    "อือ ได้แล้ว" คานินเงียบไปครู่หนึ่งพลางเหลือบไปมองที่เร็กซ์ที่กำลังทำสีหน้างงๆกับท่าทีของท่านหญิงที่เขาชอบ "ชั้นคิดว่า จะพัฒนาประเทศแถบชนบท แล้วก็เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองให้มีตัวแทนจากแต่ละส่วน ที่แบ่งเป็นเขตๆ และทุกปีจะมีการตรวจสอบการทำงานของตัวแทนเขต"

    "พัฒนาแถบชนบท นายจะทำยังไง จะสร้างสาธารณูปโภค สร้างทางรถไฟให้รึไง" ท่านหญิงพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เธอเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ "แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองน่ะ การที่นายทำแบบนั้นก็เหมือนเป็นการลิดรอนอำนาจกษัตริย์นะ ถ้าถูกจับได้ก็ ...ตาย..."

    คานินยิ้มน้อยๆอย่างพอใจ "ชั้นทำได้พัฒนาน่ะ ส่วนเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครอง มันถึงต้องเป็นความลับไง"

    คราวนี้หญิงสาวตรงหน้าเริ่มอารมณ์เสียกับแผนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ "นายประสาทกลับไปแล้วหรือไง ทำได้ จะบ้าหรือเปล่า มันต้องใช้เงินเป็นพันๆล้าน แล้วจะไปหามาจากที่ไหน"

    "นั่นแหละเรื่องนั้นชั้นก็คิดไว้แล้ว เริ่มแรก คงต้องเริ่มจากการขโมยก่อนแหละ แล้วเอาเงินที่ได้จากการขโมยมาใช้ทำธุรกิจแต่ส่วนหลังนี่คงต้องพึ่งพวกเธอบ้างแหละ ชั้นก็ได้ยินมาว่า ท่านหญิงราสคีลเป็นนักธุรกิจมีดีอยู่แล้วนี่"

    "แต่.."

    "ไม่ต้องแต่ ลองทำดูก่อนก็ได้นี่ ถ้าไม่สำเร็จก็แล้วไปส่วนเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครองน่ะ ชั้นรับผิดชอบเอง รับรองไม่ให้เรื่องมาถึงพวกเธอได้" คานินเงียบจ้องหน้าทั้งสามคนที่อยู่ตรงข้ามทีละคนอย่างช้าๆ "ว่าไงล่ะ ที่เหลือก็แค่ขอความร่วมมือจากพวกแก ช่วยชั้นได้มั๊ย"

    คานินหันไปมองหน้าเร็กซ์คนแรก ซึ่งคนถูกมองก็ยิ้มนิดๆแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ "ไอ้เรื่องที่แกวางแผนน่ะ ชั้นจะไม่เข้าร่วมได้หรือไง" คานินยิ้มอย่างพอใจแล้วหันไปมองหน้าคนต่อไป เวลสต์ที่กำลังนั่งสบายๆอยู่ เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจแล้วตอบ "ถ้าไม่เข้าร่วมก็หมดเรื่องสนุกๆทำพอดีสิ แล้วไอ้เปลี่ยนแปลงการปกตรองนี่ชั้นก็คิดไว้นานแล้ว กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น" คานินพยักหน้าขอบคุณพลางหันไปมองยังคนสุดท้าย "เออ ชั้นก็ไม่ปฏิเสธแล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนล่ะ ถ้าไม่สำเร็จก็เลิก"

    "ได้ ขอบใจพวกแกทุกคน" เขาสรุป "แล้วทีนี้พวกเราก็มาแนะนำตัวกันก่อนดีมั๊ย ชั้นไม่ได้เจอพวกแกตั้งเป็นสิบปี"

    "หืม ชั้นต้องแนะนำตัวอะไรกับแกอีกวะไอ้คานิน ถ้าแนะนำล่ะก็แกบอกชั้นมาดีกว่าว่าแกไปทำอะไรมามั่งในช่วงที่แกหายหัวไป" เร็กซ์ถามกลับซึ่งคนต้องตอบก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ "เออ เรื่องมันยาวเพื่อน ไว้ค่อยเล่าให้ฟังวันหลัง"

    "แล้วชั้นยังต้องแนะนำอะไรอีกล่ะ เมื่อวานนายก็บุกเข้าไปถึงห้องนอนแล้วไม่ใช่รึไง" ราสคีลพูดเสียงหวานพลางหรี่ตาจ้องคนตรงหน้า พร้อมกับเร็กซ์ที่อ้าปากค้างกับการกระทำของเพื่อนรัก ซึ่งกำลังอ้าปากตอบคำที่กวนประสาทอย่างเต็มที่ "ชั้นไม่ได้ให้เธอแนะนำตัวให้ชั้นฟังนี่ เธอแนะนำตัวให้ไอ้เร็กซ์ฟังดีกว่า ยังไงซะตอนนี้เธอก็ไม่ต้องหลอกเอาข่าวจากมันแล้ว" คำพูดของคานินที่เร็กซ์นิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ความจริงเขาก็ไม่เข้าใจตั้งแต่ก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้ว ไม่เข้าในถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าทั้งสองคน

    "ได้อยู่ แต่จะดีกับเพื่อนนายรื้อ" ราสคีลทำเสียงหวานพลางหันไปมองหน้าเร็กซ์ด้วยสีหน้าที่แกล้งทำเต็มที่ ซึ่งคนถูกมองหน้าก็ยังคงนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับอีกคนหนึ่ง เรรวิก องครักษ์คนเก่งของเจ้าชาย

    "ฉากหน้า ชั้นคือ ท่านหญิงราสคีลที่ทุกคนเรียก เป็นบุตรีของท่านราชครูแห่งอาณาจักร และตอนนี้เป็นผู้อำนวยการ ของมหาวิทยาลัยเอมที่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ส่วน ฉากหลังคือ จอมโจรแมรี่มูน" คำอธิบายเรียบๆที่ทำให้เร็กซ์ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ "แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะ คุณพันเอก ชั้นยอมให้คุณจีบเพราะ ชั้นต้องการข่าวทางทหารจากคุณเท่านั้น แต่คุณก็ดันปากแข็งเสียเหลือเกิน" เธอยิ้มน้อยๆกับคนข้างๆที่แข็งไปเรียบร้อยแล้ว ในท่าทีที่ไม่ต่างกับเรรวิกเท่าไหร่นัก

    "นั่นไง ก็งี้แหละ" คานินหรี่ตามองสาวสวยตรงหน้า "ทีนี้ก็ตานาย เวลสต์ ว่าไงล่ะท่านลูกชายผู้พิพากษา หรือนักค้าข่าวคนเก่งของเรา"

    คนถูกทักยิ้มนิดๆกับคำที่ใช้เรียก "อืม เวลสต์ลูกชายผู้พิพากษาศาลสูง หรือ สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสภาทนายความ แต่อาชีพที่แท้จริงคือนักค้าข่าวที่โด่งดังในตลาดมืด ในชื่อ เวลสต์"

    "ใช้ชื่อจริงเลยเหรอ ไม่กลัวเค้ารู้กันหรือไงวะ" คานินถาม

    "ไม่รู้หรอก ใครจะมาคิดวะว่าลูกชายผู้พิพากษาศาลสูง สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสภาทนายความ จะมาทำงานในตลาดมืด" คนพูดตอบน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ "แล้วแกล่ะ คานิน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แต่แกก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนี่"

    "ชั้นก็เป็นอย่างที่แกเห็น ถ้าจะบอกตามตรงยังเป็นเจ้าชายว่างงานอยู่เลยว่ะ" เจ้าชายว่างงานพูดยิ้มๆ "ไม่ได้เรียนจบนอกแบบพวกแกด้วย" แล้วคนพูดก็เหลือบไปมองอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ แล้วก็หัวเราะนิดๆ "ชั้นบอกแกแล้วไม่เชื่อ กุหลาบงามยังไงก็มีหนามล่ะวะ" เร็กซ์ที่กำลังค้างอยู่เพราะอึ้งในนิสัยที่แท้จริงของสาวที่เขาตกหลุม

    "เสือผู้หญิงที่ตกหลุมพรางของสาวงามนี่ดูไม่จืดเลยว่ะ" คานินเปรยขำๆกับท่าทางของเพื่อนตัวดีที่ไม่ยอมเชื่อคำเตือน แล้วเหลือบไปมองอีกคนหนึ่งที่ท่าทีไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก "แล้วชั้นจะทำยังไงกับเรรวิกมันดีวะ ต้องแบกกลับไปด้วยมั๊ย"

    "ถ้าแกไม่แบกกลับไปแล้วจะทำไงล่ะ ทิ้งไว้นี่หรือไง" นักค้าข่าวคนเก่งที่เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการค้างของคนตรงหน้า

    "ถ้างั้นชั้นคงต้องขอตัวกลับแล้วมั้ง ต้องไปส่งไอ้เร็กซ์ แล้วยังต้องแบกเรรวิกกลับอีก" คานินถอนหายใจก่อนที่จะลุกขึ้นยืน ซึ่งไอ้คนที่นั่งอยู่ก็โบกมือให้กับความโชคร้ายของเพื่อน

    "เฮ้ย ตื่นๆ ลุกได้แล้ว แค่โดนสาวหลอกไม่ต้องช็อคขนาดนั้นโว๊ย ลุก กลับได้แล้ว" คานินตะโกนข้างหูคนที่ยังค้างอยู่พร้อมทั้งประทานพระบาทหนักๆให้เป็นของแถม

    "เฮ้ย เจ็บ" เร็กซ์โวย

    "ดี ลุก ชั้นจะกลับแล้ว" คนเตะบอกพร้อมทั้งหันไปมองเรรวิก "แกด้วยลุกโว๊ยลุก เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องตกใจอะไรขนาดนั้น"

    "ทะ ท่าน หญิง ราสคีล กับท่านเวลสต์ ทำไมท่านถึง..." เรรวิกครางเบาๆ เขาเคยเห็นแต่ภาพเบื้องหน้าของทั้งสองเท่านั้น ท่านหญิงที่น่าเคารพ ท่านผู้มีกิริยาที่สง่างามอยู่เสมอ ท่านที่มีความคิดกว้างไกลสามารถคิดแผนการดีดีได้ กับท่านเวลสต์ ท่านชายผู้มีความสามารถ เป็นสมาชิกิตติมศักดิ์ของสภาทนายความ และมีโอกาสได้ตำแหน่งผู้พิพากษาต่อจากผู้เป็นบิดา 'ทำไมท่านทั้งสองถึงได้...'

    "เอาแล้วไง ยังงี้ท่าจะไม่ไหว แล้วพรุ่งนี้มันจะไปทำงานได้มั๊ยเนี่ย" คานินถอนหายใจยาวพร้อมกับลากคนที่ไม่สมควรจะมาอยู่ที่นี่ออกไป "เอ้า ไอ้เร็กซ์ชั้นเอารถแกไปนะ"

    เร็กซ์พยักหน้าพลางเดินตามคนเรียกไปอย่างเลื่อนลอย ในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 'นี่สินะที่เค้าว่าผู้หญิงรักได้ไว้ใจไม่ได้ ท่านหญิงหลอกผมทำไม ทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องทำให้เจ็บ ทำให้รักแล้วทิ้งขว้าง' คานินมองหน้าเพื่อนแล้วก็ยิ้มแห้งๆ "แผลใจมันหายยากด้วยสิวะ ราสคีลเธอหาวิธีรักษามาให้ด้วยสิ อุตส่าห์ทำให้เป็นแผลแล้ว"

    คนถูกยกหน้าที่ให้รักษายักไหล่เล็กน้อยก่อนพูดยิ้มๆ "เอาน่า หนุ่มๆก็งี้แหละ เดี๋ยวเจอสาวคนใหม่ก็หายเอง ยิ่งเสือผู้หญิงชั้นเซียนอย่างผู้พันเร็กซ์แล้วด้วย" คานินยิ้มจืดรับ "แต่เสือผู้หญิงน่ะถ้าปักใจรักใครจริงๆแล้วจะถอนตัวไม่ขึ้นนะ" แล้วเขาก็เดินออกไปปล่อยให้ เวลสต์เกาหัวกับปัญหาโลกแตกเบื้องหน้า

    คานินจัดการโยนเรรวิกเข้าไปในรถคันที่เขาขับมาพร้อมกับถีบเพื่อนรักที่กำลังช็อคกับการโดนสาวหลอกอยู่เข้าไปในรถข้างคนขับ แล้วตัวเขาเองก็เดินไปขึ้นรถอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ของคนขับ เมื่อประตูรถปิดลงรถสีเงินคันงามก็เริ่มออกวิ่งอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดยามราตรี ที่มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่ส่องสว่างเป็นสิ่งบอกทาง

    "ไอ้เร็กซ์" คนที่ถูกเรียกชื่อไม่ตอบ "เฮ้ย เร็กซ์" ยังคงเงียบ คานินเหลือบไปมองแล้วก็ถอนหายใจพลางคิดว่า 'ท่าทางอาการนี้จะหายยาก ไข้ใจครั้งแรกของมันด้วยสิ แต่ถ้าใครรู้คงหัวเราะตาย เสือผู้หญิงขึ้นชื่ออย่างพันเอกเร็กซ์จะมาพลาดท่าให้กับสตรีคนเดียว ถึงสตรีผู้นั้นจะเป็นกุหลาบที่งามที่สุดในพระราชวังก็ตามที'

    แล้วคานินก็เหลือบมองกระจกหลัง 'นี่อีกราย ไม่นึกว่ามันจะเทิดทูนสองคนนั่นขนาดนี้ รู้งี้หาทางหลอกๆไปก็ดีหรอก" แล้วก็ถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงตอนที่ต้องลากมันขึ้นไปส่งในปราสาท

    เวลาผ่านไปไม่นานรถก็เริ่มลดความเร็วลงแล้วจอดสนิทอยู่ในบริเวณที่จอดรถภายในตัวปราสาทหลังใหญ่ คานินเปิดประตูรถแล้วจัดการลากคนที่อยู่หลังรถลงมา "เฮ้ย เร็กซ์ลงเว้ย"

    ทั้งสามขึ้นไปในปราสาทด้วยทางลับที่คานินรู้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเขาเป็นคนสร้างไว้เมื่อตอนเด็กกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว

    'ทิ้งพวกมันไว้ในห้องก่อนก็ได้มั้ง แล้วค่อยบอกคนอื่นว่าให้มันมานอนค้าง' คานินคิดเหนื่อยๆ ขณะที่เปิดประตูเข้าไปในห้องของตนเอง พลางลากเรรวิกไปนอนบนโซฟา "เฮ้ยเร็กซ์แกใช้เตียงไปแล้วกัน ชั้นจะออกไปข้างนอก" เร็กซ์ไม่ได้ตอบอะไร คานินมองหน้าเพื่อนรักแล้วเดินออกไปนอกห้อง เมื่อปิดประตูห้องเรียบร้อยเขาก็หยิบซองบุหรี่ออกมาสูบ ควันสีดำลอยฟุ้ง

    "สูบบุหรี่ระวังจะเป็นมะเร็งปอดนะ" เสียงใครบางคนที่คานินคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง เขาสะดุ้งแล้วหันหน้ากลับไปมองอย่างรวดเร็ว 'กลบจิตได้มิดจริง'

    เมื่อเห็นหน้าแขกผู้ไม่ได้รับเชิญเขาก็หรี่ตามองอย่างงงๆ ซึ่งตรงข้ามกับสีหน้าของคนตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าที่ยิ้มสบายๆ หน้าที่ราวกับไม่เคยผ่านความทุกข์มาก่อน "นายเป็นใครน่ะ" คานินนิ่วหน้าพลางถาม "แล้วมาทำอะไรหน้าห้องชาวบ้านเค้ายามวิกาลแบบนี้วะ"

    คำถามที่คนฟังต้องชักสีหน้าเจื่อน "ผมก็แค่มาเดินเล่น แล้วกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้า เพราะเพื่อนเก่าจำผมไม่ได้" ใบหน้ายิ้มๆที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรจ้องหน้าคู่สนทนา

    "เพื่อนเก่า เหรอ" คานินทวนคำอย่างสงสัย

    "ครับ เพื่อนเก่า แล้วเพื่อนผมก็ไม่เปลี่ยนไปเลย เล่นใส่เสื้อโคทสีดำมาเดินเล่นกลางดึกด้วย" เขาเว้นไประยะหนึ่ง "ถึงจะอยู่ในบ้านของตัวเองก็เถอะ" คานินจ้องหน้าคนพูดที่คุ้นเคย เขารู้จักรอยยิ้มนี้ รอยยิ้มเรื่อยๆ และใบหน้านี้ ใบหน้าที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรอยู่ตลอดเวลา

    "นายคือคนที่อยู่ในห้องท่านลุงนี่" คานินนิ่วหน้า เขาถามเพราะรู้อยู่แล้ว เมื่อตอนที่เจอหน้าคนๆนี้ในห้องของผู้เป็นลุงเขาก็มีความรู้สึกเช่นนี้ ความรู้สึกที่คุ้นเคย

    "ครับ ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ประจำพระองค์ แล้วตอนที่พบท่านในห้องก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าท่านเป็นเจ้าชาย" คานินพินิจคนตรงหน้า บุรุษที่มีรอยยิ้มสบายๆอยู่เสมอ เจ้าของเรือนผมสีฟ้าอ่อน สวมแว่นกรอบหน้าสีดำ และสวมเสื้อกาวน์สีตรงข้ามกับสีเสื้อของเขาอย่างสิ้นเชิง

    บุรุษเจ้าของเรือนผมสีฟ้ายิ้มให้คานินเล็กน้อยก่อนที่จะโค้งคำนับให้เขา "ขออภัยครับ กระหม่อมลืมว่าตอนนี้พระองค์เป็นถึงเจ้าชาย ไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็กของกระหม่อมอีกแล้ว" แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น "ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมไม่รบกวนท่านแล้วครับ ขอตัวเลยนะครับ"

    "เดี๋ยว นายบอกว่าเป็นแพทย์ประจำพระองค์ใช่มั๊ย แล้วแพทย์หลวงคนเดิมล่ะ เอ่อ ท่านดาจิน เป็นอะไรกับนายน่ะ"

    "ท่านดาจินเป็นบิดาของกระหม่อมขอรับ ท่านเกษียณไปเมื่อต้นปีนี้ แล้วมอบตำแหน่งให้กับข้าซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียว"

    "ลูกชายของท่านดาจิน นายชื่ออะไรนะ แล้วชั้นเคยเจอนายตอนไหน บอกมาดีๆ" คานินซักเพราะเขาขี้เกียจคิดแล้ว เขารู้ว่าเขาเคยเจอคนตรงหน้า ในอดีตที่นานมาแล้ว

    "กระหม่อมชื่อ อัลไพน์" ผู้ที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอตอบเนือยๆ "ได้รับทุนไปเรียนแพทย์ต่อเมื่ออายุได้ 17 และได้เข้าประจำการในกองทัพเมื่อสามปีที่แล้ว" เขาแสร้งตอบไม่ตรงคำถามให้คนตรงหน้าเชื่อมเรื่องราวเอาเอง

    "อัลไพน์ อัลไพน์" คานินนิ่วหน้า ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเขา ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม

    "แต่เมื่อสมัยก่อนท่านเรียกกระหม่อมว่า อัลพ์"

    "อัลพ์" คานินขึ้นเสียงสูงเมื่อความทรงจำในวัยเยาว์ที่ถูกปิดไว้กลับเข้ามาสู่หัวสมอง แล้วเบิกนัยน์ตากว้างอย่างตกใจ"นายเองเหรอ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมไม่มาบอก" เขาจับมือคนตรงหน้าแล้วกอดรับเหมือนในวัยเยาว์

    "กระหม่อมกลับมาเมื่อสามปีก่อนแล้วเข้าประจำการในกองทัพ เลยไม่ได้กลับเข้าเมืองหลวงมาหลายปีแล้วขอรับ" คนถูกกอดเกาศรีษะเล็กน้อย

    "อื้อ ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ก็ได้ ชั้นยิ่งอ่อนแอราชาศัพท์อยู่" คานินพูดยิ้มๆปล่อยคนตรงหน้าให้ยืนเกาศรีษะเบาๆด้วยความงงกับท่าทีที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยของเพื่อนรักที่ดันกลายเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ คานินดับบุหรี่ที่กำลังสูบอยู่กับที่เขี่ยบุหรี่พกที่ติดมากับซองบุหรี่แล้วเอ่ยปากถามคนตรงหน้า "เข้าไปในห้องก่อนมั๊ย"

    "ไม่ดีกว่า ผมต้องกลับไปหาพระราชา เมื่อครู่ขออนุญาตท่านมาเดินเล่น" อัลพ์ตอบด้วยสีหน้าเหมือนเดิม คานินยิ้มๆกับสีหน้านั้น

    "นายนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เออ เอาเหอะจะไปก็ไป ดูแลท่านลุงให้ดีดีล่ะ แล้วอย่าให้ท่านคิดเกษียณไปก่อนนะ ชั้นยังไม่อยากหาเรื่องรับตำแหน่งแทน" คนถูกสั่งยิ้มแห้งๆ "จะพยายามแล้วกันครับ"

    "เลิกพูดคำสุภาพด้วย น่ารำคาญน่าเรียกเหมือนเดิมเหอะ" คานินสั่งซึ่งอัลพ์ก็รู้จักนิสัยดื้อด้านของคนตรงหน้าดีจึงได้แต่ยิ้มรับแล้วขอตัวไป

    "เออ ไปดีดีล่ะ" คานินพูดพลางมองอดีตเพื่อนรักเดินจากไป แล้วเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง คานินเหลือบมองนาฬิกา 'จะเช้าแล้ว' แล้วเขาก็จัดการถอดเสื้อคลุมสีดำแขวนไว้ข้างในตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้อย่างดี

    ............................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×