ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ฟรีนัส อัลเรส
ราวสองวันต่อมา
ภายในห้องทำงานคานินทีนและวิลส์ นั่งอยู่ในห้อง เพรนเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยมีชายคนหนึ่งเดินตามมาด้วย เขาใส่เสื้อคอปิดแขนยาวสีดำ กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนัง อายุราวๆยี่สิบปี ชายผู้นี้มีผมที่ดูจะยุ่งอยู่เสมอสีดำเป็นเอกลักษณ์ ดวงหน้าที่มองแล้วคล้ายใครบางคนที่นึกไม่ออกดึงดูดให้เหล่าสมาชิกในห้องจ้องเขาอย่างงุนงง
“สวัสดีครับ” เขาทักด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเหมือนเด็กๆ
“หวัดดีฮะ” คานินตอบรับพลางจ้องไปที่เพรนอย่างต้องการคำตอบ
“เอ่อ ท่านนี้เป็นคนของท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายที่มาดูงานของพวกคุณ” คำตอบที่ทำให้คานินจ้องเธออย่างมีเลสนัย
“อ่า ครับ แบบนั้นแหละ” เขารับคำพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผมยุ่งๆของเขา “พอดีได้ยินข่าวมาว่าพวกคุณเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ ผมก็เลยลงมาตรวจดูครับ และต้องการให้พวกคุณขึ้นไปรายงานตัวกับเบื้องบน” คานินยิ้มกับคำนั้น
“เอ่อ คุณจะว่าอย่างไรครับ” ชายคนเดิมพูดพลางเหงื่อตกกับสายตาของคานิน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ว่าตอนนี้สมาชิกของพวกผมยังไม่ครบนี่ครับนั่งรอสักครู่นะครับ” คานินลุกขึ้นจัดที่นั่งให้แขกของเขานั่ง
“อะขอบคุณครับ” เขานั่งลงพลางเอามือลูบผมยุ่งๆของเขาอีกครั้ง
“ถ้าไม่รังเกียจช่วยเล่าเรื่องเบื้องบนให้ฟังได้ไหมครับ” คานินถามยิ้มๆ คำถามที่ทำให้ทีนและวิลส์ต้องหันมาจ้องหน้าคนถามและคิดในใจอย่างเดียวกันว่า ‘มันคิดอะไรอยู่วะ’
“อะ ได้สิครับ เอ่อ” หนุ่มผมดำเริ่มพูด “ถ้าเป็นเบื้องบนที่พวกคุณเรียกกันมันจะแบ่งเป็นสามส่วน”
“สามส่วน? ไม่ใช่สองส่วนหรือฮะ” คานินแทรก
“อ้าว คุณก็รู้หรือครับ ไม่ใช่หรอกครับที่คุณรู้คงจะมีฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาสินะ แต่ว่ายังมีอีกส่วนหนึ่งที่ขึ้นตรงกับนายใหญ่ แต่คุณไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอกครับคนส่วนใหญ่ก็รู้แบบคุณทั้งนั้น”
“ส่วนที่ขึ้นตรงกับนายใหญ่จะเป็นกองทัพทางทหารที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าทัพของเสนาธิการทั้งสองรวมกันเสียอีก แต่ว่ากองทัพนั้นจะทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือทำการปกป้องนายใหญ่หรือทำตามคำสั่งของท่าน เรื่องในกองทัพส่วนใหญ่จะเป็นปริศนาแต่เท่าที่รู้มาว่าทหารในนั้นมีไม่ถึงห้าสิบคนเป็นทหารที่มีความสามารถพิเศษแตกต่างกัน อย่างเช่นความฉลาดในการวางแผนความสามารถในการต่อสู้ ความถนัดในการใช้เทคโนโลยี”
“และกองทัพนี้จะไม่ลงมายุ่งเกี่ยวกับสงครามเย็นของเสนาธิการทั้งสอง” ชายหนุ่มผมสีดำพูด “แล้วงานของพวกคุณล่ะครับลองเล่าให้ผมฟังได้บ้างหรือเปล่า” เขายิ้ม
“หือ งานของผมพวกคุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่” คานินถามกลับ
“ไม่ครับไม่ ผมไม่รู้หรอกเพราะระบบงานมันเปลี่ยนไปจากสมัยของผมตั้งเยอะ แล้วความรู้สึกของพวกคุณที่ทำงานผมก็ไม่รู้หรอกครับแล้วผมก็ยังอยากรู้ว่าระบบการทำงานมีอะไรไม่สะดวกบ้างหรือเปล่าหรือว่ายังไง”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกฮะ” แล้วคานินก็เล่าระบบการทำงานของพวกเขาให้ฟัง หนุ่มผมดำก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีโดยการนั่งตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลาที่คานินเล่า เมื่อเขาเล่าจบชายหนุ่มก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ฮะๆ ถ้าอย่างนั้นก็แย่เหมือนกันนะครับ”เขาเสริมขึ้นเมื่อคานินพูดถึงไคท์
“ก็ไม่หรอก ความจริงโดยภาพรวมระบบแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะสามารถความคุมเหล่าสมาชิกได้ทั่วถึงแล้วเทรนคนหนึ่งก็ต้องสามารถรับผิดชอบงานของตัวเองได้ นับว่าเป็นการวางแผนการทำงานที่ดีกว่าที่จะให้สมาชิกทั้งหมดขึ้นตรงกับคนเพียงไม่กี่คน”
“แล้วพวกคุณไม่สงสัยหรือครับว่าทำไมเรื่องของเบื้องบนต้องปิดไว้เป็นความลับ หรือว่างานที่ได้มามาจากไหนบ้าง”
“ไม่หรอกเรื่องของเบื้องบนเราไม่เกี่ยวอยู่แล้ว แล้วก็เท่าที่ยังมีงานให้ทำก็ไม่ต้องสนหรอกว่ามันมาจากไหน” คานินตอบยิ้มๆ ทำเอาคนฟังต้องหัวเราะแห้ง
“ความจริงมันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ที่ไม่ให้รู้เรื่องเบื้องบนส่วนหนึ่งก็เพราะเราต้องการป้องกันพวกสายลับแต่ว่าที่จริงแล้วองค์กรของเราก็มีกองกำลังที่เข้มแข็งและมีระบบตรวจจับผู้บุกรุกที่มีประสิทธิภาพ แต่ว่าอีกเหตุผลนึงคือนายใหญ่บอกว่าเป็นความลับแล้วมันเท่ห์ดี” ความจริงที่ทำให้คานินวิลส์และทีนต้องถลึงตาจ้องคนพูด
“เหอะๆ จริงหรือครับ”
“จริงครับ” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้าไปนะ” เสียงของเอสดังตามมาจากเสียงเคาะประตู
“เออ เข้ามาสิ” คานินตอบรับ
เอสเปิดประตูเข้าไปในห้องตามด้วยเรนที่เดินตามหลัง แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแขกผู้มาเยือนเสียก่อน “เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงเอสร้องลั่นพลางถอยหลังไปเหยียบเท้าเรนที่เดินตาม
“เฮ้ยทำอะไรวะ เจ็บนะเฟ้ย” เรนสบถ
“กะ กะ แก” เอสพูดไม่เป็นภาษา
“อะไรของแกวะ” เรนที่ถอยหลังไปด้านข้างประตูทำให้ไม่สามารถมองเห็นสภาพในห้องได้ถามอย่างงงๆ
“พ่อแกมา” เอสตอบเบาๆกับเรน ทำให้คนฟังต้องเบิกตากว้าง
“พวกแกเล่นอะไรกันอยู่ตรงนั้นวะ” คานินถามเพื่อนทั้งสอง
เอสยิ้มแห้งๆเป็นการตอบคำถามนั้น พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องช้าๆพร้อมกับเรน แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหนุ่มผมดำที่นั่งคุยกับพวกคานินอยู่
“สวัสดีครับ ท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายไม่ทราบว่ามาที่นี่ท่านมีธุระอะไรกับพวกผมหรือครับ” เรนพูดเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาเป็นราวกับคำสาปที่ทำให้ทุกคนในห้องตกอยู่ในความประหลาดใจยกเว้นคนก่อเรื่องหรือท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายเพียงคนเดียว คานินทีนและวิลส์ประหลาดใจและตกใจที่คนตรงหน้าของเขามียศเป็นถึงเสนาธิการฝ่ายซ้าย เพรนที่ตกใจอยู่ก่อนแล้วกับคำพูดของเอสตอนที่บอกว่า ‘พ่อแกมา’ เอสและเรนที่ยังขวัญผวาไม่หายกับการปรากฏตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้าก่อนของชายตรงหน้า
“ตามสบายเหอะ ไม่ต้องมากเรื่อง” ชายเจ้าของผมดำพูดเรียบๆพลางมองไปรอบห้องแล้วถอนหายใจเล็กน้อย “ให้ตายเหอะกะจะฉีกหน้ากากผมทุกอย่างเลยหรือ”
“หามิได้ครับท่าน” เอสตอบพลางลุกขึ้นยืนช้าๆพร้อมกับเรน
“ผมอุตส่าห์ปลอมแปลงอายุหรอกเพรนได้ตั้งนานดันมาเปิดเผยอีกนี่ แถมผมยังต้องการข้อมูลการทำงานของเหล่าอีเรสอีกซักหน่อยแท้ๆ” น้ำเสียงขี้เล่นของเสนาธิการฝ่ายซ้ายสร้างความประหลาดใจให้กับพวกคานินและเพรนเพิ่มขี้นอีก
“มิบังอาจครับ เพียงแต่พวกผมไม่ทราบถึงแผนการของท่าน” เอสตอบเรียบพลางก้มหัวลงเป็นเชิงขอโทษ
“เอาเหอะตามสบายแล้วกันพวกนาย” เสนาธิการฝ่ายซ้ายพูดยิ้มๆให้เอสและเรนมานั่งที่ซึ่งทั้งสองก็ทำตามทันทีโดยไม่ต้องสั่งอีกครั้ง “ในเมื่อแผนถูกเปิดโปงแล้ว” ผู้สูงศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ “และสมาชิกที่ต้องการก็มาครบแล้ว เราก็ได้เวลาเข้าเรื่องกันซักทีนะ”
“ที่ผมต้องมาที่นี่วันนี้ก็เพราะ เอ่อ เราแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่า ผมชื่อฟรีนัส อัลเรส ดำรงตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายซ้าย และเป็นพ่อแท้ๆของเรนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ว่าห้ามถามอายุนะเป็นความลับ”เขาเสริมยิ้มๆเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคน
“ดังนั้นก็เข้าเรื่องกันได้แล้วที่ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพราะว่าต้องการให้พวกนายเข้าสังกัดกับชั้นโดยตรง” ทำพูดที่ทำให้ในห้องเงียบ “ไม่ต้องห่วงยังไม่เอาคำตอบตอนนี้ก็ได้ ชั้นไม่รีบอยู่แล้ว” น้ำเสียงเป็นกันเองทำให้ทุกคนในห้องผ่อนคลาย หากแต่มันไม่สามารถหลอกเอสและเรนได้ทั้งสองจึงยิ้มแห้งพูดไม่ออก
“อือ ผมอยู่ที่นี่ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา รบกวนการตัดสินใจของพวกนายเปล่าๆด้วยแต่ว่าจะให้กลับไปก็ขี้เกียจซะด้วยสิ” พูดจบเขาก็ส่งสายตาบังคับไปที่เอสกับเรนทำให้ทั้งสองต้องรีบกลืนน้ำลายแล้วลุกขึ้นมาพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นขอให้ท่านให้เกียรติมาพักกับพวกผมได้ไหมครับ”
“ขอบคุณมาก” ชายผมดำพูดเสียงร่าเริง เอสและเรนรีบวิ่งออกไปเตรียมห้องให้ทันที
“ชิบ พ่อแกมาที่นี่ทำไมวะ” เอสพูดกับเรนทันทีที่ประตูปิดลง
“จะไปรู้เรอะ เค้าก็บอกแล้วไงว่ามาคุยกับพวกเราน่ะ” เรนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “แย่สุดๆ”
ทั้งสองเดินลงไปเตรียมห้องห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างห้องทำงานของพวกเขาไปชั้นหนึ่งซึ่งไม่มีใครใช้
......................................................................
เวลาล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน เอสและเรนเดินเข้าไปในห้องทำงานของพวกเขาที่คานินวิลส์และทีนนั่งรออยู่
“ไง” เอสพูดเสียงเหนื่อยใจ
“หึหึ เป็นไงมั่งล่ะ” คานินล้อ
“ไม่เป็นไงล่ะ ไม่มีอารมณ์มาต่อคำกับแก”
“แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนคนนั้นจะเป็นเสนาธิการฝ่ายซ้ายพ่อแก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกคนแก่ๆผมขาวซะอีก” ทันทีที่คานินพูดจบเอสก็ทำสีหน้าหวาดระแวงขึ้นมาทันทีทำให้คนพูดต้องถามว่า “มีอะไร”
“เปล่า พ่อชั้นมีฉายาว่าหูนรกเท่านั้นแหละ เวลาจะพูดอะไรก็ระวังไว้หน่อยละกัน” เรนพูดยิ้มๆให้คนฟังต้องเหงื่อตก
“จะว่าไปแล้ว คนอื่นไม่รู้หรือไงว่าท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายมีลูกแล้วน่ะ” คานินถาม
“ไม่รู้หรอก พ่อชั้นนอกจากจะหูนรกแล้วยังเป็นพวกเจ้าชู้สุดๆอีกด้วย” เรนตอบเรียบ
“แล้วแม่นายล่ะ”
“หือ แม่ชั้นเสียไปตั้งนานแล้ว ตอนอายุประมาณสิบขวบ” คำตอบที่ทำให้คนถามต้องสะอึกแล้วพูดเบาๆว่า “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“นี่แล้วพ่อแกอายุเท่าไหร่วะ” คนถามยังถามต่อ
“ไม่รู้”
“หือ ไม่รู้”
“ก็ตอนเด็กๆพ่อชั้นก็หน้าตายังงี้รูปร่างยังงี้ ผ่านมาสิบปีก็ไม่เปลี่ยนไปซักนิด ไม่รู้ว่าจะบอกว่าอายุเท่าไหร่ดี” คนถามหัวเราะนิดๆกับคำตอบ
“เอาว่าแต่แผนการของแกเหอะท่านเสนาก็ลงมาร่วมเกมส์ด้วยแล้ว จะเอาไงต่อ”
“ไม่รู้แกจะตอบท่านว่าไงล่ะ ตกลงหรือไม่” คานินพูดเรียบ
“เหอะแล้วคิดว่าจะตอบไม่ตกลงได้หรือไง”
“ไม่คิด” คำตอบที่ทำให้คนถามเกือบสำรักน้ำลายตัวเอง “เฮ้ย แล้วแกจะเอาไง”
“ไม่รู้ ก็ต้องตอบรับไปสิดีกว่าไปอยู่กับกองทัพไม่ใช่เหรอ หรือว่าพวกแกอยากเข้าร่วมกองทัพทำสงครามอะไรทำนองนี้”
“หมายความว่าไง ทำสงคราม”
“เอสแกจำไอ้เอกสารชุดนั้นได้มั๊ย ชุดที่เพรนบอกว่าเป็นงานของเสนาธิการฝ่ายขวา”
“จำได้” เอสตอบเรียบ
“ใช่ งานนั้นเป็นการทำงานแบบกองทัพ คิดว่าคงไม่ได้แบ่งหน้าที่งานอย่างพวกเราหรอก แต่แบ่งเป็นกองทัพเลยมากกว่ามียศทางทหารเป็นเครื่องหมายแสดงกลุ่มกอง งานที่ชั้นเห็นเป็นการขอกองกำลังทหารไปปราบกบฏ”
“ถ้างั้น” เรนพึมพำ
“ไม่รู้หรอก ชั้นไม่สนใจทั้งนั้นแหละตามพวกนายละกัน ตอนนี้ก็ง่วงด้วยถ้าไม่มีงานจะไปนอนแล้วนะ เอ่อใช่พูดถึงงานพวกแกแสบมากเลยว่ะ ไอ้แผนการนั่น มิน่าถึงได้มีงานทำซะเยอะเชียวใจช่วงที่ผ่านมา” เอสคนคนเดียวที่ไม่รู้แผนการมาก่อนกล่าวขึ้น แล้วก็ลุกเดินออกจากห้องทำงานไป ปล่อยให้คนที่เหลือนั่งยิ้มๆ
ระหว่างทางเดินออกจากตึก ชายหนุ่มผมดำก็เดินออกมา เอสหยุดเดินให้เขาเดินไปก่อนแต่ว่าเจ้าของผมสีดำกลับเดินตรงมาทางเขา “สวัสดีครับท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรกับผมหรือ” เอสทักทายเสียงเรียบ
“ไม่มีหรอกเพียงแต่ออกมาเดินเล่นสำรวจตึกดู” เสนาธิการฝ่ายซ้ายตอบ “ว่าแต่แล้วกำลังจะไปไหนล่ะเอส”
“ไปป่าตะวันตกครับท่าน”
“ป่า? ไปทำไมหรือ”
“คือ ที่นั่นเป็นที่อยู่ของผมครับ” เอสตอบตามตรง
“หือ ทำไมอยู่ในป่าละ หรือว่าเพื่อนสนิทของลูกชายผมจะกลายเป็นทาร์ซานไปแล้ว”
“มิบังอาจครับ เพียงแต่ผมชอบที่จะอยู่ในป่ามากกว่าบนตึกครับ”
“งั้นหรือ ถ้างั้นให้ผมไปด้วยได้หรือไม่” คำถามที่ทำให้เอสต้องเหงื่อตก
“ท่านจะไปทำอะไรในที่แบบนั้นล่ะครับ มันไม่เหมาะสม”
“ทำไมจะไม่เหมาะสม ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการไปไหนมาไหนเช่นกันนะ”
“ขออภัยครับ”
“ดีแล้วถ้างั้นผมจะไปด้วย” ผู้สูงศักดิ์พูดยิ้มๆกับเอสที่กำลังยิ้มไม่ออก
ทั้งสองคนเดินไปที่ป่าทางตะวันตกซึ่งเป็นที่ประจำของเอส แต่ว่าเมื่อมาถึงป่ากลับมีเหล่าสัตว์ที่อยู่ในป่าออกมาราวกับมาต้อนรับ “เกิดอะไรขึ้น” เอสพูดเบาๆกับตัวเอง
ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าไปในระยะป่าเหล่าสัตว์ป่าก็พุ่งตรงเข้าไปโจมตีพวกเขาทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เขาสบถและหันไปมองคนข้างๆที่ยิ้มเศร้าๆ “ท่าน...” แต่คำพูดของเอสไม่ทันจบเพราะเสือที่มีขนสีขาวสนิท และมีปีกสีเดียวกับสีขนของมันพุ่งเข้าโจมตีคนที่อยู่ข้างๆ
เป้าหมายที่ถูกโจมตีกระโดดหลบกรงเล็บของผู้โจมตีอย่างง่ายดายพร้อมกับพูดว่า “นี่คือที่ของนายงั้นหรือ”
“ท่าน........เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ พวกนายหยุดสิ” เอสร้องลั่น
“ไม่ต้องหรอก ผมขอโทษ” คนที่กำลังหลบกรงเล็บของเสือขาวตอบ
“หมายความว่ายังไงครับ” เอสพูดอย่างงงๆ
“ผมเป็นคนสร้างพวกเขาขึ้นมาเอง” เสนาธิการฝ่ายซ้ายพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า “ผมไม่เคยคิดจะทอดทิ้งพวกเขา สาบานได้เพียงแต่ว่าพวกมันไม่เชื่องกับใครเลยนอกจากผมจึงจำเป็นต้องทิ้งพวกมันไป” เขาเสริมขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าโกรธแค้นของเอส “ผมเคยเป็นเพื่อนของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะถูกนำมาปล่อยที่นี่และได้พบกับคุณ เอสเชื่อผมเถอะ”
เสนาธิการฝ่ายซ้ายกระโดดหลบกรงเล็บของเสือขาวก่อน แต่ว่าเมื่อหลบพ้นเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะตอนนี้สัตว์อื่นในป่าเริ่มเข้ามาโจมตีเขาแล้ว ม้าที่เอสเคยขี่ไปทำภารกิจ ม้าขนสีพระจันทร์ที่ดูธรรมดาเริ่มมีเขายาวงอกออกมาจากบริเวณศรีษะพุ่งเข้าไปยังเป้าหมายแต่มันพลาด คนถูกโจมตีหลบได้เสียก่อน แต่เขาก็ต้องพลาดท่าเมื่อหอยทากยักษ์ที่มีเมือกเหนียวเป็นพิษพ่นพิษใส่เขาเสียก่อนทำให้เสื้อสีดำขาดเป็นรูกว้างแต่เจ้าของเสื้อกลับหลบได้อย่างมหัศจรรย์
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะย้อนเวลากลับไป ไปก่อนที่จะสร้างพวกเขาขึ้นมา นี่เป็นเรื่องจริงเอส แต่ว่าคุณจะโกรธก็ได้เพราะความผิดของผมก็เป็นเรื่องจริงพอๆกัน” เอสยืนฟังนิ่งตอนนี้สีหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกเขาเพียงแต่สังเกตการต่อสู้ของท่านเสนาธิการเท่านั้น
“ความจริงผมควรจะชดใช้ให้พวกเขาสินะ” กรงเล็บของเสือขาวพุ่งตรงเข้ามาโดยที่เป้าหมายไม่มีทีท่าว่าจะหลบ กรงเล็บพุ่งตรงเข้ามาเรื่อยๆแต่เสนาธิการฝ่ายซ้ายก็ยังยืนเฉยหมายจะให้มันฆ่าเขาให้ตาย “ขอโทษนะ” แต่ว่ากรงเล็บนั้นพุ่งมาไม่ถึงเขา เอสที่ยืนอยู่ข้างๆเมื่อครู่เข้ามาป้องกันให้ทำให้กรงเล็บของเสือขาวฝังเข้ากลางหลังของเอส
“เอส” ผู้ที่ถูกช่วยร้องลั่นแล้วรีบประคองร่างนั้นที่กำลังจะล้มลง กรงเล็บฝังเข้าไปลึกพอสมควร “จะมาช่วยชั้นทำไมน่าจะสมน้ำหน้าสิ” เขาร้องลั่น
“เหอะ ถ้าทำอย่างนั้นผมถูกเชือดแน่ ท่านอย่าลืมนะว่าตอนนี้ท่านเป็นใคร ผมเป็นลูกน้องของคนในสังกัดท่านก็เป็นลูกน้องท่านอยู่ดี ยังไงก็ต้องปกป้องนาย ไม่ใช่ซ้ำเติม” เอสพูดเบาๆ ก่อนที่จะสลบไป
“บ้าเอ๊ย” เสนาธิการฝ่ายซ้ายกัดฟัน “รอก่อนนะอย่าเพิ่งตายล่ะนี่เป็นคำสั่ง” แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่รังสีฆ่าฟันจะแผ่ออกไปทั่ว
พวกสัตว์เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารแล้วก็ต่างพากันหนีไปทั่ว จนท้ายที่สุดบริเวณนั้นเหลือเพียงเขาและเอสเท่านั้น “อย่าเพิ่งตายล่ะ เดี๋ยวลูกชายชั้นมันบ่นเอา” แล้วเขาก็อุ้มคนบาดเจ็บไว้ก่อนที่จะเดินด้วยความเร็วที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะทำได้ไปทางตึกใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบันของเสนาธิการฝ่ายซ้าย “ให้ตายเหอะจะทันมั๊ยนะ”
“ไม่ทันหรอก ถ้าจะไปทางนั้นนะ” หญิงสาวคนหนึ่งขับรถสีดำสนิทตรงเข้ามาหาพวกเขา “ไปกับชั้นดีกว่ามั้ง ทางนี้ใกล้กว่านะ”
“มาเร็วนี่” เสนาธิการฝ่ายซ้ายพูดอย่างไม่พอใจ
“เจ้านายให้ตามติดท่านไว้ตลอด ตอนที่เห็นพวกท่านมาแล้วข้าเกือบแย่แน่ะ หึหึ” หญิงสาวกล่าว
“ให้ตายสิ เจ้านายของเธอก็ไม่เลวเหมือนกันนี่” ผู้สูงศักดิ์กัดฟันพูด
“จะไปไหมล่ะ ท่านเสนาธิการฝ่ายขวายินดีต้อนรับแขกอย่างท่านอยู่แล้ว หึหึ”
“คงต้องยอมท่านสักครั้งแล้ว รีริก” แล้วเขาก็เดินขึ้นรถของหญิงสาว
รถวิ่งไปเรื่อยๆด้วยความเร็วสูงสักพักหนึ่งก็หยุดลงที่หน้าตึกคู่สีดำตึกหนึ่ง “เชิญท่าน ทั้งสอง” คนที่ดูเหมือนว่ามีหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกเดินเข้ามาเปิดประตูรถให้อย่างนอบน้อมพร้อมกับช่วยพยุงเอสที่สลบอยู่เข้าไปทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
“ทีนี้ก็ขอเชิญท่านไปกับฉันได้แล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องห่วงคนๆนั้นเป็นคนที่นายของข้าก็ต้องการตัวเช่นเดียวกันดังนั้นเขาจะได้รับการดูแลที่ดี” หญิงสาวพูดพร้อมกับเดินเข้าไปในตึกโดยมีท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายเดินตามเข้าไปด้วย
..
ความเจ็บที่แผ่นหลังทำให้คนที่กำลังสลบอยู่รู้สึกตัว เอสลืมตาขึ้นแต่เขาก็พบว่าอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เพตานห้องสีดำสนิทผิดกับท้องฟ้าสีฟ้าใสที่เขาคุ้นเคย ในห้องมีเตียงสีดำเตียงหนึ่งซึ่งเอสนอนอยู่และมีโต๊ะเล็กอยู่ข้างๆเตียงเท่านั้น “ที่นี่มันที่ไหนกัน” เอสถามกับคนที่เดินเข้ามาในห้องเพื่อมาทำแผลให้เขา
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ที่นี่เป็นพื้นที่ของท่านเสนาธิการฝ่ายขวา” หญิงสาวบอกพร้อมกับเริ่มลงมือทำแผลที่หลังให้กับเอส
“เสนาธิการฝ่ายขวา ?” เอสทวนคำอย่างงงๆ
“ค่ะ ถูกแล้วท่านรีริกพาคุณมาพร้อมกับชายคนหนึ่งเมื่อวาน”
“เมื่อวาน ?”
“ค่ะ คุณหลับไปคืนนึง ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“หือ ไม่เป็นไรแต่เจ็บอะ”
“นั่นแน่นอนค่ะ คุณถูกเล็บนั่นฝากแผลลึกเอาไว้ อีกหลายวันถึงจะหาย”
“ครับ ว่าแต่ผมขอถามอะไรอย่างได้มั๊ย”
“ค่ะ”
“คนที่พาผมมาหน้าตาเป็นไงหรอ แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ เขาเป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบต้นๆ ผมสั้นสีดำแล้วก็ออกจะยุ่งๆหน่อย ตอนนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเหมือนกัน”
“ทำแผลเสร็จหรือยัง” หญิงสาวอีกคนเดินเข้ามาในห้อง เธอมีผมยาวสีดำสนิทหน้าตาค่อนข้างสวย แต่เธอมีอำนาจที่ทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้
“เสร็จแล้วค่ะท่านรีริก” หญิงสาวที่ทำแผลให้เอสพูดพลางทำความเคารพ
“ขอบคุณ เธอออกไปก่อนชั้นมีเรื่องจะคุยกับคนที่นอนอยู่ครงนั้นหน่อย” แล้วผู้ได้รับคำสั่งก็เดินออกไป
“คุณเป็นใครน่ะ” เอสถาม
“หือ พูดกับผู้มีพระคุณอย่างนี้หรือ ชั้นเพิ่งรู้ว่ามารยาทของพวกฝ่ายซ้ายเป็นอย่างนี้” หญิงสาวพูดประชด
“ขอโทษ ครับเพียงแต่ผมไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณของผมคนนี้เป็นใครก็เท่านั้น” เอสตอบเรียบ
“หึ ปากดีนัก ชั้นคือ รีริก หนึ่งในเบญจเสนาของท่านเสนาธิการฝ่ายขวา” รีริกตอบ
“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ” เอสพยายามจะลุกขึ้นนั่งแต่ไม่สำเร็จเขาจึงล้มตัวลงนอนคว่ำอีกครั้ง
“เพราะว่า เสนาธิการฝ่ายซ้ายไม่ยอมช่วยคุณน่ะสิชั้นถึงช่วยมาแทนไง” หญิงสาวพูดเสยงหวาน
“คุณโกหก เมื่อครู่ผมเพิ่งถามคนที่มาทำแผลให้ บอกมาเถอะครับเรื่องจริงน่ะ” เอสพูดยิ้มๆผิดกับหญิงสาวที่ทำหน้าประหลาดใจ
“ก็ได้ เสนาธิการฝ่ายซ้ายช่วยนายแล้วเพียงแต่รู้สึกว่าท่านนั้นจะไม่ชอบให้มีเครื่องจักรอยู่รอบๆตัว เค้าเคยบอกว่า ไม่ใส่นาฬิกาเพราะไม่อยากผูกพันกับเวลา ไม่ใช้รถเพราะไม่อยากถูกจำกัดการเคลื่อนไหวอยู่ภายในรถแคบๆ ดังนั้นชั้นก็เลยเข้าไปรับเขามาที่นี่ยังไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายอยู่ไหนล่ะครับ”
“ชั้นจะให้เธอพบเขาได้ก็ต่อเมื่อยอมลงสัญญาว่าจะมาทำงานให้ท่านเสนาธิการฝ่ายขวาเท่านั้น” รีริกพูดเสียงเรียบ
“ถ้าผมไม่ทำ”
“คุณก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ”
“ผมก็เพิ่งจะรู้เช่นกันนะครับว่า วิธีของท่านเสนาธิการฝ่ายขวาเป็นแบบนี้” เอสพูดเสียงเรียบ “ถนัดแต่หดหัวอยู่ในกระดองกับจับตัวประกันมาขู่หรือครับ” หญิงสาวโกรธจัด
“ดี จะเอาอย่างนั้นก็ได้ จับมันไปขัง”
“เดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มๆของชายคนหนึ่งดังห้าม
“ทะ ท่านเสนาธิการ” รีริกพูดพลางมองตามท่านเสนาเดินเข้ามา เขาเป็นชายคนหนี่งอายุราววัยกลางคนผมสีเทาแซมด้วยผมขาว ในชุดเป็นทางการสีดำสนิท
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกถ้าเขาได้พบฟรีนัส หรือว่าเสนาธิการฝ่ายซ้ายของเขาจะต้องเปลี่ยนใจแน่ๆ” ชายคนนั้นพูดอย่างเป็นมิตรแต่มีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ในคำพูดนั้น “พาเขาไปเถอะ”
“ค่ะ” รีริกรับเสียงเรียบแต่แสดงท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
“อืมก่อนหน้านั้นขอให้ชั้นได้แนะนำตัวก่อนนะ ชั้นชื่อ ฟริงค์ ดำรงตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายขวา ยินดีที่ได้รู้จัก”
หลังจากนั้นรีริกก็พาเอสไปยังสถานที่แห่งหนี่งซึ่งเมื่อก้าวเข้าไปเอสต้องนิ่วหน้า “คุณรับแขกของคุณในคุกใต้ดินหรือครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความโกรธไว้
“ชั้นต้อนรับแขกของชั้นในห้องรับแขกแต่ต้อนรับนักโทษในคุก ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วนี่” รีริกพูดเสียงร่าเริงอย่างที่ทำให้เอสต้องพยายามข่มความโกรธไว้
เอสเดินมาถึงส่วนในสุดของคุกใต้ดิน ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาโกรธจนตัวสั่น คนที่ช่วยชีวิตเขาไว้นั่งชันเข่าข้างหนี่งอยู่กับพื้นที่ฉาบด้วยปูนซีเมนต์อย่างหยาบๆ มือทั้งสองข้างถูกล็อกด้วยกุญแจมือหน้าตาประหลาด ภายในกรงขัง
เอสกำมือของเขากับลูกกรงจนข้อนิ้วขาวซีดด้วยความโกรธ ถึงเขาจะเคืองแค้นคนตรงหน้าเรื่องสัตว์ในป่าตะวันตกแต่คนๆนี้ก็ช่วยชีวิตเขา ทั้งยังเป็นคนที่คอยดูแลช่วยเหลือเขาตอนยังเป็นเด็ก เขารักคนๆนี้ราวกับเป็นครอบครัวของเขา
เอสกำมือแน่นจนแผลที่แผ่นหลังเปิดแต่ความเจ็บของมันก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บที่หัวใจที่ทำให้คนตรงหน้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งที่เขาเป็นถึงเสนาธิการคนหนึ่งขององค์กรมีลูกน้องในปกครองเป็นแสนคน แต่กลับต้องมาลำบากเพราะลูกน้องของเขาเพียงคนเดียว
ริมฝีปากที่ถูกกัดจนห้อเลือดเปิดออก “ข้าขอโทษท่าน ทั้งๆที่ท่านเป็นถึงเสนาธิการแท้ๆแต่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เพราะผมเพียงคนเดียว นายยกโทษให้ลูกน้องอย่างผมด้วยเถิด” เอสใช้คำแทนคนตรงหน้าว่านายทั้งๆที่เขาไม่เคยใช้มันกับคนๆนี้มาก่อนปกติเขาจะใช้คำๆนี้กับคนที่เขาเคารพรักมากที่สุดเท่านั้น
คนที่ถูกจับอยู่ยิ้มนิดๆ “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ นี่เป็นเรื่องที่ผมเลือกเองต่างหาก”
“แกนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะฟรีนัส” เสนาธิการฝ่ายขวาเดินเข้ามารวมกลุ่มกับพวกคนที่ยืนอยู่ก่อน
“ฮะๆ คงงั้นมั้ง” คนที่ไม่เปลี่ยนไปเลยตอบ
“มุ่งมั่นจะทำอะไรก็ทำถึงที่สุดไม่คิดผลที่ตามมาเลยสักนิด แกนี่ไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าคนหรอก” เสียงพูดดูถูก
แต่คนที่ถูกดูถูกก็ไม่ได้โกรธอะไรอาจจะตรงข้ามเสียด้วย “นั่นสิ ผมไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าใครจริงๆนั่นแหละ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
“ฟังนะ เอส ถ้าอยากจะช่วยมันเจ้าต้องทำสัญญาว่าจะมาเป็นลูกน้องข้า” เสนาธิการฝ่ายขวาพูดเสียงข่มขู่
“อย่าเลยเอส ถ้าจะเลือกอะไรก็เลือกคามที่ใจปรารถนาเถอะ ไม่ต้องเอาผมไปเป็นตัวแปรในการตัดสินใจหรอก” ชายที่นั่งอยู่ในคุกพูดเสียงเรียบ
ริมฝีปากของเอสถูกกัดจนเลือดออกเมื่อได้ยินคำพูดของเสนาทั้งสอง
“นายผมจะจงรักพักดีกับท่านตลอดไปผมยอมรับข้อเสนอของท่านที่ท่านเคยถามในห้อง แต่ว่าผมคงให้ท่านได้แค่หัวใจเท่านั้น นายหัวใจของผมจะอยู่กับท่านตลอดไปถึงร่างกายจะทำงานให้ท่านไม่ได้ก็ตามที”
เสนาธิการฝ่ายซ้ายหลับตาลง “ขอบคุณมาก สำหรับหัวใจที่มีค่า”
เอสหันหน้าไปหาเสนาธิการฝ่ายขวา “ผมรับข้อเสนอของท่านเพียงแต่ผมคงทำงานให้ท่านได้แค่ร่างกายเท่านั้น”
“หัวใจไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเครื่องจักรสังหารอยู่แล้ว” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นขอเชิญท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายเป็นแขกของข้าในการลงนามรับสมาขิกใหม่ด้วย”
กุญแจห้องขังและกุญแจมือที่อยู่บนข้อมือถูกปลดออก ชายที่อยู่ในห้องขังถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เขาเดินออกมาจากห้องที่เขาถูกจองจำ ก่อนที่จะเดินตามเจ้าบ้านไปเงียบๆ
................................................................................................
ห้องทรงสีเหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ภายในห้องประกอบด้วยที่นั่งเป็นชั้นๆเรียงรายอยู่รอบห้อง ด้านหน้าห้องมีบัลลังค์วางอยู่ ตรงส่วนกลางของห้องเป็นพื้นที่ว่างแต่บัดนี้มีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งวางอยู่ ข้างๆ บัลลังค์มีที่นั่งอีกห้าที่วางอยู่รอบๆ ถัดออกมาเป็นที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ ผนังห้องถูกทาด้วยสีดำทึบ อุปกรณ์ตกแต่งรวมถึงทั่งภายในห้องนั้นทำด้วยวัสดุสีดำเกือบทั้งหมดยกเว้ยที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติที่เป็นสีขาวเพียงอย่างเดียวในห้อง
สมาชิกชั้นผู้ใหญ่เริ่มเข้ามานั่งประจำที่ที่อยู่รอบๆของตนจนเต็ม เบญจเสนาก็เริ่มทยอยเข้ามาประจำที่บ้าง ตอนนี้ในห้องถูกเติมเต็มไปด้วยคนใส่ชุดสีดำทั้งสิ้น
เวลาผ่านไปซักครู่เสนาธิการฝ่ายขวาในชุดเป็นทางการสีดำก็เดินมานั่งบนบัลลังค์กลางห้อง ที่นั่งสีขาวเป้นที่นั่งของเสนาธิการฝ่ายซ้ายซึ่งบัดนี้ท่านได้เข้ามาในห้องแล้ว เมื่อแขกผู้มีเกียรตินั่งลงบนเก้าอี้สีขาวเรียบร้อย ท่านเสนาธิการฝ่ายขวาก็เริมเปิดการประชุมทันที
“สมาชิกใหม่ของเรา เอส จะมาทำพิธีลงนามในวันนี้ขอให้ทุกท่านร่วมเป็นพยาน”
เอสก้าวเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ เขาใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน เอสเดินตรงไปที่โต๊ะเล็กตรงกลางห้องแล้วเซ็นชื่ออย่างง่ายๆลงในแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น เมื่อเขาวางปากกาลง ก็มีเสียงปรบมือต้อนรับ
“บัดนี้เอสได้เป็นสมาชิกของพวกเราแล้ว” เสนาธิการฝ่ายขวาประกาศลั่น ทุกคนต่างพากันยินดีในพิธีนี้เพราะนับว่าพวกเขาจะมีสมาชิกเพิ่มขี้นมาอีก ยกเว้นชายในชุดสีขาวซึ่งถูกเชิญมาเป็นพยานในพิธี ‘จากนี้ไปข้าก็ไม่สามารถเข้าใกล้เจ้าได้อีกแล้วสินะ’ เขาติดอย่างเจ็บปวดพลางมองเด็กหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชายชองตนมาตั้งแต่เด็กๆ ‘ลาก่อน’
..........................................................................................................................................
ภายในห้องทำงานคานินทีนและวิลส์ นั่งอยู่ในห้อง เพรนเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยมีชายคนหนึ่งเดินตามมาด้วย เขาใส่เสื้อคอปิดแขนยาวสีดำ กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนัง อายุราวๆยี่สิบปี ชายผู้นี้มีผมที่ดูจะยุ่งอยู่เสมอสีดำเป็นเอกลักษณ์ ดวงหน้าที่มองแล้วคล้ายใครบางคนที่นึกไม่ออกดึงดูดให้เหล่าสมาชิกในห้องจ้องเขาอย่างงุนงง
“สวัสดีครับ” เขาทักด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเหมือนเด็กๆ
“หวัดดีฮะ” คานินตอบรับพลางจ้องไปที่เพรนอย่างต้องการคำตอบ
“เอ่อ ท่านนี้เป็นคนของท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายที่มาดูงานของพวกคุณ” คำตอบที่ทำให้คานินจ้องเธออย่างมีเลสนัย
“อ่า ครับ แบบนั้นแหละ” เขารับคำพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผมยุ่งๆของเขา “พอดีได้ยินข่าวมาว่าพวกคุณเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ ผมก็เลยลงมาตรวจดูครับ และต้องการให้พวกคุณขึ้นไปรายงานตัวกับเบื้องบน” คานินยิ้มกับคำนั้น
“เอ่อ คุณจะว่าอย่างไรครับ” ชายคนเดิมพูดพลางเหงื่อตกกับสายตาของคานิน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ว่าตอนนี้สมาชิกของพวกผมยังไม่ครบนี่ครับนั่งรอสักครู่นะครับ” คานินลุกขึ้นจัดที่นั่งให้แขกของเขานั่ง
“อะขอบคุณครับ” เขานั่งลงพลางเอามือลูบผมยุ่งๆของเขาอีกครั้ง
“ถ้าไม่รังเกียจช่วยเล่าเรื่องเบื้องบนให้ฟังได้ไหมครับ” คานินถามยิ้มๆ คำถามที่ทำให้ทีนและวิลส์ต้องหันมาจ้องหน้าคนถามและคิดในใจอย่างเดียวกันว่า ‘มันคิดอะไรอยู่วะ’
“อะ ได้สิครับ เอ่อ” หนุ่มผมดำเริ่มพูด “ถ้าเป็นเบื้องบนที่พวกคุณเรียกกันมันจะแบ่งเป็นสามส่วน”
“สามส่วน? ไม่ใช่สองส่วนหรือฮะ” คานินแทรก
“อ้าว คุณก็รู้หรือครับ ไม่ใช่หรอกครับที่คุณรู้คงจะมีฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาสินะ แต่ว่ายังมีอีกส่วนหนึ่งที่ขึ้นตรงกับนายใหญ่ แต่คุณไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอกครับคนส่วนใหญ่ก็รู้แบบคุณทั้งนั้น”
“ส่วนที่ขึ้นตรงกับนายใหญ่จะเป็นกองทัพทางทหารที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าทัพของเสนาธิการทั้งสองรวมกันเสียอีก แต่ว่ากองทัพนั้นจะทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือทำการปกป้องนายใหญ่หรือทำตามคำสั่งของท่าน เรื่องในกองทัพส่วนใหญ่จะเป็นปริศนาแต่เท่าที่รู้มาว่าทหารในนั้นมีไม่ถึงห้าสิบคนเป็นทหารที่มีความสามารถพิเศษแตกต่างกัน อย่างเช่นความฉลาดในการวางแผนความสามารถในการต่อสู้ ความถนัดในการใช้เทคโนโลยี”
“และกองทัพนี้จะไม่ลงมายุ่งเกี่ยวกับสงครามเย็นของเสนาธิการทั้งสอง” ชายหนุ่มผมสีดำพูด “แล้วงานของพวกคุณล่ะครับลองเล่าให้ผมฟังได้บ้างหรือเปล่า” เขายิ้ม
“หือ งานของผมพวกคุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่” คานินถามกลับ
“ไม่ครับไม่ ผมไม่รู้หรอกเพราะระบบงานมันเปลี่ยนไปจากสมัยของผมตั้งเยอะ แล้วความรู้สึกของพวกคุณที่ทำงานผมก็ไม่รู้หรอกครับแล้วผมก็ยังอยากรู้ว่าระบบการทำงานมีอะไรไม่สะดวกบ้างหรือเปล่าหรือว่ายังไง”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกฮะ” แล้วคานินก็เล่าระบบการทำงานของพวกเขาให้ฟัง หนุ่มผมดำก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีโดยการนั่งตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลาที่คานินเล่า เมื่อเขาเล่าจบชายหนุ่มก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ฮะๆ ถ้าอย่างนั้นก็แย่เหมือนกันนะครับ”เขาเสริมขึ้นเมื่อคานินพูดถึงไคท์
“ก็ไม่หรอก ความจริงโดยภาพรวมระบบแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะสามารถความคุมเหล่าสมาชิกได้ทั่วถึงแล้วเทรนคนหนึ่งก็ต้องสามารถรับผิดชอบงานของตัวเองได้ นับว่าเป็นการวางแผนการทำงานที่ดีกว่าที่จะให้สมาชิกทั้งหมดขึ้นตรงกับคนเพียงไม่กี่คน”
“แล้วพวกคุณไม่สงสัยหรือครับว่าทำไมเรื่องของเบื้องบนต้องปิดไว้เป็นความลับ หรือว่างานที่ได้มามาจากไหนบ้าง”
“ไม่หรอกเรื่องของเบื้องบนเราไม่เกี่ยวอยู่แล้ว แล้วก็เท่าที่ยังมีงานให้ทำก็ไม่ต้องสนหรอกว่ามันมาจากไหน” คานินตอบยิ้มๆ ทำเอาคนฟังต้องหัวเราะแห้ง
“ความจริงมันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ที่ไม่ให้รู้เรื่องเบื้องบนส่วนหนึ่งก็เพราะเราต้องการป้องกันพวกสายลับแต่ว่าที่จริงแล้วองค์กรของเราก็มีกองกำลังที่เข้มแข็งและมีระบบตรวจจับผู้บุกรุกที่มีประสิทธิภาพ แต่ว่าอีกเหตุผลนึงคือนายใหญ่บอกว่าเป็นความลับแล้วมันเท่ห์ดี” ความจริงที่ทำให้คานินวิลส์และทีนต้องถลึงตาจ้องคนพูด
“เหอะๆ จริงหรือครับ”
“จริงครับ” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้าไปนะ” เสียงของเอสดังตามมาจากเสียงเคาะประตู
“เออ เข้ามาสิ” คานินตอบรับ
เอสเปิดประตูเข้าไปในห้องตามด้วยเรนที่เดินตามหลัง แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแขกผู้มาเยือนเสียก่อน “เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงเอสร้องลั่นพลางถอยหลังไปเหยียบเท้าเรนที่เดินตาม
“เฮ้ยทำอะไรวะ เจ็บนะเฟ้ย” เรนสบถ
“กะ กะ แก” เอสพูดไม่เป็นภาษา
“อะไรของแกวะ” เรนที่ถอยหลังไปด้านข้างประตูทำให้ไม่สามารถมองเห็นสภาพในห้องได้ถามอย่างงงๆ
“พ่อแกมา” เอสตอบเบาๆกับเรน ทำให้คนฟังต้องเบิกตากว้าง
“พวกแกเล่นอะไรกันอยู่ตรงนั้นวะ” คานินถามเพื่อนทั้งสอง
เอสยิ้มแห้งๆเป็นการตอบคำถามนั้น พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องช้าๆพร้อมกับเรน แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหนุ่มผมดำที่นั่งคุยกับพวกคานินอยู่
“สวัสดีครับ ท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายไม่ทราบว่ามาที่นี่ท่านมีธุระอะไรกับพวกผมหรือครับ” เรนพูดเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาเป็นราวกับคำสาปที่ทำให้ทุกคนในห้องตกอยู่ในความประหลาดใจยกเว้นคนก่อเรื่องหรือท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายเพียงคนเดียว คานินทีนและวิลส์ประหลาดใจและตกใจที่คนตรงหน้าของเขามียศเป็นถึงเสนาธิการฝ่ายซ้าย เพรนที่ตกใจอยู่ก่อนแล้วกับคำพูดของเอสตอนที่บอกว่า ‘พ่อแกมา’ เอสและเรนที่ยังขวัญผวาไม่หายกับการปรากฏตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้าก่อนของชายตรงหน้า
“ตามสบายเหอะ ไม่ต้องมากเรื่อง” ชายเจ้าของผมดำพูดเรียบๆพลางมองไปรอบห้องแล้วถอนหายใจเล็กน้อย “ให้ตายเหอะกะจะฉีกหน้ากากผมทุกอย่างเลยหรือ”
“หามิได้ครับท่าน” เอสตอบพลางลุกขึ้นยืนช้าๆพร้อมกับเรน
“ผมอุตส่าห์ปลอมแปลงอายุหรอกเพรนได้ตั้งนานดันมาเปิดเผยอีกนี่ แถมผมยังต้องการข้อมูลการทำงานของเหล่าอีเรสอีกซักหน่อยแท้ๆ” น้ำเสียงขี้เล่นของเสนาธิการฝ่ายซ้ายสร้างความประหลาดใจให้กับพวกคานินและเพรนเพิ่มขี้นอีก
“มิบังอาจครับ เพียงแต่พวกผมไม่ทราบถึงแผนการของท่าน” เอสตอบเรียบพลางก้มหัวลงเป็นเชิงขอโทษ
“เอาเหอะตามสบายแล้วกันพวกนาย” เสนาธิการฝ่ายซ้ายพูดยิ้มๆให้เอสและเรนมานั่งที่ซึ่งทั้งสองก็ทำตามทันทีโดยไม่ต้องสั่งอีกครั้ง “ในเมื่อแผนถูกเปิดโปงแล้ว” ผู้สูงศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ “และสมาชิกที่ต้องการก็มาครบแล้ว เราก็ได้เวลาเข้าเรื่องกันซักทีนะ”
“ที่ผมต้องมาที่นี่วันนี้ก็เพราะ เอ่อ เราแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่า ผมชื่อฟรีนัส อัลเรส ดำรงตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายซ้าย และเป็นพ่อแท้ๆของเรนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ว่าห้ามถามอายุนะเป็นความลับ”เขาเสริมยิ้มๆเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคน
“ดังนั้นก็เข้าเรื่องกันได้แล้วที่ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพราะว่าต้องการให้พวกนายเข้าสังกัดกับชั้นโดยตรง” ทำพูดที่ทำให้ในห้องเงียบ “ไม่ต้องห่วงยังไม่เอาคำตอบตอนนี้ก็ได้ ชั้นไม่รีบอยู่แล้ว” น้ำเสียงเป็นกันเองทำให้ทุกคนในห้องผ่อนคลาย หากแต่มันไม่สามารถหลอกเอสและเรนได้ทั้งสองจึงยิ้มแห้งพูดไม่ออก
“อือ ผมอยู่ที่นี่ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา รบกวนการตัดสินใจของพวกนายเปล่าๆด้วยแต่ว่าจะให้กลับไปก็ขี้เกียจซะด้วยสิ” พูดจบเขาก็ส่งสายตาบังคับไปที่เอสกับเรนทำให้ทั้งสองต้องรีบกลืนน้ำลายแล้วลุกขึ้นมาพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นขอให้ท่านให้เกียรติมาพักกับพวกผมได้ไหมครับ”
“ขอบคุณมาก” ชายผมดำพูดเสียงร่าเริง เอสและเรนรีบวิ่งออกไปเตรียมห้องให้ทันที
“ชิบ พ่อแกมาที่นี่ทำไมวะ” เอสพูดกับเรนทันทีที่ประตูปิดลง
“จะไปรู้เรอะ เค้าก็บอกแล้วไงว่ามาคุยกับพวกเราน่ะ” เรนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “แย่สุดๆ”
ทั้งสองเดินลงไปเตรียมห้องห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างห้องทำงานของพวกเขาไปชั้นหนึ่งซึ่งไม่มีใครใช้
......................................................................
เวลาล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน เอสและเรนเดินเข้าไปในห้องทำงานของพวกเขาที่คานินวิลส์และทีนนั่งรออยู่
“ไง” เอสพูดเสียงเหนื่อยใจ
“หึหึ เป็นไงมั่งล่ะ” คานินล้อ
“ไม่เป็นไงล่ะ ไม่มีอารมณ์มาต่อคำกับแก”
“แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนคนนั้นจะเป็นเสนาธิการฝ่ายซ้ายพ่อแก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกคนแก่ๆผมขาวซะอีก” ทันทีที่คานินพูดจบเอสก็ทำสีหน้าหวาดระแวงขึ้นมาทันทีทำให้คนพูดต้องถามว่า “มีอะไร”
“เปล่า พ่อชั้นมีฉายาว่าหูนรกเท่านั้นแหละ เวลาจะพูดอะไรก็ระวังไว้หน่อยละกัน” เรนพูดยิ้มๆให้คนฟังต้องเหงื่อตก
“จะว่าไปแล้ว คนอื่นไม่รู้หรือไงว่าท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายมีลูกแล้วน่ะ” คานินถาม
“ไม่รู้หรอก พ่อชั้นนอกจากจะหูนรกแล้วยังเป็นพวกเจ้าชู้สุดๆอีกด้วย” เรนตอบเรียบ
“แล้วแม่นายล่ะ”
“หือ แม่ชั้นเสียไปตั้งนานแล้ว ตอนอายุประมาณสิบขวบ” คำตอบที่ทำให้คนถามต้องสะอึกแล้วพูดเบาๆว่า “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“นี่แล้วพ่อแกอายุเท่าไหร่วะ” คนถามยังถามต่อ
“ไม่รู้”
“หือ ไม่รู้”
“ก็ตอนเด็กๆพ่อชั้นก็หน้าตายังงี้รูปร่างยังงี้ ผ่านมาสิบปีก็ไม่เปลี่ยนไปซักนิด ไม่รู้ว่าจะบอกว่าอายุเท่าไหร่ดี” คนถามหัวเราะนิดๆกับคำตอบ
“เอาว่าแต่แผนการของแกเหอะท่านเสนาก็ลงมาร่วมเกมส์ด้วยแล้ว จะเอาไงต่อ”
“ไม่รู้แกจะตอบท่านว่าไงล่ะ ตกลงหรือไม่” คานินพูดเรียบ
“เหอะแล้วคิดว่าจะตอบไม่ตกลงได้หรือไง”
“ไม่คิด” คำตอบที่ทำให้คนถามเกือบสำรักน้ำลายตัวเอง “เฮ้ย แล้วแกจะเอาไง”
“ไม่รู้ ก็ต้องตอบรับไปสิดีกว่าไปอยู่กับกองทัพไม่ใช่เหรอ หรือว่าพวกแกอยากเข้าร่วมกองทัพทำสงครามอะไรทำนองนี้”
“หมายความว่าไง ทำสงคราม”
“เอสแกจำไอ้เอกสารชุดนั้นได้มั๊ย ชุดที่เพรนบอกว่าเป็นงานของเสนาธิการฝ่ายขวา”
“จำได้” เอสตอบเรียบ
“ใช่ งานนั้นเป็นการทำงานแบบกองทัพ คิดว่าคงไม่ได้แบ่งหน้าที่งานอย่างพวกเราหรอก แต่แบ่งเป็นกองทัพเลยมากกว่ามียศทางทหารเป็นเครื่องหมายแสดงกลุ่มกอง งานที่ชั้นเห็นเป็นการขอกองกำลังทหารไปปราบกบฏ”
“ถ้างั้น” เรนพึมพำ
“ไม่รู้หรอก ชั้นไม่สนใจทั้งนั้นแหละตามพวกนายละกัน ตอนนี้ก็ง่วงด้วยถ้าไม่มีงานจะไปนอนแล้วนะ เอ่อใช่พูดถึงงานพวกแกแสบมากเลยว่ะ ไอ้แผนการนั่น มิน่าถึงได้มีงานทำซะเยอะเชียวใจช่วงที่ผ่านมา” เอสคนคนเดียวที่ไม่รู้แผนการมาก่อนกล่าวขึ้น แล้วก็ลุกเดินออกจากห้องทำงานไป ปล่อยให้คนที่เหลือนั่งยิ้มๆ
ระหว่างทางเดินออกจากตึก ชายหนุ่มผมดำก็เดินออกมา เอสหยุดเดินให้เขาเดินไปก่อนแต่ว่าเจ้าของผมสีดำกลับเดินตรงมาทางเขา “สวัสดีครับท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรกับผมหรือ” เอสทักทายเสียงเรียบ
“ไม่มีหรอกเพียงแต่ออกมาเดินเล่นสำรวจตึกดู” เสนาธิการฝ่ายซ้ายตอบ “ว่าแต่แล้วกำลังจะไปไหนล่ะเอส”
“ไปป่าตะวันตกครับท่าน”
“ป่า? ไปทำไมหรือ”
“คือ ที่นั่นเป็นที่อยู่ของผมครับ” เอสตอบตามตรง
“หือ ทำไมอยู่ในป่าละ หรือว่าเพื่อนสนิทของลูกชายผมจะกลายเป็นทาร์ซานไปแล้ว”
“มิบังอาจครับ เพียงแต่ผมชอบที่จะอยู่ในป่ามากกว่าบนตึกครับ”
“งั้นหรือ ถ้างั้นให้ผมไปด้วยได้หรือไม่” คำถามที่ทำให้เอสต้องเหงื่อตก
“ท่านจะไปทำอะไรในที่แบบนั้นล่ะครับ มันไม่เหมาะสม”
“ทำไมจะไม่เหมาะสม ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการไปไหนมาไหนเช่นกันนะ”
“ขออภัยครับ”
“ดีแล้วถ้างั้นผมจะไปด้วย” ผู้สูงศักดิ์พูดยิ้มๆกับเอสที่กำลังยิ้มไม่ออก
ทั้งสองคนเดินไปที่ป่าทางตะวันตกซึ่งเป็นที่ประจำของเอส แต่ว่าเมื่อมาถึงป่ากลับมีเหล่าสัตว์ที่อยู่ในป่าออกมาราวกับมาต้อนรับ “เกิดอะไรขึ้น” เอสพูดเบาๆกับตัวเอง
ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าไปในระยะป่าเหล่าสัตว์ป่าก็พุ่งตรงเข้าไปโจมตีพวกเขาทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เขาสบถและหันไปมองคนข้างๆที่ยิ้มเศร้าๆ “ท่าน...” แต่คำพูดของเอสไม่ทันจบเพราะเสือที่มีขนสีขาวสนิท และมีปีกสีเดียวกับสีขนของมันพุ่งเข้าโจมตีคนที่อยู่ข้างๆ
เป้าหมายที่ถูกโจมตีกระโดดหลบกรงเล็บของผู้โจมตีอย่างง่ายดายพร้อมกับพูดว่า “นี่คือที่ของนายงั้นหรือ”
“ท่าน........เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ พวกนายหยุดสิ” เอสร้องลั่น
“ไม่ต้องหรอก ผมขอโทษ” คนที่กำลังหลบกรงเล็บของเสือขาวตอบ
“หมายความว่ายังไงครับ” เอสพูดอย่างงงๆ
“ผมเป็นคนสร้างพวกเขาขึ้นมาเอง” เสนาธิการฝ่ายซ้ายพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า “ผมไม่เคยคิดจะทอดทิ้งพวกเขา สาบานได้เพียงแต่ว่าพวกมันไม่เชื่องกับใครเลยนอกจากผมจึงจำเป็นต้องทิ้งพวกมันไป” เขาเสริมขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าโกรธแค้นของเอส “ผมเคยเป็นเพื่อนของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะถูกนำมาปล่อยที่นี่และได้พบกับคุณ เอสเชื่อผมเถอะ”
เสนาธิการฝ่ายซ้ายกระโดดหลบกรงเล็บของเสือขาวก่อน แต่ว่าเมื่อหลบพ้นเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะตอนนี้สัตว์อื่นในป่าเริ่มเข้ามาโจมตีเขาแล้ว ม้าที่เอสเคยขี่ไปทำภารกิจ ม้าขนสีพระจันทร์ที่ดูธรรมดาเริ่มมีเขายาวงอกออกมาจากบริเวณศรีษะพุ่งเข้าไปยังเป้าหมายแต่มันพลาด คนถูกโจมตีหลบได้เสียก่อน แต่เขาก็ต้องพลาดท่าเมื่อหอยทากยักษ์ที่มีเมือกเหนียวเป็นพิษพ่นพิษใส่เขาเสียก่อนทำให้เสื้อสีดำขาดเป็นรูกว้างแต่เจ้าของเสื้อกลับหลบได้อย่างมหัศจรรย์
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะย้อนเวลากลับไป ไปก่อนที่จะสร้างพวกเขาขึ้นมา นี่เป็นเรื่องจริงเอส แต่ว่าคุณจะโกรธก็ได้เพราะความผิดของผมก็เป็นเรื่องจริงพอๆกัน” เอสยืนฟังนิ่งตอนนี้สีหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกเขาเพียงแต่สังเกตการต่อสู้ของท่านเสนาธิการเท่านั้น
“ความจริงผมควรจะชดใช้ให้พวกเขาสินะ” กรงเล็บของเสือขาวพุ่งตรงเข้ามาโดยที่เป้าหมายไม่มีทีท่าว่าจะหลบ กรงเล็บพุ่งตรงเข้ามาเรื่อยๆแต่เสนาธิการฝ่ายซ้ายก็ยังยืนเฉยหมายจะให้มันฆ่าเขาให้ตาย “ขอโทษนะ” แต่ว่ากรงเล็บนั้นพุ่งมาไม่ถึงเขา เอสที่ยืนอยู่ข้างๆเมื่อครู่เข้ามาป้องกันให้ทำให้กรงเล็บของเสือขาวฝังเข้ากลางหลังของเอส
“เอส” ผู้ที่ถูกช่วยร้องลั่นแล้วรีบประคองร่างนั้นที่กำลังจะล้มลง กรงเล็บฝังเข้าไปลึกพอสมควร “จะมาช่วยชั้นทำไมน่าจะสมน้ำหน้าสิ” เขาร้องลั่น
“เหอะ ถ้าทำอย่างนั้นผมถูกเชือดแน่ ท่านอย่าลืมนะว่าตอนนี้ท่านเป็นใคร ผมเป็นลูกน้องของคนในสังกัดท่านก็เป็นลูกน้องท่านอยู่ดี ยังไงก็ต้องปกป้องนาย ไม่ใช่ซ้ำเติม” เอสพูดเบาๆ ก่อนที่จะสลบไป
“บ้าเอ๊ย” เสนาธิการฝ่ายซ้ายกัดฟัน “รอก่อนนะอย่าเพิ่งตายล่ะนี่เป็นคำสั่ง” แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่รังสีฆ่าฟันจะแผ่ออกไปทั่ว
พวกสัตว์เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารแล้วก็ต่างพากันหนีไปทั่ว จนท้ายที่สุดบริเวณนั้นเหลือเพียงเขาและเอสเท่านั้น “อย่าเพิ่งตายล่ะ เดี๋ยวลูกชายชั้นมันบ่นเอา” แล้วเขาก็อุ้มคนบาดเจ็บไว้ก่อนที่จะเดินด้วยความเร็วที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะทำได้ไปทางตึกใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบันของเสนาธิการฝ่ายซ้าย “ให้ตายเหอะจะทันมั๊ยนะ”
“ไม่ทันหรอก ถ้าจะไปทางนั้นนะ” หญิงสาวคนหนึ่งขับรถสีดำสนิทตรงเข้ามาหาพวกเขา “ไปกับชั้นดีกว่ามั้ง ทางนี้ใกล้กว่านะ”
“มาเร็วนี่” เสนาธิการฝ่ายซ้ายพูดอย่างไม่พอใจ
“เจ้านายให้ตามติดท่านไว้ตลอด ตอนที่เห็นพวกท่านมาแล้วข้าเกือบแย่แน่ะ หึหึ” หญิงสาวกล่าว
“ให้ตายสิ เจ้านายของเธอก็ไม่เลวเหมือนกันนี่” ผู้สูงศักดิ์กัดฟันพูด
“จะไปไหมล่ะ ท่านเสนาธิการฝ่ายขวายินดีต้อนรับแขกอย่างท่านอยู่แล้ว หึหึ”
“คงต้องยอมท่านสักครั้งแล้ว รีริก” แล้วเขาก็เดินขึ้นรถของหญิงสาว
รถวิ่งไปเรื่อยๆด้วยความเร็วสูงสักพักหนึ่งก็หยุดลงที่หน้าตึกคู่สีดำตึกหนึ่ง “เชิญท่าน ทั้งสอง” คนที่ดูเหมือนว่ามีหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกเดินเข้ามาเปิดประตูรถให้อย่างนอบน้อมพร้อมกับช่วยพยุงเอสที่สลบอยู่เข้าไปทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
“ทีนี้ก็ขอเชิญท่านไปกับฉันได้แล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องห่วงคนๆนั้นเป็นคนที่นายของข้าก็ต้องการตัวเช่นเดียวกันดังนั้นเขาจะได้รับการดูแลที่ดี” หญิงสาวพูดพร้อมกับเดินเข้าไปในตึกโดยมีท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายเดินตามเข้าไปด้วย
..
ความเจ็บที่แผ่นหลังทำให้คนที่กำลังสลบอยู่รู้สึกตัว เอสลืมตาขึ้นแต่เขาก็พบว่าอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เพตานห้องสีดำสนิทผิดกับท้องฟ้าสีฟ้าใสที่เขาคุ้นเคย ในห้องมีเตียงสีดำเตียงหนึ่งซึ่งเอสนอนอยู่และมีโต๊ะเล็กอยู่ข้างๆเตียงเท่านั้น “ที่นี่มันที่ไหนกัน” เอสถามกับคนที่เดินเข้ามาในห้องเพื่อมาทำแผลให้เขา
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ที่นี่เป็นพื้นที่ของท่านเสนาธิการฝ่ายขวา” หญิงสาวบอกพร้อมกับเริ่มลงมือทำแผลที่หลังให้กับเอส
“เสนาธิการฝ่ายขวา ?” เอสทวนคำอย่างงงๆ
“ค่ะ ถูกแล้วท่านรีริกพาคุณมาพร้อมกับชายคนหนึ่งเมื่อวาน”
“เมื่อวาน ?”
“ค่ะ คุณหลับไปคืนนึง ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“หือ ไม่เป็นไรแต่เจ็บอะ”
“นั่นแน่นอนค่ะ คุณถูกเล็บนั่นฝากแผลลึกเอาไว้ อีกหลายวันถึงจะหาย”
“ครับ ว่าแต่ผมขอถามอะไรอย่างได้มั๊ย”
“ค่ะ”
“คนที่พาผมมาหน้าตาเป็นไงหรอ แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ เขาเป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบต้นๆ ผมสั้นสีดำแล้วก็ออกจะยุ่งๆหน่อย ตอนนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเหมือนกัน”
“ทำแผลเสร็จหรือยัง” หญิงสาวอีกคนเดินเข้ามาในห้อง เธอมีผมยาวสีดำสนิทหน้าตาค่อนข้างสวย แต่เธอมีอำนาจที่ทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้
“เสร็จแล้วค่ะท่านรีริก” หญิงสาวที่ทำแผลให้เอสพูดพลางทำความเคารพ
“ขอบคุณ เธอออกไปก่อนชั้นมีเรื่องจะคุยกับคนที่นอนอยู่ครงนั้นหน่อย” แล้วผู้ได้รับคำสั่งก็เดินออกไป
“คุณเป็นใครน่ะ” เอสถาม
“หือ พูดกับผู้มีพระคุณอย่างนี้หรือ ชั้นเพิ่งรู้ว่ามารยาทของพวกฝ่ายซ้ายเป็นอย่างนี้” หญิงสาวพูดประชด
“ขอโทษ ครับเพียงแต่ผมไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณของผมคนนี้เป็นใครก็เท่านั้น” เอสตอบเรียบ
“หึ ปากดีนัก ชั้นคือ รีริก หนึ่งในเบญจเสนาของท่านเสนาธิการฝ่ายขวา” รีริกตอบ
“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ” เอสพยายามจะลุกขึ้นนั่งแต่ไม่สำเร็จเขาจึงล้มตัวลงนอนคว่ำอีกครั้ง
“เพราะว่า เสนาธิการฝ่ายซ้ายไม่ยอมช่วยคุณน่ะสิชั้นถึงช่วยมาแทนไง” หญิงสาวพูดเสยงหวาน
“คุณโกหก เมื่อครู่ผมเพิ่งถามคนที่มาทำแผลให้ บอกมาเถอะครับเรื่องจริงน่ะ” เอสพูดยิ้มๆผิดกับหญิงสาวที่ทำหน้าประหลาดใจ
“ก็ได้ เสนาธิการฝ่ายซ้ายช่วยนายแล้วเพียงแต่รู้สึกว่าท่านนั้นจะไม่ชอบให้มีเครื่องจักรอยู่รอบๆตัว เค้าเคยบอกว่า ไม่ใส่นาฬิกาเพราะไม่อยากผูกพันกับเวลา ไม่ใช้รถเพราะไม่อยากถูกจำกัดการเคลื่อนไหวอยู่ภายในรถแคบๆ ดังนั้นชั้นก็เลยเข้าไปรับเขามาที่นี่ยังไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายอยู่ไหนล่ะครับ”
“ชั้นจะให้เธอพบเขาได้ก็ต่อเมื่อยอมลงสัญญาว่าจะมาทำงานให้ท่านเสนาธิการฝ่ายขวาเท่านั้น” รีริกพูดเสียงเรียบ
“ถ้าผมไม่ทำ”
“คุณก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ”
“ผมก็เพิ่งจะรู้เช่นกันนะครับว่า วิธีของท่านเสนาธิการฝ่ายขวาเป็นแบบนี้” เอสพูดเสียงเรียบ “ถนัดแต่หดหัวอยู่ในกระดองกับจับตัวประกันมาขู่หรือครับ” หญิงสาวโกรธจัด
“ดี จะเอาอย่างนั้นก็ได้ จับมันไปขัง”
“เดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มๆของชายคนหนึ่งดังห้าม
“ทะ ท่านเสนาธิการ” รีริกพูดพลางมองตามท่านเสนาเดินเข้ามา เขาเป็นชายคนหนี่งอายุราววัยกลางคนผมสีเทาแซมด้วยผมขาว ในชุดเป็นทางการสีดำสนิท
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกถ้าเขาได้พบฟรีนัส หรือว่าเสนาธิการฝ่ายซ้ายของเขาจะต้องเปลี่ยนใจแน่ๆ” ชายคนนั้นพูดอย่างเป็นมิตรแต่มีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ในคำพูดนั้น “พาเขาไปเถอะ”
“ค่ะ” รีริกรับเสียงเรียบแต่แสดงท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
“อืมก่อนหน้านั้นขอให้ชั้นได้แนะนำตัวก่อนนะ ชั้นชื่อ ฟริงค์ ดำรงตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายขวา ยินดีที่ได้รู้จัก”
หลังจากนั้นรีริกก็พาเอสไปยังสถานที่แห่งหนี่งซึ่งเมื่อก้าวเข้าไปเอสต้องนิ่วหน้า “คุณรับแขกของคุณในคุกใต้ดินหรือครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความโกรธไว้
“ชั้นต้อนรับแขกของชั้นในห้องรับแขกแต่ต้อนรับนักโทษในคุก ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วนี่” รีริกพูดเสียงร่าเริงอย่างที่ทำให้เอสต้องพยายามข่มความโกรธไว้
เอสเดินมาถึงส่วนในสุดของคุกใต้ดิน ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาโกรธจนตัวสั่น คนที่ช่วยชีวิตเขาไว้นั่งชันเข่าข้างหนี่งอยู่กับพื้นที่ฉาบด้วยปูนซีเมนต์อย่างหยาบๆ มือทั้งสองข้างถูกล็อกด้วยกุญแจมือหน้าตาประหลาด ภายในกรงขัง
เอสกำมือของเขากับลูกกรงจนข้อนิ้วขาวซีดด้วยความโกรธ ถึงเขาจะเคืองแค้นคนตรงหน้าเรื่องสัตว์ในป่าตะวันตกแต่คนๆนี้ก็ช่วยชีวิตเขา ทั้งยังเป็นคนที่คอยดูแลช่วยเหลือเขาตอนยังเป็นเด็ก เขารักคนๆนี้ราวกับเป็นครอบครัวของเขา
เอสกำมือแน่นจนแผลที่แผ่นหลังเปิดแต่ความเจ็บของมันก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บที่หัวใจที่ทำให้คนตรงหน้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งที่เขาเป็นถึงเสนาธิการคนหนึ่งขององค์กรมีลูกน้องในปกครองเป็นแสนคน แต่กลับต้องมาลำบากเพราะลูกน้องของเขาเพียงคนเดียว
ริมฝีปากที่ถูกกัดจนห้อเลือดเปิดออก “ข้าขอโทษท่าน ทั้งๆที่ท่านเป็นถึงเสนาธิการแท้ๆแต่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เพราะผมเพียงคนเดียว นายยกโทษให้ลูกน้องอย่างผมด้วยเถิด” เอสใช้คำแทนคนตรงหน้าว่านายทั้งๆที่เขาไม่เคยใช้มันกับคนๆนี้มาก่อนปกติเขาจะใช้คำๆนี้กับคนที่เขาเคารพรักมากที่สุดเท่านั้น
คนที่ถูกจับอยู่ยิ้มนิดๆ “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ นี่เป็นเรื่องที่ผมเลือกเองต่างหาก”
“แกนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะฟรีนัส” เสนาธิการฝ่ายขวาเดินเข้ามารวมกลุ่มกับพวกคนที่ยืนอยู่ก่อน
“ฮะๆ คงงั้นมั้ง” คนที่ไม่เปลี่ยนไปเลยตอบ
“มุ่งมั่นจะทำอะไรก็ทำถึงที่สุดไม่คิดผลที่ตามมาเลยสักนิด แกนี่ไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าคนหรอก” เสียงพูดดูถูก
แต่คนที่ถูกดูถูกก็ไม่ได้โกรธอะไรอาจจะตรงข้ามเสียด้วย “นั่นสิ ผมไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าใครจริงๆนั่นแหละ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
“ฟังนะ เอส ถ้าอยากจะช่วยมันเจ้าต้องทำสัญญาว่าจะมาเป็นลูกน้องข้า” เสนาธิการฝ่ายขวาพูดเสียงข่มขู่
“อย่าเลยเอส ถ้าจะเลือกอะไรก็เลือกคามที่ใจปรารถนาเถอะ ไม่ต้องเอาผมไปเป็นตัวแปรในการตัดสินใจหรอก” ชายที่นั่งอยู่ในคุกพูดเสียงเรียบ
ริมฝีปากของเอสถูกกัดจนเลือดออกเมื่อได้ยินคำพูดของเสนาทั้งสอง
“นายผมจะจงรักพักดีกับท่านตลอดไปผมยอมรับข้อเสนอของท่านที่ท่านเคยถามในห้อง แต่ว่าผมคงให้ท่านได้แค่หัวใจเท่านั้น นายหัวใจของผมจะอยู่กับท่านตลอดไปถึงร่างกายจะทำงานให้ท่านไม่ได้ก็ตามที”
เสนาธิการฝ่ายซ้ายหลับตาลง “ขอบคุณมาก สำหรับหัวใจที่มีค่า”
เอสหันหน้าไปหาเสนาธิการฝ่ายขวา “ผมรับข้อเสนอของท่านเพียงแต่ผมคงทำงานให้ท่านได้แค่ร่างกายเท่านั้น”
“หัวใจไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเครื่องจักรสังหารอยู่แล้ว” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นขอเชิญท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายเป็นแขกของข้าในการลงนามรับสมาขิกใหม่ด้วย”
กุญแจห้องขังและกุญแจมือที่อยู่บนข้อมือถูกปลดออก ชายที่อยู่ในห้องขังถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เขาเดินออกมาจากห้องที่เขาถูกจองจำ ก่อนที่จะเดินตามเจ้าบ้านไปเงียบๆ
................................................................................................
ห้องทรงสีเหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ภายในห้องประกอบด้วยที่นั่งเป็นชั้นๆเรียงรายอยู่รอบห้อง ด้านหน้าห้องมีบัลลังค์วางอยู่ ตรงส่วนกลางของห้องเป็นพื้นที่ว่างแต่บัดนี้มีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งวางอยู่ ข้างๆ บัลลังค์มีที่นั่งอีกห้าที่วางอยู่รอบๆ ถัดออกมาเป็นที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติ ผนังห้องถูกทาด้วยสีดำทึบ อุปกรณ์ตกแต่งรวมถึงทั่งภายในห้องนั้นทำด้วยวัสดุสีดำเกือบทั้งหมดยกเว้ยที่นั่งของแขกผู้มีเกียรติที่เป็นสีขาวเพียงอย่างเดียวในห้อง
สมาชิกชั้นผู้ใหญ่เริ่มเข้ามานั่งประจำที่ที่อยู่รอบๆของตนจนเต็ม เบญจเสนาก็เริ่มทยอยเข้ามาประจำที่บ้าง ตอนนี้ในห้องถูกเติมเต็มไปด้วยคนใส่ชุดสีดำทั้งสิ้น
เวลาผ่านไปซักครู่เสนาธิการฝ่ายขวาในชุดเป็นทางการสีดำก็เดินมานั่งบนบัลลังค์กลางห้อง ที่นั่งสีขาวเป้นที่นั่งของเสนาธิการฝ่ายซ้ายซึ่งบัดนี้ท่านได้เข้ามาในห้องแล้ว เมื่อแขกผู้มีเกียรตินั่งลงบนเก้าอี้สีขาวเรียบร้อย ท่านเสนาธิการฝ่ายขวาก็เริมเปิดการประชุมทันที
“สมาชิกใหม่ของเรา เอส จะมาทำพิธีลงนามในวันนี้ขอให้ทุกท่านร่วมเป็นพยาน”
เอสก้าวเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ เขาใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน เอสเดินตรงไปที่โต๊ะเล็กตรงกลางห้องแล้วเซ็นชื่ออย่างง่ายๆลงในแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น เมื่อเขาวางปากกาลง ก็มีเสียงปรบมือต้อนรับ
“บัดนี้เอสได้เป็นสมาชิกของพวกเราแล้ว” เสนาธิการฝ่ายขวาประกาศลั่น ทุกคนต่างพากันยินดีในพิธีนี้เพราะนับว่าพวกเขาจะมีสมาชิกเพิ่มขี้นมาอีก ยกเว้นชายในชุดสีขาวซึ่งถูกเชิญมาเป็นพยานในพิธี ‘จากนี้ไปข้าก็ไม่สามารถเข้าใกล้เจ้าได้อีกแล้วสินะ’ เขาติดอย่างเจ็บปวดพลางมองเด็กหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชายชองตนมาตั้งแต่เด็กๆ ‘ลาก่อน’
..........................................................................................................................................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น