คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prince of Unseam 1
พระราชวังสีทองที่ตั้งอยู่ในเมืองอย่างโดดเด่น สีทองที่สูงค่า พระราชวังที่อยู่ของพระราชาผู้ที่ประชาชนไม่อาจเอื้อม แต่อาจจะไม่ใช่ พระราชวังของประเทศนี้
ภายในพระราชวัง ชายเจ้าของผมสีทองคนหนึ่งกำลังเดินอย่างรีบๆเพื่อหนีอะไรบางอย่างตามทางเดินที่ถูกปูไปด้วยพรมสีแดง
“เจ้าชาย พระองค์จะเสด็จไปไหนขอรับ” ทหารองค์รักษ์ผู้น่าสงสารคนหนึ่งที่ได้รับคำสั่งมาให้คอยคิดตามเจ้าชายของเขากำลังวิ่งตามเจ้าชายเจ้าของผมสีทองท่านนั้นซึ่งกำลังจะเสด็จออกนอกปราสาทโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า
“ถ้าพระองค์จะเสด็จ หม่อมชั้นจะเตรียมขบวนเสด็จให้ขอรับ อย่าทรงแอบเสด็จเพียงพระองค์เดียวสิขอรับ” ทหารองครักษ์ยังคงพยายามพูดโดยที่เจ้าชายไม่ได้แม้แต่จะให้ความสนใจเลยสักนิด แต่เขาก็ยังไม่ละความพยายาม “แล้วท่าน ทำไมถึงทรงชุดของสามัญชนล่ะขอรับ อย่างน้อยท่านจะเสด็จก็ต้องมีขบวนตามเสด็จ แล้วแต่งกายให้เหมาะสม”
แต่ความพยายามนั้นก็ไม่เป็นผล เจ้าชายยังคงไม่สนใจทำให้ทหารองครักษ์ผู้น่าสงสารจำเป็นต้องใช้ไม้ตาย “ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงหยุดสิ่งที่พระองค์กำลังจะทำล่ะก็ หม่อมชั้นจะไปทูลกษัตริย์นะขอรับ” ได้ผล เจ้าชายที่กำลังเดินอย่างรวดเร็วหยุดชะงัก ก่อนที่จะหันมาทำสีหน้าข่มขู่
“ถ้าแกเอาไปบอกท่านลุง ชั้นจะสั่งตัดหัว” คำขู่ของเจ้าชายที่ใช้ได้ผลพอๆกับเสียงเรียกของทหารองครักษ์ที่ใช้เรียกท่าน
“ท่านเลิกขู่เช่นนี้เสียทีเถิดครับ ยังไงท่านก็ไม่ทำหรอก แล้วถึง..ท่านจะทำจริงๆกระหม่อมก็ยอมถ้าจะทำให้ท่านยอมให้มีทหารติดตามเวลาเสด็จไปที่ต่างๆ” คนต่ำศักดิ์กว่าพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังที่ทำให้เจ้าชายต้องยอมแพ้ เพราะดันโดนจับได้ว่ายังไงเขาก็ไม่สั่งฆ่าคนที่ไม่ทำผิด คนแพ้จึงต้องยอมเงียบฟังคนชนะพูด
“ท่านจะเสด็จไปไหนขอรับ แล้วทำไมถึงไม่ทรงแจ้งไว้ก่อนล่วงหน้า หม่อมชั้นจะได้ให้พวกทหารองครักษ์เตรียมตัว แล้วทำไมท่านถึงทรงชุดแบบนี้ล่ะขอรับ” คำถามเป็นชุดถูกถามออกมาทันทีเมื่อคนพูดรู้ว่าผู้สูงศักดิ์ตรงหน้ายอมฟังดีๆแล้ว
เจ้าชายเจ้าของเรือนผมสีทองถอนหายใจยาวก่อนที่จะค่อยๆตอบทีละคำถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ข้าจะออกไปดูประชาชนแถวนี้ ไม่ต้องนำขบวนเสด็จหรอกมันยุ่งยาก แล้วทำให้ชาวบ้านแตกตื่นเปล่าๆ แล้วที่ข้าแต่งตัวแบบนี้ก็เพราะ...” เจ้าชายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบอย่างเสียไม่ได้ “ถ้าข้าแต่งเต็มยศไปชาวบ้านก็รู้หมดสิว่าข้าเป็นใคร อุตส่าห์หลบไม่ให้ใครรู้ว่าข้าเป็นใครตั้งนาน”
“แล้วทำไมท่านต้องปิดบังฐานะด้วยล่ะขอรับ” นายทหารถามอย่างติดจะสงสัยเพราะเขาไม่คิดว่าเจ้านายคนตรงหน้านี้จะปิดบังฐานะของตนเพื่อไปดูแลทุกข์สุขของประชาชนอย่างเดียวแน่
“ไม่น่าถาม ก็เพราะว่าถ้าคนเค้ารู้ก็หมดสนุกน่ะสิ” เจ้าชายเจ้าของเรือนผมสีทองยิ้มอย่างกวนประสาท “เอางี้ ไม่ต้องเรื่องมาก ถ้าแกอยากให้มีทหารตามไปด้วยล่ะก็ แกจะตามไปก็ได้ ว่าไง”
“ไม่ได้นะขอรับ เจ้าชายจะเสด็จจะให้ทหารคนเดียวติดตามได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้อง...” แต่ยังไม่ทันพูดจบเจ้าชายตรงหน้าก็ยกมือขึ้นห้าม ด้วยสีหน้าเซ็งสุดชีวิต
“ถ้าจะเรื่องมากล่ะก็ข้าจะจัดการเจ้าแล้วออกไปว่าไง แล้วไอ้เรื่องไม่พอนี่ ข้าว่า แค่หัวหน้าองครักษ์อย่างเจ้าคนเดียวก็พอแล้ว” เจ้าชายยื่นคำขาดให้หัวหน้าองครักษ์ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ต้องยอมจำนน “แล้วแกก็ไปจัดการเปลี่ยนไอ้ชุดลิเกนี่ออกด้วย”
“ชุดลิเก ท่านหมายความว่าอย่างไรนะขอรับ ชุดของข้าไม่ลิเกเสียหน่อย ชุดนี้เป็นชุดที่ท่าน” แต่ยังไม่ทันพูดจบคนฟังก็เดินไปเสียแล้วและหันหลังกลับมาตะโกนให้ได้ยินว่า “ถ้าแกไม่รีบชั้นจะไปก่อน ให้เวลาไม่เกินห้านาทีนะเว้ย” ทำให้คนที่ไม่มีทางเลือกได้แต่ทำตามบัญชาเท่านั้นโดยหวังว่าเจ้าชายของเขาจะไม่ทำอย่างที่ตรัสจริงๆ
......................................................................................
หลังจากที่ทหารองครักษ์ผู้โชคร้ายที่ต้องคอยตามดูแลเจ้าชายที่แสนจะเอาแต่พระทัยพระองค์นั้นเปลี่ยนเสื้อเสร็จตามคำบัญชาก็วิ่งออกไปนอกปราสาทอย่างรวดเร็วเพราะไม่เห็นเจ้าชายประทับอยู่ในปราสาท “พระเจ้า หวังว่าพระองค์คงไม่ได้ไปก่อนจริงๆหรอกนะ”
แต่หลังจากที่ก้าวออกมาพ้นตัวปราสาทเขาก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นคนที่กำลังตามหายืนคุยอยู่กับทหารที่เฝ้าประตูปราสาท
“หือ คนที่ผมรอมาแล้วแฮะ ไปก่อนนะฮะ” คำพูดสุภาพที่ไม่น่าจะเป็นคำพูดของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้าไปได้ ทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้วพลางหยิกตัวเองเผื่อว่าจะฝันไป
“เออ แล้วมาคุยกันใหม่นะ” ทหารเฝ้าประตูปราสาทตอบราวกับคู่สนทนาของเขาเป็นเพียงแต่เด็กที่เข้ามายืนคุยด้วย ‘ชั้นคงตกบันไดแล้วสลบไปมั้ง แต่อย่างนั้นก็แย่สิเดี๋ยวเจ้าชายทรงออกไปก่อน’ นายทหารคิดพลางลงมือหยิกตัวเองแรงๆอีกครั้ง ทำให้เจ้าของผมสีทองที่บัดนี้ถูกย้อมเป็นสีดำด้วยเวลาไม่นานนักขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ทำอะไรครับ” คำพูดที่ทำให้คนที่กำลังพยายามปลุกตัวเองโดยการหยิกสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองหน้าคนพูดอีกครั้ง “เอ่อ ผมกำลังจะตื่นรออีกสักหน่อยนะครับอย่าเพิ่งเสด็จไปไหน พอตื่นแล้วผมสัญญาว่าจะรีบมาทันที”
เจ้าชายหัวเราะก๊ากอย่างไม่เกรงใจใครพร้อมกับนายทหารรักษาประตูขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย สงสัยว่าคนตรงหน้าที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือเก่งกาจที่สุดใจปราสาทเสียสติไปแล้วหรือเปล่า “ท่านเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ หรือว่าไม่สบายให้ผมช่วยตามหมอให้ดีหรือไม่ครับ” นายทหารถามอย่างสุภาพ
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก เค้าคงแค่กำลังเบลอนิดหน่อยน่ะครับ” แต่คนตอบกลับเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องแทน “ท่านจะไปหาเจ้าชายใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมจะพาไปพบท่านเองครับ” เด็กหนุ่มที่พยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่รีบพูดเปลี่ยนเรื่องแล้วลากคนที่กำลังคิดว่าตัวเองฝันอยู่ไปทันที “แล้วพบกันใหม่นะครับ” เขาพูดกับนายทหารอีกคนที่ยืนงงอย่างไม่รู้เรื่อง
หลังจากที่เดินไปได้สักพักหนึ่งเจ้าชายก็พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “เฮ้ย ฟังนะแกไม่ได้ฝันอยู่หรอก ไม่ต้องพยายามตื่นขนาดนั้น” เจ้าชายบอกหลังจากที่ตรวจดูรอบๆแล้วว่าไม่มีใครอยู่
หัวหน้าองครักษ์สะดุ้งเฮือก เจ้าชายพระองค์เดิมของเขากลับมาแล้ว เขามองหน้ากวนประสาทนั้นตรงๆ พลางขมวดคิ้วแสดงความไม่เข้าใจอย่างโจ่งแจ้ง
“ชั้นบอกแล้วไงว่าจะปลอมตัว ชั้นปิดบังคนทั้งหมดแหละ เอ่อ ที่ไม่ได้อยู่ในปราสาทนะ แล้วใช้ชื่อคานิน ลูกชายคนเดียวของอดีตแม่ทัพ ดังนั้นแกต้องเรียกชั้นว่า คานิน ห้ามหลุดพระนามเจ้าชายออกมาเด็ดขาดเข้าใจมั๊ย” คานิน พูดพร้อมกับส่งสายตาข่มขู่ของเจ้านายที่ลูกน้องไม่สามารถขัดขืนได้ ทำให้ลูกน้องผู้โชคร้ายจำเป็นต้องพยักหน้ารับอย่างจำใจ
“ดี ถ้างั้นก็ตามมาเงียบๆนะ ท่าน เรรวิก” น้ำเสียงหนักแกมบังคับทำให้คนที่ถูกเอ่ยชื่อไม่สามารถปฏิเสธได้จึงได้แต่ยอมเดินตามไปเงียบๆ
ทั้งสองเดินออกจากบริเวณปราสาทไปได้โดยง่ายดายเพราะดูเหมือน เจ้าชายตัวแสบของเขาจะไปหว่านสัมพันธไมตรีไว้ทั่วแล้ว ทำให้ไม่มีใครไม่รู้จัก คานิน บุตรชายคนเดียวของอดีตแม่ทัพของอาณาจักร เมื่อทังสองเดินออกมาจากเขตพระราชวัง คานิน หรือเจ้าชาย ฮานีน ก็พาผู้ติดตาม(?) ไปขึ้นรถไฟฟ้า สายที่ออกสู่ต่างจังหวัด แต่โชคร้ายที่ ผู้ติดตามผู้อ่อนต่อโลกไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้ามาก่อนจึงไม่รู้ว่ารถไฟสายที่คนกำลังขึ้นนั้นจะพาไปไหน ทำให้เขายอมตามไปแต่โดยดี
รถไฟฟ้าออกตัวช้าๆ แล้วค่อยๆเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วระดับที่สามารถวิ่งได้หลายร้อยกิโลเมตรในเวลาไม่กี่นาที
ทั้งสองขึ้นมาบนรถไฟแล้วคนที่ชำนาญกว่าก็มองไปรอบๆเพื่อหาที่นั่ง แล้วเจ้าชายก็เห็นที่นั่งที่ว่างอยู่สองที่สุดท้ายจึงเดินนำคนไม่เคยขึ้นรถไฟไปนั่งก่อน ให้คนตามเดินตามอย่างงงๆ หลังจากที่นั่งรถไปได้ประมาณห้านาที ซึ่งระยะทางนั้นได้ไกลกว่า 200 กิโลเมตร แต่องครักษ์ผู้ติดตามไม่รู้เพราะรถไฟฟ้าปิดและไม่มีหน้าต่างที่จะมองออกไปข้างนอกได้จึงไม่รู้สึกถึงความเร็วของรถ
รถไฟฟ้าหยุดที่ป้ายหยุดรถ ขณะที่เจ้าชายตัวดีก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกแล้วลงจากรถ ผู้โดยสารคนอื่นๆก็เริ่มขึ้นรถมากขึ้นเรื่อยๆจนไม่มีที่นั่งพอสำหรับผู้โดยสารทั้งหมด ‘คานิน’ ถอนหายใจก่อนที่จะมองไปรอบๆ แล้วสายตาของเขาก็สะดุดที่ผู้โดยสารคนที่กำลังขึ้นมาบนรถ หญิงชราที่หิ้วของพะรุงพะรังกำลังเดินขึ้นมาบนรถและหาที่นั่ง เจ้าชายที่เห็นดังนั้นจึงแสดงตนเป็นสุภาพบุรุษโดยลุกให้นั่ง ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับการกระทำนั้น
“คุณยายเชิญทางนี้ก่อนสิฮะ” แล้วสุภาพบุรุษก็เดินไปช่วยคุณยายคนที่ว่ายกของขึ้นรถพร้อมกับช่วยพยุงให้นั่ง “ขอบคุณมากพ่อหนุ่ม” คุณยายกล่าวขอบคุณเมื่อได้ที่นั่งแล้ว และพ่อหนุ่มตัวดีของคุณยายก็ยืนพิงเสาที่อยู่ใกล้ๆพลางทำหน้าระรื่น อย่างไม่สนใจสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆหญิงชรา
“คุณยายจะไปไหนฮะ” คนที่ยืนพิงเสาอย่างสบายอารมณ์ถามพลางมองของที่หญิงชราหอบขึ้นมาด้วยอย่างสงสัย
“กลับบ้านน่ะ ยายเข้ามาซื้อกับข้าวไปกินที่บ้าน” หญิงชราตอบด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย
“หือ คุณยายต้องมาซื้อของไกลขนาดนี้เชียวหรือฮะ แล้วทำไมไม่มีลูกมือมาช่วยถือของบ้างล่ะ” คานินขมวดคิ้วสงสัย
“อ้อ พวกเด็กๆก็ไปทำงานอย่างอื่น พอดียายอยู่บ้านว่างๆก็เลยมาช่วยซื้อกับข้าว” คุณยายตอบด้วยน้ำเสียงเอ็นดู และยิ้มให้กับคนถามอย่างเป็นมิตร
“งั้นก็ลำบากแย่สิฮะ เอางี้ดีมั๊ยฮะ พอดีผมว่างช่วงนี้ ผมจะช่วยคุณยายเอง” คนที่ยืนอยู่อาสาหน้าระรื่นแต่คนที่นั่งอยู่มีสีหน้าตกใจสุดขีด
“ไม่ดีหรอก ยายเกรงใจแย่” คุณยายปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่คนถูกปฏิเสธยังคงไม่ยอมแพ้ “ไม่ได้ฮะ ให้ผมช่วยเหอะ แล้วถ้าคุณยายเกรงใจจะเลี้ยงข้าวผมตอบแทนก็ได้ นะฮะ”
“ถ้างั้นยายคงปฏิเสธไม่ได้แล้วสิ” คุณยายยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเด็กรุ่นหลานตรงหน้า ที่ยิ้มกวนๆกลับมาให้ เมื่อถึงสถานีที่คุณยายจะลง คานินก็จัดการหยิบข้าวของของคุณยายมาถืออย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่สบายๆ แล้วเดินตามคุณยายลงจากรถไฟไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้องครักษ์ของตนตามไปอย่างไม่รู้เรื่อง
“ท่านยายอยู่แถวนี้เหรอครับ” คานินมองไปรอบๆแล้วถามขึ้น
“ใช่จ๊ะ” หญิงชราตอบ
“หูว งั้นท่านยายก็รวยน่าดูเลยสิ” คานินมองไปรอบๆอีกครั้ง บริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านที่สร้างจากไม้ซึ่งหาได้ยากในขณะนี้ “บ้านไม้ทั้งนั้นเลย ราคาหลังนึงหลายสิบล้าน” เขาจ้องหญิงชราอย่างทึ่งๆ แต่คนที่เดินตามไม่เห็นทึ่งด้วย เพราะ คนตรงหน้านี้เป็นถึงเจ้าชายคนสำคัญของอาณาจักร ต้องการอะไรก็ได้อยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับ... แล้วองครักษ์ผู้โชคร้ายก็ถอนหายใจยาวก่อนที่จะมองไปที่เจ้าชายอย่างปลงๆ
“ยายอยู่ที่นี่แต่ที่นี่ไม่ใช่ของพวกเราหรอก” หญิงชราตอบยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้า “ที่นี่มีเศรษฐีคนหนึ่งย้ายมาอยู่ แล้วท่านก็เห็นถึงความลำบากของชาวบ้านอย่างพวกเราท่านจึงได้ปลูกที่อยู่ให้อยู่ฟรีๆ”
“โห สมัยนี้ก็ยังมีคนดีๆหลงเหลืออยู่เหมือนกันนะฮะ” คานินพูดยิ้มๆ “ชักอยากรู้จักบ้างแล้วสิ คุณยายแนะนำให้ผมรู้จักได้ป่าว” คานินถามขณะที่ทั้งสามกำลังเลี้ยวเข้าไปในบ้านไม้หลังหนึ่ง
“ก็ได้อยู่หรอก แต่ท่านไม่ชอบคนต่างถิ่นน่ะ ท่านคงเคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับคนอื่นมาก่อน” คุณยายตอบพลางหากุญแจบ้านในกระเป๋าแล้วนำมาไขเปิดประตู “ดังนั้นถ้าจะพบท่านคงต้องลำบากหน่อย”
ทั้งสามเดินเข้าไปในบ้านไม้ที่ตกแต่งอย่างง่ายๆ แต่ดูสวยงามไปอีกแบบ บ้านที่ทำจากไม้ ไม้ซึ่งแทบจะไม่เหลือแล้วในสมัยนี้ เพราะมนุษย์ใช้อย่างไม่เคยรู้จักพอ ป่าไม้ที่เหลือน้อยนิดจึงต้องทำการสงวนไว้อย่างดีที่สุด
“นั่งลงก่อนสิ เดี๋ยวยายไปหาน้ำมาให้นะ” คุณยายชี้ไปที่ชุดรับแขกซึ่งทำจากไม้ชุดหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำท่ามารับแขก
“ท่านมาที่นี่ทำไมครับ แล้วท่านจะเล่นอะไรของท่าน” เมื่อเจ้าของบ้านหายเข้าไปในครัวองครักษ์ผู้โชคร้ายที่ต้องตามเจ้าชายตัวแสบมาอย่างช่วยไม่ได้ก็เริ่มบ่น
“ก็ไม่ได้ทำอะไร อย่างที่บอกไง ข้าก็มาหาอะไรทำแก้เซ็งนอกวัง” เจ้าชายตอบสบายๆ พร้อมกับเดินไปนั่งที่ชุดรับแขกด้วยท่าทีที่ไม่สนใจ ทำให้เจ้าของคำพูดที่ถูกไม่สนใจเริ่มโมโห
“แก้เซ็ง ท่าน...” แต่คำพูดยังไม่ทันหลุดออกมาจากปากของคนที่กำลังโมโห เจ้าของบ้านที่เข้าไปเตรียมน้ำในห้องครัวก็กลับเข้ามาช่วยชีวิตเจ้าชายไว้ได้ทันพอดี
คนรอดตัวยิ้มกวนประสาทคนที่ไม่ได้อย่างใจ แล้วรับแก้วน้ำด้วยท่าทางสุภาพ เมื่อเจ้าของบ้านนั่งลงบ้าง คานินก็เริ่มเอ่ยปากถาม “เจ้าของที่นี่คงรวยน่าดูสิฮะ นอกจากตัวบ้านจะเป็นไม้แล้วเครื่องเรือนก็เป็นไม้อีกต่างหาก สมัยนี้ไม้แพงน่าดูเลยนี่ฮะ ได้ข่าวมาว่าต้นไม้ต้นนึงหลายหมื่น ยิ่งไม้สักทองแบบที่ทำเครื่องเรื่อนพวกนี้ขึ้นหลักแสน”
คุณยายเจ้าของบ้านยิ้มเศร้าๆก่อนที่จะตอบคำ “ไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะ เจ้าของที่นี่เค้าเป็นเศรษฐีที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับไม้อยู่แล้ว” คานินมองสีหน้าคนตอบอย่างพิจารณาแล้วเขาก็เอ่ยถามอีกคำถามหนึ่งซึ่งถามได้ตรงเป้าพอดี
“ทำไมคุณยายต้องทำสีหน้าเศร้าด้วยล่ะเวลาพูดถึงเศรษฐีใจดีของคุณยาย” คนที่ต้องตอบคำถามอึ้งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มให้คนถามอย่างเอ็นดู
“หนูเป็นคนดีนะ ช่างสังเกตคนรอบข้าง” คุณยายตอบ “เรื่องนั้นไม่มีอะไรมากหรอกจ๊ะ พอดีช่วงนี้เริ่มมีอันธพาลมาก่อกวนทำให้ท่านเศรษฐีต้องลำบากใจ” พูดจบคนพูดก็เหลือบไปมองนาฬิกา “ได้เวลาแล้วแหละเดี๋ยวพวกมันก็มา”
สิ้นเสียงพูดก็มีเสียงระเบิดดังสนั่น คานินรีบมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหาต้นตอของเสียงระเบิดนั้น แล้วเขาก็พบกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงมายังเรือนไม้ที่เขาอยู่
“เฮ้ย ไอ้แก่ ออกมาซิวะ พาพวกข้าไปหาไอ้เจ้าของไม้นี่ได้แล้ว” คานินหันกลับไปมองคุณยายเจ้าของบ้าน ที่กำลังอ้าปากโต้อย่างไม่ยอมแพ้ “ไม่มีทาง ท่านเป็นผู้มีพระคุณกับพวกเรา ฆ่าชั้นก็ไม่บอก”
คำพูดที่สร้างความโกรธให้กับกลุ่มเด็กหนุ่มอย่างมาก “เออดียายแก่ ชั้นมาถามกี่ทีก็ตอบอย่างนี้ งั้นวันนี้แหละเดี๋ยวแกได้ตายจริงๆแน่ คอยก่อนเหอะ” แล้วกลุ่มเด็กหนุ่มก็วิ่งหายไปทิ้งไว้แต่เพียงความตระหนกในใจของผู้ฟังเท่านั้น
“นี่เหรอฮะ เรื่องที่กำลังกังวลอยู่” คานินมองหน้าซีดของหญิงสูงอายุอย่างเศร้าๆ “เป็นอะไรหรือเปล่าฮะ”เขาเข้าไปพยุงหญิงชราให้นั่งลงที่ที่นั่งใกล้ๆนั้น
“ใช่ ไอ้พวกนั้น ไอ้พวกนั้น” หญิงชราพูดอย่างหอบๆ ด้วยความโมโหระความกังวล “มันต้องการเงินของท่านเศรษฐีที่ช่วยพวกเรา แต่ไม่มีทาง ไม่มีทางหรอกที่ชั้นจะให้พวกมันได้พบท่าน”
“งั้นหรือฮะ แล้วนี่พวกเค้าไปไหนกันล่ะ” คานินหันไปมองข้างนอกแล้วถาม “หรือว่าไปหาพวกมาเพิ่ม”
“คงอย่างนั้นแหละ” หญิงชราพูดพลางนึกขึ้นได้ “ใช่ เธอรีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวต้องพลอยรับลูกหลงไปด้วย” คุณยายหันไปทางคานินและพวกพลางพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“ไม่เป็นไรฮะ ยังไงพวกครอบครัวของคุณยายก็ยังไม่มีใครกลับมานี่ฮะ ให้พวกผมอยู่เป็นเพื่อนแล้วกัน” คานินเสนอตัวทำให้พวกของเขาอีกคนต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ ‘ให้ตายเหอะ เจ้าชาย แค่ข้าคนเดียวยังพอว่า แต่ถ้าท่านต้องมายุ่งเรื่องพวกนี้ด้วยมีหวัง...’ องครักษ์คนเก่งกุมขมับ
“อย่าเลย พวกเธอไม่เกี่ยว เดี๋ยวจะเดือดร้อนไปด้วยเปล่าๆ” คุณยายปฏิเสธความหวังดี เธอส่ายหน้าช้าๆพลางยิ้มน้อยๆด้วยความเอ็นดู
“ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ เห็นอย่างนี้พวกผมก็ใช่ย่อยนะ” คานินยิ้มอย่างจริงใจ แต่คนที่อยู่ข้างๆเขารู้ ว่ามันไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่ดีนักสำหรับผู้ที่มีหน้าที่องครักษ์ สำหรับคนที่มีหน้าที่ต้องปกป้องเจ้าชายด้วยชีวิตจะทำให้เจ้าชายเข้าสู่การต่อสู้ได้อย่างไร แต่ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าไม่ควรห้ามอะไรตอนนี้
ตอนที่ผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าไฟติด ไฟที่ไม่มีทางดับได้เด็ดขาด ‘คงต้องปล่อยตามเลย’ องครักษ์หนุ่มคิดอย่างปลงๆแล้วถอนหายใจ
“แล้วมันจะมาอีกเมื่อไหร่ฮะ” คานินถามต่อเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ “หรือว่าเป็นพรุ่งนี้”
“ไม่หรอก คงจะอีกไม่นานนี้แหละ อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่านะ” คุณยายยังคงพยายามห้ามแต่คนแก่อย่างเธอที่ผ่านโลกมามากไม่ได้โง่ขนาดที่จะดูคนไม่เป็น คนๆนี้ คนตรงหน้าเธอคนนี้ ลองถ้าได้ตัดสินใจอะไรลงไปคงจะห้ามยาก แววตาที่เอาจริง แววตาของคนที่ติดไฟแล้ว
“ไม่ล่ะฮะ ผมบอกจะช่วยก็ช่วยซี่ ไว้ให้คุณยายลองชมฝีมือพวกผมแล้วกัน” ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเสียงคนจำนวนมากเดินเข้ามาใกล้เรือนที่พวกเขาอยู่ คานินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ชายทั้งสองลุกขึ้นยืน พร้อมๆกันโดยไม่ได้นัดหมายทำให้ทั้งสองหันมามองหน้ากัน องครักษ์ส่งสายตาที่หมายความว่า ‘เจ้าชายนั่งลงข้าจัดการเอง’ ส่วนเจ้าชายตัวแสบก็ส่งสายตาขุ่นๆที่แปลความหมายได้ว่า ‘ให้ชั้นแสดงฝีมือบ้างสิวะ ไม่ต้องมายุ่ง’
แต่ไม่ทันได้ตกลงกันให้แน่นอนกลุ่มผู้บุกรุกก็เข้ามาใกล้เสียก่อนทั้งสองจึงวิ่งออกจากเรือนพร้อมกัน เมื่อเปิดประตูภาพของกลุ่มคนจำนวนมากก็ปรากฏให้เห็น กลุ่มวัยรุ่นที่ถืออาวุธครบมือพร้อมลุยทำให้คานินต้องยิ้มอย่างยินดี ‘สนามรบที่คุ้นเคย รังสีอาฆาต สิ่งที่ทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน’ เขาหัวเราะเบาๆ ทำให้คนที่อยู่ข้างๆหันไปมองอย่างพิศวง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ส่งตัวยายแก่ออกมา” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มตะโกนลั่นด้วยความโมโหเมื่อคนที่เดินออกจากบ้านไม่ใช่คนที่เขาต้องการพบ “เร็วๆด้วยถ้าช้าพวกแกจะได้เป็นศพไปลอยอยู่ในแม่น้ำแน่” กลุ่มวัยรุ่นที่สวมเสื้อเชิ้ตธรรมดาแต่ปักสัญลักษณ์อะไรบางอย่างของกลุ่มไว้เหมือนๆกัน
“หือ บังเอิญผมไม่รู้จักยายแก่ที่พวกคุณพูดนะฮะ ในบ้านก็มีแต่คุณยายใจดีที่อุตส่าห์เลี้ยงน้ำ จะให้ไปเชิญท่านออกมาให้ลำบากก็ใช่ที่” คานินตอบยั่วโมโหด้วยท่าทีสบายๆผิดกับคนที่อยู่ข้างๆที่กำลังประเมินศัตรูตรงหน้า
“ว่าไงนะ ดี ถ้าพวกแกไม่ให้ผ่านดีๆก็ต้องขอผ่านด้วยกำลังล่ะ” แล้วคนจำนวนมากก็กรูเข้าโจมตีเป้าหมายตามคำสั่งของหัวหน้า แต่เป้าหมายที่โดนหมายหัวอยู่กลับยิ้มอย่างยินดี พร้อมกับอีกคนที่เตรียมพร้อมเต็มที่
เมื่อคนแรกวิ่งเข้ามาถึงตัวคานิน ก็ล้มลงทันที ทุกคนมองภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจเพราะ คนที่ล้มลงเมื่อครู่ไม่ได้โดนทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่อยู่ๆก็ล้มลงไปกับพื้นเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน ปริศนาก็ถูกเฉลยเมื่อรอยแดงๆ ค่อยๆปรากฏขึ้นที่ต้นคอของคนที่ล้มลงไปนอนกับพื้น ทุกสายตาในที่นั้นไม่เว้นแม้แต่องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้องมองเจ้าของผลงานอย่างอึ้งๆ
“กะ แก” คราวนี้หัวหน้าของกลุ่มวัยรุ่นที่จ้องจะจัดการคานินเริ่มวิตก เพราะเขารู้ว่าถึงจะมีจำนวนคนเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีทางชนะคนตรงหน้านี้ได้แน่ แต่เหล่าลูกน้องผู้ด้อยฝีมือกลับไม่รู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้า พวกเขาคิดว่าถึงจะเก่งอย่างไรก็ตาม แต่คนแค่สองคนก็ไม่สามารถนะคนเป็นร้อยได้แน่ พวกเขาจึงเข้าไปหมายจะจัดการเป้าหมายอีกครั้ง
“นั่นแหละ นึกว่าจะหัวหดกันไปหมดแล้ว อย่างงี้ค่อยสนุกกันหน่อย” คานินพูดกลั้วหัวเราะ เขากำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน ซึ่งตรงข้ามกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆโดยสิ้นเชิง หัวหน้าองครักษ์ฝีมือดีกำลังกลัว กลัวคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กลัวคนที่เขาต้องปกป้องเสียเอง แต่หน้าที่ก็ยังคงเป็นหน้าที่เมื่อศัตรูเข้ามาโจมตีเขาก็ต้องปกป้องอยู่ดีแม้ว่าใจนั้นจะกลัวมากเท่าไหร่ก็ตาม
ร่างแรกถูกเตะกระเด็นไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือขององครักษ์ผู้เก่งกาจ แต่เจ้าชายกลับทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อศัตรูนั้นถูกจัดการไปตรงหน้าของตน เขาส่งสายตาที่แปลความได้ว่า ‘อย่ามาแย่งเหยื่อชั้นสิวะ’ แต่สายตานั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อศัตรูคนต่อๆไปบุกเข้าโจมตีชุดใหญ่ สายตาที่โกรธเคืองจึงกลับกลายเป็นสายตาที่บ่งถึงความยินดีแทน คราวนี้แม้องครักษ์จะฝีมือดีซักเท่าไหร่ ก็จัดการศัตรูไม่ทันเจ้าชายของเขาแน่ เพราะคราวนี้เจ้าชายไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆรอให้ศัตรูวิ่งเข้ามาหาแล้ว เขากลายเป็นฝ่ายที่วิ่งเข้าหาศัตรูซะเอง
ด้วยฝีมือ และการเคลื่อนไหวที่เร็วราวกับปีศาจ ความว่องไวที่ไม่สามารถมองทัน ทำให้ศัตรูล้มลงราวใบไม้ร่วง ทั้งๆที่ยังไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย
พระเจ้า นี่มันอะไรกันแน่ ฝีมือระดับนี้ ความคิดเช่นเดียวกันนี้ผุดขึ้นในสมองของคนสามคน คือ องครักษ์ประจำตัวของเจ้าชาย คุณยายที่อยู่ในบ้าน และอีกคนหนึ่งคือบุรุษลึกลับที่คอยจับตามองทั้งสองตั้งแต่ก้าวเข้ามาในละแวกนี้ แต่คนที่ถูกตามทั้งสองเห็นว่าไม่ได้มีประสงค์ร้ายจึงปล่อยไว้
ในเวลาไม่นานนักคนทั้งหมดที่เคยยืนอยู่ต่อหน้ากลับไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เหล่าศัตรูที่ล้มระเนระนาดถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างไม่สนใจเมื่อคนที่ทำให้เป็นแบบนี้เดินกลับเข้าบ้านด้วยท่าทีสบายๆ “เฮ้ย ไม่ได้อาละวาดซะนานค่อยรู้สึกดีหน่อย”
เมื่อเข้ามาในบ้านเขาก็พบว่าคุณยายได้ยืนมองวีรกรรมทั้งหมดของเขาผ่านหน้าต่างบานน้อยที่อยู่ข้างๆชุดรับแขกเสียแล้ว ทำให้คานินต้องยิ้มแห้งๆก่อนที่จะรีบคิดหาทางแก้ตัว
“เอ่อ คุณยายเป็นไงมั่งฮะ ผมจัดการศัตรูให้แล้วนะฮะ” คานินพูดด้วยท่าทีระมัดระวัง คนถูกพูดด้วยสะดุ้งสุดตัวก่อนที่จะหันมาจ้องชายตรงหน้าอย่างหวาดกลัว “มะ ไม่เป็นไรจ๊ะ” น้ำเสียงและท่าทีที่สั่นเครือ แสดงถึงความหวาดกลัวของเจ้าของบ้านทำให้คานินต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แล้วถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะนั่งลงตรงข้ามคนที่กำลังกลัวเขาอยู่แล้วเริ่มอธิบายเงียบๆ
“ผมเป็นนักฆ่า ไม่สิเป็นลูกชายของอดีตแม่ทัพ แล้วมันเกิดเรื่องนิดหน่อยกับผมทำให้ผมตัดสินใจออกจากบ้านแล้วไปเข้าองค์กรแห่งหนึ่งซึ่งฝึกให้ผมเป็นนักฆ่า” คานินสรุปเรื่องของตนเองสั้นๆ แต่คนข้างๆกลับต้องกุมขมับกับคำพูดของนายเหนือหัว
‘ให้ตายสิลูกของอดีตแม่ทัพเหรอ นักฆ่างั้นหรือ...แต่ก็ไม่ได้โกหกหรอก ใช่สิ คนๆนี้เป็นนักฆ่าจริง แล้วก็เป็นลูกชายของท่านอดีตแม่ทัพอย่างที่ว่า แต่นี่มันเป็นเพียงเรื่องราวส่วนหนึ่งเท่านั้น’ เขาคิดพลางถอนหายใจและเริ่มนึกถึงประวัติที่น่าพิศวงของคนข้างๆตัว เจ้าชายฮานีน เจ้าชายที่มีพระสหายสนิทเป็นลูกชายของอดีตแม่ทัพ ชื่อคานิน เมื่อหลายปีที่แล้ว เด็กทั้งสองได้เล่นสนุกจนทำให้เกิดเรื่อง พระสหายของเจ้าชายต้องเสียชีวิตไปกับเรื่องนั้นเลยทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องแบกรับความผิด คนที่ต้องแบกรับความผิดจึงทนไม่ไหวที่ต้องลอยหน้าอยู่ในพระราชวังและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงได้หนีออกจากวังไปและทำตัวเป็นคนที่ชื่อคานินเสียเองเพื่อเป็นการทดแทนที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องเสียลูกชายไป แต่ไม่กี่ปีผ่านไป คานิน ลูกชายสมมติของท่านแม่ทัพก็หายตัวไปอีก เขาได้ออกจากเมืองไป ออกจากประเทศไป และ ใช่เขาไปเป็นนักฆ่า จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นสิบปีได้กลับมายังประเทศตัวเองอีกครั้ง และยัดเยียดตำแหน่งรัชทายาทให้กับผู้ที่ท่านนับถืออย่างพระเชษฐา
เจ้าชายฮานีนเป็นพระโอรสในกษัตริย์พระองค์ก่อน แต่ผู้ที่ท่านต้องการให้เข้ารับตำแหน่งแทนเป็นพระโอรสในกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอนุชาของกษัตริย์พระองค์ก่อน แล้วท่านก็ไม่ต้องการบัลลังก์เช่นเดียวกัน ‘มันจะน่าดีใจหรือเสียใจดีนะ ในเมื่อมีกษัตริย์ที่มีความสามารถมีเจ้าชายที่มีความสามารถสามารถเข้ารับตำแหน่งแทนได้ถึงสองพระองค์ แต่เจ้าชายทั้งสองพระองค์กลับไม่มีความทะเยอทะยานหรือความต้องการที่จะเข้ารับตำแหน่งกษัตริย์เลยนี่สิ มันน่ายินดีตรงที่จะไม่มีทางเกิดสงครามแย่งชิงบัลลังก์กันแน่ แต่มันน่าเสียใจที่ บัลลังก์นี้ไม่มีเจ้าชายพระองค์ใดต้องการ’
“งั้นหรือ พ่อหนุ่มคงลำบากสินะ” คุณยายที่ฟังเรื่องย่อๆจากคานินเอ่ยขึ้นอย่างเห็นใจ “แล้วทำไมถึงมาขึ้นรถไฟเล่นล่ะ”
“ไม่หรอกฮะลำบากอะไรกัน” คานินตอบเลี่ยงไปอีกอย่าง พลางยิ้มแห้งๆ เพราะไม่ชินกับการได้รับความเห็นใจ “เอ่อ งั้นผมไปดีกว่าฮะ อยู่นานคงไม่ดี”
“ไหนว่าจะมากินข้าวไงอยู่ก่อนสิ” เจ้าของบ้านรั้งไว้เมื่อเห็นแขกกำลังจะกลับ
“ไว้วันหลังดีกว่า วันนี้ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวคนที่บ้านจะเป็นห่วง แล้ววันหลังผมจะมาใหม่แน่นอนฮะ ไว้คอยผมด้วยนะ" คานินตอบยิ้มๆแล้วเขาก็ขอตัวกลับ แต่เมื่อพ้นเขตบ้านเจ้าชายตัวแสบดันไม่กลับอย่างที่บอกเอาไว้ แต่ดันวิ่งตรงไปอีกทาง
“จะ เจ้าชาย ท่านจะไปไหน” องครักษ์ที่ไม่ทันตั้งตัวเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางวิ่งตามเจ้าชายสุดชีวิต
“รออยู่ตรงนั้นน่า เดี๋ยวกลับมา” เจ้าชายตะโกนพลางเร่งสปีดขึ้นอีก “เฮ้ย ไอ้คนนั้นน่ะหยุดนะ ให้ตามมาทั้งวันแล้วถ้าไม่หยุดแกเจอดีแน่” เขาตะโกนพลางกระโดดขึ้นต้นไม้ที่อยู่แถวนั้น และเป็นที่กำบังกายของคนที่กำลังพยายามหลบหนีแต่หนีไม่พ้น
“ว่าไง แกเป็นใครวะ” เจ้าชายสอบสวนผู้ต้องหาที่จับได้ “มีอะไรต้องการอะไรจากบ้านนั้นหรือไง” เขาพูดพลางมองผู้ต้องหาชุดดำที่เพิ่งจับได้
“กะ แก” ผู้ต้องหาพูดอย่างตกใจ “มะไม่ใช่” และรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็วเพราะกลัวฝีมือของคนตรงหน้า เขาเป็นคนอีกคนหนึ่งที่แอบดูการต่อสู้ของคานินโดยไม่ได้รับเชิญ
“หือ” คานินจ้องอย่างเอาเรื่อง ความจริงเขารู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายแต่เขาต้องการรู้ว่าคนๆนี้เป็นใครทำงานให้ใครจึงแกล้งถามเท่านั้น
“คะ คือ ข้าเป็นคนที่คอยคุ้มครองแถบนี้ ได้รับการว่าจ้างมาจากท่านเศรษฐีเจ้าของแถวนี้” ชายชุดดำพูดอย่างหวาดๆ
“แล้วทำไมไม่ช่วยตั้งแต่ไอ้พวกนั้นมาครั้งแรกไม่เข้ามาช่วยวะ ครั้งที่สองด้วย” คราวนี้เสียงของคนถามเริ่มแข็ง เพราะฉุนที่ไอ้คนที่มันมีหน้าที่ต้องทำแล้วดันไม่ยอมทำ
“กะ ก็คิดว่า คนจำนวนมากแบบนั้นคงจะช่วยไม่ได้ เลยกะว่าจะไปขอกำลังเสริม แต่ท่านก็จัดการไปซะหมดก่อน โดยที่ข้ายังไม่ได้แม้จะขยับตัว” เขาตอบตามตรงด้วยน้ำเสียงสั่นๆทำให้คนถามต้องถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“เออ แล้วไอ้ท่านที่จ้างแกมาน่ะ เป็นใครวะ ให้ชั้นพบซักหน่อยได้มะ” คานินทำตาขวางๆอย่างหาเรื่อง
“มะ ไม่ได้หรอกฮะ ไม่งั้นท่านเอาผมตายแน่” เมื่อเห็นท่าทีที่ปฏิเสธอย่างแข็งขันแบบนี้แล้วคานินก็เลยไม่คิดจะซักต่อให้มากความ เขาเพียงแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้คนตรงหน้ากลัวเล่นแล้วกระโดดลงจากต้นไม้แล้วจากไปเท่านั้น
เมื่อเห็นเจ้านายของตนกลับมาแล้วคนที่ถูกทิ้งให้รอจึงวิ่งตรงเข้าไปหา “ท่าน เอ่อ ว่าไงหรือครับ”
“ไม่มีไร ก็แค่ไอ้คนที่มันดูแลแถวนี้” คนถูกถามตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แต่ชั้นอยากรู้จักเจ้านายมันเหมือนกันว่ะ”
“ท่านจะตามไปหรือครับ”
“ไม่ ไว้วันหลัง วันนี้ชั้นขี้เกียจแล้ว กลับดีกว่า” แล้วคนพูดก็เดินกลับทันทีอย่างไม่สนใจอะไรอีก
.....................................................................................................................
ความคิดเห็น