ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สายฟ้า 2
Fic ต่อ
ชื่อเรื่อง : สายฟ้า - สลับร่าง
ประเถท : อือไม่รู้อะ
ช่วงเวลา : เอาตอนเฟรินอยู่ปี 2 ละกัน
Note : เหวอ ปัดขี้เกลือออกด่วนเลย ดองมานานไปหน่อยอะ ^^ คราวนี้ทั่น Kark ก็ยังไม่ช่วยอีกอยู่ดี TT-TT( คราวนี้มีตอนที่ลูคัสซวยซะด้วยสิ)
   
..
เช้าวันรุ่งขึ้นในปราสาทขุนนาง เจ้าชายโรเวน ( ในร่างของเจ้าชายอาเธอร์  )  เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเพื่อนร่วมห้อง
“ท่านอาเธอร์ไม่ยิ้มอย่างนั้นนะ“ เสียงบ่นดังมาจากเพื่อนร่วมห้องจำเป็นของเจ้าชายผู้ซึ่งมีรอยยิ้มที่เป็นกันเอง  “แล้วท่านอาเธอร์ก็ไม่ . .........” คนขี้บ่นก็ยังบ่นต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่เจ้าชายผู้ที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟัง ทำให้คนขี้บ่นยิ่งฉุนขึ้นเรื่อยๆ 
ทางด้านป้อมอัศวิน ร่างของเจ้าชายผมสีน้ำเงินที่เคยมีแววตาและใบหน้าที่เป็นมิตรกำลังเดินมากับ 2 ใน 4 ผุ้มกฎ
“อาตี้ โรเวนเค้าไม่ทำหน้าอย่างนั้นหรอกน่า” เสียงดังอย่างร่าเริงเตือนขึ้น “อย่าเรียกชั้นอย่างนั้นนะ” เนื่องจากกำลังอารมณ์ไม่ดีคนที่ถูกเตือนจึงหันมาทำหน้าไม่พอใจพร้อมส่งสายตาขุ่นเขียวมาให้  “นายน่าจะไปตั้งชมรมอยู่กับลอรี่นะ” ซาตานผู้อารมณ์ดีอยู่เสมอหัวเราะพร้อมพูดด้วยเสียงร่าเริงที่กวนอารมณ์ของผู้ฟังได้อย่างมาก
เฟี้ยว ! ฉึก ! “ถ้านายยังไม่อยากตายก็เลิกเรียกชั้นอย่างนั้นซะ” เสียงตอบอย่างขุ่นเคืองของนักบวชหน้าหวานดังมาพร้อมกับมีดเล่มสวย แต่ผู้ที่เป็นเป้าหมายก็หลบได้อย่างสบายๆ
เมื่อเริ่มเรียนคาบแรก ( ซึ่งเป็นวิชาหน้ากากฟาโรห์ ) “วันนี้เราจะมาเรียนการแฝงตัวเพื่อไปดูแลทุกข์สุขของประชาชน” หลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้เจ้าชายโรเวนออกมาสาธิตเป็นตัวอย่าง ซึ่งเจ้าชายโรเวนจำเป็นก็ต้องเดินออกมาหน้าห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้โดยเดินมาพร้อมใบหน้าบูดสุดๆ และสายตาอันเป็นเอกลักษณ์  จนผู้สอนสงสัยจนออกปากถาม ทำให้ลูคัส กับ ลอเรนซ์ ต้องรีบหาทางแก้ตัวให้โดยด่วน “คือ เมื่อเช้าโรเวนเค้ากินอาหารผิดสำแดงครับ ก็เลยท้องเสีย”  ซาตานของป้อมอัศวินรีบแก้ตัวให้อย่างน่าถีบ (ที่สร้างความรู้สึกอยากจะอัดให้ผู้ฟังเป็นอย่างมาก) ผู้เป็นอาจารย์ทำสีหน้าไม่เชื่อจึงหันไปถามนักบวชหน้าบึ้งที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดและคิดในใจว่า ‘มันคิดได้แค่นี้หรือไงวะ’พร้อมกับตอบคำถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ “จริงครับ”
หลังจากคาบแรกที่ไม่น่าพิสมัยผ่านไป ทำให้ใบหน้าและแววตาที่บึ้งตึงอยู่แล้วของเจ้าของผมสีน้ำเงินจำเป็นผ่านไป ทำให้เจ้าของร่างนั้นเริ่มส่งรังสีอาฆาตใส่ทุกๆ คนที่เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเกี่ยวกับอาการท้องเสีย
เมื่อเสียงสัญญาณให้เข้าคาบเรียนที่ 2 ดังขึ้นทำให้ทั้งสามรีบวิ่งไปเข้าเรียนวิชาฟันดาบ
หลังจากที่อาจารย์พูดจบแล้วก็สั่งหนักเรียนเรียกดาบของตนขึ้นมา
“อัศวินดำ” เจ้าชายอาเธอร์เรียกดาบของตนเองขึ้นมา “เฮ้ย” เสียงอุทานเบาๆจากนักบวชผมทอง ทันใดนั้นทุกคนก็หันมามองคนที่เพิ่งเรียกดาบอัศวินดำ  อย่างงงๆ
“เอ่อ พอดีเมื่อเช้าเจ้าชายโรเวนเค้าตกบันไดมาครับก็คงยังเบลอๆอยู่” ลูคัสรีบแก้ตัวแทน
เมื่อหมดคาบ “เฮ้ยจริงเหรอ นายตกบันไดกับเค้าด้วยเหรอโรเวน” “เป็นไรมากมั๊ย ทั้งท้องเสียทั้งตกบันไดนายคงต้องไปสะเดาะเคราะห์หน่อยแล้วมั้ง ” “ไปห้องพยาบาลมั๊ยครับ” ทุกคนรีบเข้ามาถามสุขภาพของเจ้าชายคนสำคัญ
“นี่แค่ตกบันไดทุกคนยังเป็นห่วงขนาดนี้ ถ้ารู้ความจริงเข้า งานนี้เจ้าหนูเฟรี่มีหวังเหลือแต่ซากแน่เลย” เสียงพูดกลั้วหัวเราะดังมาจากคนที่เพิ่งแก้ตัวแทนคนที่ท้องเสียและตกบันได
ตกเย็น อารมณ์ของเจ้าชายคนสำคัญ (ของปราสาทขุนนาง) ก็ดูเหมือนจะบูดมากขึ้นเรื่อยๆ
“อารมณ์ดีหน่อยน่าอาตี้”คำพูดกวนประสาทที่ไม่มีใครกล้าพูดนอกจากซาตานอารมณ์ดีแห่งป้อมอัศวิน
ทันทีที่พูดจบคนพูดก็ได้รับสายตาอาฆาคกลับมา
“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากแกไม่ใช่หรือไง” คนที่กำลังอารมณ์บูดสุดๆคิด
.............................................................................................................................................................
“ผมทนไม่ไหวแล้วครับ” เจ้าของเสียงเปิดประตูแล้ววิ่งตรงเข้าไปร้องเรียนกับปราชญ์เลโมธี
“ดูแลเจ้าชายโรเวนมันยากขนาดนั้นเลยหรือ” คนที่ถูกร้องเรียนตอบกลับเสียงเรียบ
“ท่านรู้ไหมครับเจ้าชายโรเวนทำอะไรไว้บ้าง”
“เจ้าชายโรเวนเป็นผู้ที่รู้จักกาลเทศะ คงไม่ทำอะไร ให้ท่านเดือดร้อนมากมายนัก”
“ท่านไม่รู้อะไร เจ้าชายโรเวนทำตัวไม่เหมือนเจ้าชายอาเธอร์ .........(คนขี้บ่นก็ยังคงบ่นต่อไป).................
“กรุณาอย่าพูดให้ร้ายเจ้าชายโรเวนเช่นนั้น” เสียงอันเยียบเย็นดังมาจากข้างหลังของคนที่กำลังบ่นทำให้ต้องหยุดบ่นและหันกลับไปดูเจ้าของเสียง ลอเรนซ์กำลังยืนอยู่กับคู่หูและเจ้าชายอาเธอร์ในร่างโรเวน
“คนจากปราสาทขุนนางนี่ขี้บ่นจังนะเหมือนกันทั้งหัวหน้าและลูกน้องเลย” เสียงดังอย่างล้อเลียนดังมาจากซาตานที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าชายแห่งปราสาทขุนนาง เมื่อพูดจบก็ได้รับสายตาขุ่นเขียวจากคนข้างๆ...
.............................................................................................................................................................
เย็นวันนั้น
ในห้องประชุมที่ทุกคนมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
“ข้าอยากให้ท่านหาวิธีทำให้กลับเป็นอย่างเดิมโดยเร็วที่สุด” ผู้รับเคราะห์ในการดูแลเจ้าชายโรเวนเอ่ยขึ้น อย่างหมดความอดทน
“เป็นแบบนี้ก็สนุกดีออก จะรีบทำให้กลับเป็นแบบเดิมทำไม” ซาตานรักสนุกเอ่ยขึ้น (ท่าทางจะติดใจแกล้งเจ้าชายอาเธอร์)
สายตาขุ่นเขียวส่งออกมาจากพวกปราสาทขุนนางที่นั่งอยู่รอบๆ รวมถึงลอเรนซ์ที่ต้องปวดหัวกับคำแก้ตัวของลูคัสตลอดทั้งวัน
“วันนี้ผมไปห้องสมุด เจอสูตรยาที่เหมาะกับใช้ในกรณีนี้ครับ”เจ้าชายคาโลกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นหนังสือเล่มหนาฝุ่นเกาะเล่มหนึ่งให้ปราชญ์เลโมธี
ปราชญ์เลโมธีรับหนังสือและมองดูแล้วกล่าวว่า”สูตรยาในหนังสือนี่น่าจะใช้ได้ถ้าเราเปลี่ยนตัวยาบางตัวในนี้”
ลอเรนซ์รับหนังสือจากปราชญ์เลโมธีและมองดู
“นายนี่น้า มิน่าเดี๋ยวนี้เห็นหายไปตอนกลางคืนบ่อยๆ ที่แท้ก็ไปหาไอ้นี่นี่เอง แต่ก็ต้องพักหน่อยน้าเดี่ยวเครียดมากกลายเป็นตาแก่พอดี” เสียงกวนประสาทออกมาจากปากของขโมยปากดีที่ไม่สำนึกว่าตนเป็นคนก่อเรื่อง
“นายเงียบๆไปซะ” เสียงเย็นๆ จากเจ้าชายน้ำแข็งที่ต้องคอยตามจัดการปัญหาของคนชอบก่อเรื่อง
หลังจากที่ลอเรนซ์ดูหนังสือเสร็จก็พูดขึ้นบ้างว่า”ยานี่น่าจะใช้ได้แต่สมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนผสมเป็นของหายากและมีเฉพาะที่เท่านั้น อย่างหญ้าแสงอุษาจะมีเฉพาะที่เจมิไนเท่านั้น”เมื่อพูดจบก็วางหนังสือไว้ข้างหน้า
ลูคัสหยิบหนังสือขึ้นมาดูบ้างแล้วพูดว่า “มีส่วนผสมที่หายากประมาณ 3 อย่างงั้นพวกเราน่าจะแยกกันไปหาเป็นกลุ่มๆ”
“ถ้าเช่นนั้น ให้ลูคัสกับลอเรนซ์ไปหาน้ำค้างดอกจันทราที่ซาเรส เจ้าชายอาเธอร์ เจ้าชายโรเวน เฟริน คาโล และคิลไปที่ฟรอนเทียร์หา เปลือกไม้สีส้มแดง  ส่วนพวกเจ้า(ปราชญ์เลโมธีมองไปที่พวกปราสาทขุนนางที่เหลือ)ไปหาหญ้าสุริยะที่อยู่ภายในบารามอส โซมาเนียและชิวาสหาส่วนประกอบอื่นๆและเตรียมการปรุงยา” ปราชญ์เลโมธีที่เห็นด้วยกับลูคัสออกคำสั่งแบ่งคนเป็นกลุ่มๆไปหาสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในการปรุงยา
.............................................................................................................................................................
วันเดินทาง ที่สนามสำหรับเตรียมออกเดินทาง
“กลุ่มของพี่ลูคัสกับพี่ลอเรนซ์เค้าไปถึงไหนกันแล้วนะพวกเรายังไม่ออกเดินทางกันเลย สงสัยพี่โรเวนเค้ายังไม่ตื่นมั้ง เล่นออกเดินทางกันแต่เช้ามืดยังงี้น่ะ” ขโมยที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องลำบากในการปลุกไม่แพ้กันบ่น
“ชั้นพาเจ้าชายโรเวร (ขอเน้นว่าไม่ได้พิมพ์ผิดนะ^^อารมณ์คนพูดน่ะ) มาให้แล้ว”เพื่อนร่วมห้องของเจ้าชายโรเวน (จำเป็น) เดินมาด้วยใบหน้าเขียวๆม่วงๆ เพราะพยายามปลุกสลีปปริ๊นซ์ (ยืมหน่อยน้าน้อง jewelly & Kark จากเรื่อง Little Devil) 
“คนก็มากันครบแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกันเลยนะ” เจ้าชายที่อยู่ในร่างที่มีผมสีน้ำเงินพูดอย่างหงุดหงิด
เมื่อทุกคนขึ้นมาพร้อมกันในเกวียนแล้วรุ่นพี่ทั้งสองที่เป็นคนขับเกวียน(ตามเคย) ก็เริ่มบังคับเกวียนให้วิ่งออกจากโรงเรียน
“ฮ้าววววววว ทำไมต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืดยังงี้นะง่วงชะมัด”คนขี้เซาที่นั่งสบายอยู่ในเกวียนบ่น “แล้วทำไมพวกเราต้องมาด้วยก็ไม่รู้ ให้พี่ๆเค้ามากันเองก็ได้นี่ไม่ยุ่งยากด้วย” “ก็เพราะถ้าให้พวกชั้นมากันสองคนถ้าทำอะไรผิดพลาดก็ไม่มีคนคอยแก้ให้สิ” เจ้าชายโรเวนที่อยู่ในร่างที่มีผมสีดำเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิดที่ถูกปลุกมาตั้งแต่เช้ามืด “แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เพราะใครฮะ ” แต่แล้วคนพูดก็ต้องเงียบไปเพราะคนฟังกำลังหลับอย่างสบายใจอยู่บนไหล่ของเจ้าชายน้ำแข็ง “ให้ตายซิ” คนพูดค้างสบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อบ้างปล่อยให้เจ้าชายอาเธอร์ขับเกวียนต่อ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาบนท้องฟ้า
ภายในเกวียน
“ฮ้าววววววววว หลับสบายชะมัด” เฟรินตื่นขึ้นมาเร็วอย่างน่าแปลก (ทั้งที่ปกติต้องให้คิล หรือ คาโลปลุกนี่หว่า) แล้วคนที่เพิ่งตื่นก็หันไปถามคนที่เป็นหมอนให้มาตลอดทั้งคืน “ตอนนี้ถึงไหนแล้ว” “ใกล้จะถึงแล้วอีกนิดเดียว”  เจ้าชายคาโลตอบ
.............................................................................................................................................................
ทางด้านลูคัสและลอเรนซ์
“ลอรี่ถ้านายเมื่อยละก็ให้ชั้นขับให้ก็ได้นะ” ซาตานอารมณ์ดีเอยขึ้นอย่างเป็นห่วง
เฟี้ยว!ฉึก!
“ถ้ายังไม่อยากตายอย่าเรียกชั้นว่าลอรี่ แล้วชั้นก็ยังไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงนั่งเกวียนที่นายขับ” คนที่เพิ่งปามีดไปพูดอย่างหงุดหงิด
“เอ๊ะ ! ที่นี่เค้ามีงานอะไรกัน มีขบวนเสด็จของพระราชามาเปิดงานด้วย” ซาตานที่เพิ่งมองรอบตัวถามขึ้น
“ช่วงนี้ที่คาโนวาลมีงานเทศกาลประจำปี กษัตริย์คงเสด็จมาเปิดงานนี้มั้ง” ลอเรนซ์ตอบ
“งานเทศกาลหรือ ลอรี่วันนี้พวกเราพักที่นี่กันมั้ย จะได้ไปเที่ยวงานเทศกาลกัน” ลูคัสชวนอย่างไม่นึกถึงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
“ไม่ แล้วนายก็อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่ด้วย” นักบวชพูดอย่างหัวเสียพลางขับเกวียนไปหยุดที่ถนนแห่งหนึ่ง
“ขอโทษครับวันนี้เมืองของเราปิดถนนเพราะกษัตริย์ทรงเสด็จมาเปิดงานครับ กรุณาผ่านไปทางอื่น” เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าถนนเอ่ยขึ้น
“ลูคัสนายเปิดแผนที่ซิ มีทางอื่นที่พวกเราสามารถผ่านได้หรือเปล่า” ลอเรนซ์พูดพลางหันเกวียนกลับไปทางที่เพิ่งผ่านมา
“ไม่มี ถนนเส้นที่จะผ่านไปเวนอลที่ใกล้ที่สุดมีทางนี้ทางเดียว ไม่งั้นต้องไปอ้อมอีกทางใช้เวลาเป็นวัน” ลูคัสมองแผนที่แล้วตอบคำถาม
“ช่วยไม่ได้งั้นวันนี้พวกเราคงต้องพักกันที่นี่ก่อนแหละ” ลอเรนซ์พูดอย่างเหนื่อยใจ
ที่โรงแรงแห่งหนึ่งกลางคาโนวาล “ลอรี่จัดของเสร็จแล้วเราไปเที่ยวงานเทศกาลกันนะ” คนที่ไม่ละความพยายามในการไปเที่ยวงานเทศกาลก็ยังคงชวนต่อไป
เฟี้ยว!ฉึก!
“ไม่ละชั้นจะพักซักหน่อย แล้วก็อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่”
“ไปเหอะๆ ลอรี่ ไม่ได้เที่ยวงานเทศกาลมาตั้งนานแล้วนะ” ลูคัสยังคงไม่ละความพยายาม
เฟี้ยว!ฉึก!
“อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่ แล้วชั้นก็ไม่ไปด้วยงานเทศกาลอะไรนั่น”
ก๊อกๆๆๆ
“เชิญครับ” ลอเรนซ์พูดด้วยเสียงเบื่อหน่าย
“สวัสดีค่ะวันนี้เรามีบริการชุดสำหรับใส่ในงานเทศกาลค่ะ” แม่บ้านนำชุดสำหรับใส่ในงานเทศกาลมาวางไว้ให้แล้วเดินออกไป
“เห็นมั้ยวันนี้ทุกคนเค้าไปเที่ยวงานเทศกาลกันหมดนั่นแหละ นายอย่ามานอนอยู่เลยน่าไปเที่ยวงานกันเถอะ” ลูคัสยังคงพยายามชวนต่อไปด้วยน้ำเสียงสดชื่น
“ไปก็ได้” ลอเรนซ์ตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้   
ในงานเทศกาลประจำปีของคาโนวาล...
“ลอรี่ไปเล่นไอ้นั่นกันเถอะ” ลูคัสชวนพร้อมกันลากลอเรนซ์ไปโดยไม่ฟังเสียงร้องคัดค้าน
“เล่นปามีดเนี่ยนะ” คนที่ถูกลากเข้ามาพูดด้วยเสียงเบื่อหน่าย แต่มือก็รับมีดที่เจ้าของร้านส่งมาให้
เฟี้ยว!เฟี้ยว!เฟี้ยว!เฟี้ยว!เฟี้ยว!
เสียงมีดทั้งห้าเล่มที่เพิ่งรับมาจากเจ้าของร้านถูกปาออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉึก!ฉึก!ฉึก!ฉึก!ฉึก!ฉึก!
มีดทั้งห้าเล่มถูกปาไปปักกลางเป้าอย่างแม่นยำ
หลังจากนั้นไม่นานในมือของคู่หูแห่งป้อมอัศวินที่กำลังเดินเที่ยวงานเทศกาลก็เต็มไปด้วยของต่างๆมากมาย
“แล้วนายจะเอาไอ้ของพวกนี้ไปทำอะไรฮะ” ลอเรนซ์ถามอย่างหัวเสียเพราะต้องหอบของเต็มมือ
“นั่นสิชั้นเอาไปเก็บไว้ในเกวียนให้ก่อนแล้วกัน” ลูคัสพูดพลางเอาพวกตุ๊กตาที่ได้จากงานเทศกาลไปเก็บไว้ในเกวียน “นายรออยู่ตรงนี้ก่อนนะลอรี่”
“อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่” คนที่พูดกำลังจะปามีดออกไปแต่ยั้งไว้ทั้นเพราสามัญสำนึกบอกว่าถ้าปามีดไปตอนนี้ต้องมานั่งเก็บตุ๊กตาที่อยู่ในมือคนกวนประสาทแน่ๆ
คนหอบของเต็มมือเดินไปเก็บของที่เกวียน ที่จอดอยู่ในโรงแรมเมื่อเดินกลับออกมาทางหน้าโรงแรมก็ได้ยินเสียงร้อง “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วยมีขโมย”
เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งตามขโมยไป แล้วเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมา ขว้างไปที่ขโมยที่วิ่งอยู่ตรงหน้าล้มลง
“โอ๊ย!นายทำอะไรน่ะ มันเจ็บนะรู้มั๊ย”  คนที่ถูกทำให้ล้มลงร้องโวยวายขึ้น
“ก็นายไปขโมยของเค้ามาไม่ใช่หรือ เอาของที่ขโมยไปคืนมานี่” คนจับขโมยพูดพร้อมกับเดินเข้าไปดูคนที่ล้ม “อ้าวเจ้าหนูพ่อแม่ไปไหนน่ะทำไมเที่ยวมาขโมยของคนอื่นเค้า” ลูคัสพูดขึ้นเมื่อเห็นขโมยที่ตนเพิ่งจับได้เป็นเพียงเด็กผู้ชายอายุประมาณ 5 ขวบ
“เฮ้ย ! นายที่อยู่ตรงนั้นทำอะไรเจ้าชายน่ะ”  ทหารกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาที่ลูคัส พร้อมกับเข้าจับกุม
“ชั้นแค่จับคนที่ขโมยของที่โรงแรมนั่น เจ้าหนูนายจะเปลี่ยนชื่อจาก เดอะปรินซ์ เป็นเดอะทีฟรึไง” ลูคัสพูดพลางก้มลงดูเด็กน้อยที่ล้มลง
“ชั้นไม่ได้ขโมยนะ” เจ้าชายน้อยที่กำลังพยายามลุกขึ้นตอบอย่างหัวเสีย
“เจ้าชายไม่มีทางเป็นขโมยไปได้หรอก นายอย่ามาพยายามแก้ตัวเลย” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับจับตัวลูคัส ไป
ทางด้านลอเรนซ์
“ไอ้ลูคัสมันจะไปเก็บของนานกี่ชั่วโมงกัน เกวียนมันก็อยู่แค่นี้เองไม่ใช่รึไง” ลอเรนซ์กำลังบ่นอย่างหัวเสีย พลางเดินเค้าไปตามคนที่เก็บของ
“ลูคัสนายจะไปเก็บของนานกี่ชั่วโมงกันฮะ” แต่คนที่กำลังพูดอยู่ก็ต้องหยุดไปเพราะหาคนที่จะพูดด้วยไม่เจอ จึงเดินไปทางหน้าโรงแรมแห่งนั้น
“ป้าครับ เห็นเพื่อนของผมคนที่ผมสีดำรึเปล่าครับ” ลอเรนซ์ถามเมื่อเห็นพนักงานของโรงแรมกำลังทำความสะอาดอยู่
“เอ่อ เห็น” พนักงานที่ลอเรนซ์พูดด้วยตอบอย่างไม่เต็มเสียง
“เค้าทางไหนหรือครับ” ลอเรนซ์ถามต่อ
“เค้าช่วยป้าจับขโมย แต่.....”
“แต่อะไรครับ”
“ป้าไม่รู้ว่าขโมยคนนั้นเป็นเจ้าชาย จึงขอให้เค้าช่วยจับ”
“หมายความว่า”
“เพื่อนของเธอถูกทหารจับฐานทำร้ายเจ้าชาย”
“ทำไม เจ้าชายถึงมาขโมยของละครับ”
“เจ้าชายคนนั้นเป็นเจ้าชายที่เห็นแก่ตัวชอบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน พอถูกจับได้ก็ไม่ยอมรับทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนกันไปทั่ว”
“แล้วเพื่อนขอผมที่ถูกจับไปจะเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนที่ถูกจับไป ไม่เคยมีคนรอดกลับมาเลย พวกนั้นจะถูกยัดข้อหากบฏ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนถามก็ไม่ทนฟังต่อไปรีบวิ่งออกไปทางพระราชวังทันทีพร้อมกับบ่นว่า “ ลูคัสนายนี่จะเลิกหาเรื่องได้เมื่อไหร่กันนะ ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนอยู่เรื่อย”
ชื่อเรื่อง : สายฟ้า - สลับร่าง
ประเถท : อือไม่รู้อะ
ช่วงเวลา : เอาตอนเฟรินอยู่ปี 2 ละกัน
Note : เหวอ ปัดขี้เกลือออกด่วนเลย ดองมานานไปหน่อยอะ ^^ คราวนี้ทั่น Kark ก็ยังไม่ช่วยอีกอยู่ดี TT-TT( คราวนี้มีตอนที่ลูคัสซวยซะด้วยสิ)
   
..
เช้าวันรุ่งขึ้นในปราสาทขุนนาง เจ้าชายโรเวน ( ในร่างของเจ้าชายอาเธอร์  )  เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเพื่อนร่วมห้อง
“ท่านอาเธอร์ไม่ยิ้มอย่างนั้นนะ“ เสียงบ่นดังมาจากเพื่อนร่วมห้องจำเป็นของเจ้าชายผู้ซึ่งมีรอยยิ้มที่เป็นกันเอง  “แล้วท่านอาเธอร์ก็ไม่ . .........” คนขี้บ่นก็ยังบ่นต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่เจ้าชายผู้ที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟัง ทำให้คนขี้บ่นยิ่งฉุนขึ้นเรื่อยๆ 
ทางด้านป้อมอัศวิน ร่างของเจ้าชายผมสีน้ำเงินที่เคยมีแววตาและใบหน้าที่เป็นมิตรกำลังเดินมากับ 2 ใน 4 ผุ้มกฎ
“อาตี้ โรเวนเค้าไม่ทำหน้าอย่างนั้นหรอกน่า” เสียงดังอย่างร่าเริงเตือนขึ้น “อย่าเรียกชั้นอย่างนั้นนะ” เนื่องจากกำลังอารมณ์ไม่ดีคนที่ถูกเตือนจึงหันมาทำหน้าไม่พอใจพร้อมส่งสายตาขุ่นเขียวมาให้  “นายน่าจะไปตั้งชมรมอยู่กับลอรี่นะ” ซาตานผู้อารมณ์ดีอยู่เสมอหัวเราะพร้อมพูดด้วยเสียงร่าเริงที่กวนอารมณ์ของผู้ฟังได้อย่างมาก
เฟี้ยว ! ฉึก ! “ถ้านายยังไม่อยากตายก็เลิกเรียกชั้นอย่างนั้นซะ” เสียงตอบอย่างขุ่นเคืองของนักบวชหน้าหวานดังมาพร้อมกับมีดเล่มสวย แต่ผู้ที่เป็นเป้าหมายก็หลบได้อย่างสบายๆ
เมื่อเริ่มเรียนคาบแรก ( ซึ่งเป็นวิชาหน้ากากฟาโรห์ ) “วันนี้เราจะมาเรียนการแฝงตัวเพื่อไปดูแลทุกข์สุขของประชาชน” หลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้เจ้าชายโรเวนออกมาสาธิตเป็นตัวอย่าง ซึ่งเจ้าชายโรเวนจำเป็นก็ต้องเดินออกมาหน้าห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้โดยเดินมาพร้อมใบหน้าบูดสุดๆ และสายตาอันเป็นเอกลักษณ์  จนผู้สอนสงสัยจนออกปากถาม ทำให้ลูคัส กับ ลอเรนซ์ ต้องรีบหาทางแก้ตัวให้โดยด่วน “คือ เมื่อเช้าโรเวนเค้ากินอาหารผิดสำแดงครับ ก็เลยท้องเสีย”  ซาตานของป้อมอัศวินรีบแก้ตัวให้อย่างน่าถีบ (ที่สร้างความรู้สึกอยากจะอัดให้ผู้ฟังเป็นอย่างมาก) ผู้เป็นอาจารย์ทำสีหน้าไม่เชื่อจึงหันไปถามนักบวชหน้าบึ้งที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดและคิดในใจว่า ‘มันคิดได้แค่นี้หรือไงวะ’พร้อมกับตอบคำถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ “จริงครับ”
หลังจากคาบแรกที่ไม่น่าพิสมัยผ่านไป ทำให้ใบหน้าและแววตาที่บึ้งตึงอยู่แล้วของเจ้าของผมสีน้ำเงินจำเป็นผ่านไป ทำให้เจ้าของร่างนั้นเริ่มส่งรังสีอาฆาตใส่ทุกๆ คนที่เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเกี่ยวกับอาการท้องเสีย
เมื่อเสียงสัญญาณให้เข้าคาบเรียนที่ 2 ดังขึ้นทำให้ทั้งสามรีบวิ่งไปเข้าเรียนวิชาฟันดาบ
หลังจากที่อาจารย์พูดจบแล้วก็สั่งหนักเรียนเรียกดาบของตนขึ้นมา
“อัศวินดำ” เจ้าชายอาเธอร์เรียกดาบของตนเองขึ้นมา “เฮ้ย” เสียงอุทานเบาๆจากนักบวชผมทอง ทันใดนั้นทุกคนก็หันมามองคนที่เพิ่งเรียกดาบอัศวินดำ  อย่างงงๆ
“เอ่อ พอดีเมื่อเช้าเจ้าชายโรเวนเค้าตกบันไดมาครับก็คงยังเบลอๆอยู่” ลูคัสรีบแก้ตัวแทน
เมื่อหมดคาบ “เฮ้ยจริงเหรอ นายตกบันไดกับเค้าด้วยเหรอโรเวน” “เป็นไรมากมั๊ย ทั้งท้องเสียทั้งตกบันไดนายคงต้องไปสะเดาะเคราะห์หน่อยแล้วมั้ง ” “ไปห้องพยาบาลมั๊ยครับ” ทุกคนรีบเข้ามาถามสุขภาพของเจ้าชายคนสำคัญ
“นี่แค่ตกบันไดทุกคนยังเป็นห่วงขนาดนี้ ถ้ารู้ความจริงเข้า งานนี้เจ้าหนูเฟรี่มีหวังเหลือแต่ซากแน่เลย” เสียงพูดกลั้วหัวเราะดังมาจากคนที่เพิ่งแก้ตัวแทนคนที่ท้องเสียและตกบันได
ตกเย็น อารมณ์ของเจ้าชายคนสำคัญ (ของปราสาทขุนนาง) ก็ดูเหมือนจะบูดมากขึ้นเรื่อยๆ
“อารมณ์ดีหน่อยน่าอาตี้”คำพูดกวนประสาทที่ไม่มีใครกล้าพูดนอกจากซาตานอารมณ์ดีแห่งป้อมอัศวิน
ทันทีที่พูดจบคนพูดก็ได้รับสายตาอาฆาคกลับมา
“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากแกไม่ใช่หรือไง” คนที่กำลังอารมณ์บูดสุดๆคิด
.............................................................................................................................................................
“ผมทนไม่ไหวแล้วครับ” เจ้าของเสียงเปิดประตูแล้ววิ่งตรงเข้าไปร้องเรียนกับปราชญ์เลโมธี
“ดูแลเจ้าชายโรเวนมันยากขนาดนั้นเลยหรือ” คนที่ถูกร้องเรียนตอบกลับเสียงเรียบ
“ท่านรู้ไหมครับเจ้าชายโรเวนทำอะไรไว้บ้าง”
“เจ้าชายโรเวนเป็นผู้ที่รู้จักกาลเทศะ คงไม่ทำอะไร ให้ท่านเดือดร้อนมากมายนัก”
“ท่านไม่รู้อะไร เจ้าชายโรเวนทำตัวไม่เหมือนเจ้าชายอาเธอร์ .........(คนขี้บ่นก็ยังคงบ่นต่อไป).................
“กรุณาอย่าพูดให้ร้ายเจ้าชายโรเวนเช่นนั้น” เสียงอันเยียบเย็นดังมาจากข้างหลังของคนที่กำลังบ่นทำให้ต้องหยุดบ่นและหันกลับไปดูเจ้าของเสียง ลอเรนซ์กำลังยืนอยู่กับคู่หูและเจ้าชายอาเธอร์ในร่างโรเวน
“คนจากปราสาทขุนนางนี่ขี้บ่นจังนะเหมือนกันทั้งหัวหน้าและลูกน้องเลย” เสียงดังอย่างล้อเลียนดังมาจากซาตานที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าชายแห่งปราสาทขุนนาง เมื่อพูดจบก็ได้รับสายตาขุ่นเขียวจากคนข้างๆ...
.............................................................................................................................................................
เย็นวันนั้น
ในห้องประชุมที่ทุกคนมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
“ข้าอยากให้ท่านหาวิธีทำให้กลับเป็นอย่างเดิมโดยเร็วที่สุด” ผู้รับเคราะห์ในการดูแลเจ้าชายโรเวนเอ่ยขึ้น อย่างหมดความอดทน
“เป็นแบบนี้ก็สนุกดีออก จะรีบทำให้กลับเป็นแบบเดิมทำไม” ซาตานรักสนุกเอ่ยขึ้น (ท่าทางจะติดใจแกล้งเจ้าชายอาเธอร์)
สายตาขุ่นเขียวส่งออกมาจากพวกปราสาทขุนนางที่นั่งอยู่รอบๆ รวมถึงลอเรนซ์ที่ต้องปวดหัวกับคำแก้ตัวของลูคัสตลอดทั้งวัน
“วันนี้ผมไปห้องสมุด เจอสูตรยาที่เหมาะกับใช้ในกรณีนี้ครับ”เจ้าชายคาโลกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นหนังสือเล่มหนาฝุ่นเกาะเล่มหนึ่งให้ปราชญ์เลโมธี
ปราชญ์เลโมธีรับหนังสือและมองดูแล้วกล่าวว่า”สูตรยาในหนังสือนี่น่าจะใช้ได้ถ้าเราเปลี่ยนตัวยาบางตัวในนี้”
ลอเรนซ์รับหนังสือจากปราชญ์เลโมธีและมองดู
“นายนี่น้า มิน่าเดี๋ยวนี้เห็นหายไปตอนกลางคืนบ่อยๆ ที่แท้ก็ไปหาไอ้นี่นี่เอง แต่ก็ต้องพักหน่อยน้าเดี่ยวเครียดมากกลายเป็นตาแก่พอดี” เสียงกวนประสาทออกมาจากปากของขโมยปากดีที่ไม่สำนึกว่าตนเป็นคนก่อเรื่อง
“นายเงียบๆไปซะ” เสียงเย็นๆ จากเจ้าชายน้ำแข็งที่ต้องคอยตามจัดการปัญหาของคนชอบก่อเรื่อง
หลังจากที่ลอเรนซ์ดูหนังสือเสร็จก็พูดขึ้นบ้างว่า”ยานี่น่าจะใช้ได้แต่สมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนผสมเป็นของหายากและมีเฉพาะที่เท่านั้น อย่างหญ้าแสงอุษาจะมีเฉพาะที่เจมิไนเท่านั้น”เมื่อพูดจบก็วางหนังสือไว้ข้างหน้า
ลูคัสหยิบหนังสือขึ้นมาดูบ้างแล้วพูดว่า “มีส่วนผสมที่หายากประมาณ 3 อย่างงั้นพวกเราน่าจะแยกกันไปหาเป็นกลุ่มๆ”
“ถ้าเช่นนั้น ให้ลูคัสกับลอเรนซ์ไปหาน้ำค้างดอกจันทราที่ซาเรส เจ้าชายอาเธอร์ เจ้าชายโรเวน เฟริน คาโล และคิลไปที่ฟรอนเทียร์หา เปลือกไม้สีส้มแดง  ส่วนพวกเจ้า(ปราชญ์เลโมธีมองไปที่พวกปราสาทขุนนางที่เหลือ)ไปหาหญ้าสุริยะที่อยู่ภายในบารามอส โซมาเนียและชิวาสหาส่วนประกอบอื่นๆและเตรียมการปรุงยา” ปราชญ์เลโมธีที่เห็นด้วยกับลูคัสออกคำสั่งแบ่งคนเป็นกลุ่มๆไปหาสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในการปรุงยา
.............................................................................................................................................................
วันเดินทาง ที่สนามสำหรับเตรียมออกเดินทาง
“กลุ่มของพี่ลูคัสกับพี่ลอเรนซ์เค้าไปถึงไหนกันแล้วนะพวกเรายังไม่ออกเดินทางกันเลย สงสัยพี่โรเวนเค้ายังไม่ตื่นมั้ง เล่นออกเดินทางกันแต่เช้ามืดยังงี้น่ะ” ขโมยที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องลำบากในการปลุกไม่แพ้กันบ่น
“ชั้นพาเจ้าชายโรเวร (ขอเน้นว่าไม่ได้พิมพ์ผิดนะ^^อารมณ์คนพูดน่ะ) มาให้แล้ว”เพื่อนร่วมห้องของเจ้าชายโรเวน (จำเป็น) เดินมาด้วยใบหน้าเขียวๆม่วงๆ เพราะพยายามปลุกสลีปปริ๊นซ์ (ยืมหน่อยน้าน้อง jewelly & Kark จากเรื่อง Little Devil) 
“คนก็มากันครบแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกันเลยนะ” เจ้าชายที่อยู่ในร่างที่มีผมสีน้ำเงินพูดอย่างหงุดหงิด
เมื่อทุกคนขึ้นมาพร้อมกันในเกวียนแล้วรุ่นพี่ทั้งสองที่เป็นคนขับเกวียน(ตามเคย) ก็เริ่มบังคับเกวียนให้วิ่งออกจากโรงเรียน
“ฮ้าววววววว ทำไมต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืดยังงี้นะง่วงชะมัด”คนขี้เซาที่นั่งสบายอยู่ในเกวียนบ่น “แล้วทำไมพวกเราต้องมาด้วยก็ไม่รู้ ให้พี่ๆเค้ามากันเองก็ได้นี่ไม่ยุ่งยากด้วย” “ก็เพราะถ้าให้พวกชั้นมากันสองคนถ้าทำอะไรผิดพลาดก็ไม่มีคนคอยแก้ให้สิ” เจ้าชายโรเวนที่อยู่ในร่างที่มีผมสีดำเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิดที่ถูกปลุกมาตั้งแต่เช้ามืด “แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เพราะใครฮะ ” แต่แล้วคนพูดก็ต้องเงียบไปเพราะคนฟังกำลังหลับอย่างสบายใจอยู่บนไหล่ของเจ้าชายน้ำแข็ง “ให้ตายซิ” คนพูดค้างสบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อบ้างปล่อยให้เจ้าชายอาเธอร์ขับเกวียนต่อ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาบนท้องฟ้า
ภายในเกวียน
“ฮ้าววววววววว หลับสบายชะมัด” เฟรินตื่นขึ้นมาเร็วอย่างน่าแปลก (ทั้งที่ปกติต้องให้คิล หรือ คาโลปลุกนี่หว่า) แล้วคนที่เพิ่งตื่นก็หันไปถามคนที่เป็นหมอนให้มาตลอดทั้งคืน “ตอนนี้ถึงไหนแล้ว” “ใกล้จะถึงแล้วอีกนิดเดียว”  เจ้าชายคาโลตอบ
.............................................................................................................................................................
ทางด้านลูคัสและลอเรนซ์
“ลอรี่ถ้านายเมื่อยละก็ให้ชั้นขับให้ก็ได้นะ” ซาตานอารมณ์ดีเอยขึ้นอย่างเป็นห่วง
เฟี้ยว!ฉึก!
“ถ้ายังไม่อยากตายอย่าเรียกชั้นว่าลอรี่ แล้วชั้นก็ยังไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงนั่งเกวียนที่นายขับ” คนที่เพิ่งปามีดไปพูดอย่างหงุดหงิด
“เอ๊ะ ! ที่นี่เค้ามีงานอะไรกัน มีขบวนเสด็จของพระราชามาเปิดงานด้วย” ซาตานที่เพิ่งมองรอบตัวถามขึ้น
“ช่วงนี้ที่คาโนวาลมีงานเทศกาลประจำปี กษัตริย์คงเสด็จมาเปิดงานนี้มั้ง” ลอเรนซ์ตอบ
“งานเทศกาลหรือ ลอรี่วันนี้พวกเราพักที่นี่กันมั้ย จะได้ไปเที่ยวงานเทศกาลกัน” ลูคัสชวนอย่างไม่นึกถึงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
“ไม่ แล้วนายก็อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่ด้วย” นักบวชพูดอย่างหัวเสียพลางขับเกวียนไปหยุดที่ถนนแห่งหนึ่ง
“ขอโทษครับวันนี้เมืองของเราปิดถนนเพราะกษัตริย์ทรงเสด็จมาเปิดงานครับ กรุณาผ่านไปทางอื่น” เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าถนนเอ่ยขึ้น
“ลูคัสนายเปิดแผนที่ซิ มีทางอื่นที่พวกเราสามารถผ่านได้หรือเปล่า” ลอเรนซ์พูดพลางหันเกวียนกลับไปทางที่เพิ่งผ่านมา
“ไม่มี ถนนเส้นที่จะผ่านไปเวนอลที่ใกล้ที่สุดมีทางนี้ทางเดียว ไม่งั้นต้องไปอ้อมอีกทางใช้เวลาเป็นวัน” ลูคัสมองแผนที่แล้วตอบคำถาม
“ช่วยไม่ได้งั้นวันนี้พวกเราคงต้องพักกันที่นี่ก่อนแหละ” ลอเรนซ์พูดอย่างเหนื่อยใจ
ที่โรงแรงแห่งหนึ่งกลางคาโนวาล “ลอรี่จัดของเสร็จแล้วเราไปเที่ยวงานเทศกาลกันนะ” คนที่ไม่ละความพยายามในการไปเที่ยวงานเทศกาลก็ยังคงชวนต่อไป
เฟี้ยว!ฉึก!
“ไม่ละชั้นจะพักซักหน่อย แล้วก็อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่”
“ไปเหอะๆ ลอรี่ ไม่ได้เที่ยวงานเทศกาลมาตั้งนานแล้วนะ” ลูคัสยังคงไม่ละความพยายาม
เฟี้ยว!ฉึก!
“อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่ แล้วชั้นก็ไม่ไปด้วยงานเทศกาลอะไรนั่น”
ก๊อกๆๆๆ
“เชิญครับ” ลอเรนซ์พูดด้วยเสียงเบื่อหน่าย
“สวัสดีค่ะวันนี้เรามีบริการชุดสำหรับใส่ในงานเทศกาลค่ะ” แม่บ้านนำชุดสำหรับใส่ในงานเทศกาลมาวางไว้ให้แล้วเดินออกไป
“เห็นมั้ยวันนี้ทุกคนเค้าไปเที่ยวงานเทศกาลกันหมดนั่นแหละ นายอย่ามานอนอยู่เลยน่าไปเที่ยวงานกันเถอะ” ลูคัสยังคงพยายามชวนต่อไปด้วยน้ำเสียงสดชื่น
“ไปก็ได้” ลอเรนซ์ตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้   
ในงานเทศกาลประจำปีของคาโนวาล...
“ลอรี่ไปเล่นไอ้นั่นกันเถอะ” ลูคัสชวนพร้อมกันลากลอเรนซ์ไปโดยไม่ฟังเสียงร้องคัดค้าน
“เล่นปามีดเนี่ยนะ” คนที่ถูกลากเข้ามาพูดด้วยเสียงเบื่อหน่าย แต่มือก็รับมีดที่เจ้าของร้านส่งมาให้
เฟี้ยว!เฟี้ยว!เฟี้ยว!เฟี้ยว!เฟี้ยว!
เสียงมีดทั้งห้าเล่มที่เพิ่งรับมาจากเจ้าของร้านถูกปาออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉึก!ฉึก!ฉึก!ฉึก!ฉึก!ฉึก!
มีดทั้งห้าเล่มถูกปาไปปักกลางเป้าอย่างแม่นยำ
หลังจากนั้นไม่นานในมือของคู่หูแห่งป้อมอัศวินที่กำลังเดินเที่ยวงานเทศกาลก็เต็มไปด้วยของต่างๆมากมาย
“แล้วนายจะเอาไอ้ของพวกนี้ไปทำอะไรฮะ” ลอเรนซ์ถามอย่างหัวเสียเพราะต้องหอบของเต็มมือ
“นั่นสิชั้นเอาไปเก็บไว้ในเกวียนให้ก่อนแล้วกัน” ลูคัสพูดพลางเอาพวกตุ๊กตาที่ได้จากงานเทศกาลไปเก็บไว้ในเกวียน “นายรออยู่ตรงนี้ก่อนนะลอรี่”
“อย่าเรียกชั้นว่าลอรี่” คนที่พูดกำลังจะปามีดออกไปแต่ยั้งไว้ทั้นเพราสามัญสำนึกบอกว่าถ้าปามีดไปตอนนี้ต้องมานั่งเก็บตุ๊กตาที่อยู่ในมือคนกวนประสาทแน่ๆ
คนหอบของเต็มมือเดินไปเก็บของที่เกวียน ที่จอดอยู่ในโรงแรมเมื่อเดินกลับออกมาทางหน้าโรงแรมก็ได้ยินเสียงร้อง “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วยมีขโมย”
เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งตามขโมยไป แล้วเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมา ขว้างไปที่ขโมยที่วิ่งอยู่ตรงหน้าล้มลง
“โอ๊ย!นายทำอะไรน่ะ มันเจ็บนะรู้มั๊ย”  คนที่ถูกทำให้ล้มลงร้องโวยวายขึ้น
“ก็นายไปขโมยของเค้ามาไม่ใช่หรือ เอาของที่ขโมยไปคืนมานี่” คนจับขโมยพูดพร้อมกับเดินเข้าไปดูคนที่ล้ม “อ้าวเจ้าหนูพ่อแม่ไปไหนน่ะทำไมเที่ยวมาขโมยของคนอื่นเค้า” ลูคัสพูดขึ้นเมื่อเห็นขโมยที่ตนเพิ่งจับได้เป็นเพียงเด็กผู้ชายอายุประมาณ 5 ขวบ
“เฮ้ย ! นายที่อยู่ตรงนั้นทำอะไรเจ้าชายน่ะ”  ทหารกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาที่ลูคัส พร้อมกับเข้าจับกุม
“ชั้นแค่จับคนที่ขโมยของที่โรงแรมนั่น เจ้าหนูนายจะเปลี่ยนชื่อจาก เดอะปรินซ์ เป็นเดอะทีฟรึไง” ลูคัสพูดพลางก้มลงดูเด็กน้อยที่ล้มลง
“ชั้นไม่ได้ขโมยนะ” เจ้าชายน้อยที่กำลังพยายามลุกขึ้นตอบอย่างหัวเสีย
“เจ้าชายไม่มีทางเป็นขโมยไปได้หรอก นายอย่ามาพยายามแก้ตัวเลย” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับจับตัวลูคัส ไป
ทางด้านลอเรนซ์
“ไอ้ลูคัสมันจะไปเก็บของนานกี่ชั่วโมงกัน เกวียนมันก็อยู่แค่นี้เองไม่ใช่รึไง” ลอเรนซ์กำลังบ่นอย่างหัวเสีย พลางเดินเค้าไปตามคนที่เก็บของ
“ลูคัสนายจะไปเก็บของนานกี่ชั่วโมงกันฮะ” แต่คนที่กำลังพูดอยู่ก็ต้องหยุดไปเพราะหาคนที่จะพูดด้วยไม่เจอ จึงเดินไปทางหน้าโรงแรมแห่งนั้น
“ป้าครับ เห็นเพื่อนของผมคนที่ผมสีดำรึเปล่าครับ” ลอเรนซ์ถามเมื่อเห็นพนักงานของโรงแรมกำลังทำความสะอาดอยู่
“เอ่อ เห็น” พนักงานที่ลอเรนซ์พูดด้วยตอบอย่างไม่เต็มเสียง
“เค้าทางไหนหรือครับ” ลอเรนซ์ถามต่อ
“เค้าช่วยป้าจับขโมย แต่.....”
“แต่อะไรครับ”
“ป้าไม่รู้ว่าขโมยคนนั้นเป็นเจ้าชาย จึงขอให้เค้าช่วยจับ”
“หมายความว่า”
“เพื่อนของเธอถูกทหารจับฐานทำร้ายเจ้าชาย”
“ทำไม เจ้าชายถึงมาขโมยของละครับ”
“เจ้าชายคนนั้นเป็นเจ้าชายที่เห็นแก่ตัวชอบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน พอถูกจับได้ก็ไม่ยอมรับทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนกันไปทั่ว”
“แล้วเพื่อนขอผมที่ถูกจับไปจะเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนที่ถูกจับไป ไม่เคยมีคนรอดกลับมาเลย พวกนั้นจะถูกยัดข้อหากบฏ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนถามก็ไม่ทนฟังต่อไปรีบวิ่งออกไปทางพระราชวังทันทีพร้อมกับบ่นว่า “ ลูคัสนายนี่จะเลิกหาเรื่องได้เมื่อไหร่กันนะ ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนอยู่เรื่อย”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น