คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : ไถ่โทษ
ผมยืนนิ่งพิงโต๊ะเขียนหนังสือขณะที่ฟัง"คำตอบ" ที่ทีตอบให้ผมฟัง...
ทีเล่าให้ฟังว่า ทีเองกับต้อมรู้จักกันมานานแล้วเพราะว่า พ่อของต้อมเป็นญาติห่างๆของแม่ที...แต่มารู้จักกันบ้างเพราะว่าปลูกบ้านอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน...แต่ทีมาสนิทกับต้อมเพราะได้เรียนมอปลายที่โรงเรียนเดียวกัน...พอเป็นอย่างนั้นความเป็นญาติเลยทำให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต่างฝากฝังให้ช่วยดูแลกัน...
ด้วยเพราะเป็นโรงเรียนชายล้วนซึ่งมันก็มีเพื่อนที่นิสัยแตกต่างกันไป...ไอที่มันอยู่ในวัยคึกคะนองของวัยรุ่นเลยอาจจะเรียกได้ว่าที ต้อมและเพื่อนกลุ่มเดียวกันจัดได้ว่าเป็นพวกวัยรุ่นที่ไม่ได้เรื่องเอาแต่เกเรหนีเที่ยวหนีเรียน...บ้างก็มีเรื่องชกต่อยทะเลาะวิวาทกับโรงเรียนคู่อริ....เจ็บตัวกลับมา...ทำให้พ่อแม่ทั้งคู่ไม่สบายใจ...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้...เพราะว่าจะให้ย้ายโรงเรียนก็กลัวจะเสียประวัติ...และก็ไม่แน่ใจว่าถึงจะย้ายโรงเรียนแล้วจะคุมลูกชายคนเดียวคนนี้ไหวหรือเปล่า...ด้วยความว่าเป็นลูกโทนเลยตามใจกันเข้าไปใหญ่...
จนกระทั่งวันนึงตอนที่ทีอยู่มอห้า...วันที่ทีไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้น....ช่วงเดือนธันวาคม...ครอบครัวของทีตั้งใจว่าจะไปเที่ยวกัน....แต่ตัวทีที่ตอนนั้นอยู่ในช่วงต่อต้านและหลงอยู่กับกลุ่มเพื่อน...ปฏิเสธที่จะไปด้วย...และใช้เวลากับการขับมอเตอร์ไซด์อวดสาวไปเรื่อย...และในตอนนั้นพ่อแม่ทีได้ฝากทีไว้กับบ้านต้อมเพราะทีไม่ยอมไปด้วย...พอวันสุดท้ายที่ต้องค้างบ้านต้อม....เพราะพ่อและแม่จะเดินทางกลับมาในวันรุ่งขึ้น....ทีก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า....พ่อ แม่ และป้าของที....จะไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว!!!
ใครจะคาดคิดถึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น....ใครเล่าจะคาดคิดว่าท้องทะเลสีคราม หาดทรายสีหม่นที่ทอดไปจนสุดลูกตา....และสายลมที่พัดพาเอากลิ่นอายแห่งมหาสมุทรจะแปรเปลี่ยนไปจากทุกครั้ง....อาจจะเป็นเพราะพระมหาสมุทรทรงพิโรธ...หรือเพราะพระเจ้าต้องการจะลงโทษทีที่อกตัญญูต่อพ่อแม่ (ทีบอกว่าอย่างนี้นะ) คงเหมือนที่คนเก่าแก่เคยสอนว่า "ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา" เพราะทันทีที่ทีเห็นรายงานข่าวด่วนบนหน้าจอทีวี...ก็รู้สึกว่าใจหายวูบ...คิดว่าไม่น่าจะใช่...แต่ก็รู้สึกอยู่ลึกๆว่าถ้าไม่เป็นไรคงโทรศัพท์มาบอกแล้ว...แต่นี้ไม่มี...ความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลย...บางครั้งก็บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด....
แล้วตอนนั้นทีก็ระลึกได้....ว่าอะไรหลายๆอย่างมันแก้กลับคืนไม่ได้...ทีบอกว่าหลังจากนั้นก็วุ่นวายไปหมด....เพราะญาติที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวคือ พ่อแม่ของต้อม...ซึ่งก็เอ็นดูตัวทีเองเหมือนลูกอยู่แล้ว...ทีเลยย้ายทะเบียนบ้านเข้าไปอยู่ในบ้านเดียวกับต้อม....แต่ไม่ได้จดเป็นลูกบุญธรรม....เพราะทีอยากรักษานามสกุลนี้เอาไว้...พอทีสำนึกผิดแล้วช่วงมอหกก็ตั้งใจเรียนแต่ด้วยว่าสอบโอเอเน็ตต้องใช้เกรดทั้งสามปี...วิศวะมหาลัยดังเลยต้องคลาดโอกาสไป....และได้มาเรียนอยู่ในตอนนี้....พอขึ้นปีหนึ่งทีก็ผละออกมาจากกลุ่มเดียวกับต้อมแล้ว....แต่ทีเองก็ยังอยู่บ้านเดียวกับต้อม...ทีเลยคิดว่าถ้าต้อมมีอะไรให้ช่วยก็จะทำให้เพราะตัวเขาเองติดหนี้บุญคุณบ้านนี้อยู่...ทีเองด้วยความเกรงใจเลยย้ายออกมาอยู่หอพัก...(โชคยังดีที่มีเงินในธนาคารมากมายรวมทั้งเงินมรดกอีก)...แล้วขับรถไปกลับเอา...
ทีบอกว่าวันนั้นที่ต้อมมาเล่าให้ฟังเค้าไม่คิดว่าต้อมจะโกหก...ทีเลยโกรธแค้นแทนเพื่อน...เลยตกลงแก้แค้นแทนให้......ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ไปได้......ทีเล่าจบแล้วมองหน้าผมที่ยืนฟังอยู่...
"แล้วไงอ่ะ..." ผมถาม
"คำตอบของเราไง.....ที่เอ็มถาม" ทีตอบ...ไม่มีรอยยิ้มใดๆบนใบหน้าเลย...เอ็มเลยคิดว่าทีพูดจริง
"อืม......ยังไงก็แล้วแต่....ยังเหลืออีกข้อนึงอยู่ดี" ผมพูดเสียงเรียบ
"ข้อนั้นเราคงยังตอบนายไม่ได้....ไม่รู้เหมือนกัน...ว่าทำไม....แต่ว่าเรามีเรื่องอยากจะขอ" ทีพูดแล้วลุกเดินมาทางผม.....อะไรว้า....จะเดินมาทำไมกัน
"เราอยากจะขอโทษ...อยากทำอะไรไถ่โทษในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป...ได้มั้ย" ทีพูด...แล้วจะให้ทำไงอ่า....ผมนิ่งคิดชั่วครู่...แล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
"อยากไถ่โทษเหรอ....งั้นทำอะไรให้สักอย่าง.....ขออย่างเดียว" ผมพูดแล้วยิ้มยั่วที่มุมปาก...ขณะที่ทียืนฟังอย่างตั้งใจ
"ขอให้นายออกไปจากชีวิตเราสักที....แค่นั้นแหละ....จะดีมาก" ผมพูดแล้วมองหน้าอย่างกวนประสาทที่สุด
"นั้นมันแทบจะเรียกได้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะนั้น" ทีโอดครวญ
"นั้นแหละ...แค่นี้แหละ....ไหนบอกว่าจะทำไง" ผมยื่นคำขาด ทีมองหน้าผมส่ายหัวน้อยๆแล้วจำใจเดินออกมากห้องไปโดยไม่ได้กล่าวคำลา.....อย่างนี้แหละดีแล้ว
พอทีเดินออกจากห้องนี้ไป....ผมก็รู้สึกดีขึ้นในใจเรื่อยๆ....มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างกำลังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม....เหมือนที่คนทั่วไปเค้าเจอกัน...ผมใช้เวลาวันอาทิตย์เหมือนคนได้เกิดใหม่...อะไรๆก็ดูดีขึ้น...อย่างน้อยโลกเบี้ยวๆใบนี้ยังมีความเมตตาต่อผมบ้าง....ผมโทรศัพท์หาแม่ด้วยความคิดถึง....คงเป็นเพราะเคยชินแล้วว่าเมื่อมีอะไรมากดดันเรา....พ่อและแม่ดูเป็นทางออกที่ทำให้เราสบายใจที่สุด...เพราะท่านจะช่วยคิดและให้กำลังใจอยู่เสมอ...ถึงแม้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่ได้เล่าให้ท่านฟังก็เหอะ....หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่รหัสเลี้ยงที่จะเลี้ยงในวันพุทธหน้า....กินฟรี...ดีจริงๆ....
วันอาทิตย์ทั้งวันผมใช้เวลากับเรื่องเล็กๆน้อยๆตลอด...ทำความสะอาดห้องตัวเองนิดหน่อย...อ่านหนังสือเรียน...(เล็กน้อยยยยย)...และก็โทรศัพท์คุยกับอาร์ทบ้างเล็กน้อยอีกเช่นเดิม....พอเปิดมาวันจันทร์...มันเป็นความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่จริงๆครับ...ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมาความรู้สึกหดหู่ที่สุดมันจะหายไปได้รวดเร็วขนาดนี้...
ทรายมองผมด้วยความประหลาดใจและสังเกตุได้ว่าผมมีความสุขขึ้นมากจากวันศุกร์ที่ได้เจอกันครั้งสุดท้าย....ผมจึงได้แต่บอกทรายไปว่าเรื่องมันยาวววว...คงต้องรอตอนเย็นนี้...ทรายก็พยักหน้ารับคำแล้วตั้งใจเรียนต่อไป...พอเลิกเรียนตอนเย็นผมก็ไปห้องสมุดกับทรายเพื่อฆ่าเวลารอพี่ข้าวมารับ...พอหาเก้าอี้นั่งได้เท่านั้นทรายก็หันมามองหน้าผมแล้วพูดประโยคเดียวสั้นๆว่า...."เล่ามา"...
ผมก็เล่าคร่าวๆว่าในที่สุดผมก็รู้แล้วว่ามันทั้งสองคือใคร...บอกทรายว่ามีคนนึงทรายเคยเห็นหน้า...เพราะเขาคือคนที่ทรายเคยถามว่าหน้าตาเป็นไงที่โรงอาหารในวันศุกร์ที่ผ่านมา...ส่วนอีกคนชื่อต้อม....แล้วผมก็เล่าให้ฟังว่ามันเกิดจากความเข้าใจผิดกัน...ซึ่งผมไม่อยากจะให้มันยืดยาวต่อไปจากนี้...ถึงแม้ว่าผมเป็นฝ่ายเสียหายแต่ก็อยากให้เรื่องมันจบๆไป...พอทีบอกว่าอยากไถ่โทษก็บอกให้เขาออกไปจากชีวิตผม...เอ้อ...แล้วก็เล่าให้ทรายฟังถึงคำตอบข้อแรกของเขาด้วย...ซึ่งตอนที่ทรายฟังยังบอกอีกว่าน่าสงสาร...ซึ่งผมได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆเพียงเท่านั้น...
"น่าเสียดาย...เอ็มไม่เรียกเงินไปสักล้านเลยอ่ะ" ทรายพูดติดตลก
"เมื่อกี้ใครบอกว่าทีน่าสงสารนะ" ผมย้อน...ทรายจึงทำหน้านึกขึ้นได้ว่าตัวเองพึ่งพูดไป
"แต่ว่า....จริงๆแล้วมันก็มี"อะไร"บางอย่างที่ทีช่วยเอ็มได้นะ" ทรายพูดเปรยๆ
"ไม่เห็นมี...เอ็มไม่เห็นต้องให้ใครช่วยอะไร...โดยเฉพาะคนที่เอ็มยังไม่ไว้ใจ" ผมตอบ
"อ้าว...แล้วไหนบอกว่าเชื่อที่เขาพูดไง" ทรายถาม
"เชื่อกับไว้ใจมันไม่เหมือนกัน..." ผมตอบ...
แล้วหลังจากนั้นผมก็นั่งคุยกับทรายไปเรื่อยเปื่อยจนเวลาล่วงเลยถึง 1 ทุ่มเพราะพี่ข้าวติดงานทำให้มารับช้า...พอพี่ข้าวโทรยิงมาทรายและผมก็เริ่มเก็บกองหนังสือเพื่อที่จะกลับบ้าน...
"ไม่ไหวเลย...ทรายทำให้เอ็มกลับบ้านดึกอีกแล้ว" ทรายกล่าวเชิงโทษตัวเอง
"ไม่เป็นไรหรอกหน่า...แค่ทุ่มนึง...ยังไม่ถือว่าดึกสักหน่อย" ผมตอบ..
"งั้นให้พี่ข้าวไปส่งมั้ย" ทรายถาม คำถามที่ผมคาดไว้แล้ว
"ไม่เอานะทราย...ไปส่งเอ็มอ้อม...คนละทางกันเลย...เอ็มเป็นผู้ชายนะ...แค่นี้...กลับได้หน่ะ" ผมตอบเห็นทรายพยักหน้าเข้าใจน้อยๆ..ทอดสายตามองไปทางอื่น..ก่อนที่จะพูดเบาๆ
"ดีล่ะ" แล้วทรายก็เดินไปอีกทางนึงทำให้ผมต้องเดินตาม....แล้วผมก็ต้องเกือบสะดุด..เพราะโต๊ะที่ทรายเดินไปหามีทีนั่งอยู่
"ทีใช่มั้ย" ทรายถามด้วยน้ำเสียงสนุก...สนุกอะไรล่ะ...ทีพยักหน้าตอบ...มองผมแวบนึงแล้วหันไปหาทราย
"นายบอกว่าอยากไถ่โทษที่ทำผิดกับเอ็มใช่มั้ย" ทรายถามอีก ทีพยักหน้าอีก...ผมเห็นท่าไม่ดีเลยได้แต่เรียกชื่อทรายเพื่อจะท้วง
"ทราย...พี่ข้าวรออยู่นะ"
"งั้น....นายเป็นคนรับส่งเอ็มไปกลับหอได้มั้ย"
---
---
อะไรนะ...ทรายว่าไงนะ....
ผมมองหน้าทรายอย่างงงๆ....แต่ยังไม่น่าตกใจเท่าที่ไอคนที่นั่งฟังอยู่มันเหยียดยิ้มน้อยๆอย่างพอใจก่อนที่จะตอบรับว่า
"ได้สิ"..คำตอบทีทำเอาผมยืนนิ่งค้าง....ทรายหันมายิ้มให้ผมแล้วบอกลา
"กลับบ้านดีๆนะเอ็ม...แล้วพรุ่งนี้เจอกัน"
----------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านะ...
อ่านไปเดากันไป...
เหอๆๆ
InLuSt
ความคิดเห็น