ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ic3 & Dal2k : นิทานของน้ำแข็งและความมืด

    ลำดับตอนที่ #3 : Ic3 & Dal2k Ep. 1 Destiny : Chap 2 Yesterday enermy is today best friend... 100%

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 50


    Chap 2 : ศัตรูเมื่อวันวานคือมิตรแท้ในวันนี้

     

     “เฮ้ย! แอเรียต” เสียงของใครบางคนแว่วดังเข้ามาแต่ตอนนี้ประสาทรับรู้ถูกใช้ไปกับ การคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจึงไม่สามารถทำให้ทราบเช่นกันว่าเป็นเสียงของใคร เขาจึงปฏิเสธการรับรู้ก่อนจะยัดอาหารเข้าปากอีกคำหนึ่ง

    “เฮ้ย! (ไอ้) ท่านแอเรียต ได้ยินรึเปล่าคร้าบบบบ!”คราวนี้เสียงกลับมาดังที่ข้างหูตัดความ คิดให้ขาดห้วง เมื่อหันกลับมาจึงได้พบเพื่อนรักของตนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางหัวเสียกับบางอย่าง

    “อ้าว สวัสดีไคลน์ เป็นไงมั้ง แล้วนั้นไปทำไรมาน่ะ หน้าบูดเป็นตูดหมึกเลย” แอเรียตทักเพื่อนของตน

    “เหอๆ เอาเหอะ แล้วนี่แกเป็นบ้าอะไรเรียกมาตั้งแต่ตะกี้แล้ว คิดไรอยู่วะ ไหนลองเล่ามาซิ” ไคลน์พูดอย่างหัวเสีย เนื่องจากเพื่อนของตนที่มักจะติดนิสัยเอื่อยเฉื่อยอยู่แล้ว แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นบ้าเป็นอะไรขึ้นมาเป็นหนักเข้าไปใหญ่

    “หืม อ้อ เอ่อ ไม่มีอะไร แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” แอเรียตตอบปัดๆ

    “ไอ้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนี่เล่าได้เปล่าล่ะ” เพื่อนรักยังเซ้าซี้ไม่เลิก

    “ไม่มีไรหรอกน่า แค่คิดว่า…”

    ว่าอะไร เมื่อเห็นแอเรียตหยุดพูดจึงถามซ้ำเข้าไปอีกทีหมายจะเค้นความลับออกมาให้จงได้

    ก็แค่อาทิตย์หน้าจะมีสอบของอาจารย์เจนาร์ดเขาน่ะ เผอิญไปหลับในคาบเค้าอีก เลยนั่งคิดอยู่จะทำไงดีน่ะ แอเรียตตอบ

    จริงนะไคลน์ย้ำเนื่องจากเห็นสีหน้าที่โกหกไม่ค่อยจะเนียนแสดงออกมา

    จริงสิ แต่ในใจกลับคิดว่า เออ จริงอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่ง... กลับไปคิดเรื่องความฝันเหมือนจริงที่เจอในคาบตะกี้นี้ และอีกเสี้ยวหนึ่ง.... นาซีส

    เมื่อจัดการกับอาหารเที่ยงเสร็จสรรพ แอเรียตและไคลน์ก็ตกลงกันจะไปนั่งพักกันที่ ฐานลับ ที่จริงก็ไม่ใช่ฐานทัพ กองบัญชาการอะไรหรอก ก็แค่ เป็นโต๊ะหินอ่อน ใต้ต้นเมเปิ้ล หลังตัวอาคารเรียนของเขานั้นเอง แต่ที่เป็นฐานลับก็เพราะสถานที่แห่งนี้มักจะไม่ค่อยมีใครเดินเข้ามาสักเท่าไหร่นัก เพราะถ้าหากต้องเสียเวลาเดินอ้อมตึกเรียนที่ไม่ค่อยจะเล็กเท่าไหร่นักสู้เอาเวลาไปเดินชมดอกไม้ตรงทางเข้าของโรงเรียนเป็นอะไรที่ดีกว่าเยอะ

     

    ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินผ่านซอกตึกอาคารเรียน...

    มีแขกตามมาด้วยแหะ ไคลน์โพล่งขึ้นเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน

    เออ แอเรียตตอบสั้นๆก่อนจะหยุดเดินและพูดขึ้น

    ไอ้พวกที่ตามมาน่ะ เลิกหลบซ่อนๆแล้วออกมาคุยกันดีกว่าว่ามีเรื่องอะไร

    หลังจากจบคำพูด คนประมาณ 6-7 คนก็ปรากฎตัวขึ้น บังทางเข้าระหว่างซอกตึกเอาไว้ ก่อนจะมีคนเดินออกมาข้างหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นเหล่านั้น  เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างผอมสูง ผมสีดำแซมแดงยาวของเขาถูกรวบไว้เป็นหางเปียข้างหลัง และแอเรียตก็จำได้ทันที่ว่าคนๆนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของตนเพราะมันเป็นคนเดียวกับที่ซุบซิบเขาเมื่อเช้านี้

    มีอะไร แอเรียตถามกลุ่มคนเหล่านั้น

    เปล๊า ไม่มีอะไรแค่จะมานั่งพักแถวนี้น่ะ เผอิญมาทางเดียวกัน ชายผมสั้นเกรียนในกลุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมา

    อ้าว เหรอ นึกว่าจะมาขัดจังหวะระหว่างฉันกับท่านแอเรียตสุดหล่อซะอีก ไคลน์ดัดเสียงที่ใครๆฟังแล้วก็คงขนพองสยองเกล้ากัน แต่เจ้าของชื่อที่ถูกนำไปใช้ด้วยกลับยังคงรักษามาดของตนไว้เต็มขั้น

    ฉันจะถามอีกครั้ง มีอะไร คราวนี้เสียงเยียบเย็นกว่าเดิม ทำให้บางคนในกลุ่มนั้นถึงกับผงะเล็กน้อย

    โอเค เข้าประเด็นเลยละกัน... เจ้าคนยืนอยู่เบื้องหน้าของกลุ่มเอ่ยขึ้น ฉันเกลียดขี้หน้านายว่ะ คิดว่าเป็นใครใหญ่โตนักเหรอ

    ชิ ใหญ่ไม่เท่าแล้วอิจฉาล่ะซิไม่ว่า ไคลน์บ่น แต่เสียงกลับดังเกินไปทำให้คนกลุ่มนั้นได้ยินกันทั่วถึง ส่งสายตาอาฆาตมาตามๆกัน

    อุ๊ยตาย เสียงดังไปหรือเนี่ย ยังไม่วายที่จะราดน้ำมันเข้ากองเพลิงเพิ่มเข้าไปอีก เท่านั้นล่ะ ต่อมความโกรธจึงได้ปะทุเดือดปุดๆ

    แกตายยยย ชายในกลุ่มตะโกนขึ้นก่อนจะวิ่งนำเข้าไปคนแรก แล้วก็วิ่งเข้าไปทีละคนๆ เนื่องจากตรอกอันเล็กและแคบนี้เองทำให้เข้าไปได้เต็มที่แค่ทีละสองคน

    เอาไงดีแอเรียต พวกนั้นโกรธใหญ่แล้วง่ะ ไคลน์ยังพูดติดตลกไม่เลิก

    เออ เพราะใครล่ะ... เอาวะ เผาผลาญแคลลอรี่หน่อยก็ดี เก็บไว้ในร่างกายยังไงเดี๋ยวตอนเรียนก็หลับอีก ไม่ได้ใช้กันพอดี เปลืองของเปล่าๆ แอเรียตหักนิ้วดังกร๊อบๆ

    แล้วเอาไง จะให้ชั้นร่วมด้วยมะ ไคลน์ถาม แต่แอเรียตเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงว่า แค่นี้ต้องถามด้วยหรอ?’ เท่านั้นไคลน์ก็เดินกลับหลังเข้าไปยังซอกตึกต่อไป

     

    เมื่อกลุ่มชายเหล่านั้นเห็น ก็ยิ่งเดือดพล่านกับการสบประมาทของคนตรงหน้า...

    ชายคนแรกพุ่งเข้าถึงตัวแอเรียต พร้อมล่วงหยิบของบางสิ่งจากกระเป๋ากางเกง เผยให้เห็นมีดพับขนาดเล็กเงาวับสะท้อนแสงยามเที่ยงเข้าสายตาของเด็กชายผู้เป็นเป้าหมาย แต่แอเรียตก็ไม่สะทกสะท้านเลยซักนิด เขาเอามือล่วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะย่อตัวนิดๆ

    วูบบบ !! วินาทีที่จะลงมือฟัน คนตรงหน้ากลับหายตัวไปในพริบตา จึงฟันได้แต่อากาศธาตุ พลัวะ! วินาทีต่อมาสิ่งที่ตนรู้สึกคือ เลือดจำนวนมากไหลออกจากปากของตน กับความเจ็บปวดที่ตามมา ก่อนจะล้มฟุบลงไปในที่สุด

    คนที่สองผงะกึกหยุดวิ่งในทันทีเมื่อเห็นเพื่อนของตนล้มฟุบลงไปมอบจูบแด่พระธรณี เพียงแค่เสี้ยววินาที แอเรียตกลับมายืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง สองมือล้วงกระเป๋า แต่มีรอยของเหลวสีแดงปรากฎที่รองเท้าของเขา เท่านั้นเองความรู้สึกหวาดกลัวคนตรงหน้าก็ผุดขึ้นมาในบัดดล เหงื่อซึมชื้นเต็มแผ่นหลัง แต่ความรู้สึกโกรธแทนเพื่อนของตนกลับครอบคลุมจิตใจก่อนจะพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มผมแดงอีกครั้ง...

    หึ แอเรียตเผยอยิ้มที่มุมปากก่อนจะวิ่งเข้าไปหากลุ่มคนเบื้องหน้าอย่างไม่กลัวตาย

    .

    .

    .

    เฮ้อ จะจบรึยังน้า รู้สึกวันนี้จะใช้เวลานานกว่าปกตินะ ไคลน์พึมพำกับตัวเองพร้อมหาวหวอดๆ หลังจากที่รอไม่ไหวทั้งๆที่เพิ่งผ่านไปแค่ประมาณ 4-5 นาทีเพียงเท่านั้นเอง จึงลุกขึ้นเดินไปยังจุดเดิมที่มีการปะทะเกิดขึ้น

    วิ้ว~” ไคลน์ผิวปากเมื่อเดินโผล่ออกมายังตรอกซอกเล็กๆที่เดิม ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้าคือเด็กหนุ่ม 6 คนนอนกองอยู่บนพื้นไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาได้อีกซักคนเดียว และที่เด่นที่สุดก็คือเจ้าของเส้นผมประบ่าสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางกองคนเหล่านั้น

    ฟู่ว์ แอเรียตพ่นลม ก่อนจะกระพือเสื้อเชิ้ตของตนให้ลมไหลผ่านหวังที่จะคลายร้อน พร้อมส่งสายตาสีแดงเพลิงของตนไปยังคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ตรงทางเข้าตรอกซอย

    หัวหน้ากลุ่มคนเรานั้นเบิกตาโผล่งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาไม่เคยนึกเลยไอ้เจ้าคนอวดดีนี่จะมีฝีมือขนาดนี้ เขาหยิบท่อนเหล็กขนาดประมาณ 30 ซม 3 ท่อนออกจากกระเป๋าของตนเอง ก่อนจะประกอบกันจนเผยรูปร่างที่แท้จริง แสงสะท้อนจากกระบองเหล็กสาดส่องไปทั่ว ถึงแม้มั่นใจฝีมือตนเองแค่ไหนก็ตาม เขาก็รู้ว่าเขาตอนนี้ไม่สามารถชนะคนตรงหน้าได้แน่นอน

    อ๊อดดดด... เสียงสัญญาณบ่งบอกถึงเวลาเข้าเรียนคาบบ่ายดังขึ้นในที่สุด

    เฮ้ยแอเรียต เข้าเรียนได้แล้วเดี๋ยวก็ไปสายหรอกน่า ไคลน์เบ้หน้าเพราะไม่อยากเข้าเรียนสายและโดนทำโทษด้วยสารพัดวิธีเท่าที่อาจารย์ (โรคจิต) จะคิดได้

    เออ แปปเดียวน่าเดี๋ยวก็เสร็จ ว่าไงจะเข้ามาเองหรือจะให้ฉันเข้าไปล่ะ แอเรียตยื่นข้อเสนอ แต่อีกฝ่ายไม่เห็นว่ามันเป็นข้อเสนอแต่อย่างใด มันเป็นคำสบประมาทมากกว่าด้วยซ้ำ!!

    แก~” ชายผมดำแดงตะโกนพร้อมออกตัววิ่งเข้าหาแอเรียต ง้างพลองของตนขึ้นชี้ฟ้าก่อนจะตีลงมาเป้าหมายคือหัวของอีกฝ่าย

    หึ มากันเหมือนเดิมกันหมดเลยนะ แอเรียตพึมพำเบาๆพร้อมหมุนตัวหลบพลองเหล็กที่ตีลงมาเป็นรูปจันทร์เสี้ยวได้สำเร็จ ก่อนจะใช้แรงเหวี่ยงจากการหมุนเป็นการเพิ่มแรงให้กับการเตะ แต่คู่ต่อสู้ก็ใช่ย่อย เขาใช้พลองที่ฟาดลงพื้นเมื่อสักครู่แทนที่ค้ำยันปักลงพื้นต่างไม้ค้ำกระโดดหมุนตัวตีลังกาหลบลูกเตะของแอเรียต พร้อมมาอยู่ข้างหลังของเขา แท่งเหล็กถูกง้างขึ้นเพื่อโจมตีระลอกต่อไปโดยไม่ทันให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัว

    วิ้ว ใช่ย่อยเหมือนกันนิ ไอ้หัวหน้าของพวกนี้ แต่ทำไมพวกนายถึงได้ไม่อ่าวอย่างงี้ หาไคลน์ไม่ว่าเปล่าดันเอากิ่งไม้ไปจิ่มคนเหล่านั้น ทำเหมือนเป็นกองขยะยังไงอย่างงั้น

    ตู้มมม!! เสียงพลองกระทบผนังดังขึ้นสนั่น ผนังส่วนที่โดนฟาดบิแตกร่วงลงพื้นกราวๆ แอเรียตเหลือบตามองพลองที่เขาสามารถก้มหลบได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และคิดว่าหากตนเองโดนเข้าไปคงมีสภาพไม่แพ้กัน

    โว้ว เกือบไปแล้วแนะแอเรียต เกือบได้ทัวร์นรกฟรี 1 ที่นั่งแล้วนั้น ไคลน์อดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ เลือดนักสู้ในร่างกายมันคุกรุ่นอยากโดดลงไปอัดลูกน้องเล่นสักคนสองคน แต่เพื่อนรักของตนมันดันเก็บซะหมดนี่ เขาเลยต้องมานั่งดูมันซัดเล่นอยู่คนเดียว

     

    ขณะกำลังนั่งดูทั้งสองคนตีกันเพลินๆ ก็ได้ยินสัญญาณเข้าเรียนรอบที่สองดังขึ้นมา ก่อนจะต้องเบิกตาโพล่งเมื่อคิดอะไรออกบางอย่าง

    แอเรียต ออดสองดังแล้วนะโว้ยเดี๋ยวก็ได้ซวยกันหมดหรอก ไคลน์รีบตะโกนบอกแอเรียต แต่ไม่มีทีท่าว่าเสียงที่ส่งจะแว่วเข้าหูไอ้เพื่อนสุดที่รักสักนิด

    เฮ้ย ไอ้แอเรียตโว้ยยยย เดี๋ยวก็ซว... คำพูดที่เหลือถูกกลืนลงคอลงไปหมดเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนใหม่ 2 คน

    เปรี้ยง!! แอเรียตหลบพลองมัจจุราชได้อีกครั้ง พร้อมหมุนตัวเตะเป็นท่าจระเข้ฟาดหาง ในขณะเดียวกันกับที่ชายอีกคนตวัดพลองที่อยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    หยุด!!!” เสียงตะโกนของแขกผู้มาเยือนผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้ทั้งสองต้องชะงักการออกอาวุธครั้งสุดท้ายไว้ ไคลน์ถึงกับเสียดายขึ้นมานิดหน่อย แต่เมื่อสังเกตดู เขาก็พบว่าดีแล้วที่มีคนเข้ามาหยุดไว้ทัน เพราะตอนนี้ส้นเท้าของแอเรียตอยู่ที่ต้นคอของเด็กผมดำแดง และพลองของอีกฝ่ายอยู่ห่างจากปลายคางของแอเรียตไปเพียงไม่กี่คืบ

    เฮ้ย ใครหน้าไหนที่บังอาจมา... อีกครั้งที่เสียงหายไปอย่างไร้เหตุผล เมื่ออารมณ์เดือดพล่านของเด็กชายถือกระบองเย็นลงบ้างแล้ว สายตาจึงค่อยๆมองไปที่ผู้มาเยือนใหม่สองคนอย่างถี่ถ้วนและพบว่าที่แขนมีปลอกแขนเขียนคำว่า คณะกรรมการนักเรียน ไว้อย่างเด่นหลา และอีกอย่างที่ผิดแปลกก็คือชุดของเขาทั้งสองนั้นต่างจากชุดของเด็กนักเรียนธรรมดา

    แสงแดงสะท้อนให้เห็นชายผู้หนึ่งในชุดอาภรณ์สีส้มแดงทั้งเรือนร่าง ผมสีส้มเป็นมันวาวเอียงลงมาปิดตาขวาไว้ราวกับจงใจ แววตาที่แสนอ่อนโยนแต่เปิดเผยให้เห็นความเฉียบขาดไว้ลึกๆ ส่วนอีกคนอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีของนิลกาฬร่างกายที่สูงเกือบๆสองเท่าของเด็กทั่วไป เสื้อคลุมถูกปล่อยยาวจรดพื้น มีผ้าผืนเล็กๆโพกหัว ปิดบังผมเอาไว้

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ชายผมส้มพูดขึ้นอย่างงุนงงเมื่อเห็นภาพของเด็ก 6 คนล้มฟุบอยู่บนพื้น

    หึหึ แค่เด็กตีกันเท่านั้นเอง จะไปใส่ใจอะไรเล่า ชายร่างสูงเอ่ยขึ้นอย่างติดตลกราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวี่วัน

    จะไม่ใส่ใจได้ไงเล่า โคลว์ธรรมดาถ้าท้าสู้กันแล้วไปตีกันบนสนามก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ นี่มันตีกันแบบเด็กๆชัดๆ เอาเหอะ ไว้เราค่อยคิดกันทีหลังละกัน ก่อนอื่นต้องจัดการกับเด็กเหล่านี้ก่อน ว่าแล้วก็เอ่ยคำๆหนึ่งขึ้นเบาๆ ทรานสปอร์เตอร์...

    ครับ มีอะไรให้ช่วยครับ คุณซาลาแมนเดอร์ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลังพวกเขา ทำให้เด็กทั้งสามต้องหันกลับไปมอง ปรากฎว่ามีผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขายืนอยู่ตรงนั้น ทั้งๆที่ตะกี้ยังไม่มีแม้แต่หนูซักตัว

    เอ่อ นายช่วยพาเด็กเหล่านี้ไปส่งที่ห้องพยาบาลทีสิชายตัวเล็กกว่าหรือซาลามานเดอร์หันไปบอกกับผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าเอือมๆ

    ครับ ผมจะจัดการให้ทันทีเลยครับ หากตาของแอเรียตไม่ได้ฝาด ที่เท้าของคนที่ถูกเรียกว่าทรานสปอร์เตอร์ จะรองเท้าที่แตกต่างจากนักเรียนทั่วๆไปซึ่งเป็นแค่บูทหนัง แต่ของเขากลับมีลักษณะคล้ายบูทเหล็กขนาดใหญ่สีเงินหุ้มเลยข้อเท้าขึ้นมาหน่อย

    และตาของพวกเขาก็ต้องเบิกโพล่งอีกรอบคราวนี้แทบจะถลนออกมา เมื่อชายผู้มาใหม่หายวับไปพร้อมกับเด็กคนที่เขาสัมผัสตัวด้วย เมื่อรุ่นพี่เห็นอาการของเด็กทั้ง 3 ก็ต้องหัวเราะเบาๆกับท่าทีนั้น

    นั้นคือความสามารถของพี่คนนั้น ซาลาแมนเดอร์เอ่ยขึ้นไขข้อข้องใจของรุ่นน้องของตน

    แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้เรียนอย่างงั้นมั้งล่ะฮะ ไคลน์พูดกับรุ่นพี่ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั้นเป็นมิตรกว่าที่คิด

    ก็คงราวๆเทอมหน้าล่ะมั้ง ไม่แน่อาจจะเร็วกว่านั้นหรือช้ากว่านั้นหน่อย รุ่นพี่คนเดิมตอบ แค่นั้นก็ทำให้นัยน์ตาของเด็กทั้งสามวาววับระยิบระยับอย่างเด็กๆที่จะได้ลองของใหม่ๆ

    เฮ้ย ซาลาแมนเดอร์ เราไม่ได้มาเป็นเพื่อนคุยเล่นกับเด็กพวกนี้นะ จะทำไรก็รีบๆ ทำซะสิ เสียงกร้านๆของโคลว์ดังขึ้นอย่างอารมณ์เสียหลังจากที่ยืนรอฟังการสนทนาที่น่าเบื่อเหล่านี้มานาน

    เออ รู้แล้วน่า นี่น้องๆทั้งหลาย รู้ไหมว่าตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียนแล้ว ทั้งสามพยักหน้าหงึกๆ

    แล้วทำไมไม่เข้าเรียนล่ะ หาาา... คราวนี้รุ่นพี่ที่ใส่เสื้อดำพูดขึ้นบ้าง แต่กระแทกเสียงที่คำสุดท้าย ทำเอาแอเรียตแทบหดหัวกลับเข้ากระดองไป

    ใจเย็นสิโคลว์ เอาล่ะ ทีนี้ พี่ก็อยากให้น้องๆ เดินตามพี่ไปเดินเที่ยวเล่นกันซักพักนะ รุ่นพี่ผมส้มกลับหลังหันก่อนจะออกเดินนำ พร้อมกับรุ่นพี่อีกคนเดินตามหลังไป ทิ้งให้พวกเด็กๆ มองหน้ากัน โดยไม่ต้องพูดพวกเขาเดินตามหลังไปในทันที

    ไคลน์ พวกเขาจะพาเราไปไหนเหรอ แอเรียตถามเพื่อนรักของตนหลังจากเดินเข้ามาในตึกขนาดใหญ่ พร้อมกับเดินวนไปวนมา เลี้ยวซ้ายที เลี้ยวขวาที ถ้าถามแอเรียตว่าจำทางได้ไหม คำตอบคงไม่รอดว่า จำไม่ได้

    ไม่รู้สิ ที่แน่ๆคือซวย ซวย และซวย คงโดนทำโทษแน่ๆ ที่แล้วๆมาพวกที่โดนจับข้อหาทะเลาะกัน วันแรกยังคงจะจ้องหน้าฆ่ากันตาย แต่พอวันต่อมาก็กอดคอกันไปก๊งเหล้ากันซะแล้ว แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบใดเจ้าตัวยังคงรักษาความอารมณ์ดีของตนไว้เสมอ

    เหอะ จะให้คนอย่างฉันจะมาดีกับลูกผู้ดีอย่างนาย ขอไปเป็นเพื่อนกับหมูกับหมายังดีกว่า คำพูดเย้ยหยันของชายผมเปียเอ่ยขึ้น

    หึ ไปเป็นให้ดูหน่อยสิ อยากเห็นเหมือนกันนะเนี่ย คนที่เป็นเพื่อนกับหมูกับหมา คราวนี้มาจากปากแอเรียต ทำให้ทั้งคู่ที่เพิ่งสงบศึกได้ไม่นาน จะกลับมามีเรื่องกันอีกครั้ง แต่ก็ถูกขัดไว้ก่อนด้วยคำพูดของรุ่นพี่...

    เอ้า ถึงแล้ว รุ่นพี่ซาลาแมนเดอร์ผายมือให้เห็นประตูไม้โทรมๆขนาดใหญ่เบื้องหน้า

    ที่นี่ที่ไหนกันฮะ ไคลน์ผู้สนิทกับรุ่นพี่ที่สุดในตอนนี้ถามขึ้น

    อ้อ เอ่อ ลองเข้าไปแล้วจะรู้เองแหละ คำพูดมีลับลมคมในของเขาทำเอาเด็กทั้งสามสะอึกเลยทีเดียว

    เอาล่ะ หมดหน้าที่พี่ละนะ ไปละ บาย โชคดีนะ ว่าแล้วก็วิ่งแน่บหายไปในพริบตา ปล่อยให้เด็กที่เหลือตกชะตากรรมเพียงลำพัง

    เฮ้ยเอาไงดีวะแอเรียต ไคลน์พูดเสียงสั่นๆ

    เอาวะ เป็นไงเป็นกันแอเรียตพูดแล้วก็ผลักประตูไม้ขนาดใหญ่ เบาๆ แต่ไม่ทันที่มือจะแตะโดน ประตูก็เปิดพลัวะเผยให้เห็นภายใน...

    ไฟสลัวๆพอให้มองเห็นสภาพภายในห้อง ตู้เก่าๆหลายใบตั้งอยู่ชิดกำแพง บนนั้นมีหนังสือมากมายที่ต่างหันสันของตนออกมาโชว์ว่าภายในบรรจุสิ่งใดไว้บ้าง ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมแสดงให้เห็นถึงการรักษาอย่างดีต่างกับประตูที่โทรมเต็มแก่  ทางขวาของห้องมีชุดรับแขก ซึ่งประกอบไปด้วยเกาอี้บุนวมอย่างดี 3 ตัว และโต๊ะกระจกเล็กๆตรงกลาง ที่สะดุดตาที่สุดก็เห็นจะเป็โต๊ะทำงาน ซึ่งมีเอกสารกองมหึมาอยู่บนโต๊ะ และเก้าอี้ทำงานที่ตอนนี้กำลังหันหลังให้กับเด็กทั้งสามอยู่

    มาแล้วรึ นั่งก่อนสิ เสียงแหบๆดังขึ้น ทำให้พวกแอเรียตกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะไปนั่งอย่างไม่มีทางเลือกอื่น

    อืมม์ ไหนลองแนะนำตัวสิคราวนี้ใครมั้งล่ะเนี่ย คำถามต่อไปซัดตามมาหลังจากที่เด็กทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกสุดนุ่ม ทั้งสามหนุ่มมองหน้ากันแต่ไอ้สองตัวนั้นยังจ้องหน้ากันไม่ติดเลยทำให้ไคลน์ต้องจำใจเอ่ยแนะนำตัวก่อน

    เอ่อ ไคลน์ ไลน์ไฟน์ครับ

    ลูกของ ไฟลันโด ไลน์ไฟน์ สินะ เสียงบ่งบอกถึงความตกใจเล็กน้อย

    ครับ ไคลน์ตอบสั้นๆ แต่ก็ทำให้ชายอีกคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อนถึงกับตาเบิกกว้าง เนื่องจากเขาเพิ่งรู้ความจริงว่าไคลน์ก็เป็นลูกของคนใหญ่คนโตเช่นกัน

    คนต่อไปล่ะ

    ราเว่น เบราซีสชายผมดำแดงตอบกลับไป

    ลูกเจ้าเมืองเบลาสเฟลเลอร์ (Belusfailer) ใช่ไหมนั้น เป็นอีกครั้งที่เสียงแปรเปลี่ยนไป ก่อนจะกลับเป็นเหมือนเดิม

    ครับ คราวนี้เป็นทีของไคลน์และแอเรียตบ้างที่ตกใจ และก็นึกในใจว่า หากเป็นลูกคนใหญ่คนโตเหมือนกัน ทำไมต้องมาจองล้างจองผลาญกันด้วยหนอ

    คนสุดท้ายล่ะ

    แอเรียต มาซีเรียส คำตอบสั้นๆง่ายๆได้ใจความ

    มาซีเรียส! ลูกเจ้าเมืองลูเครน่าแห่งนี้หรือนี่!!” คราวนี้พอพูดจบเก้าอี้บุหนังก็ถูกหมุนกลับด้านเผยให้เห็นคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วม ผมสีดำที่เริ่มจะมีสีขาวสอดแทรกเล็กน้อยบ่งบอกถึงอายุของตน ดูโดยรวมแล้วเหมือนจะเป็นตาลุงที่ใจดีๆคนหนึ่ง มีรอยยิ้มแย้มอยู่บนใบหน้าให้เด็กๆตลอดเวลา แต่บัดนี้หน้าตาฉายแววตกใจทำให้เป็นอะไรที่น่าขันเล็กน้อย

    ฮ่าๆๆๆ น่าสนใจๆ เด็กที่มารับ การทดสอบคราวนี้น่าสนใจยิ่งนัก เขาหัวเราะออกมาอย่างคนอารมณ์ดี ทำให้เด็กทั้งสามมองหน้ากันงงๆ ว่า การทดสอบ ที่ว่านี่คืออะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกันด้วยล่ะ

    ขอโทษทีๆ ที่ฉันขำมากไปหน่อยวันนี้ เผอิญมีเรื่องให้เซอร์ไพรส์เยอะไปหน่อย คนแก่อย่างฉันเกือบหัวใจวายแนะ เขาพูดขณะลากเก้าอี้ทำงานมานั่งตรงหน้าเด็กๆ

    เอาล่ะ ถือเป็นพักระหว่างทำงานละกัน ดูสิ ฉันแก่แล้วยังเอางานมาให้เป็นกระตั่กอีกแนะ ไม่ว่าเปล่าชี้ไปยังกองเอกสารกองเป้งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน

    เอาของว่างหน่อยไหม เขายกกาน้ำชากับถ้วยขนมขึ้นมาให้เด็กทั้งสามดู แต่ก็ได้รับการส่ายหน้าปฏิเสธกลับมา เขาจึงวางไว้ที่เดิม พร้อมหยิบห่อขนมคล้ายๆขนมปังขึ้นมาแกะ และกัดคำหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

    ฉันก็พูดมานานแล้ว ฉันจะให้สิทธิพิเศษสำหรับพวกเธอทั้งหลายที่ทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ได้ตั้งหลายครั้งแนะ ใครมีคำถามจะถามฉันก็ได้นะ

    เอ่อ คุณคือใครเหรอครับ ไคลน์ถามขึ้น ซึ่งทำให้อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วย ประมาณว่า ถามดีนี่

    ฉันเหรอ อ้อ ขอโทษๆ ฉันชื่อ เฮอร์ซีรัส โซลริมเบล หรือเรียกกันง่ายๆ... เขาเว้นช่วงเล็กน้อยแล้วก็ต้องนึกขันน้อยๆกับท่าทีของเด็กทั้งสาม

    ผู้อำนวยการใหญ่ของโรงเรียนลูเครน่าแห่งนี้ไงล่ะ

    หาาา!!” เด็กทั้งสามอุทานขึ้นมาพร้อมกันเพราะนึกไม่ถึงว่าคนมาดตาลุงแก่ใจดีนี้จะเป็นถึง ผอ. ของโรงเรียนลูเครน่าแห่งนี้

    คุณน่ะหรือครับ ที่ได้รับสืบทอดขึ้นเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโรงเรียนที่ถูกก่อตั้งโดย กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนเครเซ้นท์มูน (Cresent Moon = ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว) ไคลน์พูดอย่างตกใจ ส่วนเฮอร์ซีรัสพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆให้กับเขา

    โห!!!... จริงเหรอเนี่ย...ใครกันเหรอไคลน์

    แป่ววว... คนพูดแทบลมจับกับเพื่อนรักข้างกายที่ไม่รู้จักกษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนที่ยิ่งใหญ่นี้ ส่วนเฮอร์ซีรัสก็ขำน้อยๆ ส่วนราเว่นกุมขมับกับความรู้เท่าหางอึ่งลูกเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่คนนี้

    นี่นายสอบผ่านมาได้ไงล่ะเนี่ย หรือว่านายหลับตลอดคาบของอาจารย์เจนาร์ดเลยจริงๆหรือนี่ไคลน์ถาม และก็ได้คำตอบคือการพยักหน้าแบบไม่ต้องคิดของนายแอเรียต

    ฮ่าๆๆ น่าสนใจดีๆ เอาล่ะ ฉันจะเล่าให้ฟังละกันนะ ถือเป็นความรู้นอกห้องเรียนก็ได้นะ เฮอร์ซีรัสพูดกับเด็กทั้งสามอย่างเป็นมิตร ทำให้ความกลัวของพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็ว

    เมื่อสมัยก่อน ดินแดนของเราถูกขนานนามว่า ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว อย่างที่ไคลน์เรียกตะกี้ ดินแดนของเรามีความอุดมสมบูรณ์มาก ไร้ซึ่งการสงคราม ทุกคนอาศัยอยู่อย่างเป็นสุข และแน่นอนดินแดนนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน ท่านมีนามว่า อิโอรอส อีเนียส (Aeolos Aeneas)ภายหลังท่านได้ก่อตั้งโรงเรียนลูเครน่าขึ้นเพื่อที่จะเป็นโรงเรียนสำหรับ ทุกคนที่ต้องการมาเรียน แต่ก็ต้องสอบเข้าก่อนนะ เฮอร์ซีรัสหยุดพักและยกแก้วน้ำชามาจิบก่อนจะเล่าต่อ

    ต่อมามีเจ้าเมืองเมืองหนึ่งตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ ก่อนจะโค่นล้มกษัตริย์ในที่สุด บางคนเล่าว่า คนๆนี้มีพลังเหนือมนุษย์ และบางคนก็ว่าคนๆนี้เป็นเทพกลับชาติมาเกิด และแล้วต่อมาด้วยความบ้าในอำนาจ เขาได้ตั้งตนเป็นประเทศอิสระไม่ขึ้นต่อดินแดนเครเซ้นท์มูนอีกต่อไป เมืองนี้ก็คือเมืองโซบิวล่า (Sobular) หรือในปัจจุบันก็คืออาณาจักรโซบิวล่านั้นเอง และเขาก็ได้ตั้งกองทัพที่อยู่ภายใต้การอารักษ์ของตน และกองทัพนี้ถูกขนานนามว่า ‘Knights of Dark’ ‘เมื่อแห่งใดที่กองทัพแห่งความมืดผันผ่าน แผ่นดินนั้นจักไม่เหลือดวงไฟที่แห่งชีวิต ด้วยเหตุนี้เองทำให้เจ้าเมืองคนนี้ถูกเรียกสั้นๆง่ายๆ ว่า ท่านจ้าวแห่งความมืด (Dark Lord)

     ภายหลังเขาได้ทำการยึดครองเมืองหลายต่อหลายเมืองจนทำให้เกิดเป็นสงครามในครั้งประวัติศาสตร์ คราวนี้พอเขาหยุดพูดพร้อมที่จะยกน้ำขึ้นมาจิบอีกครั้ง ก็โดนสายตาของทั้งสามจ้องมองเป็นนัยว่า รีบๆเล่าต่อสิคร้าบบ ทำให้เขาต้องวางแก้วน้ำลงก่อนจะกระแอมสองสามครั้งพร้อมที่จะเล่าต่อ

    หลังจากดินแดนหนึ่งดินแดนถูกแบ่งเป็นสองด้วยความบ้าอำนาจของท่านจ้าว ผู้คนต่างต้องตกระกำลำบากด้วยไฟสงครามที่ค่อยๆลุกลามทั่วทุกพื้นที่ เลือดมากมายถูกหลั่งลงชำระพื้นดินให้เปลี่ยนเป็นสีแดงส่งกลิ่นสาบสางทุกบริเวณ สุดท้ายเมืองสามส่วนสี่ของทั้งหมดถูกยึดโดยท่านจ้าวสุดท้ายก็เหลือเพียงแค่ 3 เมืองเท่านั้น 3 เมืองสุดท้าย และเป็นความหวังสุดท้ายของประชาชนในใต้หล้าของดินแดนเครเซ้นท์มูน 3 เมืองนี้ได้แก่... ลูเครน่า เบลาสเฟลเลอร์ และ แซนดีล่า (Zandila)

    ทั้ง 3 เมืองได้รวบรวมกองกำลังทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ และกองทัพทั้งหมดนี้ถูกนำโดย กษัตริย์ คาซาน เด เวนดีเอโร่ (Kazan De Vandealo) หรือก็คือเจ้าเมืองเมืองลูเครน่า ณ ขนาดนั้น เมืองสองในสามนั้นถูกตีแตกอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจของกองทัพอัศวินแห่งความมืด และเมืองที่เป็นเสมือนปราการชั้นสุดท้ายของดินแดนเครเซ้นท์มูนก็คือลูเครน่าแห่งนี้นี่เอง แน่นอนหากปราการชั้นนี้แตกพ่ายไปดินแดนเครเซ้นท์มูนจะตกเป็นเมืองของท่านจ้าวในทันที ชาวบ้านทั้งชายและหญิงแม้แต่เด็กก็ยังต้องไปช่วยรบในสนามรบหรือทำหน้าที่พยาบาลผู้บาดเจ็บ และแน่นอนนักเรียนของโรงเรียนลูเครน่าก็เช่นกัน เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าหากไม่สู้ ทางเลือกที่รออยู่ภายภาคหน้าก็คือความตายที่คืบคลานมาหาอย่างช้าๆนั้นเอง

    หลังจากการสงครามระหว่างลูเครน่าและโซบิวล่าดำเนินไปอย่างไร้จุดจบ ทุกฝ่ายต่างล้วนแล้วไม่ยอมแก่อีกฝ่าย ฝ่ายโซบิวล่าแม้จะมีกองทัพอัศวินแห่งความมืดที่จัดว่าไร้เทียมทาน แต่ทางฝ่ายเราก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ ผนึกกำลังเข้าสู้ ท่านจ้าวเล็งเห็นว่าหากทำการรบอย่างงี้ไปเรื่อยๆ มันก็ได้แค่ส่งกองกำลังไปแลกกับฝ่ายตรงข้ามเฉยๆ ดังนั้นเขาจึงคิดแผนใหม่ก็คือตัดทางน้ำและเสบียงของทางฝ่ายลูเครน่า... หลังจากนั้น... เฮอร์ซีรัสหยุดเล่าเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังแว่วเข้ามา

    เข้ามาได้ ชายชราพูด พร้อมกับประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นพี่ชายคณะกรรมการผมส้มยืนอยู่ตรงนั้น

    ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะครับ เขาพูดอย่างนอบน้อม คือว่าหากไม่รีบอาจจะเป็นการทำให้เด็กทั้งสามไม่ได้เรียนในคาบบ่ายนะครับ เอ่อ แต่สองในสามนั้นคงไม่ได้อยู่แล้วล่ะครับประโยคท้ายสร้างความงุนงงแก่เด็กทั้งสามเป็นอย่างมาก

    อืม นั้นสินะ เอาล่ะเด็กๆ พักเรื่องประวัติศาสตร์ไว้แค่นั้นก่อนละกันนะ ไว้วันหลังครูจะเล่าให้พวกเธอฟังต่อละกัน คำพูดนี้สร้างความผิดหวังแก่เด็กๆเป็นอย่างมาก พวกเขาส่งสายตาเขียวปั๊ดไปให้กับคนที่เข้ามาขัดจังหวะการโดดเรียนฟรีๆ...เอ๊ยการฟังประวัติศาสตร์อันสำคัญนี้ ทำให้รุ่นพี่ได้แต่หัวเราะแหะๆแก้เก้อ

    ไคลน์ เธอกลับห้องไปก่อนละกันนะ เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทะเลาะวิวาทนี่นะ ใช่ไหมเนี่ย ซาลาจังเฮอร์ซีรัสถามชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่

    เอ่อ...ใช่ครับ แล้วเลิกเรียกผมซาลาจังซะทีเหอะครับ ซาลาแมนเดอร์ผู้ที่ตอนนี้ทำสีหน้าปั้นยากสุดๆ

    เอาน่ะ น่ารักดีออก ว่าไหม คราวนี้หันมาถามเด็กๆ ที่กำลังนั่งแก้มป่องกลั้นหัวเราะอยู่

    เอาล่ะๆ ไคลน์ อย่างที่ได้ยินเธอกลับห้องไปก่อนได้ไหม ฉันยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับเพื่อนเธอที่เหลือสองคนน่ะ

    เอ่อ... อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอครับ ไหนๆก็โดด เอ๊ย หายไปเกือบทั้งคาบแล้วอ่ะครับ ไคลน์ยกข้อเสนอขึ้นมา เพราะหากเขาอยู่ต่ออาจจะมีอะไรสนุกๆมาให้ดูหรือฟังอีกก็ได้ เขาเริ่มรู้สึกจะถูกโฉลกกับอาจารย์ใหญ่คนนี้ซะแล้ว

    จุ๊ๆๆ ไม่ได้หรอก เป็นนักเรียนก็ต้องไปเรียนสิ ส่วนพวกเพื่อนๆของเธอ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ครูจะดูแลอย่างดีเลยล่ะ เด็กชายเหี่ยวลงในทันที ก่อนจะต้องลุกขึ้นและจำใจเดินออกจากห้องไป ขณะจะออกจากห้องไคลน์หันหน้ากลับมาและฝากคำพูดไว้...

    แอเรียต ถ้าได้ทำอะไรสนุกๆ ล่ะก็นะ มาเล่าให้กันฟังมั้งเน้อ

    เออได้ ได้ยินดั่งนั้นไคลน์ก็หันหลังเดินออกนอกประตูตามรุ่นพี่ออกไป

    เอาล่ะทีนี้...เฮอร์ซีรัสเว้นช่วงนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยซักที... เวลาทำโทษไงล่ะ เมื่อได้ยินคำว่าทำโทษ เด็กที่เหลือทั้งสองทำหน้าแหยในทันที พลางนึกในใจ เฮ้ย ตูก็นึกว่า ลืมไปแล้วซะอีก เห็นแก่ๆ อย่างงี้ความจำดีกว่าที่คิดซะอีก วัยรุ่นเซ็งเลยว่ะ

    อะไรกัน นี่นึกว่าฉันแก่จนเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมแล้วงั้นเหรอ ฮึ เฮอร์ซีรัสพูดราวกับอ่านใจของทั้งคู่ออก ชักให้สีหน้าแหยเกเข้าไปใหญ่ เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็อดนึกขำเล็กๆไม่ได้เนื่องจากที่ เดา ถูก

    เอาล่ะๆ มันไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรขนาดนั้นหรอก... คราวนี้เว้นช่วงเกือบ 30 วินาที ทำให้ทั้งคู่เกือบลืมหายใจ ...มันก็แค่เรื่องอยู่หรือไปเท่านั้นล่ะ

    หาาาาา!?”

     

                                            ---------------------------------------------------------



    ปล ตอนนี้ผมรีบปั่นไปหน่อยนะครับ อาจมีบางจุดที่ยังบกพร่องอยู่ ยังไงผมจะรีบแก้ไขให้โดยไวเลยครับ
    ปล2 เนื้อเรื่องตอนนี้ยังไม่แน่นอนนะครับอาจจะมีการแก้ในภายหลังบ้างนิดหน่อย ยังไงก็ขอให้ผู้อ่านติดตามไปเรื่อยละกันครับ ขอบคุณมากครับ

    Status ของผู้แต่งตอนนี้ : นอนขึ้นอืด + Air head ( สมองกลวง)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×