ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 : การปฏิบัติงานร่วมมือกันชิ้นแรก(แฮะๆ อ่านๆกันไปก่อนนะคะยังไม่จบตอนค่า
“โหย~ พี่สาวสุดยอดเลย พี่นี่เก่งชะมัดยาด รับผมเป็นศิษย์เถอะน้า~” โลกิเอ่ยชมเสียงใส
“ฮ่ะๆๆ ได้สิๆ” คารินกล่าวรับคำด้วยดวงตาสีฟ้าใสที่ไม่พยายามจะปิดบังความขบขัน เธอมีผมสีส้มอมแดงที่ถูกมัดรวบต่ำเป็นสองข้างไว้เคลียบ่า หุ่นของเธอน่ะเหรอ คิดว่าคงไม่ต้องพูดถึงเพราะดูจากสายตาของพวกผู้ชายทั้งหลายทั้งแหล่นั้นมองมาด้วยดวงตาซะเยิ้มขนาดนั้น ก็คงไม่มีอะไรต้องบรรยายกันละ ยิ่งเมื่อควบคู่ไปกับนิสัยการแต่งตัวที่ชอบใส่เข้ารูปและโชว์เนื้อหนังมังสาเป็นพิเศษแล้ว เหอๆๆ ใครกล้าปฏิเสธก็ให้มันรู้ไป ยกเว้นก็แต่
“โ ล กิ เจ้าคิดว่าจะให้ยายนักต้มตุ๋นนี่สอนอะไร 108วิชาจิ๊กของชาวบ้านเรอะ!” น้ำเสียงเข้มที่บ่งบอกให้รู้ว่าใครบางคนยังคงอารมณ์ค้าง
“เรียกให้มันดีๆหน่อย ใครเป็นนักต้มตุ๋นกัน ฉันก็บอกนายไปแล้วไงว่าฉันเป็นนักล่าสมบัติ” นักต้มตุ๋นเอ๊ยนักล่าสมบัติที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่เจ้าตัวเพิ่งจะกระทำมาหยกๆเอ่ยค้าน
“ใช่ๆ ซาคุเรียกพี่เขาดีๆหน่อยสิ พี่เขาชื่อคารินต่างหาก” โลกิให้การสมทบทันที
“ฮึ่ย ข้าไม่กินมันละ” พูดพลางลุกพรวดจากโต๊ะอาหารแล้วเดินกระแทกส้นเท้าราวกับจะให้ร้านมันพังลงซะให้ได้ออกจากร้านไป 
ใช่ เมื่อพวกเขาหลบหนีจากการจับกุมของพวกหน่วยรักษาการณ์ได้แล้ว โลกิที่ถูกฉุดกระชากลากมาก็ได้สติตื่นขึ้นมาพร้อมกับร้องด้วยเสียงอันดังว่าตนหิวข้าว จนทำให้ชาวเมืองแถวนั้นหันมามองด้วยสายตาที่แบบว่า ไม่มีตังค์กระทั่งจะไปกินข้าวกันหรอ พร้อมส่งเสียงซุบซิบนินทาอีกต่างหาก จนทำให้พวกเขาต้องแวะกันมาที่ร้านอาหารที่ใกล้ที่สุดร้านนี้
“เดี๋ยวสิซาคุ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่” โลกิตะโกนถามไล่หลังไป
“ไม่หิว” เสียงตอบกลับมาที่ทำให้รู้ว่าคนตอบอยู่ห่างไกลออกไปพอสมควรแล้ว
“เฮอะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้” คารินเปรยๆออกมา
“เราจะอยู่ที่นี่กันอีกนานไหม ซาคุ”
“ก็จนกว่าจะได้ค่าหัวของแมทริค ปาร์ค” เสียงตอบกลับมาเรียบๆ
“พวกนายจะไปบุกรังของมันกันใช่มั้ย พอดีฉันมีธุระกับที่นั่นเหมือนกัน” เสียงที่ไม่น่าจะดังขึ้นกล่าว
“ ”
“ตามมาทำไม”
“ใครตามนายมากัน โลกิเขารับฉันเป็นอาจารย์แล้วย่ะ อาจารย์ที่แสนดีตามมาดูแลลูกศิษย์มันผิดตรงไหน ใช่ไหมจ๊ะโลกิ”
“ฮะ”โลกิตอบขึ้น ตั้งแต่เมื่อวานเจ้าตัวก็ไม่ยอมห่างจากคารินเลย
“ไม่ได้ ฉันไม่อนุญาต” คำค้านที่ฟังดูไร้สาระที่สุด ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้
ตอนนี้คณะเดินทางทั้ง 3 (รวมสาวน้อยหน้าใหม่เข้าไปด้วยแล้ว)กำลังเดินอยู่ในย่านการค้าของเมืองบัลลาร์ด ถึงแม้เมืองนี้จะไม่ใช่เมืองใหญ่อะไรแต่ผู้คนก็ยังพลุกพล่านอยู่ดี พวกเขากำลังเดินดูของและพูดถึงค่าหัวที่น่าสนใจของแมททริค ปาร์ค นักค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ที่มาแอบหลบซ่อนทำการค้าอยู่ในเมืองนี้
“อะไรของนาย  เรื่องเมื่อวานก็เลี้ยงข้าวไถ่โทษแล้วไง(ถึงจะไม่ได้กินก็เถอะ) แล้วพนันกันก็ได้ว่านายยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับไอ้แมททริค ปาร์ค นั่นมากเท่ากับฉัน” คารินเริ่มจะรู้ถึงความไม่พอใจต่อตัวเองของอีกฝ่ายในทันที  ก่อนจะยิ้มพรายแล้วเสนอข้อเสนอออกไป
“ฉันไปของฉันเองได้ ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนักต้มตุ๋น” อีกครั้งที่คำเถียงฟังดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
“งั้นนายคงไม่รู้สินะว่า ช่วงนี้ไอ้เจ้านั่นมันไปติดต่อซื้อขายปืนใหญ่ต่างเมืองยังไม่กลับมา”
“ง่า รู้สิรู้ เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้”
“ฉันโกหก”
“ ” เงียบ นิ่ง อึ้ง โง่
แล้วเจ้าลูกศิษย์และอาจารย์ก็พากันปล่อยพรืด ฮากันยกใหญ่ จนคนโดนหลอกไม่รู้เบื่อ ต้องกลายมาเป็นฝ่ายไปซะแล้ว
..
“คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ความมืดจะช่วยบดบังพวกเราไว้ทำให้ทำงานได้สะดวก ช่วงเที่ยงคืนจะมีการเปลี่ยนเวรยามการรักษาความปลอดภัยจะ
หละหลวมที่สุด เราจะบุกเข้าจู่โจมในเวลานี้ โดยที่ฉันจะพานายเข้าไปในรังของพวกมันเองเอาเป็นว่าตามฉันมาแล้วกัน ง่ายที่สุด” คารินกล่าว
ขึ้นในระหว่างสังเกตการณ์อยู่บนต้นไม้ใหญ่
“แล้วเธอพาฉันมาง่ายๆแบบนี้ เธอจะได้อะไร คงไมใช่หลอกไปตายหรอกนะ”เสียงเจ้าคนเคยโดนหลอก ถามขึ้นด้วยความที่ไม่อยากมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“มันก็ไม่แน่” เธอพูดพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้คนถามคิดได้ว่าไม่น่าหลงเชื่อใจจนตามมาด้วยเลย
เ
มื่อเข็มชี้ตีบอกเวลาเที่ยงคืนยามรักษาการณ์หน้าถ้ำก็พูดอะไรสองสามคำก่อนประตูถ้ำจะเปิดแล้วเดินหายเข้าไป คารินกระโดดลงจากต้นไม้อย่างชำนาญก่อนจะตามลงมาด้วยซาคุ ส่วนโลกินั้นหรือ พวกเขาตัดสินใจที่จะทิ้งไว้ที่โรงแรม เพราะยังไงเด็กก็คือเด็กหลับสนิทไม่รู้เรื่อง อย่างว่าละเที่ยงคืนแล้วนี่
เมื่อซาคุมาถึงหน้าปากทางเข้าถ้ำก็ต้องประหลาดใจเมื่อปากถ้ำที่เขาเห็นนั้นปิดสนิทไม่มีแม้แต่ช่องอากาศจะให้หนูซักตัวลอดเข้าไปได้ แต่คารินก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นหน้าตาไม่ประหลาดใจอะไรนัก ขณะที่พึมพำบางอย่างราวกับต้องการทบทวนความจำให้แน่ใจ
“มันปิดอยู่ จะเข้าไปยังไงละแม่คนเก่ง” ทำไมต้องไม่วายพูดเหน็บกันทุกทีเลยฮึคารินคิด แต่ก็ไม่ได้ต่อความอะไร เพราะเธอกำลังใช้ความคิดอยู่
“แปป กำลังทวน”
“ฮึ ไม่รู้ก็บอกมาเถอะน่า” พูดเสร็จคนที่คิดว่าตนได้ทีเหนือกว่าก็ก้าวไปหน้าปากถ้ำพลางเรียกอาวุธคู่มือออกมา คราวนี้สิ่งที่ถูกดึงออกมาจากเจ้ากระแสหมุนวนไม่ใช่ดาบเล่มยาวแต่เป็นปืนด้ามสีเงินมีอักขระปรากฏอยู่ตามกระบอก
“เปรี้ยง” สิ้นเสียงคนคิดว่าตนเหนือกว่าก็กระเด็นห่างไปร้อยเมตร เนื่องจากกระสุนเวทย์ที่เขายิงออกมานั้นไม่ได้ตรงเข้าทำลายปากถ้ำแต่กลับหันหัวกระสุนวิ่งมาทางเขาซะนี่
“งี่เง่า ประตูฐานทัพที่ดีต้องลงอาคมป้องกันพลังเวทไว้หัดใช้สมองซะมั่งซี่ ไม่ใช่นึกจะเอาปืนสั่วๆที่ไหนมายิงก็จะเข้าไปกันได้ง่ายๆ ” คารินกล่าวพลางมองไปที่เจ้าคนชอบเหนือกว่าที่กำลังจะพยุงตัวกลับมา
“ทำไมไม่บอกแต่แรกเล่า”
“ก็นายไม่ได้ถาม” คำตอบที่ทำเอาคนฟังต้องเหล่ตามองอย่างคนยอมแพ้ เจ้าหล่อนชนะอีกแล้ว
“แล้วไม่ต้องคิดที่จะใช้ดาบเลยนะขอบอก ไม่เป็นผล” เจ้าของดวงตาสีฟ้ารีบกล่าวห้ามไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
“รู้แล้วน่า งั้นจะเอาไง”
“ดูไป เงียบๆ” คำตอบที่สั่งมา ทำให้คนฟังเบ้ปากไปพอสมควร แต่ก็ต้องทำตาม เพราะไม่อยากเจอของดี
“โอม จงเปิดๆ” หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมทำมือที่ตัวเองคิดว่าเหมือนกำลังร่ายมนต์บทสำคัญ ที่ดูแล้วน่าขันมากกว่าน่ามอง
“ง่า ไม่ได้ผลแฮะ”
“ด้วยอำนาจแห่งจันทราจงสำแดงฤทธา เปิดประตูให้ข้าในบัดดล”
“โอมมะลึกกึ๊กึ๋ยๆๆ เพี้ยง”
“โอม สึนามิ เปิดๆๆ”
“ลัลลัลลัลลาจงเปิด ณ บัดนี้”เอ้า เอาเข้าไป ไม่ท่องเปล่าจะเต้นฮูลาฮูล่าแดนซ์โชว์อีกนั่น
“เล่นอะไรของเธอ” คนทนดูไม่ได้ถามขึ้น ก่อนที่จะได้ลองคาถาบทใหม่
“ก็คาถาเปิดประตูไงเล่า เหมือนในนิทานไง เรื่องอะลาดินกับ49ขุมโจร อะไรน้าๆ”
“จงเปิดเซซามี่?” คนนึกนิทานเรื่องนั้นออก ถามทวนคำอย่างไม่แน่ใจว่ามันจะใช่เหรอ
“ใช่ จงเปิดเซซามี่!” คารินตะโกนด้วยความดีใจ รับกับเสียงหนักๆของหินที่เลื่อนออกจากกัน แล้วปากทางเข้าถ้ำที่แน่นหนาไม่ว่าจะเป็นมนต์หรือคมดาบก็ไม่สามารถทำอะไรได้กับถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
แล้วแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองก็เดินก็เดินเข้าสู่ถ้ำเบื้องหน้าที่เมื่อพวกเขาเข้ามากันหมดแล้ว ก็เลื่อนปิดลงอย่างแน่นหนาเหมือนเคย เวลาออกจะทำไงเนี่ย?
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนายก็อ่านนิทานด้วย” คนไม่ชอบความเงียบเริ่มเปิดบทสนทนา
“คนอย่างฉันมันทำไม” ก่อนจะได้รับคำตอบมาพร้อมสายตาอาฆาต
“เปล๊า แค่ดูแล้วไม่น่าจะเคยอ่าน”
ทั้งคู่เดินเข้ามาลึกกันพอสมควร ทั้งทางแยก ทางโค้งเพดานที่ลดต่ำหรือตลอดจนถ้ำกว้างที่ว่างเปล่า แต่ที่เจอก็เพียงทหารยามสองคนที่คงจะมาเปลี่ยนเวรยามกับพวกแรกที่เข้าไป แต่อย่างว่าแค่ยามสองคนจะไปทนมือทนไม้อะไร เขาใช้เพียงแค่กระบอกปืนก็เหลือแหล่แล้ว แล้วเสียงเฮฮาของงานสังสรรค์และแสงสว่างเบื้องหน้าก็เริ่มเข้าสู่สายตา
“ราวๆ 20 คน เธอจะจัดการเท่าไหร่” อาซาคุยื่นหน้าโผล่พ้นหินออกไปมองกลุ่มผู้ก่อการร้าย ก่อนจะนับเป็นตัวเลขและยกข้เสนอให้ช่วยกัน
“ ” เงียบ  ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
“ยายนักต้มตุ๋น” เขาเรียกแกมตะคอกพลางหันมามองที่ว่างเปล่าซึ่งควรเป็นที่อยู่ของสาวคนนำทาง
ไวยังกับปรอท เหมาะกับอาชีพนักย่องเบามากกว่าที่คิด
.
ในเงามืด สาวผมสีส้มอมแดง ในชุดรัดกุม กำลังกึ่งเดินกึ่งย่องไปในมุมอับสายตาของถ้ำ เป้าหมายอยู่เบื้องหน้า แต่ดันมีคนยืนเฝ้าเพียบเลยนี่ อย่างว่าได้มาง่ายก็ไม่สนุก! รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะหยิบฉวยชุดมีดเล่มเล็กคู่ใจขึ้นมาถือ
“ฉึกๆๆๆ”มีดบินตรงเข้าจุดตายไม่มีบิดพลิ้วจนหน้าใจหาย ก่อนทันได้รู้ตัวลมหายใจก็ไม่เหลือแล้ว
ชายคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เมื่อเห็นพวกล้มลงไป ก็อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก เมื่อมีดเล่มสวยกำลังถูกวางขนาบไว้ที่คอ ด้วยความเร็วขั้นสุดยอดที่ไม่ทันจะทำให้เขาตั้งตัวซักนิด
“ถ้าร้องเสียงดังซักแอะ แกได้ตายดีแน่” เธอว่าพลางยิ้มแสยะ
“ไว้ชีวิตผมนะ ชีวิตนี้ผมยังหาแฟนไม่ได้เลย อย่างน้อยก็อยากได้แฟนสวยๆก่อนตาย” ชายหนุ่มร้องขอชีวิต ที่บอกได้คำเดียวว่าสิ้นคิด
“เงียบ แล้วนำทางไป ฉันไม่ต้องการเจอกับดัก” คารินเน้นเสียงเข้ม ก่อนจะใช้ศอกดันคนไม่เคยมีแฟนให้เดินไปข้างหน้า แล้วเขาก็ได้เข้าใจศัพท์คำว่าโล่มนุษย์เข้าไปเต็มเปา เมื่อธนูนับสิบดอกถูกยิงมาจากทุกทิศทาง แล้วเขาก็เป็นผู้รับมันเข้าไปเต็มๆ โดยมีสาวคนสวยหลบอยู่เบื้องหลัง
“โห่ มีประโยชน์มากกว่าที่คิดแฮะ” (หน้าตาบอกว่าไม่สำนึกผิดเลยซักนิดกับชีวิตชาวบ้าน - -)เมื่อห่าธนูหยุดลง ชายผู้กลายเป็นโล่มนุษย์ก็นอนจมกองเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย คารินลุกขึ้นก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง พร้อมกับมือที่ยกขึ้นไหว้ร่างไร้วิญญาณของผู้มีพระคุณ
“ไปสู่ที่ชอบๆซะเถอะนะ ชาติหน้าขอให้มีแฟนสวยๆสมใจ สาธุ” โอ้มายก็อด สีหน้าสำนึกผิดโผล่ขึ้นแวบนึง ก่อนที่สาวเจ้าจะลุกขึ้นมาประกาศก้อง
\"สมบัติจ๋า~ คารินจังมาแล้วจ้า\" ไม่เหลือเค้าความสำนึกผิดอย่างแท้จริง
..........................................
“ให้ตายสิมากันเยอะจริงๆเลย แล้วเมื่อไรจะหมดซะทีละเนี่ย” ชายหนุ่มผมบลอนด์กลางวงตะลุมบอนกล่าวขึ้น โดยมือยังคงวุ่นวายกับการใช้ปืนเวทย์รับมือกับพวกลูกสมุนของแมทริค ปาร์คอยู่ ปืนที่ดีต้องเป็นได้ทั้งอาวุธรบและรับ เช่นตอนนี้ที่อาซาคุใช้อาวุธได้คุ้มจริงๆ
“หยุด!” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย พวกนั้นพากันหยุดมือหมดเมื่อเสียงของผู้เป็นหัวหน้ากล่าวห้าม รวมทั้งอาซาคุที่หยุดยิงแล้วด้วย
“หัวหน้า!”
“มันเป็นผู้บุกรุกครับท่าน”
“จัดการมันเลยครับ”
เสียงกล่าวขึ้นแกมปิติยินดี ดังขึ้นอื้ออึง
“ดูแลลูกสมุนของฉันได้ดีนี่ อย่างนี้ต้องขอบคุณซะหน่อยแล้ว” เจ้าตัวหัวหน้าสอดส่ายสายตามองไปยังสภาพรังของตัวเอง และพวกลูกน้องที่นอนแผ่หลาอยู่ และทั้งพวกที่เตรียมตัวลงไปน็อคนับสิบ ร่อแร่กันทั้งนั้น
“ไม่ต้องชม จะเอาไง เข้ามาพร้อมกันทีเดียวเลยก็ได้ ฉันไม่ถือ เร็วๆหน่อย ดึกแล้ว ง่วง” อาซาคุกล่าวปัด ก่อนจะยืนเก็กท่าประมาณว่าใครแน่จริงก็เข้ามาเลย พ่อจะอัดให้เรียบ
“ตัวต่อตัว ฉันมีสัจจะพอ พวกแกไม่ต้องเข้ามายุ่งดูแลคนเจ็บด้วย” แมททริค ปาร์คกล่าวขึ้น เหอๆ สัจจะในหมู่โจร
“ครับท่าน” พวกสมุนกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจในตัวหัวหน้าเต็มที่
ปืนยาวสองกระบอกที่เหน็บไว้ที่เอวของตัวหัวหน้าถูกชักออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม แล้วทั้งสองก็เข้าสู่โหมดต่อสู้ รังสีการฆ่าฟันกำลังถูกปลุกขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทั้งสองยังคงจ้องตาหยั่งเชิงกันอยู่ (จะได้เห็นพระเอกของเรื่องต่อสู้กับผู้ชายอย่างจริงจังแล้วซี่^o^ อ้าวเฮ้ย O_o)
เฟี้ยว ฉึก มีดบิน(จากไหนฟะเนี่ย) ปักเข้าที่คอหอยของแมทริค ปาร์คอย่างรวดเร็ว แล้วเจ้าของมีดก็ตะโกนขึ้น
“ไปได้แล้ว ฉันกวาดสมบัติมันมาเรียบแล้ว หนีเร็ว>O<” สาวผมส้มอมแดงวิ่งมาทางเขาอย่างเต็มสตรีม เธอวิ่งได้เร็วมากทั้งๆที่มีห่อผ้าใบใหญ่อะไรซักอย่างอยู่บนหลัง(ไม่ต้องทายก็น่าจะรู้นะว่าอะไรอะ =_+ )
แล้วโดยไม่รู้ตัวอาซาคุก็วิ่งหนีออกมาพร้อมกับเธอแล้ว
“นี่เธอ ฉันกำลังจะสู้แบบตัวต่อตัวนะ อย่างงี้ก็กลายเป็นฉันผิดคำพูดเซ่ >O<* ” อาซาคุตะโกนไปวิ่งไป
“ฉันไม่ใช่คนพูดนี่ แล้วอีกอย่างนะไม่เคยได้ยินคำนี้รึไง ไม่มีสัจจะในหมู่โจรอะ ถ้านายชนะมันนะ เดี๋ยวลูกน้องมันก็ต้องรุมสกรัมนายอยู่ดีอะ นี่ฉันช่วยนะเนี่ย” อีกครั้งที่แม่นี่ไม่มีคำว่าสำนึกผิดอยู่บนใบหน้า
“ว้อยย ฉันอยู่กับเธอเนี่ยมีแต่โชคร้ายทั้งปีให้ตายสิ”
“อย่าบ่นให้มากนักได้ม้ายย วิ่งไปเถอะน่า ชักช้าเจอเหยียบแน่”
ถ้าหันไปมองเบื้องหลังคงจะพบภาพที่คนเปล่งตาสีแดงด้วยความโรธแค้นไอ้สองตัวเบื้องหน้า อาวุธพวกมันครบมือ ไม่มีใครรู้นี่ว่าหยุดสู้แล้วจะรอดไหม ลูกบ้าอาจจะทำให้คนเก่งขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อความชัวร์ที่สุดตอนนี้ คือ เผ่น
การเผ่นของพวกเขาเป็นไปด้วยดี พูดง่ายๆก็รอด
(อ้าว อาซาคุค่าหัวแมทริค ปาร์คของนายละ ไม่เอาแล้วเรอะ O_o )
..
“อาจารย์กับซาคุทิ้งเค้าได้ยางงายย ทิ้งเค้าแล้วออกไปสนุกสองคนหรออ ขี้โกงที่ซู้ดด >O<” ไอ้ตัวที่แหกปากอยู่เนี่ย ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้กันใช่ไหม เหอๆๆ เมื่ออาซาคุและคารินสามารถหลบหนีจากการนอนสลบไสลใต้บาทาของพวกลูกน้องของแมทริค ปาร์คมาได้ คารินก็ตามมาพักที่เดียวกัน เหตุผลเพราะเท้าเธอมันพามาทางนี้แล้ว จะให้ไปโรงแรมที่เธอพัก คุณเธอก็ไม่อยากเสี่ยงซะนี่ อาซาคุที่ไม่มีอารมณ์จะเถียง ตอนนี้ที่พวกเขาทั้งคู่มองหามีแต่เตียงนุ่มๆน่านอนอย่างเดียวทั้งนั้น แต่แค่เปิดประคูเข้ามาเท่านั้นแหละ เสียงจากไอ้โลกิในชุดนอนก็แผดออกมารับพวกเขาที่หน้าประตูทันที
“หลบไปเลยไอ้โลกิ ฉันง่วง จะไปนอน ค่าหัวแมททริค ปาร์คก็ไม่ได้ อย่ากวนจะได้มะ”เสียงโหดเจือความง่วงเอ่ยกลับมา ด้วยดวงตาสีน้ำตาลที่มองเห็นแต่เตียงในตอนนี้
“ง่า โลกิ เหนื่อยอะขอนอนก่อนได้มะ” อาจารย์ที่แสนดีผู้มีสภาพไม่ต่างกันพูดบ้าง
“ไม่ด๊ายย ต้องพูดกันให้รุเรื่องก่อนทิ้งเค้าได้งาย” เสียงของโลกิที่ฟังแล้วไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของใครเลย
“เออ โลกิจ๊ะ พี่ขอไปหาเตียงก่อนเถอะนะ จะตายอยู่แล้ว”
“ไม่อ๊าวว เล่าให้เค้าฟังก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น”
“พรุ่งนี้เช้านะจ๊ะ พรุ่งนี้เช้า”
ปุ! แล้วซอมบี้ทั้งสองก็สามารถลากสังขารจากการเกาะกุม ก่อกวนของ(ไอ้)โลกิ แล้วมาหล่นตุ๊บลงบนที่นอนได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว โลกจะแตก ไฟจะไหม้ ก็คงไม่มีอะไรมาปลุกพวกเขาจากนิทรารมย์ได้ แน่นอนไม่เว้นแม้กระทั้งเสียงแง้วๆ ของเด็กชาย ZzZZzZZzz
..
แสงแดดของยามเช้าเริ่มสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างห้องเข้ามาทำให้หนังตาและแพขนตายาวปรือขึ้นๆลงๆเพื่อจะรับแสงสว่าง
เช้าแล้วหรอเนี่ย ฮ้าว ยังง่วงอยู่เลยอ่า ใครก็ได้ปิดม่านทีเซ้ เห ไม่ใช่ห้องพักที่โรงแรมเรานี่ แล้วนี่มันที่ไหนหว่า คิดๆแต่ก็ยังไม่อยากลุกออกจากเตียงอยู่ดี อืม เมื่อคืน ค่าหัวแมทริคปาร์ค สมบัติ อืมๆ ง่วงมากก็เลยมาพักกับ อืมคิดพลางพลิกตัวมาอีกฝั่งเตียง แล้วก็แทบช็อค ดวงตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดเมื่อซักครู่นี้กับเบิกตาโตราวไข่ห่าน
“อ๊ากกกกกก นายมาอยู่บนเตียงฉันได้ไง แว้กๆๆๆ” สาวคนรู้สึกตัวตื่นเต็มตารีบแสดงตามบทเต็มที่
“...เงียบน่า หนวกหู คนจะนอน...”เสียงที่ตอบกลับมาบอกอาการคนไม่สร่างอาการง่วงทำท่าจะเอาผ้าห่มคลุมโปงพลิกตัวหนีทันที
“ฉันเข้าใจว่าฉันสวย หุ่นก็ดี นายจะอดใจไม่ไหวมันก็ไม่ผิด แต่ก็ช่วยระงับอารมณ์หน่อยไม่ได้รึไง โฮ ท่านพ่อ ท่านแม่ ร่างกายของลูกคนนี้ไม่บริสุทธิ์ ซะแล้ววTT^TT “ (ยัยนี่สติยังดีป่าวอะ)
“ว้อย ก็นี่มันเตียงฉัน ใครใช้ให้ตามมาเล่า แล้วยังมาแย่งเตียงนอนฉันอีก อุตส่าห์ลากลงจากเตียงไปแล้วใครใช้ให้ตะเกียกตะกายขึ้นมาอีก แล้วก็นะ ผู้หญิงหน้าเงินอย่างเธอฉันไม่สนหรอกขอบอกไว้เลย ไม่ใช่เสป็ค” อาซาคุยกตัวขึ้นมาเถียงกลับไปบ้าง(เผื่อคุณเธอจะเงียบ จะได้นอนต่อ) ก่อนจะโดนหมอนพิฆาตอัดใส่หน้าจากสาวคนไม่ตรงเสป็คที่ยืนตาเขียงปั้ด
“นี่นายกล้าว่าฉันหรอ โห อย่างนายก็ไม่ใช่เสป็คฉันหรอกย่ะ
“อย่างน้อยก็ไม่เหมือนใครบางคน เฮอะ เป็นผู้หญิงซะป่าว นอนก็ดิ้น ทั้งถีบทั้งเตะทั้งต่อย เชื่อเลย ใครเอามาเป็นแฟนคงแย่
-----------ยังไม่เสร็จอ่า
“ฮ่ะๆๆ ได้สิๆ” คารินกล่าวรับคำด้วยดวงตาสีฟ้าใสที่ไม่พยายามจะปิดบังความขบขัน เธอมีผมสีส้มอมแดงที่ถูกมัดรวบต่ำเป็นสองข้างไว้เคลียบ่า หุ่นของเธอน่ะเหรอ คิดว่าคงไม่ต้องพูดถึงเพราะดูจากสายตาของพวกผู้ชายทั้งหลายทั้งแหล่นั้นมองมาด้วยดวงตาซะเยิ้มขนาดนั้น ก็คงไม่มีอะไรต้องบรรยายกันละ ยิ่งเมื่อควบคู่ไปกับนิสัยการแต่งตัวที่ชอบใส่เข้ารูปและโชว์เนื้อหนังมังสาเป็นพิเศษแล้ว เหอๆๆ ใครกล้าปฏิเสธก็ให้มันรู้ไป ยกเว้นก็แต่
“โ ล กิ เจ้าคิดว่าจะให้ยายนักต้มตุ๋นนี่สอนอะไร 108วิชาจิ๊กของชาวบ้านเรอะ!” น้ำเสียงเข้มที่บ่งบอกให้รู้ว่าใครบางคนยังคงอารมณ์ค้าง
“เรียกให้มันดีๆหน่อย ใครเป็นนักต้มตุ๋นกัน ฉันก็บอกนายไปแล้วไงว่าฉันเป็นนักล่าสมบัติ” นักต้มตุ๋นเอ๊ยนักล่าสมบัติที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่เจ้าตัวเพิ่งจะกระทำมาหยกๆเอ่ยค้าน
“ใช่ๆ ซาคุเรียกพี่เขาดีๆหน่อยสิ พี่เขาชื่อคารินต่างหาก” โลกิให้การสมทบทันที
“ฮึ่ย ข้าไม่กินมันละ” พูดพลางลุกพรวดจากโต๊ะอาหารแล้วเดินกระแทกส้นเท้าราวกับจะให้ร้านมันพังลงซะให้ได้ออกจากร้านไป 
ใช่ เมื่อพวกเขาหลบหนีจากการจับกุมของพวกหน่วยรักษาการณ์ได้แล้ว โลกิที่ถูกฉุดกระชากลากมาก็ได้สติตื่นขึ้นมาพร้อมกับร้องด้วยเสียงอันดังว่าตนหิวข้าว จนทำให้ชาวเมืองแถวนั้นหันมามองด้วยสายตาที่แบบว่า ไม่มีตังค์กระทั่งจะไปกินข้าวกันหรอ พร้อมส่งเสียงซุบซิบนินทาอีกต่างหาก จนทำให้พวกเขาต้องแวะกันมาที่ร้านอาหารที่ใกล้ที่สุดร้านนี้
“เดี๋ยวสิซาคุ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่” โลกิตะโกนถามไล่หลังไป
“ไม่หิว” เสียงตอบกลับมาที่ทำให้รู้ว่าคนตอบอยู่ห่างไกลออกไปพอสมควรแล้ว
“เฮอะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้” คารินเปรยๆออกมา
“เราจะอยู่ที่นี่กันอีกนานไหม ซาคุ”
“ก็จนกว่าจะได้ค่าหัวของแมทริค ปาร์ค” เสียงตอบกลับมาเรียบๆ
“พวกนายจะไปบุกรังของมันกันใช่มั้ย พอดีฉันมีธุระกับที่นั่นเหมือนกัน” เสียงที่ไม่น่าจะดังขึ้นกล่าว
“ ”
“ตามมาทำไม”
“ใครตามนายมากัน โลกิเขารับฉันเป็นอาจารย์แล้วย่ะ อาจารย์ที่แสนดีตามมาดูแลลูกศิษย์มันผิดตรงไหน ใช่ไหมจ๊ะโลกิ”
“ฮะ”โลกิตอบขึ้น ตั้งแต่เมื่อวานเจ้าตัวก็ไม่ยอมห่างจากคารินเลย
“ไม่ได้ ฉันไม่อนุญาต” คำค้านที่ฟังดูไร้สาระที่สุด ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้
ตอนนี้คณะเดินทางทั้ง 3 (รวมสาวน้อยหน้าใหม่เข้าไปด้วยแล้ว)กำลังเดินอยู่ในย่านการค้าของเมืองบัลลาร์ด ถึงแม้เมืองนี้จะไม่ใช่เมืองใหญ่อะไรแต่ผู้คนก็ยังพลุกพล่านอยู่ดี พวกเขากำลังเดินดูของและพูดถึงค่าหัวที่น่าสนใจของแมททริค ปาร์ค นักค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ที่มาแอบหลบซ่อนทำการค้าอยู่ในเมืองนี้
“อะไรของนาย  เรื่องเมื่อวานก็เลี้ยงข้าวไถ่โทษแล้วไง(ถึงจะไม่ได้กินก็เถอะ) แล้วพนันกันก็ได้ว่านายยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับไอ้แมททริค ปาร์ค นั่นมากเท่ากับฉัน” คารินเริ่มจะรู้ถึงความไม่พอใจต่อตัวเองของอีกฝ่ายในทันที  ก่อนจะยิ้มพรายแล้วเสนอข้อเสนอออกไป
“ฉันไปของฉันเองได้ ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนักต้มตุ๋น” อีกครั้งที่คำเถียงฟังดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
“งั้นนายคงไม่รู้สินะว่า ช่วงนี้ไอ้เจ้านั่นมันไปติดต่อซื้อขายปืนใหญ่ต่างเมืองยังไม่กลับมา”
“ง่า รู้สิรู้ เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้”
“ฉันโกหก”
“ ” เงียบ นิ่ง อึ้ง โง่
แล้วเจ้าลูกศิษย์และอาจารย์ก็พากันปล่อยพรืด ฮากันยกใหญ่ จนคนโดนหลอกไม่รู้เบื่อ ต้องกลายมาเป็นฝ่ายไปซะแล้ว
..
“คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ความมืดจะช่วยบดบังพวกเราไว้ทำให้ทำงานได้สะดวก ช่วงเที่ยงคืนจะมีการเปลี่ยนเวรยามการรักษาความปลอดภัยจะ
หละหลวมที่สุด เราจะบุกเข้าจู่โจมในเวลานี้ โดยที่ฉันจะพานายเข้าไปในรังของพวกมันเองเอาเป็นว่าตามฉันมาแล้วกัน ง่ายที่สุด” คารินกล่าว
ขึ้นในระหว่างสังเกตการณ์อยู่บนต้นไม้ใหญ่
“แล้วเธอพาฉันมาง่ายๆแบบนี้ เธอจะได้อะไร คงไมใช่หลอกไปตายหรอกนะ”เสียงเจ้าคนเคยโดนหลอก ถามขึ้นด้วยความที่ไม่อยากมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“มันก็ไม่แน่” เธอพูดพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้คนถามคิดได้ว่าไม่น่าหลงเชื่อใจจนตามมาด้วยเลย
เ
มื่อเข็มชี้ตีบอกเวลาเที่ยงคืนยามรักษาการณ์หน้าถ้ำก็พูดอะไรสองสามคำก่อนประตูถ้ำจะเปิดแล้วเดินหายเข้าไป คารินกระโดดลงจากต้นไม้อย่างชำนาญก่อนจะตามลงมาด้วยซาคุ ส่วนโลกินั้นหรือ พวกเขาตัดสินใจที่จะทิ้งไว้ที่โรงแรม เพราะยังไงเด็กก็คือเด็กหลับสนิทไม่รู้เรื่อง อย่างว่าละเที่ยงคืนแล้วนี่
เมื่อซาคุมาถึงหน้าปากทางเข้าถ้ำก็ต้องประหลาดใจเมื่อปากถ้ำที่เขาเห็นนั้นปิดสนิทไม่มีแม้แต่ช่องอากาศจะให้หนูซักตัวลอดเข้าไปได้ แต่คารินก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นหน้าตาไม่ประหลาดใจอะไรนัก ขณะที่พึมพำบางอย่างราวกับต้องการทบทวนความจำให้แน่ใจ
“มันปิดอยู่ จะเข้าไปยังไงละแม่คนเก่ง” ทำไมต้องไม่วายพูดเหน็บกันทุกทีเลยฮึคารินคิด แต่ก็ไม่ได้ต่อความอะไร เพราะเธอกำลังใช้ความคิดอยู่
“แปป กำลังทวน”
“ฮึ ไม่รู้ก็บอกมาเถอะน่า” พูดเสร็จคนที่คิดว่าตนได้ทีเหนือกว่าก็ก้าวไปหน้าปากถ้ำพลางเรียกอาวุธคู่มือออกมา คราวนี้สิ่งที่ถูกดึงออกมาจากเจ้ากระแสหมุนวนไม่ใช่ดาบเล่มยาวแต่เป็นปืนด้ามสีเงินมีอักขระปรากฏอยู่ตามกระบอก
“เปรี้ยง” สิ้นเสียงคนคิดว่าตนเหนือกว่าก็กระเด็นห่างไปร้อยเมตร เนื่องจากกระสุนเวทย์ที่เขายิงออกมานั้นไม่ได้ตรงเข้าทำลายปากถ้ำแต่กลับหันหัวกระสุนวิ่งมาทางเขาซะนี่
“งี่เง่า ประตูฐานทัพที่ดีต้องลงอาคมป้องกันพลังเวทไว้หัดใช้สมองซะมั่งซี่ ไม่ใช่นึกจะเอาปืนสั่วๆที่ไหนมายิงก็จะเข้าไปกันได้ง่ายๆ ” คารินกล่าวพลางมองไปที่เจ้าคนชอบเหนือกว่าที่กำลังจะพยุงตัวกลับมา
“ทำไมไม่บอกแต่แรกเล่า”
“ก็นายไม่ได้ถาม” คำตอบที่ทำเอาคนฟังต้องเหล่ตามองอย่างคนยอมแพ้ เจ้าหล่อนชนะอีกแล้ว
“แล้วไม่ต้องคิดที่จะใช้ดาบเลยนะขอบอก ไม่เป็นผล” เจ้าของดวงตาสีฟ้ารีบกล่าวห้ามไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
“รู้แล้วน่า งั้นจะเอาไง”
“ดูไป เงียบๆ” คำตอบที่สั่งมา ทำให้คนฟังเบ้ปากไปพอสมควร แต่ก็ต้องทำตาม เพราะไม่อยากเจอของดี
“โอม จงเปิดๆ” หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมทำมือที่ตัวเองคิดว่าเหมือนกำลังร่ายมนต์บทสำคัญ ที่ดูแล้วน่าขันมากกว่าน่ามอง
“ง่า ไม่ได้ผลแฮะ”
“ด้วยอำนาจแห่งจันทราจงสำแดงฤทธา เปิดประตูให้ข้าในบัดดล”
“โอมมะลึกกึ๊กึ๋ยๆๆ เพี้ยง”
“โอม สึนามิ เปิดๆๆ”
“ลัลลัลลัลลาจงเปิด ณ บัดนี้”เอ้า เอาเข้าไป ไม่ท่องเปล่าจะเต้นฮูลาฮูล่าแดนซ์โชว์อีกนั่น
“เล่นอะไรของเธอ” คนทนดูไม่ได้ถามขึ้น ก่อนที่จะได้ลองคาถาบทใหม่
“ก็คาถาเปิดประตูไงเล่า เหมือนในนิทานไง เรื่องอะลาดินกับ49ขุมโจร อะไรน้าๆ”
“จงเปิดเซซามี่?” คนนึกนิทานเรื่องนั้นออก ถามทวนคำอย่างไม่แน่ใจว่ามันจะใช่เหรอ
“ใช่ จงเปิดเซซามี่!” คารินตะโกนด้วยความดีใจ รับกับเสียงหนักๆของหินที่เลื่อนออกจากกัน แล้วปากทางเข้าถ้ำที่แน่นหนาไม่ว่าจะเป็นมนต์หรือคมดาบก็ไม่สามารถทำอะไรได้กับถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
แล้วแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองก็เดินก็เดินเข้าสู่ถ้ำเบื้องหน้าที่เมื่อพวกเขาเข้ามากันหมดแล้ว ก็เลื่อนปิดลงอย่างแน่นหนาเหมือนเคย เวลาออกจะทำไงเนี่ย?
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนายก็อ่านนิทานด้วย” คนไม่ชอบความเงียบเริ่มเปิดบทสนทนา
“คนอย่างฉันมันทำไม” ก่อนจะได้รับคำตอบมาพร้อมสายตาอาฆาต
“เปล๊า แค่ดูแล้วไม่น่าจะเคยอ่าน”
ทั้งคู่เดินเข้ามาลึกกันพอสมควร ทั้งทางแยก ทางโค้งเพดานที่ลดต่ำหรือตลอดจนถ้ำกว้างที่ว่างเปล่า แต่ที่เจอก็เพียงทหารยามสองคนที่คงจะมาเปลี่ยนเวรยามกับพวกแรกที่เข้าไป แต่อย่างว่าแค่ยามสองคนจะไปทนมือทนไม้อะไร เขาใช้เพียงแค่กระบอกปืนก็เหลือแหล่แล้ว แล้วเสียงเฮฮาของงานสังสรรค์และแสงสว่างเบื้องหน้าก็เริ่มเข้าสู่สายตา
“ราวๆ 20 คน เธอจะจัดการเท่าไหร่” อาซาคุยื่นหน้าโผล่พ้นหินออกไปมองกลุ่มผู้ก่อการร้าย ก่อนจะนับเป็นตัวเลขและยกข้เสนอให้ช่วยกัน
“ ” เงียบ  ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
“ยายนักต้มตุ๋น” เขาเรียกแกมตะคอกพลางหันมามองที่ว่างเปล่าซึ่งควรเป็นที่อยู่ของสาวคนนำทาง
ไวยังกับปรอท เหมาะกับอาชีพนักย่องเบามากกว่าที่คิด
.
ในเงามืด สาวผมสีส้มอมแดง ในชุดรัดกุม กำลังกึ่งเดินกึ่งย่องไปในมุมอับสายตาของถ้ำ เป้าหมายอยู่เบื้องหน้า แต่ดันมีคนยืนเฝ้าเพียบเลยนี่ อย่างว่าได้มาง่ายก็ไม่สนุก! รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะหยิบฉวยชุดมีดเล่มเล็กคู่ใจขึ้นมาถือ
“ฉึกๆๆๆ”มีดบินตรงเข้าจุดตายไม่มีบิดพลิ้วจนหน้าใจหาย ก่อนทันได้รู้ตัวลมหายใจก็ไม่เหลือแล้ว
ชายคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เมื่อเห็นพวกล้มลงไป ก็อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก เมื่อมีดเล่มสวยกำลังถูกวางขนาบไว้ที่คอ ด้วยความเร็วขั้นสุดยอดที่ไม่ทันจะทำให้เขาตั้งตัวซักนิด
“ถ้าร้องเสียงดังซักแอะ แกได้ตายดีแน่” เธอว่าพลางยิ้มแสยะ
“ไว้ชีวิตผมนะ ชีวิตนี้ผมยังหาแฟนไม่ได้เลย อย่างน้อยก็อยากได้แฟนสวยๆก่อนตาย” ชายหนุ่มร้องขอชีวิต ที่บอกได้คำเดียวว่าสิ้นคิด
“เงียบ แล้วนำทางไป ฉันไม่ต้องการเจอกับดัก” คารินเน้นเสียงเข้ม ก่อนจะใช้ศอกดันคนไม่เคยมีแฟนให้เดินไปข้างหน้า แล้วเขาก็ได้เข้าใจศัพท์คำว่าโล่มนุษย์เข้าไปเต็มเปา เมื่อธนูนับสิบดอกถูกยิงมาจากทุกทิศทาง แล้วเขาก็เป็นผู้รับมันเข้าไปเต็มๆ โดยมีสาวคนสวยหลบอยู่เบื้องหลัง
“โห่ มีประโยชน์มากกว่าที่คิดแฮะ” (หน้าตาบอกว่าไม่สำนึกผิดเลยซักนิดกับชีวิตชาวบ้าน - -)เมื่อห่าธนูหยุดลง ชายผู้กลายเป็นโล่มนุษย์ก็นอนจมกองเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย คารินลุกขึ้นก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง พร้อมกับมือที่ยกขึ้นไหว้ร่างไร้วิญญาณของผู้มีพระคุณ
“ไปสู่ที่ชอบๆซะเถอะนะ ชาติหน้าขอให้มีแฟนสวยๆสมใจ สาธุ” โอ้มายก็อด สีหน้าสำนึกผิดโผล่ขึ้นแวบนึง ก่อนที่สาวเจ้าจะลุกขึ้นมาประกาศก้อง
\"สมบัติจ๋า~ คารินจังมาแล้วจ้า\" ไม่เหลือเค้าความสำนึกผิดอย่างแท้จริง
..........................................
“ให้ตายสิมากันเยอะจริงๆเลย แล้วเมื่อไรจะหมดซะทีละเนี่ย” ชายหนุ่มผมบลอนด์กลางวงตะลุมบอนกล่าวขึ้น โดยมือยังคงวุ่นวายกับการใช้ปืนเวทย์รับมือกับพวกลูกสมุนของแมทริค ปาร์คอยู่ ปืนที่ดีต้องเป็นได้ทั้งอาวุธรบและรับ เช่นตอนนี้ที่อาซาคุใช้อาวุธได้คุ้มจริงๆ
“หยุด!” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย พวกนั้นพากันหยุดมือหมดเมื่อเสียงของผู้เป็นหัวหน้ากล่าวห้าม รวมทั้งอาซาคุที่หยุดยิงแล้วด้วย
“หัวหน้า!”
“มันเป็นผู้บุกรุกครับท่าน”
“จัดการมันเลยครับ”
เสียงกล่าวขึ้นแกมปิติยินดี ดังขึ้นอื้ออึง
“ดูแลลูกสมุนของฉันได้ดีนี่ อย่างนี้ต้องขอบคุณซะหน่อยแล้ว” เจ้าตัวหัวหน้าสอดส่ายสายตามองไปยังสภาพรังของตัวเอง และพวกลูกน้องที่นอนแผ่หลาอยู่ และทั้งพวกที่เตรียมตัวลงไปน็อคนับสิบ ร่อแร่กันทั้งนั้น
“ไม่ต้องชม จะเอาไง เข้ามาพร้อมกันทีเดียวเลยก็ได้ ฉันไม่ถือ เร็วๆหน่อย ดึกแล้ว ง่วง” อาซาคุกล่าวปัด ก่อนจะยืนเก็กท่าประมาณว่าใครแน่จริงก็เข้ามาเลย พ่อจะอัดให้เรียบ
“ตัวต่อตัว ฉันมีสัจจะพอ พวกแกไม่ต้องเข้ามายุ่งดูแลคนเจ็บด้วย” แมททริค ปาร์คกล่าวขึ้น เหอๆ สัจจะในหมู่โจร
“ครับท่าน” พวกสมุนกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจในตัวหัวหน้าเต็มที่
ปืนยาวสองกระบอกที่เหน็บไว้ที่เอวของตัวหัวหน้าถูกชักออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม แล้วทั้งสองก็เข้าสู่โหมดต่อสู้ รังสีการฆ่าฟันกำลังถูกปลุกขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทั้งสองยังคงจ้องตาหยั่งเชิงกันอยู่ (จะได้เห็นพระเอกของเรื่องต่อสู้กับผู้ชายอย่างจริงจังแล้วซี่^o^ อ้าวเฮ้ย O_o)
เฟี้ยว ฉึก มีดบิน(จากไหนฟะเนี่ย) ปักเข้าที่คอหอยของแมทริค ปาร์คอย่างรวดเร็ว แล้วเจ้าของมีดก็ตะโกนขึ้น
“ไปได้แล้ว ฉันกวาดสมบัติมันมาเรียบแล้ว หนีเร็ว>O<” สาวผมส้มอมแดงวิ่งมาทางเขาอย่างเต็มสตรีม เธอวิ่งได้เร็วมากทั้งๆที่มีห่อผ้าใบใหญ่อะไรซักอย่างอยู่บนหลัง(ไม่ต้องทายก็น่าจะรู้นะว่าอะไรอะ =_+ )
แล้วโดยไม่รู้ตัวอาซาคุก็วิ่งหนีออกมาพร้อมกับเธอแล้ว
“นี่เธอ ฉันกำลังจะสู้แบบตัวต่อตัวนะ อย่างงี้ก็กลายเป็นฉันผิดคำพูดเซ่ >O<* ” อาซาคุตะโกนไปวิ่งไป
“ฉันไม่ใช่คนพูดนี่ แล้วอีกอย่างนะไม่เคยได้ยินคำนี้รึไง ไม่มีสัจจะในหมู่โจรอะ ถ้านายชนะมันนะ เดี๋ยวลูกน้องมันก็ต้องรุมสกรัมนายอยู่ดีอะ นี่ฉันช่วยนะเนี่ย” อีกครั้งที่แม่นี่ไม่มีคำว่าสำนึกผิดอยู่บนใบหน้า
“ว้อยย ฉันอยู่กับเธอเนี่ยมีแต่โชคร้ายทั้งปีให้ตายสิ”
“อย่าบ่นให้มากนักได้ม้ายย วิ่งไปเถอะน่า ชักช้าเจอเหยียบแน่”
ถ้าหันไปมองเบื้องหลังคงจะพบภาพที่คนเปล่งตาสีแดงด้วยความโรธแค้นไอ้สองตัวเบื้องหน้า อาวุธพวกมันครบมือ ไม่มีใครรู้นี่ว่าหยุดสู้แล้วจะรอดไหม ลูกบ้าอาจจะทำให้คนเก่งขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อความชัวร์ที่สุดตอนนี้ คือ เผ่น
การเผ่นของพวกเขาเป็นไปด้วยดี พูดง่ายๆก็รอด
(อ้าว อาซาคุค่าหัวแมทริค ปาร์คของนายละ ไม่เอาแล้วเรอะ O_o )
..
“อาจารย์กับซาคุทิ้งเค้าได้ยางงายย ทิ้งเค้าแล้วออกไปสนุกสองคนหรออ ขี้โกงที่ซู้ดด >O<” ไอ้ตัวที่แหกปากอยู่เนี่ย ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้กันใช่ไหม เหอๆๆ เมื่ออาซาคุและคารินสามารถหลบหนีจากการนอนสลบไสลใต้บาทาของพวกลูกน้องของแมทริค ปาร์คมาได้ คารินก็ตามมาพักที่เดียวกัน เหตุผลเพราะเท้าเธอมันพามาทางนี้แล้ว จะให้ไปโรงแรมที่เธอพัก คุณเธอก็ไม่อยากเสี่ยงซะนี่ อาซาคุที่ไม่มีอารมณ์จะเถียง ตอนนี้ที่พวกเขาทั้งคู่มองหามีแต่เตียงนุ่มๆน่านอนอย่างเดียวทั้งนั้น แต่แค่เปิดประคูเข้ามาเท่านั้นแหละ เสียงจากไอ้โลกิในชุดนอนก็แผดออกมารับพวกเขาที่หน้าประตูทันที
“หลบไปเลยไอ้โลกิ ฉันง่วง จะไปนอน ค่าหัวแมททริค ปาร์คก็ไม่ได้ อย่ากวนจะได้มะ”เสียงโหดเจือความง่วงเอ่ยกลับมา ด้วยดวงตาสีน้ำตาลที่มองเห็นแต่เตียงในตอนนี้
“ง่า โลกิ เหนื่อยอะขอนอนก่อนได้มะ” อาจารย์ที่แสนดีผู้มีสภาพไม่ต่างกันพูดบ้าง
“ไม่ด๊ายย ต้องพูดกันให้รุเรื่องก่อนทิ้งเค้าได้งาย” เสียงของโลกิที่ฟังแล้วไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของใครเลย
“เออ โลกิจ๊ะ พี่ขอไปหาเตียงก่อนเถอะนะ จะตายอยู่แล้ว”
“ไม่อ๊าวว เล่าให้เค้าฟังก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น”
“พรุ่งนี้เช้านะจ๊ะ พรุ่งนี้เช้า”
ปุ! แล้วซอมบี้ทั้งสองก็สามารถลากสังขารจากการเกาะกุม ก่อกวนของ(ไอ้)โลกิ แล้วมาหล่นตุ๊บลงบนที่นอนได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว โลกจะแตก ไฟจะไหม้ ก็คงไม่มีอะไรมาปลุกพวกเขาจากนิทรารมย์ได้ แน่นอนไม่เว้นแม้กระทั้งเสียงแง้วๆ ของเด็กชาย ZzZZzZZzz
..
แสงแดดของยามเช้าเริ่มสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างห้องเข้ามาทำให้หนังตาและแพขนตายาวปรือขึ้นๆลงๆเพื่อจะรับแสงสว่าง
เช้าแล้วหรอเนี่ย ฮ้าว ยังง่วงอยู่เลยอ่า ใครก็ได้ปิดม่านทีเซ้ เห ไม่ใช่ห้องพักที่โรงแรมเรานี่ แล้วนี่มันที่ไหนหว่า คิดๆแต่ก็ยังไม่อยากลุกออกจากเตียงอยู่ดี อืม เมื่อคืน ค่าหัวแมทริคปาร์ค สมบัติ อืมๆ ง่วงมากก็เลยมาพักกับ อืมคิดพลางพลิกตัวมาอีกฝั่งเตียง แล้วก็แทบช็อค ดวงตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดเมื่อซักครู่นี้กับเบิกตาโตราวไข่ห่าน
“อ๊ากกกกกก นายมาอยู่บนเตียงฉันได้ไง แว้กๆๆๆ” สาวคนรู้สึกตัวตื่นเต็มตารีบแสดงตามบทเต็มที่
“...เงียบน่า หนวกหู คนจะนอน...”เสียงที่ตอบกลับมาบอกอาการคนไม่สร่างอาการง่วงทำท่าจะเอาผ้าห่มคลุมโปงพลิกตัวหนีทันที
“ฉันเข้าใจว่าฉันสวย หุ่นก็ดี นายจะอดใจไม่ไหวมันก็ไม่ผิด แต่ก็ช่วยระงับอารมณ์หน่อยไม่ได้รึไง โฮ ท่านพ่อ ท่านแม่ ร่างกายของลูกคนนี้ไม่บริสุทธิ์ ซะแล้ววTT^TT “ (ยัยนี่สติยังดีป่าวอะ)
“ว้อย ก็นี่มันเตียงฉัน ใครใช้ให้ตามมาเล่า แล้วยังมาแย่งเตียงนอนฉันอีก อุตส่าห์ลากลงจากเตียงไปแล้วใครใช้ให้ตะเกียกตะกายขึ้นมาอีก แล้วก็นะ ผู้หญิงหน้าเงินอย่างเธอฉันไม่สนหรอกขอบอกไว้เลย ไม่ใช่เสป็ค” อาซาคุยกตัวขึ้นมาเถียงกลับไปบ้าง(เผื่อคุณเธอจะเงียบ จะได้นอนต่อ) ก่อนจะโดนหมอนพิฆาตอัดใส่หน้าจากสาวคนไม่ตรงเสป็คที่ยืนตาเขียงปั้ด
“นี่นายกล้าว่าฉันหรอ โห อย่างนายก็ไม่ใช่เสป็คฉันหรอกย่ะ
“อย่างน้อยก็ไม่เหมือนใครบางคน เฮอะ เป็นผู้หญิงซะป่าว นอนก็ดิ้น ทั้งถีบทั้งเตะทั้งต่อย เชื่อเลย ใครเอามาเป็นแฟนคงแย่
-----------ยังไม่เสร็จอ่า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น