ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    < Fantasy In The Magic Kingdom ขอต้อนรับสู่โลกเวทย์มนตร์ค่า>

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 : เปิดตำนาน

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 48


    “โอย หิวข้าวจะตายอยู่แล้ว ซาคุนี่เราเดินทางกันมากี่วันแล้วเนี่ย” เสียงบ่นเริ่มขึ้น และแน่นอนเมื่อเริ่มขึ้นแล้วก็ใช่ว่าจะเลิกบ่นกันได้ง่ายๆ



    “เจ้าก็รอเราด้วยสิ ขายิ่งสั้นๆอยู่” เสียงเด็กชายคนเดิมยังคงบ่นจนออกอาการประท้วงอย่างไม่ลดละ หากแต่ร่างสูงเบื้องหน้าก็ยังคงก้าวเดินฉับๆต่อไป อย่างไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ  



    “เราเหนื่อยแล้วอะ หยุดพักกันข้างหน้านี้เถอะนะ ซาคุน้า~” เด็กชายยังคงส่งเสียงต่อไปไม่เลิก  จนกระทั่ง…



    “อุ้มเราน้าอุ้มเราที” คำขอที่ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของคนทนฟังเสียงบ่นมาตลอดทางก็ขาดดังผึง



    “ไม่!!!!” เสียงที่ดูหนุ่มและทุ้มกว่า ตะคอกกลับไปอย่างหัวเสีย



    จากที่เด็กชายข้างตัวเรียกทำให้พอจะรู้ว่า เขาชื่อซาคุ(ที่จริงชื่ออาซาคุแต่ไอ้เด็กบ้านี่เรียกซาคุ : อาซาคุ) ผมสีบลอนด์รับกับหน้าสวยจนจะติดเหมือนผู้หญิง(ที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนจะกินคนได้ทั้งคน) ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนออกอาการตาขวางส่งสายตาปรามไปยังเจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ ให้เลิกบ่นซะที



    “โลกิ ฉันก็เหนื่อยพอๆกับนายนั่นแหละ จะบ่นให้มันมากความทำไม”



    “ก็เราหิวแล้วอะ ไม่มีไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้วนะ”



    “แล้วใครกันละที่เป็นคนสวาปามเสบียงทั้งหมดที่ฉันเตรียมมาภายในมื้อเดียวน่ะ” คำกล่าวจากชายหนุ่มทำเอาคนขี้บ่นเงียบเสียงลง เพราะรู้ดีว่าเจ้าคนที่เพื่อนร่วมทางหมายถึงคือใคร จึงได้แต่ทำปากขมุบขมิบ



    โลกิ หน้าตาของเด็กชายแสดงอาการบึ้งตึงบวกกับดวงตาตาสีม่วงที่ออกอาการค้อนขวับ แก้มทั้งสองข้างมีรูปสัญลักษณ์สามเหลี่ยมคว่ำที่ถูกวาดด้วยโลหิตสีแดง เรือนผมสีดำขลับเป็นมันแต่กลับดูยุ่งเหยิงปกปิดใบหน้าบางส่วนไป ปอยผมด้านหลังถูกรวบเป็นหางม้าไว้ ส่วนสิ่งที่แสดงถึงความต่างออกไปก็คือหางและหูหมาป่าของเขาตอนนี้ลู่ลงแสดงอาการหดหู่อย่างสุดซึ้ง!?



    การเดินเท้าของพวกเขาได้ใช้เส้นทางของพวกพ่อค้าที่ใช้เกวียนบรรทุกของเข้าเมือง ซึ่งตามทางไม่มีอะไรให้สังเกตมากนัก  จนพอเริ่มเข้าใกล้เขตชานเมือง และภาพกลุ่มคนที่เข้าสู่สายตากลุ่มแรกก็คือ หญิงสาวที่มีสีหน้าหวาดกลัว  น้ำตาคลอเบ้า เนื่องจากเธอกำลังยืนอยู่กลางวงล้อมของกลุ่มชาย 5 คนที่หน้าตาเตรียมเอาเรื่องเต็มที่



    “กรี๊ด~ ช่วยด้วยค่า ใครก็ได้ช่วยหยุดพวกมันที” หญิงสาวที่กำลังจะถูกต้อนจนมุมเริ่มร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง



    “หวา~  ซาคุ พี่สาวกำลังถูกรังแกแน่ะ” โลกิเอ่ยขึ้น



    “ก็แล้วไง ไม่เกี่ยวกับฉันซะหน่อย” อาซาคุกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ



    แต่เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวชอบก่อปัญหาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นป้องปากแล้วตะโกนว่า “เฮ้ๆ เจ้าพวกงี่เง่าทั้งหลาย เพื่อนของข้าบอกว่าจะอัดพวกเจ้าให้เละและช่วยพี่สาวคนนั้นให้ได้แน่ะ”



    ได้ผล! พวกผู้ชายกลุ่มนั้นที่กำลังรุมล้อมหญิงสาวก็หันมาพร้อมกันและจับจ้องไปยังผู้มาใหม่ในทันที (แต่ละคนหน้าตาประมาณว่าเหมาะกับบทผู้ร้ายจริงจริ๊ง)



    อาซาคุได้แต่แยกเขี้ยวใส่คนที่ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา (ดูท่าคงจะเป็นอย่างนี้หลายรอบแล้ว) ก่อนจะกางฝ่ามือข้างขวาออก



    พวกนั้นได้แต่ตกตะลึงจนตาค้างเมื่อที่ฝ่ามือของหนุ่มคนที่ถูกป่าวประกาศว่าจะเป็นคนล้มพวกเขา เกิดกระแสพลังหมุนวนสีดำขึ้นแล้วก็ปรากฏส่วนด้ามดาบออกมาจากใจกลางวงนั้น



    อาซาคุดึงด้ามดาบออกมาจนสุดปลาย ช่องว่างสีดำนั่นถึงได้ปิดลง แล้วตอนนี้เขาก็ยืนถือดาบที่มีลักษณะเรียวยาวกว่าดาบคนปกติด้วยมือข้างเดียวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ในขณะที่พวกมันเริ่มตั้งสติได้ก็พากันชักอาวุธที่อยู่ในตัวออกมา ก่อนจะล้อมเขาไว้กลางวง



    “เอ้า เข้ามาก่อนเลย”



    สิ้นคำพูด พวกมันมองหน้ากันเหรอหรา ประมาณว่าแกเข้าไปก่อนสิ ก่อนจะตัดสินใจกรูเข้ามาพร้อมกัน คมดาบที่ตั้งใจจะพุ่งตรงเข้าใส่คนตรงหน้าก็กลับกลายไปโดนพวกเดียวกันด้านตรงข้ามซะนี่ ก็เพราะอาซาคุก้มตัวหลบลงได้อย่างคนคำนวณไว้แล้ว (เสร็จไปสอง พวกโง่ดันวิ่งเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ หลับตาปี๋แบบนั้นชาตินี้คงจะโดนคู่ต่อสู้หรอกนะ) แล้วเขาก็ตวัดดาบขึ้นฟันเอาอกของเจ้าคนผอมคนหนึ่งไป (ไปอีกหนึ่ง) ก่อนจะถอยหลังหลบคนตัวใหญ่อีกคนที่วาดดาบวงพระจันทร์มาทางเขา แล้วเบี่ยงตัวมาอยู่ข้างเจ้านั่นก่อนจะใช้สันมือฟาดลงไปที่ต้นคอ (สลบเหมือด) แล้วดาบอีกอันก็จ่อเข้าไปที่คอคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ (เสร็จแน่ละแกเอ๊ยใบหน้าของเขาฉายความออกมาแบบนั้น). . .



    “ผลัก~โครม” ผู้ช่วยเหลือถูกถีบกระเด็นโดยไม่ตั้งตัวเข้ากลางหลัง แต่ข้างหลังเขาไม่มีพวกผู้ร้ายแล้วนี่ เหลือก็แต่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเมื่อสักครู่นี้ (ไอ้เจ้าคนที่ถูกดาบจี้คอหอยนั่นก็โดนดาบที่จ่อคอหอยอยู่นั่นแหละเสียบทะลุเข้าไปเต็มรักด้วยแรงถีบ!)



    “ฉันบอกให้หยุดพวกมันเฉยๆ ไม่ได้บอกให้เอาถึงตายซะหน่อยนี่” เสียงจากสาวเจ้าคนแจกลูกถีบดังขึ้น เจ้าหล่อนรีบวิ่งเข้าหาร่างของผู้ที่เคยจะรุมทำร้ายเธออย่างสีหน้าเป็นกังวล



    “ยายบ้านี่ เจ้ากล้าดียังไงมาถีบข้าหา” คนถูกถีบติดถังขยะรีบโวยวายทันที



    “ไม่ยังไงละ ไม่รู้หรือไงว่าของมีค่าน่ะเปื้อนเลือดมันจะขายไม่ได้ราคาน่ะฮึ” เธอทำหน้าซีเรียสพลางพินิจมองสร้อยข้อมือที่อาจเปื้อนเลือดแล้วจะทำให้ราคาตก



    สิ่งที่ได้ยินจากปากหญิงผมส้มอมแดงเบื้องหน้าทำเอาคนที่จะลุกจากกองถังขยะได้แล้วแทบทรุดโครมลงไปใหม่ นึกว่าจะเป็นหญิงสาวใจประเสริฐไม่อยากให้มีใครตายแม้กระทั่งผู้ร้าย ที่ไหนได้…



    “เป็นไงละ ขอยืมสร้อยเพชรเม็ดกระจิ๋วใส่หน่อยทำมางก สมน้ำหน้า” สาวเจ้ากล่าวด้วยเสียงที่ไม่ต่างจากนางปิศาจเลยซักนิดไม่ทิ้งให้เหลือคราบสาวน้อยน่าสงสารผู้ต้องการความช่วยเหลืออีกแล้ว พูดไม่พูดเปล่ายังยกสร้อยข้อมือเส้นที่ว่า(เพชรเม็ดกระจิ๋วจริงๆ) ราวกับต้องการเย้ยคนที่เคยถูกคิดว่าเป็นผู้ร้ายอย่างสะใจ



    “นี่เธอ กล้าหลอกใช้ฉันเรอะ!” ซาคุที่ในที่สุดก็ลุกมาจากกองขยะพวกนั้นได้ พูดเสียงกัดฟันกรอด



    “เปล่าซะหน่อย ก็ไอ้พวกเนี้ยมันพูดกันไม่รุเรื่อง บอกว่ายิมก่อนๆ ก็” เธอตอบออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เพราะกำลังวุ่นอยู่กับการรูดของมีค่าจากพวกที่ล้มกองอยู่



    ดวงตาสีน้ำตาลบัดนี้ดูราวกับเพลิงที่กำลังลุกไหม้เต็มที่ อีกไม่นานเขาคงได้เสียสถาบันชาติชายลงมือฆ่ายายโจรสุดยอดนักแสดงคนนี้เป็นแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่ดังขึ้น



    “นี่ทหาร มอบตัวเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าถูกล้อมไว้หมดแล้ว”



    “ซวยละสิ ยังเก็บไม่หมดเลย คงต้องโกยก่อนละ” ขโมยสาวกล่าวขึ้นพลางรีบถอดแหวนวงสุดท้ายออกจากนิ้วชายล่ำบึ้กหนึ่งในผู้เคราะห์ร้าย



    “ชิ” เสียงสบถดังขึ้นเพราะรู้ตัวว่าไม่มีเวลาเอาความกับแม่โจรตรงหน้าแล้ว เพราะถ้าพวกทหารรักษาการณ์มาเห็นเข้าก็จะกลายเป็นพวกเขาที่ต้องรับเคราะห์ไป



    “โลกิ เฮ้ไปกันได้แล้ว”



    “เฮ้ย หลับไปได้ไงฟะ ให้ตายสิ เดี๋ยวก็โดนจับไปหรอก ตื่นเฮ้ตื่น” เด็กชายนอนขดตัวอย่างมีความสุขประมาณว่าปลุกให้ตายก็ไม่ตื่นหรอก



    “แจ๊บๆ อาหารพร้อมแล้วเหยอ” เสียงงัวเงียตอบกลับมาทั้งที่ยังไม่ลืมตา



    “ให้ตายสิ มีแต่ข้าวแดงจะเอาไหม” เมื่อวามอดทนของคนตัวโตสิ้นสุดลง เด็กน้อยจึงต้องถูกวิ่งลากออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างถูลู่ถูกัง เพราะเขายังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย



    “ทางนี้ ฉันรู้จักเส้นทางแถวนี้ดี” เสียงหญิงคนเดินดังออกมาจากตรอกซอกซอยของตึกอาคาร



    เมื่ออาซาคุตามเสียงเข้าไปในตรอกนั้น เขาก็กระโดดข้ามรั้วกั้นออกมาสู่เมืองใหญ่ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน และแม่ขโมยสาวก็ยังยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นพลางยื่นมือมาข้างหน้า



    “ยินดีที่ได้รู้จักหุ้นส่วน ฉันชื่อคาริน เป็นนักล่าสมบัติ”



    …………………………….

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×