ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ดาวเหนือ...แสงนำทางในโลกอันมืดมิด
                                                          ตั้งแต่รู้จักคุณ...ชีวิตที่เดินอย่างสับสนไร้ทิศทางก็เปลี่ยนไป
                                                          เพราะคุณเป็นแสงที่ส่องสว่างนำทางฉันในโลกอันมืดมิด...
    ฉันเดินไปตามบาทวิถีข้างถนนใหญ่อย่างมีสมาธิ ท่ามกลางเสียงยวดยานพาหนะที่แล่นกันขวักไขว่ พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เดินไปชนใครเขาเข้า พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ไปทำตัวเกะกะขวางทางคนอื่น และพยายามอย่างยิ่งที่จะพาตัวเองให้ไปถึงจุดหมายปลายทางให้ได้
    ใครๆ ก็หาว่าฉันหยิ่ง... ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้แล้วยังจะทำเป็นเก่ง... ให้ตายเถอะ ถ้าฉันไม่ช่วยตัวเอง แล้วหมาที่ไหนมันจะมาช่วย!
    ฉันใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่เหมือนคนธรรมดาสามัญทั่วๆ ไป ราวกับว่าฉันก็เป็นคนปกติคนหนึ่ง แต่ใครจะรู้เล่าว่า ฉันมันผิดปกติ!
   
    “ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าเห็นผู้ชายใส่เสื้อสีฟ้าเดินผ่านมาแถวนี้บ้างรึเปล่าคะ” เสียงของหญิงสาวที่น่าจะยังอยู่ในวัยแรกรุ่นถามฉันในขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง น่าขันเสียจริงทำไมเธอต้องเฉพาะเจาะจงมาที่ฉันด้วยนะ
    “ไม่เห็นค่ะ” ฉันตอบกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดทบทวน หรือไตร่ตรองเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าฉันตอบส่งๆ ไปหรอกนะ ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากช่วย แต่ฉันช่วยไม่ได้ต่างหากเล่า...
    อย่ามาถามฉันว่าเห็นใครคนนี้หรือคนไหนก็แล้วแต่รึเปล่า อย่ามาถามว่าคนนั้นคนนี้ใส่เสื้อสีอะไร เพราะคำตอบที่ได้จะพาลให้หงุดหงิดใจเสียเปล่า เพราะฉันตอบได้เพียง... ไม่ทราบค่ะ และไม่เห็นค่ะ... เท่านั้นจริงๆ
    ฉันไม่ได้ถูกตั้งโปรแกรมมาพูดได้แค่สองประโยค แต่ฉันถูกลิขิตมาให้เป็นแบบนี้...
    ...เป็นคนตาบอด...
    อย่าถามว่าสีเขียว สีแดง สีฟ้า สีเหลืองให้ความรู้สึกต่างกันอย่างไร เพราะฉันไม่รู้ แต่ถ้าอยากได้คำตอบที่ดีจากคำถามที่ถาม โปรดถามว่า... สีดำเป็นยังไง โลกที่มืดมิดเป็นอย่างไร.... นั่นแหละ ฉันจะให้คำตอบได้เป็นอย่างดี...
    ฉันไม่ใช้ไม้เท้าเพื่อประเมินดูสภาพทางที่ฉันต้องเดินผ่าน ไม่ใช่หมานำทางเพื่อให้มันนำฉันไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ และฉันไม่ใส่แว่นตาดำเพื่อปิดบังสภาพที่แท้จริงของตัวเอง...
    นี่ล่ะมั้งที่ทำให้ใครๆ ต่างพากันหาว่า บอดแล้วไม่เจียม!
    และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ฉันตาบอด... เห็นใครมากมายทักว่า... น่าเสียดายจริงๆ ที่ตาบอด เพราะดวงตาสองดวงของฉันน่ะ สวยงดงามเหมือนนางฟ้าในเทพนิยาย!
    ดูเหมือนสวรรค์จะกลั่นแกล้งมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอย่างฉันเสียจริง ที่มอบดวงตาคู่สวยให้ฉัน แต่กลับลืมมอบการมองเห็นให้... เทวดาบนสวรรค์สะเพร่าอย่างนี้กันทุกองค์รึเปล่านะ?
    คงจะแปลกใจว่า ฉันยังอยู่รอดถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรกัน ในเมื่อไม่มีเครื่องช่วยเหลือพวกนั้น อาจเป็นเพราะประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของฉันก็ได้กระมัง...
    ในที่สุดฉันก็มาถึงที่พักของฉัน ที่พักที่ฉันไม่มีวันรู้ได้เลยว่า มันจะสวยสดงดงาม และมีความหรูหราโอ่อ่าสักเพียงไหน สำหรับคนที่ต้องอยู่ในโลกอันมืดมิดอย่างฉันแล้ว คงสนใจเพียงแต่ที่นี่จะให้ความปลอดภัยและความสุขสบายได้แค่ไหนก็เท่านั้น...
    ...นกน้อยทำรังแต่พอตัว...
            สุภาษิตที่ควรจะใส่ใจ... ลองคิดดูเถอะ ถ้าฉันซึ่งตาบอด กลับมีบ้านเดี่ยวขนาดหนึ่งร้อยตารางวา มีสวนหน้าบ้านร่มรื่น เสียงน้ำพุ น้ำตก หรือน้ำอะไรก็แล้วแต่ผสมผเสกับเสียงนกที่ร้องคลอขับ มีดอกไม้งามบานสะพรั่งทั่วบริเวณ เหล่าผีเสื้อสีสวยพากันบินว่อนอย่างยินดี สามห้องนอน สามห้องน้ำ พร้อมห้องน้ำชมสวน ครัวไทยแยกอิสระ!... คนที่ผ่านไปผ่านมาคงต้องอิจฉาเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นแน่แท้... แต่ฉันจะมีไปทำไม ในเมื่อฉันอยู่คนเดียว และไม่สามารถเสพความสุขจากทัศนียภาพรอบๆ บ้านที่สวยงามเช่นนั้นได้ จริงมั้ย?...
    ดังนั้นฉันจึงอยู่ในห้องพักห้องหนึ่งในคอนโดมิเนียมที่หรูรึเปล่าก็ไม่รู้... ห้องพักมันกว้างใหญ่ขนาดไหนก็ไม่อาจรับรู้ได้ รู้เพียงแต่ว่า... ที่นี่เป็นที่ซุกหัวนอนให้ฉันได้ แค่นี้ก็พอแล้ว...
    “ตาบอดยังสะเออะมาอยู่คนเดียว”
    มันเป็นคำพูดที่คนในละแวกนี้มักจะนินทาฉันเสมอๆ และฉันก็มักจะได้ยินทุกคราไป เหมือนเจ้าของคำพูดนั้นจงใจจะให้ฉันได้ยินเต็มสองรูหู... แต่ฉันก็ได้แต่ยิ้มรับกับคำนินทานั่น โดยไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า คนที่ได้รับรอยยิ้มของฉันจะทำหน้าอย่างไร... จะเบ้ปากอย่างดูถูก จะมองด้วยแววตาเหยียดหยาม จะสั่นหัวก่อนกลับไปทำภารกิจของตน หรือจะนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ ไม่มีวันที่ฉันจะรับรู้ได้เลย...
    ใครว่าคนตาบอดอย่างฉันจะอยู่คนเดียวไม่ได้... มันมีกฎหมายมาบังคับใช้หรือไง... กฎหมายที่บอกว่า... บุคคลผู้ไม่สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้ ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยมีผู้คุมคอยดูแลตลอดเวลา เขาผู้นั้นไม่มีสิทธิจะครอบครองทรัพย์สินใดๆ เพราะเขาทุพลภาพ!
            เอาเถอะ... ถึงยังไงฉันก็รู้แล้วว่า ฉันอยู่ของฉันได้ และที่สำคัญฉันยังมีเพื่อนที่แสนดีที่คอยห่วงใยถามสารทุกข์สุกดิบอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญ เพื่อนคนนี้ยังอาศัยอยู่ในห้องใกล้ๆ ห้องฉันนี่เอง...
    และวันนี้ฉันมีอะไรจะอวดเธอที่แสนดีคนนั้น... ฉันเดินออกจากห้องของตัวเองอย่างลิงโลด ก่อนจะตรงไปที่ห้องของเธออย่างเริงร่า...
    กำปั้นของฉันเคาะที่ประตูห้องที่ฉันจำได้ว่าต้องเป็นห้องของเจ้าหล่อน ก่อนจะยืนรออยู่ที่หน้าประตูนั่น รอคอยให้เจ้าของห้องเดินมาเปิดและทักทายฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มหูน่าฟังของเธอ
    สักพักไอเย็นจากอากาศที่อยู่ภายในห้องก็ปะทะเข้าที่ใบหน้าของฉัน ฉันรับรู้ว่า ประตูห้องตรงหน้าคงเปิดออกแล้ว แต่ทำไมเธอไม่ทักทายฉันเหมือนเคย หรือเธอกำลังแปลกใจ?...
    “มาหาใครครับ” เสียงหวานที่ฉันคาดว่าจะได้ยิน กลับกลายเป็นเสียงทุ้มของผู้ชายที่ไม่คุ้นหูคนตาบอดอย่างฉัน
    ความนิ่งเงียบเข้าครอบงำฉัน และการเงียบของฉันนี่เองที่คงทำให้เขาหงุดหงิด น้ำเสียงของเขาที่มาพร้อมกับคำพูดถัดมาจึงฟังดูขุ่นมัว “แต่คงไม่ได้มาหาผม และก็คงไม่ได้มาหาใครในห้องนี้ เพราะว่าผมอยู่ห้องนี้ เป็นเจ้าของห้องนี้ และอยู่คนเดียว”
    ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูเช่นนั้น พลางจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางของเขา ตอนนี้หน้าของเขาคงจะขึงโกรธ ในขณะที่เจ้าตัวยืนกอดอกพิงกรอบประตู พร้อมทั้งปรายตาลงมามองฉัน
    “และที่สำคัญ สามีของคุณคงไม่ได้มาหลบคุณอยู่ที่ห้องนี้หรอกนะ” เขาสำทับก่อนกระแทกประตูปิดใส่หน้าฉัน... ฉันทำอะไรผิดยะ ถึงมาปิดประตูใส่หน้าฉัน... ฉันผิดเพราะฉันตาบอดรึไง และที่สำคัญฉันยังไม่ได้แต่งงาน!
    ฉันยืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่เดิม ที่หน้าประตูนั่น และรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้ไร้มารยาทคนนั้นจะเปิดประตูขึ้นอีกครั้ง
    “ยังไม่ไปอีก ก็บอกแล้วไงว่าสามีคุณไม่ได้อยู่ห้องนี้ ฮึ...” คำพูดของเขาทำให้ฉันสามารถรับรู้ถึงแววตาที่มองมาทางฉันอย่างเหยียดหยัน “หน้าตาสะสวยอย่างนี้ ยังไม่มีปัญญามัดใจผู้ชาย”
    ประโยคดูถูกประโยคสุดท้ายสิ้นสุดลง พร้อมๆ กับเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันกำมือแน่น ก่อนเดินกระทืบเท้าไปอย่างอารมณ์เสีย... เพื่อนฉันอยู่ไหนนะ แต่ฉันจำได้ว่า อยู่ห้องนั้นนี่หน่า และทำไมนายนั่นถึงบอกว่า เขาเป็นเจ้าของห้องและอยู่คนเดียว หรือว่าฉันเดินไปผิดห้อง?...
    ...ฉันกลับไปในห้องของตัวเองอีกครั้ง และตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะลองใหม่...
          ฉันตัดสินใจคิดทบทวนเส้นทางการเดินไปยังห้องของเพื่อนที่แสนดีของฉันอีกครั้ง ก่อนจะออกเดิน หมายมาดว่าวันนี้คงไม่ไปเจอไอ้ผู้ชายคนนั้นเหมือนเมื่อวานก่อน เมื่อเดินตามเส้นทางในหัวมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็มาหยุดที่หน้าประตูห้องๆ หนึ่งที่คาดว่า ห้องนี้แหละน่าจะเป็นห้องของเพื่อนของฉัน ฉันจึงตัดสินใจเคาะประตูทันที
          ประตูถูกเปิดออกพร้อมๆ กับเสียงของเจ้าของห้องที่พูดทักทาย “สามียังไม่กลับอีกรึไง”
    รอยยิ้มบนใบหน้าของฉันหุบลงทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับ เดินหนีผู้ชายมารยาททรามคนนั้นกับเสียงของเขาที่ลอยมาเข้าหู
    “ป่านนี้ยังไม่กลับ คงจะไปมีอีหนูที่ไหนแล้วล่ะ ใคร...จะไปทนกับผู้หญิงอย่างคุณได้ เที่ยวมาเคาะห้องผู้ชายไม่เว้นแต่ละวัน”
    ฉันพยายามไม่ใส่ใจกับคำพูดนั่น พลางเดินปึงปังไป แต่เสียงๆ หนึ่งก็มาหยุดฉันไว้...
    “เป็นอะไรไปครับ คุณพิณ”
    เสียงที่เจือแววเอื้ออารีของลุงเที่ยง ยามที่เฝ้าชั้นที่ฉันอยู่ถามขึ้น ฉันชะงักฝีเท้า ก่อนถามลุงเที่ยงเพื่อคลายความสงสัยที่มีอยู่คับอก
    “รินไปไหนเหรอ”
    “อ้อ เออใช่ ผมเกือบลืม วันก่อนโน้น คุณรินเธอมาหาคุณที่ห้อง แต่คุณไม่อยู่ เธอย้ายไปแล้วครับ ก็เลยฝากผมบอกคุณพิณ ขอโทษจริงๆ ครับที่ลืมบอก”
    “ค่ะ ไม่เป็นไร แล้วห้องของรินมีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่แล้วเหรอคะ” ในใจก็ย้อนคิดไปถึงน้ำเสียงที่ไม่น่าพิสมัยถึงแม้มันจะฟังรื่นหูของชายหนุ่มคนเมื่อครู่
    “ครับ เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวาน ชื่อ...”
    “ไม่ต้องบอกหรอกค่ะ เพราะพิณคงไม่คิดไปคบค้าสมาคมด้วย” ฉันพูดขัดลุงเที่ยง ก่อนขอตัวเดินกลับห้อง แต่ก็ไม่วายที่ลุงเที่ยงจะเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ
    “ผมไปส่งมั้ยครับ”
    “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้พิณไปเองได้”
    ที่แท้รินก็ย้ายออกไปแล้วนี่เอง แล้วก็มีนายนี่เข้ามาอยู่แทน นายคนไม่มีมารยาท ตาต่ำจริงๆ
              ... แต่ตาต่ำก็คงยังดีกว่าตาบอด...
    เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ฉันผละออกจากงานที่กำลังทำอยู่ ก่อนจะควานมือสะเปะสะปะไปตามทางเดินในห้องจนมาถึงประตูห้องได้ในที่สุด
    ฉันเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูพร้อมทั้งดึงประตูให้เปิดแง้มออก ไร้เสียงทักของผู้มาเยือน ฉันจึงต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน...
    “ใครคะ...”
    ฉันรู้สึกได้ว่า มีคนยืนอยู่ตรงหน้าฉัน แต่คนๆ นั้นกลับไม่พูดตอบคำถามของฉัน...เขาอาจจะไม่ได้ยินก็ได้... ฉันรำพึงก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง
    “ใครคะ?”
    “ก็เห็นๆ อยู่ยังจะมาถามว่าใคร” เสียงของผู้ชายคนนั้นดังตอบกลับมา นี่เขาคงจะไม่รู้สินะว่า ฉันตาบอด และฉันก็ไม่เห็นว่าใครมาเคาะประตูห้องฉัน... ฉันเห็นแต่ความมืดมิด...
    “มาทำไม” เสียงของฉันแข็งขึ้น ในขณะที่พยายามจะดันประตูปิด แต่ชายคนนี้คงจะยันมือที่บานประตูสู้แรงกับฉัน
    “เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” ชายหนุ่มคนนั้นอ้างคำสอนที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และออกแรงฝืนไม่ให้ฉันปิดประตูได้
    “แต่นี่ไม่ใช่เรือนชาน นี่มันห้องของฉัน”
    “กลัวผมเข้าไปทำมิดีมิร้ายกับคุณรึไง” น้ำเสียงของเขาปนแววขบขัน “ใครจะกล้ายุ่งย่ามกับหญิงมีสามีแล้วล่ะ ถ้าสามีคุณกลับมาเห็นผมทำอะไรกับคุณ ปากผมคงมีสีแน่ๆ”
    “มาทำไม?” ฉันถามเสียงห้วน เลิกที่จะปิดประตูใส่เขา เมื่อรู้แล้วว่า จะพยายามแค่ไหนก็คงไม่สำเร็จ
    “มาเยี่ยมแบบที่คุณไปเยี่ยมผมทุกวันไง” ถ้าฉันมีตา ฉันคงเห็นรอยยิ้มยียวนบนใบหน้าของเขาเป็นแน่ “แล้วก็มาดูว่า สามีของคุณกลับมารึยัง...”
    เขาเว้นช่วงและคลับคล้ายคลับคลาว่า ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของเขา เหมือนเขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ และชะเง้อชะแง้มองเข้าไปภายในห้อง
    “จะไม่เชิญผมเข้าไปในห้องเหรอ” เขาถามขึ้น ในขณะที่ฉันหายใจกระตุก...จ้างให้ฉันก็ไม่เชิญหรอกย่ะ...
    “ห้องคุณดูแปลกๆ นะ ทีวีก็ไม่มี”
    เขาตั้งข้อสังเกต ในขณะที่ฉันคิดค่อนขอดเขาในใจ... คนตาบอดอย่างฉันจะมีทีวีไว้ดูเล่นรึไง...
    “จะไม่เชิญผมจริงๆ หรอ ถ้างั้นผมกลับล่ะ” ไออุ่นของเขาถอยห่างออกจากร่างของฉัน ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะปิดประตูเบาๆ
    ...เขาไม่รู้ว่า ฉันตาบอด... แต่สักวันเขาต้องรู้...
    ฉันเดินตามทางเดินเพื่อเดินตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ที่ฝั่งซ้ายของตัวตึก ในขณะที่มือก็ไล่ไปตามผนังของทางเดินที่มีบานประตูห้องแทรกมาเป็นระยะ จนในที่สุดก็มาถึงหน้าลิฟต์ คลำหาปุ่มอยู่สักพัก ก่อนกดปุ่มที่อยู่ข้างล่างอันมีความหมายสากลว่า...ลง...
    ฉันไม่รู้ว่าขณะนี้ลิฟต์อยู่ชั้นไหน ฉันจะรู้ว่ามันมาถึงก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงเท่านั้นแหละ นั่นอาจเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของคนตาบอดก็ได้กระมัง ทำให้ไม่ต้องจดๆ จ้องๆ อยู่ที่เลขบอกชั้น พร้อมทั้งรัวนิ้วลงบนปุ่มกด หวังว่าลิฟต์มันคงจะมาถึงเร็วๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นมิได้ทำให้เครื่องจักรตัวนี้เคลื่อนที่เร็วขึ้นเลย
    เสียงบ่งบอกถึงการมาถึงของตัวลิฟต์ดังขึ้น เพื่อความแน่ใจ ฉันจึงถามคนในลิฟต์ ซึ่งบางครั้งอาจมีหรือไม่มีคนอยู่ก็ได้ แต่เรื่องแบบนี้ต้องลองเสี่ยง เพื่อจะได้ไม่หลงในโลกที่กว้างใหญ่ ในขณะที่สายตานั้นกลับถูกกักขังอยู่ในโลกอันมืดมิด
    “ลงใช่มั้ยคะ”
    ฉันรอคอยคำตอบ ในขณะที่นิ้วยังกดแช่อยู่ที่ปุ่มด้านนอก แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมา ฉันจึงก้าวเข้าไปอย่างลังเล แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “ขึ้นครับ”
    อาจเป็นคนที่กำลังรอลงลิฟต์เหมือนฉันก็ได้กระมังที่ร้องบอก ฉันจึงก้าวออกมา แต่แล้วก็ต้องชนกับร่างๆ หนึ่งเข้าที่น่าจะเป็นร่างของคนให้คำตอบเมื่อครู่นี้ การชนนั้นค่อนข้างแรงถึงขั้นที่ทำให้ฉันลงไปกองกับพื้น ก้ำกึ่งระหว่างพื้นของลิฟต์กับพื้นหินอ่อนเย็นเยียบด้านนอกลิฟต์
    “เอ้า ไม่กลัวประตูลิฟต์หนีบรึไงคุณ” เสียงเดิมร้องถามขึ้น และฉันก็จำได้ขึ้นมาทันทีว่า มันเป็นเสียงของผู้ชายคนนั้น ฉันยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ก่อนที่จะมีมือๆ หนึ่งมาช่วยฉุดฉันให้ลุกขึ้น
    “ทำไมเปลี่ยนใจซะล่ะคุณ จะลงไม่ใช่เหรอ ลิฟต์นี้ก็ลงนี่นา” เขาถามกลั้วเสียงหัวเราะ “ทำไมไม่รู้จักสังเกตบ้างนะ ลูกศรมันทิ่มลงก็หมายความว่าลง โตจนป่านนี้ยังไม่รู้อีก ต้องคอยถามคนอื่น ถ้าไม่มีคนอยู่หรือโดนหลอกจะเป็นยังไง”
    “เหรอ” ฉันถามเมื่อได้รู้ความรู้ใหม่ ถึงแม้จะไม่เป็นประโยชน์ก็ตามที แต่คำๆ เดียวของฉันดูจะน่าขันสำหรับเขาเหลือเกิน
    “มีตาก็ไม่ดู แล้วยังงี้จะมีตาไปทำไมจ๊ะ คนสวย” ชายหนุ่มถามก่อนจะดึงมือฉันเข้ามาในลิฟต์ ประตูลิฟต์ปิดลง แต่ยังคงแช่ค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่มีคนกดชั้นที่ต้องการจะลง... ฟังคำพูดคำจาของอีตานี่แล้วอยากจะควักลูกตาของเขาออกมากระทืบจริงๆ (ถ้าควักถูกนะ) ตานายล่ะ ไม่รู้จักดูมั่ง ไม่รู้เรอะไงว่า ฉันตาบอด... ถึงแม้ว่าจะบอดในทางที่ผิดปกติจากคนตาบอดทั่วๆ ไปก็เหอะ...
    ฉันจึงคลำสะเปะสะปะไปตามแผงปุ่มข้างลิฟต์ เพื่อคลำหาปุ่มที่ต้องการ แต่เหมือนกิริยาอาการของฉันจะสร้างความขบขันให้เขาไม่น้อย
    “คุณทำเหมือนคนตาบอดเลย” เขาพยายามเปล่งเสียงได้อย่างยากเย็นเต็มที คงเพราะต้องสะกดก้อนหัวเราะที่จุกคออยู่ให้ไหลลงไปในคอ ก่อนที่ฉันจะรู้สึกได้ว่าเขาก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง พร้อมถาม “ชั้นไหนครับ”
    “หนึ่งค่ะ ขอบคุณ”
    ลิฟต์เริ่มเคลื่อนที่ลง ทันทีที่เขากดปุ่มแล้ว ฉันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น “อยากให้ผมแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษก็ไม่บอก ไม่งั้นกดให้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว”
    ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ในขณะที่เขาก็ยังคงพูดต่อไปไม่หยุดไม่หย่อน “ตาคุณนิ่งดีจังนะ สวยด้วย ขนาดมองผมยังไม่มีการสะเทิ้นอายแสดงออกมาจากแววตาของคุณเลย”
    มีก็แปลกแล้ว... ฉันคิดในใจ แต่ไม่พูดอะไรออกไป ยังคงนิ่งเฉยอยู่เหมือนเดิม เสียงของลิฟต์ดังขึ้น พร้อมๆ กับประตูที่เปิดออก
    “ถึงแล้วครับเชิญ” สิ้นเสียงฉันเอ่ยคำขอบคุณเขาเบาๆ ก้าวเท้าออกจากประตูลิฟต์ ก่อนจะเดินไปตามทางเดินที่นำไปสู่ประตูทางออก เราแยกกันตรงทางออก ก่อนที่ฉันจะเดินไปเรื่อยตามเส้นทางที่ถูกบันทึกไว้ในหัว...
    “โอ๊ย!” เสียงร้องที่ดังลั่นดังออกมาจากปากฉันเองแหละ เมื่อร่างของฉันชนร่างของใครคนหนึ่งเข้าทันทีที่เลี้ยวออกจากลิฟต์เพื่อตรงไปยังห้องแสนสุขของฉัน เป็นผลให้ฉันเกือบจะลงไปกองกับพื้น ถ้าไม่ได้เจ้าของวงแขนแกร่งรวบเอาไว้อย่างรวดเร็ว
    “เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นอย่างอารมณ์เสีย ก่อนปล่อยแขนออกจากตัวฉัน “สามีคุณกลับแล้วหรือยัง”
    “ฉันไม่มีสามี เพราะฉันยังไม่แต่งงาน” ฉันตอบออกไปอย่างเหลืออด ทันทีที่ฉันพูดเสร็จเสียงตบมือฉาดก็ดังขึ้นใกล้ๆ ตัว
    “ฮ่า อย่างงี้ผมก็มีหวัง” เขาร้องอย่างยินดี แต่ฉันกลับฉุกคิด ถ้าเขารู้ว่า ฉันตาบอด เขาจะดีใจอย่างนี้รึเปล่านะ?...
    “เอาล่ะ ผมไปส่งคุณที่ห้องดีกว่า เชิญครับ” รู้สึกว่าเขาจะออกเดินนำไป ในขณะที่ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพื่อกะทิศทางที่แน่นอน
    มือใหญ่คว้าเอามือของฉันไปกุมไว้แน่น ก่อนเจ้าของมือจะร้องอย่างขบขัน “ยืนนิ่งอึ้งอยู่ทำไมล่ะคุณ ดีใจที่ผมจะเดินไปส่งจนพูดไม่ออกเลยหรือ?”
    คงงั้นมั้ง นายมีตาหามีแววไม่... ฉันตอบกลับในใจ ในขณะที่ก้าวเท้าเดินตามเขาที่กำลังจูงมือฉันไป...
    “ถึงแล้ว” เขาร้องขึ้น ก่อนหยุดเดิน ดึงตัวฉันให้เข้าใกล้ตัวเขา และย้ายมือฉันให้มาจับที่ลูกบิดประตู “ขออนุญาตนะครับ”
    ฉันไม่รู้ว่าเขาขออนุญาตอะไร แต่ฉันเดาว่าเขาคงจะขอตัวกลับห้อง ฉันจึงพยักหน้าให้เขา ก่อนยิ้มอย่างขอบคุณ...
    แต่แล้วรอยยิ้มของฉันก็มีอันมลายหายไปทันที เมื่อถูกริมฝีปากอุ่นของคนใกล้ๆ ที่รู้สึกว่าเขาคงจะโน้มลงมาสัมผัสริมฝีปากของฉัน เหมือนเขาจะพยายามสูบเอาดวงชีวิตของฉันออกจากร่าง... ร่างกายของฉันอ่อนแรง ในขณะที่แขนและขาอ่อนปวกเปียก ก่อนจะพยายามรวบรวมแรงกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด ผลักอกแกร่งของเขาให้ถอยห่าง พร้อมกับควานหาลูกบิดประตู แต่นั่นมันช้าไปเสียแล้ว เพราะมือทั้งสองข้างของฉันถูกรวบให้แน่นิ่งอยู่ในมืออุ่นของเขา
    มืออีกข้างของผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ จับเข้าที่ไหล่ของฉัน ก่อนจะหมุนตัวให้ฉันไปเผชิญหน้ากับเขา แต่ฉันก็ได้แต่เผชิญหน้ากับความมืดมิดเท่านั้น... ความมืดมนที่อยู่กับฉันมาแต่ไหนแต่ไร...
    มือที่จับไหล่ไว้เลื่อนมาเชยคางของฉันขึ้น และราวกับว่าเขากำลังใช้ดวงตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่มืดสนิทของฉัน สักพักเขาจึงปล่อยมือที่เกาะกุมฉันอยู่ และฉันสัมผัสได้ถึงกระแสบางอย่างที่ลอยอบอวลอยู่รอบตัว...
    “คุณตาบอดนี่”
    เสียงสรุปลอยเข้าหูของฉัน ฉันพยักหน้ายืนยันความจริงให้กับเขา... ในที่สุดเขาก็รู้ และฉันอยากเห็นหน้าที่ผิดหวังของเขาซะเหลือเกิน แต่ความอยากนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้...
    ร่างทั้งร่างของฉันถูกรวบเข้าไปกอดอย่างถือวิสาสะ โดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าของเขาซบลงที่ไหล่ของฉัน ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจอารมณ์ที่เป็นที่มาของการกระทำนั้น แต่ก็ยังคงยืนนิ่งเป็นหลักให้เขาอยู่อย่างนั้น ร่างสองร่างแนบชิด ในขณะที่ความอบอุ่นเริ่มก่อตัวขึ้นในใจดวงน้อยๆ ของฉันอย่างที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเป็นความสุขล้นพ้นจิต จนความสุขที่ล้นเกินนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสายธารที่หลั่งไหลออกทางดวงตาที่มืดบอด โดยไม่เข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเลยสักนิด
    “อ้าว คุณร้องไห้ได้ด้วยเหรอ” เขาถามอย่างแปลกใจเมื่อถอนหน้าขึ้นจากบ่าของฉัน แต่อ้อมแขนของเขายังคงกระหวัดรัดพันเกี่ยวฉันไว้
    “ไม่มีกฎให้คนตาบอดร้องไห้ไม่เป็นนี่” ฉันเถียง ก่อนผละออกจากอ้อมกอดของเขา “ฉันเข้าห้องล่ะ”
    ฉันเอื้อมมือไปหาลูกบิดประตูนั้นอีกครั้ง แต่รู้สึกเหมือนว่ามีมือของผู้อื่นเคลื่อนผ่านมือข้างนั้น และเปิดประตูให้ฉัน พร้อมกับคำกล่าวที่บ่งบอกได้ชัดเจนถึงอาการอาทรของเจ้าของคำพูด
    “แล้วคุณอยู่อย่างไง”
    “ก็...อยู่อย่างที่คนตาบอดพึงอยู่”
    ฉันตอบเขาก่อนขอตัวเข้าห้องไป พร้อมทั้งปิดประตูอย่างแผ่วเบา ก่อนเดินคลำทางไปทิ้งตัวลงที่โซฟานุ่ม สมองเริ่มหวนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ
    มือของฉันยกขึ้นแตะริมฝีปากที่ยังคงอุ่นด้วยรสแห่งการสัมผัสเมื่อครู่อย่างเหม่อลอย ก่อนที่จะพยายามหาคำตอบของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
    ...ความว้าเหว่เดียวดายคงมลายหายไปเมื่อได้รับการสัมผัสที่อ่อนโยนเมื่อครู่...
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนเย็นวันเดียวกัน ทำให้ฉันที่กำลังเอนตัวนอนบนโซฟาที่แสนนุ่มสบายสะดุ้งตื่นขึ้น ทั้งๆ ที่ตอนตื่นหรือตอนหลับก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง เพราะถึงยังไงๆ ฉันก็ยังคงเห็นแต่ความมืดมิดที่เกาะกุมฉันไว้มาตั้งแต่เกิด ฉันเดินอย่างระมัดระวังไปเปิดประตูที่กำลังถูกเคาะรัวอยู่นั้นออก และเสียงที่ดังขึ้นอย่างโล่งอกของชายหนุ่มนั้นก็ทำให้ฉันเริ่มคิดถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
    “ใจหายแทบตาย นึกว่าคุณเป็นอะไรไปแล้ว”
    “มีอะไรรึเปล่า”
    “ซื้อข้าวเย็นมาฝาก” เขาตอบ และฉันก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากของร้อนที่อยู่ในมือของเขา “ขอผมเข้าไปหน่อยนะ เดี๋ยวจะเตรียมข้าวต้มเครื่องรสเด็ดใส่ชามให้”
    ฉันใคร่ครวญถึงทางหนีทีไล่ และน้ำใจของเขา ก่อนพยักหน้าและหลบให้เขาเข้าไปในห้อง ก่อนประตูจะปิดลงด้วยแรงจากผู้มาเยือน
    “นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวผมจะยกมาให้”
    “ที่จริงคุณไม่เห็นต้องมาทำอะไรให้ฉันแบบนี้” ฉันร้องบอกเขาทันทีที่ทิ้งตัวลงบนโซฟาตามคำพูดเชิงสั่งของชายหนุ่มคนนั้น
    “ก็คุณตา...ไม่ค่อยดี” ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนจากคำว่า...บอด... มาเป็น... ไม่ค่อยดี... เพื่อให้ฉันไม่ต้องคิดมาก ช่างห่วงใยความรู้สึกกันเหลือเกินนะ พ่อตาดี...
    “ฉันอยู่ของฉันมาอย่างนี้แต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นจะต้องมีคนคอยปรนนิบัติพัดวีเลย” ฉันเถียงความหวังดีของเขากลับไป แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตอบโต้ที่ดังมาจากในครัว
    “ถึงเวลาแล้วล่ะที่คุณจะต้องมี และผมนี่แหละจะเป็นคนๆ นั้น”
    “ความจริงเราก็ไม่รู้จักกัน แล้วทำไมคุณต้องมาทำดีกับฉันอย่างนี้ด้วยล่ะ เสียเวลาคุณเปล่าๆ ที่ต้องมาอุทิศให้กับคนตาบอดอย่างฉัน” เสียงหัวเราะดังมาจากห้องครัว ก่อนที่เขาจะตอบกลับออกมา
    “ผมอยากให้เวลาทั้งชีวิตของผมกับคุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอคุณแล้วนะ”
    “ครั้งแรกที่ยังไม่รู้ว่าฉันตาบอด และยัดเยียดให้ฉันเปลี่ยนคำนำหน้าจากนางสาวเป็นนาง ทั้งๆ ที่ยังไม่แต่งงานเนี่ยนะ” ฉันถามกลับไป ก่อนเสียงจะสลดลงเมื่อคิดถึงความเป็นจริง “แต่ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่า ฉันตาบอด แล้วทำไมจะยังมาเสียเวลากับฉันอีกล่ะ”
    “ยิ่งรู้ว่าคุณตาบอด ยิ่งต้องใส่ใจ” เสียงของเขาใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉันจะรู้สึกถึงน้ำหนักของคนๆ หนึ่งที่ทิ้งตัวลงมาบนโซฟาตัวเดียวกับที่ฉันนั่งอยู่ “หิวแล้วยังคุณ ถ้าหิวแล้วจะพาไปที่โต๊ะกินข้าว”
    และยังไม่ทันได้ฟังคำตอบจากฉัน เขาก็ลุกขึ้น ก่อนดึงมือให้ฉันลุกตาม แล้วพาเดินไปยังโต๊ะทานข้าว ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินไปถึงโต๊ะตัวนั้นได้ไวกว่าปกติ คงเป็นเพราะมีสุนัข...เอ๊ย คนนำทางสินะ...
    เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนกับพื้น ก่อนที่ฉันจะกล่าวขอบคุณพร้อมทั้งทิ้งร่างลงบนเก้าอี้ตัวนั้น เก้าอี้ตัวข้างๆ กันถูกเลื่อนออกมา ก่อนที่ชายผู้นั้นจะนั่งลงข้างๆ ฉัน
    ชามข้าวต้มถูกเลื่อนมาตรงหน้า ควันหอมฉุยลอยมาปะทะจมูก ก่อนที่ด้ามช้อนจะถูกส่งยื่นมาให้ฉันจับ
    “แล้วของคุณล่ะ” ฉันหยุดคนข้าวต้มให้หายร้อน เขาหัวเราะร่า ก่อนตอบอย่างอารมณ์ดี
    “ผมกินมาตั้งแต่ที่ร้านแล้ว”
    เมื่อได้คำตอบ ฉันจึงพยักหน้ารับรู้ ก่อนตักข้าวต้มขึ้นมาใกล้ปากเป่าให้หายร้อน และส่งมันเข้าปากไป...
    รสของขิงแผ่ซ่านทั่วทั้งปาก ฉันทำหน้าแหย ก่อนจะควานหาแก้วน้ำอย่างเคยชิน แต่เมื่อพบว่า แก้วน้ำไม่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้ ฉันจึงร้องขอน้ำจากแขกผู้มาเยือน
    “เอ้านี่” แก้วน้ำถูกยื่นมาจ่อที่ปาก ฉันรับมาอย่างขอบคุณ ก่อนเทของเหลวไร้รสนั่นลงคออย่างรวดเร็ว
    “ข้าวต้มนี่ใส่ขิงด้วยเหรอ” ฉันร้องถามขึ้นทันทีที่รสขิงในปากเริ่มจางลง ขิงกับฉันไม่ถูกโรคกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเป็นขิงอะไรก็แล้วแต่ ขออย่าได้มาเข้าใกล้ฉันเด็ดขาด
    “อือ... ไม่ชอบขิงเหรอ” เขาถามพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “งั้นมานี่ เดี๋ยวผมตักป้อนให้ คุณจะได้ตักไม่โดนขิง” เขาว่าพร้อมทั้งฉวยช้อนในมือของฉันไป ก่อนเลื่อนชามข้าวต้มไป
    “อ้า...อ้ำ” เขาให้สัญญาณการเปิดปากปิดปากของฉัน ราวกับว่าฉันเป็นเด็กตัวเล็กๆ เสียเต็มประดา แต่ก็ต้องขอบคุณเขาจริงๆ ที่ไม่มีรสขิงเข้ามากล้ำกรายในปากของฉันอีกเลย...
    ฉันส่งแขกผู้แสนดีของฉันหน้าประตู ก่อนจะเอื้อมมือปิดประตู แต่ประตูยังไม่ทันปิดสนิทดี แรงๆ หนึ่งก็ออกแรงต้านแรงของฉัน
    “ยังไม่รู้เลยว่า คุณชื่ออะไร” เสียงของชายหนุ่มเจ้าเก่าดังขึ้น นั่นทำให้ฉันคิดได้...เออหนอ ให้เขาเข้ามาในห้องโดยไม่มีการถามไถ่ชื่อกันก่อนเลย แถมยังพูดจากันออกรส ทั้งๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึงสัปดาห์...
    “พิณนภา... เรียกสั้นๆ ว่า พิณ ก็ได้” ฉันบอกชื่อให้เขาหายข้องใจ
    “เขมทัตครับ ชื่อเล่นชื่อ...” เหมือนเขาจะลังเลอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมากลั้วกับเสียงหัวเราะ “ขิงครับ”
    ฉันเลิกคิ้วสงสัยว่าเขาจะล้อฉันเล่นรึเปล่า จึงถามย้อนกลับไป “จริงเหรอคะ”
    “จริง สาบานเลยเอ้าว่า ผมชื่อขิงจริงๆ”
    “ค่ะ เชื่อแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันบอกก่อนยื่นมือไปข้างหน้า
    “เช่นกันครับ” เขาเอื้อมมือมาจับมือฉันข้างนั้น ก่อนบีบมือฉันเบาๆ “ฝันดีนะครับ” เขายกมือฉันขึ้นไปประทับริมฝีปาก เหมือนฉันกับเขาเป็นคู่รักกันอย่างนั้นแหละ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่... ฉันเป็นคนตาบอด ส่วนเขาก็เป็น...คนที่สงสารคนตาบอดอย่างฉันคนหนึ่งเท่านั้นเอง...
    หลังจากนั้นทุกวันเขาก็จะมาตระเตรียมกับข้าวทั้งสามมื้อให้ฉัน เหมือนเขามีอาชีพเลี้ยงดูคนตาบอด แทนที่จะมีงานมีการทำอย่างคนอื่น เขากลับต้องมาจมปลักกับคนที่มองอะไรไม่เห็นจากฉัน ได้แต่รับรู้ความรู้สึกต่างๆ ด้วยใจเท่านั้น และฉันก็เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างจากใจของตัวเอง...
    หนึ่งเดือนล่วงเลยผ่านพ้นไป ในขณะที่ฉันรู้แล้วว่า ความรู้สึกบางอย่างถูกก่อตัวขึ้นในใจของฉัน ด้วยน้ำมือของฉันและการเอาอกเอาใจจากเขา...
    วันนี้ก็เหมือนปกติทุกวัน ที่เขาจะมานั่งพูดคุยกับฉันหลังมื้อเย็นฝีมือของเขา ที่โซฟาตัวเดียวกัน แต่เพื่อรักษาระยะห่าง ทั้งฉันและเขาจึงนั่งอยู่คนละฟากของโซฟา
    แต่แล้วเค้าของความไม่ปกติก็ก่อตัวขึ้น เมื่อร่างของเขาเขยิบเข้ามาใกล้ฉัน พร้อมกับเอามือมากุมมือของฉันไว้อย่างทะนุถนอมอ่อนโยน จนฉันแปลกใจ
    “ผมรักพิณนะ อยากจะอยู่ดูแลคุณตลอดไปทั้งชีวิตของผม...” เขายกมือของฉันขึ้นไปหอมฟอดใหญ่ “แล้วคุณล่ะ รักผมรึเปล่า”
    คำถามที่จู่โจมมาทันทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ฉันอ้าปากค้างเล็กน้อย ก่อนนิ่งคิดถึงผลที่ตามมาถ้าหากฉันตอบออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันก็รักเขา แต่ผลที่จะตามมาล่ะ นั่นคือชีวิตทั้งชีวิตของเขาต้องมาจมปลักอยู่ที่เธอซึ่งตาบอดอย่างนั้นน่ะหรือ...
    มันดีแล้วหรือที่เขาต้องมาเสียสละเวลาของเขาทั้งชีวิต เพื่อให้ฉันที่แม้แต่หน้าตาของเขา ฉันก็ยังไม่รู้ไม่เห็น มันคุ้มแล้วหรือ?...
    คงเห็นฉันนิ่งเงียบไปนาน จนเขาอาจนึกว่า ฉันอาจจะยังไม่อยากตอบคำถามของเขาตอนนี้ก็เป็นได้ เขาจึงให้เวลา และบอกฉันว่า...
    “ได้คำตอบเมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกันนะพิณ”
    ฉันพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินไปส่งเขาที่หน้าประตูเหมือนเคย เมื่อเขาจากไปแล้ว ฉันจึงปิดประตูลง ยืนหันหลังพิงประตู ก่อนรำพึงรำพันความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอก
    “คุณอย่ามาทิ้งชีวิตไว้ที่ฉันเลย เสียเวลาเปล่าๆ บางทีที่คุณบอกไปอาจจะเป็นเพียงอารมณ์สงสารคนอย่างฉันเท่านั้น... บางทีถ้าฉันไม่อยู่คุณอาจมีชีวิตที่มีอนาคต มีคนรักที่สมประกอบ และที่สำคัญคุณรักเธอ และเธอก็รักคุณ ถึงแม้...ฉันจะรักคุณก็ตาม...”
    ฉันนอนก่ายหน้าผากบนเตียงนุ่มอุ่นสบายของฉัน ท่ามกลางความมืดมิดทั้งภายในและภายนอก นอกตัวฉันที่มืดสนิท กับในตัวฉันที่มืดบอด... ใคร่ครวญครุ่นคิดถึงชีวิตต่อไปของตัวเอง... และฉันก็ตัดสินใจได้... เพื่อให้คนที่ชื่อไม่ถูกโรคกับฉันได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้...   
    ผมเองไม่เคยคิดเลย... ไม่คิดมาก่อนว่า คนอย่างผมจะหลงรักคนตาบอดแสนสวยอย่างเธอเสียเต็มใจ วันแรกที่เจอเธอ ผมก็ตกตะลึงกับความงามของเธอเข้าแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตัวเธอเองไม่ได้มีโอกาสจะยลโฉมที่แสนสวยของตนเองเลย...
    เมื่อครู่ผมบอกรักหล่อน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความนิ่งเงียบ... จริงอยู่ที่แรกพบ สองพบ และสามพบของเราทั้งสองจะดูไม่ดีนัก และที่สำคัญการพบกันครั้งที่สี่ของผมกับเธอนั้นคงทำให้เธอจำฝังลึกจนวันตาย ก็ใครจะอดใจได้เล่า ได้อยู่ใกล้ถึงเพียงนั้น ผมเลยเผลอจูบเธอเข้าให้... และวันนั้นเองที่ผมรู้ว่า เธอตาบอด...
    มันเป็นการพิสูจน์ข้อสงสัยของผมให้กระจ่าง และผมก็กระจ่างทันใด เมื่อไม่เห็นประกายตา หรือแววตาใดๆ ออกมาจากดวงตาคู่สวยของเธอเลย ไม่ว่าจะเป็นแววตาตัดพ้อต่อว่า แววตาชิงชังรังเกียจ แววตาวาบหวามในจิตใจ... ดวงตาของเธอไม่สื่อความรู้สึกของเธอออกมาให้ผมรับรู้เลยแม้แต่น้อย...
    นี่คือหลักฐานที่ยืนยันข้อสงสัยของผมได้เป็นอย่างดี... หลักฐานที่ว่า... เธอตาบอด...
    รักแรกพบที่เคยก่อตัวไว้แล้ว ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จะเป็นเพราะเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ เสียงในใจของผมมันพร่ำบอกผมทุกวินาทีว่า ผมจะต้องดูแลเธอ...เป็นอย่างดี
        จะหาว่าผมสติแตกก็ได้นะที่รักคนตาบอด แต่ผมก็รักเข้าแล้วจะให้ทำยังไง แต่จากกิริยาอาการของเธอวันนี้ดูเหมือนว่า เธอจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผมเลย... สักนิดเดียว...
    โอ๊ย...ผู้หญิงน่ะดูยากจะตายไป แล้วนี่ยังตาบอดอีก จะเอาอะไรสื่อความหมายที่แท้จริงในจิตใจกันเล่า... เมื่อกี้อยากดึงตัวเธอเข้ามากอด ให้ได้ยิน ให้รู้สึกของแรงเต้นของหัวใจ อยากรู้จริงๆ ว่า เธอคิดอย่างไรกันแน่...
    ผมจะไปเอาคำตอบ ถ้าเธอยังไม่ตอบคงต้องใช้ไม้เด็ด... ให้ตายเถอะ...
    แสงของเช้าวันใหม่ส่องผ่านรอยต่อของม่านเข้ามาแยงตา ทำให้ผมต้องตื่นจากการหลับพักผ่อน เมื่อพร้อมจะไปทำมื้อเช้าให้เธอแล้ว ผมจึงออกเดินอย่างมุ่งมาด พร้อมของในมือที่กำแน่น นี่คือไม้ตายของผม... ไม้ตายที่จะทำให้เธอรู้ว่า ผมอยากใช้ชีวิตคู่กับเธอแค่ไหน...
    ผมบรรจงหย่อน ‘ไม้ตาย’ ของผมลงในกระเป๋าเสื้อ ก่อนเคาะประตูเรียกผู้หญิงที่ผมรักให้มาเปิดประตู และยืนรอที่หน้าประตูใจจดใจจ่อ ผมรู้ว่ามันจะนานกว่าคนปกติทั่วไป ดังนั้นผมจึงรออย่างอดทน แต่ก็ไร้วี่แววของเจ้าของห้อง...
          นั่นแหละ ความเงียบทำให้ผมร้อนใจ ก่อนรัวกำปั้นทั้งทุบ ทั้งเคาะ แต่ก็ไร้วี่แววของคนที่ผมเฝ้ารอ นั่นทำให้ความรู้สึกห่วงหาอาทรแล่นเข้ามาเกาะกุมจิตใจ ผมโถมตัวเข้าใส่ประตูบานนั้น เพื่อพังมันเข้าไป!
    “โอ๊ย คุณขิง อย่าทำแบบน้าน...” ผมหยุด ก่อนหันมามองคนห้ามอย่างร้อนรน ลุงเที่ยงยามประจำชั้นยืนอยู่ข้างหลังผม ก่อนยกมือขึ้นปราม
    “ลุงมีกุญแจใช่ไหมครับ เปิดประตูห้องพิณหน่อย พิณเค้าไม่มาเปิดประตู เธอจะเป็นอะไรรึเปล่า” ผมปรี่เข้าไปหาลุงเที่ยงอย่างร้อนใจ แต่ลุงเที่ยงกลับส่ายหน้าอย่างใจเย็น
    “ไขเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ คุณพิณเธอไปแล้ว”
    “ไปไหน!” ผมร้องถามลั่นจนลุงเที่ยงสะดุ้ง นั่นทำให้ผมรู้ตัว แล้วจึงลดเสียงลง “ไปไหนครับ”
    “เธอบอกว่า จะย้ายไปอยู่ที่อื่น เธออยากอยู่คนเดียว แล้วก็ฝากบอกมาว่า คุณไม่ต้องไปตามเธอให้เสียเวลา ” ลุงเที่ยงเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร ในขณะที่ผมต้องขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากัน
            ...คุณไม่รักผม คุณก็บอกผมตรงๆ ก็ได้นี่พิณ ไม่เห็นจะต้องหนีไปเลย...
    “อย่าตามหาเธอ เพราะถ้าคุณเจอ เธอก็จะหนีต่อ” ลุงเที่ยงจบข้อความที่พิณฝากไว้
    “แล้วลุงปล่อยเธอไปเหรอ ลุงก็รู้นี่ว่าตาเธอ...ไม่ค่อยดี”
    “ผมรั้งไว้แล้วล่ะครับ แต่คนอย่างเธอหัวดื้อหัวรั้นจะตายไป ตั้งใจอะไรไว้ เธอก็จะทำอย่างนั้น” ลุงเที่ยงให้เหตุผล แต่ผมกลับไม่รอฟัง รีบสาวเท้าตรงไปยังลิฟต์ทันที
    เสียงลุงเที่ยงตะโกนมา เมื่อผมหยุดรอตรงหน้าลิฟต์ “เธอเพิ่งจะออกไปตอนเช้ามืด บางทีคุณอาจตามเธอทันก็ได้นะครับ”
    ผมหันไปพยักหน้าให้ลุงยามที่แสนดี ก่อนก้าวลงลิฟต์ เพื่อไปตามหาเจ้าของหัวใจของผม...
    ฉันเดินไปตามทางเดินที่ฉันคุ้นเคยมาตลอดชีวิต อีกไม่นานฉันจะเดินถึงทางแยกและต้องเลี้ยวซ้าย เพื่อเข้าไปในซอยๆ หนึ่งที่มีร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำของฉันตั้งอยู่ ฉันรู้จักมักคุ้นกับอาแปะเจ้าของร้านเป็นอย่างดี ทำให้ฉันรู้สึกว่าแกก็เป็นคนๆ หนึ่งในครอบครัวของฉัน ทุกครั้งที่ฉันเดินผ่านร้านแก แกจะต้องร้องเรียกให้ฉันเข้าไปพูดคุยกับแก แกเป็นคนอัธยาศัยดี คุยสนุก และที่สำคัญเข้าใจหัวอกคนพิการอย่างฉันเป็นอย่างดี...
    ถึงแล้วทางแยกไปยังร้านอาแปะผู้อารี ฉันกำลังจะเลี้ยวซ้ายเข้าซอย แต่สัญชาตญาณของฉันกลับบอกบางสิ่งบางอย่างที่มันไม่เคยบอกฉันเลย... สมองสั่งให้ฉันเดินออกนอกเส้นทางที่คุ้นเคย และฉันก็ทำตามนั้น...
    ฉันเปลี่ยนใจเลี้ยวขวาออกจากเส้นทางในหัว ก่อนจะเดินตรงไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เมื่อนึกถึงเหตุผลของการจากความคุ้นเคยของฉันแล้ว ฉันก็รวบรวมความกล้า พลางก้าวต่อไปโดยไม่สนใจว่า ก้าวต่อๆ ไปของฉันนั้น จะพาฉันไปอยู่ ณ ที่ใด...
    เสียงนกน้อยร่ำร้องกลับบ้าน นี่คงจะเย็นแล้วสินะ... เสียงรถราเริ่มมีเข้ามาในหูของฉันมากขึ้น ช่วงเวลาเร่งด่วนในตอนเย็น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าสับสนวุ่นวายเสียนี่กระไร...
    เหล่านกกระจอกนกกระจิบพากันร้องระงมทั่วบริเวณที่ฉันเดินอยู่... ฉันจำเป็นต้องหาที่พักพิงกายยามค่ำคืน... เสียงแม่ค้าร้องขายของดังแว่วเข้ามา ฉันจึงเดินตรงไปยังเสียงนั้น คาดเดาว่าเธอคงจะเป็นแม่ค้าใจดีคนหนึ่งที่สามารถให้ความช่วยเหลือฉันได้...
    “น้าคะ” ฉันร้องเรียกเธอเมื่อฉันคิดว่า เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
    “อ้าว จะซื้ออะไรล่ะหนู” คุณน้าแม่ค้าที่ฉันหวังพึ่งพิงร้องถามฉัน พร้อมๆ กับการดำเนินกิจการขายของตนไปในตัว
    “ไม่เอาล่ะค่ะ เพียงแค่หนูอยากจะ...”
    “โอ๊ย... ไม่ซื้อของแล้วก็เดินไปพ้นๆ สิ คนเค้าทำมาค้าขายอยู่นะ มายืนเกะกะขวางทาง เดี๋ยวก็ไม่มีคนอื่นเข้ามาซื้อของของฉันกันพอดี” เสียงแหลมสูงของแม่ค้าคนนั้นตวาดแว้ดเข้าใส่ตัดคำพูดขอความช่วยเหลือของฉันจนขาดสะบั้น ฉันยืนนิ่งอย่างไม่เชื่อหูของตน แม่ค้าที่ฉันหวังพึ่งพิงกลับกลายเป็นคนที่ฉันพึ่งพิงไม่ได้เลย
    ฉันกล่าวขอโทษที่แทรกแซงกิจการการทำมาค้าขายของหล่อน ก่อนเดินหนีออกมา และไม่คิดที่จะเหลียวหลังกลับไปหาเธอคนนั้นอีกเลย...
    กลิ่นหอมของดอกมะลิลอยมาตามสายลมยามเย็นมาต้องจมูก ฉันสูดกลิ่นนั้นอย่างชื่นใจ แต่กลิ่นที่ฉันได้รับมีกลิ่นเหม็นๆ ของควันพิษลอยปะปนเข้ามาด้วย
    “ซื้อพวงมาลัยไปไหว้พระมั้ยจ๊ะ” เสียงแหบพร่าที่เกิดขึ้นจากความร่วงโรยแห่งวัยดังขึ้นมาใกล้ๆ หู เจ้าของเสียงคงเป็นคุณยายสูงอายุที่ความยากจนบีบบังคับให้ตนต้องมาเร่ขายพวงมาลัยเช่นนี้
    “ค่ะ ขอสักพวงนะคะคุณยาย” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะล้วงเงินในกระเป๋าแล้วยื่นให้ยายคนนั้น และรับพวงมาลัยที่ถูกมือสากๆ ย่นๆ ของนางยื่นมาให้อย่างเต็มใจ
    “มีอะไรให้ยายช่วยรึเปล่าจ๊ะหนู” เสียงของยายที่เสนอตัวเข้าช่วยเหลือฉันพาลทำให้หยาดน้ำค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่เบ้าตา ไม่เคยคิดเลยว่า ยายจะสามารถช่วยเหลือตนได้ แต่ก็ได้แต่ถามคำถามที่ตั้งใจว่า จะถามกับแม่ค้าคนนั้นกับยาย
    “ยายพอจะรู้จักทางไปโรงแรมใกล้ๆ แถวนี้ไหมคะ”
    ...คนที่คิดว่าจะช่วยได้ กลับไม่เต็มใจที่จะช่วย ในขณะที่คนอย่างยาย กลับยินดีจะช่วยเหลือเต็มกำลัง...
    “อ๋อ นี่เลยแม่หนู เดินตรงไปถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายนะ จากนั้นเดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ” ยายใจดีบอกทางให้ฉันเสร็จสรรพ “ไม่ไกลหรอก... ว่าแต่ว่า ทำไมหนูต้องหาโรงแรมด้วยล่ะ ยังหาที่พักไม่ได้หรือ ขอโทษนะจ๊ะ ถ้าถามล่วงเกินไป”
    ฉันไม่คิดเลยว่า คำถามนั้นจะเป็นคำถามซอกแซก ฉันจึงพยักหน้าตอบไปตามความจริง “ค่ะ คืนนี้ยังไม่มี”
    “โถ เป็นสาวเป็นนางอย่างนี้ยังหาที่พักไม่ได้ เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ถ้าไม่รังเกียจมาอยู่กับยายมั้ยล่ะ” ยายเสนอที่พักให้ฉันอย่างเอื้ออารี
    “จะรบกวนยายรึเปล่าคะ” ฉันไม่อยากจะปฏิเสธน้ำใจหญิงชรา แต่จะตอบตกลงเลยมันก็ดูจะไม่มีมารยาทไปหน่อย
    “โอ๊ย ไม่หรอกจ๊ะ ยายก็อยู่กับหลานแค่สองคนเท่านั้นแหละ ตอนนี้หลานยายก็โตพอจะไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูยายได้แล้ว ไม่รบกวนหรอก” ยายตอบด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร “มาสิ เดี๋ยวยายจะพาไปนะ”
    มือสากของนางเข้ามายึดมือของฉันไว้ ก่อนจะพาเดินไปตามทางอย่างคล่องแคล่ว โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากฉันเลย
    “แล้วยายไม่ขายพวงมาลับต่อแล้วหรือจ๊ะ”
    “พวงมาลัยหมดแล้วจ๊ะ หนูซื้อพวงสุดท้ายไง” ยายตอบขณะที่ก้าวเท้าเดินต่อไป เสียงแผ่นสังกะสีถูกลากไปตามพื้นปูน ก่อนที่ยายจะหยุดเดิน
    “ถึงแล้วจ๊ะ อาจจะคับแคบไปหน่อยนะ”
    “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ให้ที่พักพิงหนู” ฉันตอบกลับไปอย่างซาบซึ้ง คนตาบอดอย่างฉันจะต้องการที่ที่หรูหรา กว้างขวาง ใหญ่โตไปทำไม ขอเพียงแค่อยู่แล้วเป็นสุขก็พอแล้ว
    “ขึ้นบ้านก่อนนะ อีกสักประเดี๋ยวหลานยายก็กลับมาแล้วล่ะ” ยายว่าพลางจูงมือฉันขึ้นบ้าน ราวกับรู้ว่า ฉันตาบอด... เท้าของฉันก้าวไปตามขั้นบันไดที่ยายบอกว่า มีทั้งหมดเจ็ดขั้นขึ้นไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดเท้าก็สัมผัสกับพื้นไม้เรียบ
    “นั่งรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวยายเอาน้ำมาให้”
    “ไม่ต้องหรอกค่ะยาย แค่ให้ที่พักหนูก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว” ฉันร้องบอกไป แต่ก็ต้องได้ยินเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของยายตอบกลับมา
    “ไม่หรอกจ๊ะ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับไม่ใช่หรอกหรือ” ยายบอกกลับมา ก่อนขอตัวเข้าไปหาน้ำหาท่าให้ฉัน คำพูดของยายทำให้จิตของฉันกระหวัดคิดไปถึงใครบางคนที่ฉันกำลังหนีอยู่ในขณะนี้... ไม่รู้ว่า ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรนะ...
    “กลับมาแล้วจ๊ะ ยาย” เสียงใสๆ ดังขึ้นมาจากชานบ้าน ก่อนที่เสียงยายเจ้าของบ้านจะเรียกผู้มาใหม่ให้เข้ามาในบ้านอย่างดีใจ
    “เออๆ มาๆ ยายกำลังจะตั้งสำรับอยู่พอดี” ยายบอกหลานสาวของตน พร้อมๆ กับหลานที่เดินเข้ามากอดยายแน่น
    “ใครเหรอจ๊ะ” สงสัยหลานสาวของยายคงจะเห็นฉันแล้ว จึงถามยายอย่างสงสัย
    “แขกของยายเอง วันนี้เธอหาที่พักไม่ได้ ยายเลยชวนให้เธอมาพักกับเรา หนูคงไม่ว่าอะไรนะ”
    “โอ๊ย ไม่หรอกยาย ดีซะอีก บ้านเราจะได้ครึกครื้น” เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาหาฉัน ก่อนเสียงแนะนำตัวจะดังขึ้น “หนูชื่อมุกค่ะ แล้วพี่ชื่ออะไรคะ”
    “พิณจ๊ะ” ฉันตอบกลับไป พร้อมยิ้มให้เธอ
    “ขอตัวไปเตรียมสำรับก่อนนะคะ จะได้มาทานข้าวกัน” ฉันพยักหน้าและยิ้มให้สาวน้อยคนนั้น แต่ในใจกลับไม่อยากจะทานข้าวมื้อนี้เลย ฉันจึงเดินคลำทางไปหายาย พร้อมๆ กับขออนุญาตเจ้าของบ้านผู้เอื้ออารีอย่างเกรงใจ
    “หนูขอตัวไปพักก่อนได้มั้ยคะ ขอโทษนะคะที่เสียมารยาทไม่ทานข้าวกับยาย”
    เสียงถอนหายดังขึ้นจากยายที่อยู่ตรงหน้าฉัน ก่อนที่มือของแกจะตบมาที่ไหล่ฉันอย่างแผ่วเบา “อย่าคิดว่าจะต้องทำตัวเกะกะกลางวงอาหารเลยจ๊ะ ถึงหนูจะตาบอด แต่หนูก็ช่วยตัวเองได้ดีนี่จ๊ะ”
    คำพูดของยายให้ความกระจ่างแก่ฉันทันที ยายรู้ว่า ฉันตาบอด... ยายจึงชวนฉันมาค้างที่บ้านแก แทนที่จะไปหลงทางอยู่ในเมืองใหญ่ แทนที่จะโดนใครต่อใครหลอก หรือโดนใครต่อใครตะโกนก่นด่าอย่างไร้ไมตรี...
    ยายจึงหยิบยื่นไมตรีมาให้ฉันอย่างยินดี พร้อมกับเอื้อเฟื้อที่พักให้ และอาหารเล็กๆ น้อยๆ ถึงยายจะยากจน แต่หญิงชราคนนี้กลับมีน้ำใจอยู่เต็มเปี่ยม และถ่ายทอดความมีน้ำใจของนางสู่หลานของนางด้วย...
    ฉันทานอาหารมื้อนั้นอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้มันจะไม่ใช่อาหารที่เลิศหรูหรืออร่อยมากมาย แต่มันกลับทำให้ฉันรับรู้ถึงน้ำใจมหาศาลที่ลอยฟุ้งตลบอบอวลอยู่ทั่วบ้านหลังเล็กๆ ของยายคนนี้... ยายที่เป็นเพียงหญิงชรายากจน แต่กลับช่วยเหลือคนอย่างฉัน โดยที่ฉันยังไม่เอ่ยปากขอ...
    ...บางทีการช่วยเหลือ ก็อาจมาถึงผู้ที่ไม่ได้เอ่ยปากขอมันเลยแม้แต่น้อย...
    ฉันนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นไม้บนบ้านของยาย ถึงมันจะไม่สุขสบายเท่าเตียงนอนในห้องพักของฉัน แต่ฉันก็สุขใจ... สุขใจที่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่แสนเอื้ออารีอย่างยายหลานคู่นี้...
    ...ในเมืองใหญ่เช่นนี้ ยังมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่คอยมอบความช่วยเหลือให้ผู้ที่ต้องการ...เท่าที่ตนจะช่วยได้...
    ยามเข้ามาเยือนมหานครอันศิวิไลซ์อย่างรวดเร็ว โดยคนที่อาศัยอยู่ยังมิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เสียงของหลานสาวเริ่มจัดแจงหุงหาอาหาร ในขณะที่ยายเดินขึ้นมาบนบ้านพร้อมด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณบ้าน
    ฉันลุกขึ้นเดินคลำทางไปยังจุดที่ยายนั่งอยู่ ยายกำลังร้อยพวงมาลัยอยู่อย่างชำนิชำนาญ... โดยที่ฉันรู้ได้จากเสียงเคลื่อนไหวมือของยาย พร้อมๆ กับเสียงของยายที่ชวนฉันคุยอย่างเป็นกันเอง
    เสียงของยายเงียบหายไป และรอฟังคำตอบจากฉัน ฉันนั่งเหม่อคิดถึงผู้ชายคนนั้นเมื่อยายถามฉันถึงเหตุผลที่ฉันต้องเดินเร่ร่อนหาที่พักทุกค่ำทุกคืน ราวกับว่าฉันไม่มีที่ทางเป็นของตนเอง เมื่อเห็นฉันแน่นิ่งไป เสียงอันแหบพร่าของยายก็ดังขึ้น
    “ยายขอโทษนะที่ถามเซ้าซี้ ถ้าหนูไม่อยากจะตอบ ก็ไม่เป็นไร”
    ฉันส่ายหัวปฏิเสธคำพูดของยาย “ไม่หรอกค่ะ หนูบอกได้... หนูกำลังหนีผู้ชายคนหนึ่งอยู่”
    “เขาจะมาประทุษร้ายหนูเหรอจ๊ะ” เสียงของยายดูตื่นตระหนกตกใจ จนฉันต้องรีบส่ายหัว ก่อนที่แกจะเป็นอะไรไป
    “ไม่ใช่ค่ะ เขารักหนู แต่หนูคิดว่า ถ้าเขาใช้ชีวิตคู่อยู่กับหนู ชีวิตของเขาจะไม่มีวันสดใส” ฉันตอบไปตามที่ใจคิด
    “แล้วหนูรักเขารึเปล่าล่ะ” ยายถามคำถามรุกที่ฉันเองได้แต่นั่งนิ่ง ไม่สามารถให้คำตอบนางได้ “หนูเอ๊ย... คนเรานะ ถ้ามันจะรักกันแล้ว มันก็ต้องรัก จะปฏิเสธเสียงของหัวใจไปก็เท่านั้น ทั้งเขาและหนูก็จะต้องทุกข์ รู้มั้ย?”
    “บางทีหนูอาจจะไม่ได้รักเขาก็ได้นะคะ” ฉันรีบแย้งหญิงชราทันควัน แต่คำพูดของฉันกลับทำให้ใจของตัวเองหล่นวูบ
    “หนูรักเขา” หญิงชราผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่ากล่าวออกมาอย่างรู้ทัน “เพราะหนูรักเขายังไงล่ะ หนูถึงต้องออกมาจากกลิ่นของความคุ้นเคยของหนู เพื่อให้เขามีความสุข...” ผู้อาวุโสกว่าทั้งประสบการณ์และอายุบอก ก่อนเสริมด้วยคำพูดที่ทำให้ฉันต้องคิดหนัก “ทั้งๆ ที่บางทีเขาอาจจะไม่มีความสุขเลยก็ได้”
    “ไม่หรอกค่ะ” ฉันตอบยายไป แต่ในใจกลับคิดถึงเขาจนอยากที่จะกลับไปหาเขาในวินาทีนั้นเลย...
    ...ป่านนี้เขาจะตามหาฉัน จนหัวปั่นรึเปล่านะ...
    สามวันแล้วนะที่เธอจากไป เธอไปอยู่ที่ไหนนะ ทำไมผมถึงหาไม่เจอสักที เธอจะเป็นอะไรรึเปล่า... ความถวิลหาห่วงใยทำให้ผมร้อนรน เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวและที่สำคัญตาบอด แล้วเธอจะอยู่จะกินยังไง...
    วันนี้ผมออกตามหาเธอแต่เช้าตรู่ และก็คาดว่าจะเป็นเหมือนทุกวันที่กว่าจะกลับมาถึงรังนอนก็คงจะมืดค่ำย่ำรุ่ง ผมเดินผ่านห้องของเธอ มองประตูห้องของเธออย่างมีความหมาย และภาวนาขอให้มันช่วยให้เขาก้าวเท้าไปพบเธอด้วยเถอะ...
    การที่พิณไม่ใช้ไม้เท้า สุนัขนำทาง หรือแว่นตาดำ ทำให้ผมยิ่งหาเธอยากยิ่งขึ้น เพราะเธอจะกลมกลืนเข้ากับคนอื่น แต่นั่นคงไม่ทำให้ผมถอดใจเลิกที่จะตามหาเธอ ใจผมมันบอกว่าสักวันผมจะต้องเจอเธอ...
    ทางเดินที่ทอดยาวไกล ในขณะที่ยวดยานแล่นกันขวักไขว่อยู่ตลอดเวลา ที่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามสวนสาธารณะแห่งหนึ่งมีผู้คนยืนออรอรถขนส่งมวลชนกันอยู่อย่างหนาแน่น ผมไปหยุดยืนรวมกลุ่มกับคนพวกนั้น ก่อนจะทอดสายตามองเข้าไปในสวนร่มรื่นเขียวขจีนั้น
    ฉับพลันสายตาของผมก็ไปปะทะเข้ากับร่างๆ หนึ่งที่ดูเจนตา หัวใจของผมเต้นระรัวอยู่ในอก ราวกับว่ามันต้องการจะกระโดดเข้าไปหาเจ้าของร่างคนนั้น ผมวิ่งข้ามถนนอย่างไม่กลัวเกรง เสียงแตรบีบลั่นก้องถนน แต่ผมไม่สนใจแม้แต่จะมองอย่างขออภัย ผมสาวเท้าเข้าไปในสวนแห่งนั้น ก่อนจะรีบจ้ำตรงไปหาหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างระมัดระวังอยู่ ผมร้องเรียกชื่อเธอออกไปสุดเสียง และหวังว่าเธอจะเดินตามเสียงของผมมาถึงตัวของผมอย่างยินดี
    “พิณ!!”
    “พิณ!!”
    นั่นมันเป็นเสียงที่ทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว หลังจากที่ฉันล่ำลายายผู้เอื้ออารี เพื่อออกเดินทางต่อไป หลังจากที่ขออาศัยอยู่กับนางถึงสองวันเต็มๆ พร้อมทั้งตัดสินใจได้ว่า ฉันจะไม่กลับไปหาเขา ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นอยากให้ฉันกลับไปอยู่กับเขาก็ตาม หรือใจของฉันจะร่ำร้องให้กลับไปหาเขาเพียงไร... เสียงๆ นี้ฉันจำได้ดียิ่งกว่าอะไร เสียงที่คุ้นเคย เสียงของคนที่ฉันรัก และเสียงของคนที่ฉันพยายามจะออกห่างจากชีวิตของเขา เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมาจมปลักอยู่กับฉัน
    ต้นเสียงมาจากทางที่ฉันกำลังจะเดินไป ฉันหันหลังกลับก่อนจ้ำอ้าวแล้วจึงเปลี่ยนเป็นการวิ่งแทน วิ่งแบบไม่คิดชีวิต ทั้งๆ ที่ตาก็มองไม่เห็น แต่ฉันไม่สนอะไรอีกต่อไป ในเมื่อจะหนีมันก็ต้องหนีให้สุดตัว
    ฉันชนเข้ากับอะไรบ้างฉันเองก็ไม่รู้ ถึงแม้มันจะเจ็บ แต่ฉันก็ยังคงวิ่งต่อไป วิ่งอย่างสับสนไร้ทิศทาง วิ่งไปเพื่อหนีคนที่กำลังวิ่งตามมา พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อฉันก้องทั่วทั้งบริเวณ
    “พิณ!!”
    ไม่...ไม่ ฉันจะไม่หยุด ถึงแม้จะต้องหลงทางในเมืองใหญ่ แต่ฉันจะไม่หยุดรอให้เขามาถึงตัวฉันและร่วมหัวจมท้ายกับฉัน... ไม่เด็ดขาด!
    ฉันรู้สึกว่าฉันชนคนๆ หนึ่งล้ม คนร่างเล็กที่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงร้องลั่น เจ้าหนูคงจะเจ็บปวดน่าดู แต่ฉันไม่มีเวลาแม้แต่จะขอโทษหรือปลอบประโลมเอาอกเอาใจ เพราะต้องหนี...ใจตัวเอง...
    ทุกย่างก้าวนำความเจ็บปวดมาสู่ร่างกายของฉันได้เป็นอย่างดี ใจมันเจ็บแปลบ เจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บมาก่อน และดูเหมือนว่ายิ่งวิ่งหนีมากขึ้นเท่าไหร่ ความเจ็บปวดนั้นก็ยิ่งทบเท่าทวีคูณ
    “พิณ!!”
    ดังอีกแล้ว เสียงนั้นดังอีกแล้ว ทำไมเขาไม่ถอดใจแล้วเลิกวิ่งตามฉันสักทีนะ กลับไปเสียทีสิ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่ไม่ต้องจมปลักอยู่กับคนตาบอดช่วยตัวเองไม่ค่อยได้อย่างฉัน กลับไปสิขิง ฉันขอร้อง คุณกลับไปเถอะ
    ฉันสะดุดอะไรบางอย่างล้มลง รู้สึกว่าจะเป็นรากไม้ของต้นไม้ใหญ่ภายในสวนแห่งนี้ ฉันพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่ข้อเท้าคงพลิก และนั่นทำให้ฉันต้องสิ้นสุดการวิ่งหนีที่อาจไม่มีวันจบสิ้น
    “พิณ...”
    เสียงร้องเรียกอย่างห่วงใยดังใกล้เข้ามาอีก และเสียงนั่นทำให้ฉันลืมความเจ็บปวดชั่วครู่ ก่อนยันตัวลุกขึ้น แต่ในเมื่อไม่ขึ้นก็คงต้องอาศัยสองมือสองเข่าคลานต่อไป รู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชเสียเต็มประดา แต่ให้ฉันน่าสมเพชเวทนาคนเดียวก็ยังดีกว่าต้องให้คนอย่างเขาต้องกลายเป็นคนที่ต้องทิ้งชีวิตอันมีค่าไว้กับฉัน
    อาการเจ็บปวดที่ข้อเท้าเริ่มทุเลา ฉันจึงเริ่มลุกขึ้นอีกครั้ง และออกวิ่งโขยกเขยกต่อไป เสียงของรถยนต์ที่แล่นไปมาบนท้องถนนดังใกล้เข้ามา นี่คงจะเข้าใกล้ถนนไปทุกที แต่ความจริงนี้ไม่ได้ทำให้ฉันชะงักฝีเท้าลงเลย
    เท้าเจ้ากรรมดันเดินไปสะดุดของแข็งอะไรบางอย่าง ก่อนที่ฉันจะตัวเบาหวือ รับรู้ว่าอีกไม่นานหน้าฉันจะคว่ำคะมำลงกับพื้น ฉันเตรียมใจรับความเจ็บปวดอีกครั้งที่กำลังจะมาเยือนเร็วๆ นี้...
    แต่ผิดคาด... หน้าฉันไม่คะมำลงกับพื้น และที่สำคัญ... สำคัญจนฉันต้องผวา แขนแกร่งโอบรอบเอวของฉัน ก่อนรั้งตัวฉันไม่ให้ล้มลงไป
    ฉันจำสัมผัสนี้ได้... สัมผัสที่แสนอบอุ่น สัมผัสของคนที่ฉันคิดจะหนีมาตลอด แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฉันก็คงจะหนีไปไหนไม่ได้อีก...
    แต่เมื่อฉุกคิดถึงการกระทำที่ผ่านมาสองสามวัน ฉันก็ตระหนักได้ และพยายามจะดันเขาออกห่าง พร้อมที่จะเดินหนีทุกเมื่อ แต่เจ้าของมือที่โอบรอบเอวกลับรัดแน่น พลางดึงเข้าหาตัวของตน หลังของฉันชนเข้ากับอกแกร่งของเขา เสียงที่ปนเสียงหอบดังเล็ดลอดจากปากของเขา
    “อย่าหนีผมไปอีกเลย อยู่กับผม”
    น้ำเสียงเว้าวอนของเขาทำให้ฉันชะงัก น้ำตาเริ่มเอ่อล้นก่อนไหลอาบแก้ม ฉันหนีเขาทำไมนะ หนีหัวใจของตัวเองทำไม...
    “ปล่อยฉันไปเถอะ ให้ฉันอยู่คนเดียว อย่ามาจมปลักอยู่กับฉันเลย” เท่าที่ฟังน้ำเสียงของตัวเองที่เอ่ยออกไป ก็รู้แล้วว่ามันสั่นเครือเพียงใด มันไม่ใช่น้ำเสียงที่สามารถจะไล่ใครๆ ออกไปได้เลย
    “จะอยู่คนเดียวทำไมล่ะคุณ นะ อย่าหนีกันไปอีกเลย” น้ำเสียงอ้อนวอนบวกกับแรงที่รัดตัวฉันให้แน่นขึ้นไปอีก เหมือนกับว่าถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ ฉันจะหนีเขาไปอีก
    “จะจมปลักหรือจมขี้เลน ถ้าผมได้อยู่กับคุณผมก็พอใจแล้ว”
    ฉันไม่รับรู้อีกต่อไปแล้วว่า ฉันจะต้องหนีเขา ในเมื่อใจถูกจับใส่กรงไว้แล้ว กายก็คงจะต้องตามใจเข้ากรงรักไป...
    เท่านั้นแหละ หัวใจก็เริ่มเข้ามาบงการร่างกายทันที ฉันหันตัวเข้าหาอกกว้างของเขา ก่อนที่จะโอบคอเขาไว้มั่น... ไม่แล้ว จะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว เพราะจะหนียังไง หัวใจมันก็จะบินกลับมาหาคนที่กุมมันไว้อยู่ดี...
    “ผมมีอะไรจะให้คุณ” เหมือนเขาเพิ่งนึกอะไรได้ เขาจึงปล่อยมือออกจากเอว เมื่อแน่ใจแล้วว่า ฉันจะไม่หนีไปไหนอีก เขาดึงมือฉันให้แบออก ก่อนจะวางบางสิ่งบางอย่างลงบนมือของฉันอย่างแผ่วเบา
    ฉันลูบไล้เจ้าของสิ่งนั้นไปมา มันคือแหวน... เขาดึงมือข้างซ้ายฉัน ก่อนจะสวมแหวนวงนั้นให้นิ้วนางข้างซ้ายของฉัน จากนั้นก็ยกมือข้างนั้นขึ้นไปหอมฟอดใหญ่
    “ไปกินข้าวต้มกันดีกว่า ของคุณไม่ใส่ขิง”
    คำชวนของเขาทำเอาเราทั้งคู่หัวเราะกันก้อง ก่อนที่เขาจะช่วยพยุงฉันให้เดินกลับรังนอนที่ฉันละทิ้งมา รังที่ต่อไปต้องขยับขยายให้เพียงพอสำหรับคนสองคน...
    อ้อ...แล้วที่สำคัญ... ต่อไปห้องของฉันคงมีทีวีไว้ให้ฉันฟังเล่นเป็นแน่...
    ...ฉันไม่ถูกโรคกับขิง แต่สำหรับขิงคนนี้...ขิงนี้สวรรค์คงส่งมาให้ฉัน เพื่อทดแทนการมองเห็นที่เบื้องบนลืมมอบให้อย่างแน่นอน...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น