ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Gemini ไม่อ้างว้างเพราะมีเธอ
จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปทำไม...
ในเมื่อใจเราคู่กัน
    ฉันลืมตาตื่นขึ้นในเช้าของวันใหม่ แต่ถึงมันจะใหม่สักแค่ไหน แต่มันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรชีวิตที่ซ้ำซากจำเจ ภายในห้องพักของคอนโดมีเนียมหรูใจกลางเมือง ที่ที่คนอย่างฉันยึดมันเป็นที่ซุกหัวนอน...อย่างโดดเดี่ยว... การต้องอยู่คนเดียวในมหานครอันศิวิลัย มันทำให้ฉันรู้สึกอ้างว้างทุกครั้งทั้งก่อนเข้านอนและยามตื่นนอน
    เสียงรถราวิ่งกันขวักไขว่วุ่นวาย มันเป็นเสียงที่ฉันได้ยินจนเบื่อหน่าย และกลายเป็นความชินชาในที่สุด... ธรรมชาติสอนให้คนอย่างฉันต้องปรับตัว ปรับตัวให้ได้กับสภาพแวดล้อมที่สุดจะทน... ให้ตายเถอะ เมื่อไหร่ฉันจะได้หนีออกจากชีวิตที่โกลาหลเช่นนี้เสียที...
    ฉันเปิดประตูห้องออกมาเพื่อตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่พักของฉันมากนัก การใช้รถยนต์ส่วนตัว จะเป็นการเพิ่มปริมาณรถในท้องถนนซึ่งกำลังอัดแน่นไปด้วยยานพาหนะที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ชีวิตสะดวกขึ้น แต่นั่นมันกลับทำให้คนเราต้องเสียเวลาไปบนท้องถนนโดยใช่เหตุ... ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงเลี่ยงมาใช้เส้นทางที่สะดวกสบายลอยฟ้า รถไฟฟ้าคงเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพนักงานกินเงินเดือนอย่างฉัน...
    แต่เมื่อเปิดประตูห้องพักออกมา พร้อมกับภาพในห้วงคิดที่ติดตาฉันมาแต่ไหนแต่ไรยามต้องเปิดประตูออกมา แต่ทว่า...ภาพที่ซ่อนอยู่หลังบานประตูกลับเป็นภาพที่ฉันไม่คุ้นตา เป็นภาพที่แปลกใหม่ในชีวิตที่จำเจของฉันเลยก็ว่าได้
    ชายหนุ่มร่างสูงเปิดประตูออกมาจากห้องที่อยู่ตรงข้าม พร้อมทั้งส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้ฉัน... ส่วนฉันจะทำอย่างไรได้เล่า นอกจากส่งยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะออกเดินอย่างเร่งรีบ ก่อนที่ฉันจะโดนตัดเงินเดือนจากเจ้านายสุดเขี้ยวของฉัน โทษฐานมาทำงานสาย... โดยไม่ทิ้งเวลาให้เสียเปล่าไปกับสำรวจโครงหน้าของชายแปลกหน้าตรงหน้า...
    สองเท้าซอยถี่ขึ้นไปบนบันไดที่ทอดตัวขึ้นไปยังสถานีรถไฟฟ้า บนชานชาลาที่ผู้คนเริ่มหนาตา ฉันเดินไปหาที่ที่คนไม่หนาแน่นมากนัก เพื่อรอรถไฟฟ้าขบวนที่ใกล้จะเข้ามาจอดเทียบท่าที่สถานี...
    แต่แล้วตาสองดวงของฉันก็ต้องไปหยุดที่ร่างๆ หนึ่งที่ดูไม่คุ้นตา แต่ก็จำได้อย่างแม่นยำ เจ้าของร่างจะเป็นใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่คนส่งยิ้มให้ฉันเป็นคนแรกของวันนี้ เขาเดินขึ้นมารอยานพาหนะลอยฟ้าเช่นเดียวกับฉัน และแล้วสิ่งที่ฉันภาวนาขอให้อย่าเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อตาคมเข้มคู่นั้นหันมามองทางฉันเข้า ก่อนที่เจ้าตัวจะสาวเท้าเข้ามาหา
    “สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้วนะ” เสียงทุ้มนุ่มหูที่ถูกเอ่ยออกจากปากของชายหนุ่ม ฉันยิ้มอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ทักตอบ เพราะรถไฟฟ้าแล่นเข้ามาจอดเทียบท่า และฉันก็เป็นหนึ่งในคนหลายสิบคนที่ก้าวเท้าเข้าไปรับอากาศเย็นฉ่ำในนั้นโดยไม่รีรอ
    ชายหนุ่มคนเดิมเดินตามหลังฉันเข้ามาติดๆ คนโดยสารภายในขบวนนี้ดูจะหนาแน่นเป็นพิเศษ จนไม่เหลือที่ให้ฉันเกาะเกี่ยวยึดตัวไว้กับสิ่งใดได้เลย ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทักษะส่วนบุคคลในการทรงตัวไม่ให้เซถลาไปชนใครเขาเข้า จนเป็นการเสียหน้าในที่สาธารณะ
    เสียงประกาศบอกชื่อสถานีดังขึ้นเป็นระยะ พร้อมๆ กับกระแสชนที่หลั่งไหลเข้ามาภายใน ยิ่งลดพื้นที่ในการหายใจและการยืนของฉันให้เหลือน้อยเข้าไปอีก คนที่ยืนเบียดเสียดยัดเยียดผสมโรงกับผู้คนที่พากันกรูเข้ามา ดันให้ฉันต้องถอยเข้ามาภายในมากขึ้นอีก จนแผ่นหลังไปชนกับอกกว้างของใครบางคน
    ฉันหันไปมองเจ้าของแผ่นอกนั่น พร้อมๆ กับความตั้งใจที่จะขอขมาลาโทษ แต่เมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มนั่น คำขอโทษที่ตั้งใจไว้ก็มลายหายไปจนหมดสิ้น ทำได้แค่เพียงส่งรอยยิ้มเชิงขอโทษ รอยยิ้มเป็นครั้งที่สามให้กับผู้ชายคนเดิม...
    สถานีถัดไปคือสถานีจุดหมายปลายทางของฉัน ทันทีประตูไฟฟ้านั่นเปิดออก ฉันก็รีบก้าวออกจากโลกอันคับแคบนั่นทันที พร้อมกับอาศัยสองเท้าที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอีกครั้งในการก้าวลงจากสถานี และตรงดิ่งไปถึงที่ทำงานโดยปลอดภัย
    มือของฉันดันประตูกระจกของสำนักงานให้เปิดกว้าง ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปรับอากาศเย็นสบายอีกครั้ง พนักงานประชาสัมพันธ์เงยหน้าขึ้นมามองฉันพร้อมทั้งยิ้มให้อย่างกันเอง โดยที่หูข้างหนึ่งยังคงหนีบโทรศัพท์ไว้
    สำนักงานบริษัททัวร์รายใหญ่ที่เป็นแหล่งหากินของฉันยังคงซ่อนบรรยากาศเป็นกันเองเสมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกันเสมอ... ยิ่งตอนนี้เจ้านายสาวแต่งงานกับหนุ่มหน้าตาดีนามว่า นราศักดิ์ หรือที่คุณภาเรียกว่า นายสาก บรรยากาศการทำงานยิ่งสนุกสนานครื้นเครงไปกันใหญ่ และตอนนี้คนทั้งออฟฟิศก็กำลังลุ้นกับความรักของท่านประธานบริษัทอย่างออกนอกหน้า และท่านประธานก็ดูเหมือนจะยิ้มรับกับคำแซวนั้นอย่างยินดี
    ฉันเดินเข้าแผนกวางแผนการท่องเที่ยว พร้อมทั้งทักทายเพื่อนร่วมงานอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งที่เก้าอี้ประจำตัวที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ กองเอกสารที่ตั้งพะเนินจนกินพื้นที่ของคอมพิวเตอร์คู่กาย โต๊ะที่รกเป็นรังหนูเทียบไม่ได้เลยกับโต๊ะของเพื่อนสาวคู่ซี้ของฉันที่ตั้งอยู่ข้างๆ มีเพียงฉากเล็กๆ กั้นแบ่งพื้นที่ทำงานออกจากกันเท่านั้น
    “นี่พิมพ์ กองกระดาษบนโต๊ะของเธอน่ะ จะหล่นลงมาทับเธอตายอยู่แล้วนะ ทำไมไม่เก็บให้มันเรียบร้อยเสียบ้าง” คุณอัญญดาเพื่อนซี้ของฉันพูดขึ้น โต๊ะของคุณเธอที่สะอาดสะอ้านมาตลอดเวลาสองปีที่เธอเข้ามาทำงาน ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ฉันกับอัญเดินกอดคอตบเท้าเข้ามาเป็นพนักงานบริษัทพร้อมๆ กันแท้ๆ แต่ทำไมโต๊ะของฉันกับของคุณเธอมันถึงได้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้
    “ฉันกำลังทำกำหนดการทัวร์ครั้งใหญ่อยู่ เธอก็รู้นี่อัญ คุณภาเธอกำชับนักกำชับหนาว่า ทัวร์ครั้งนี้สำคัญ” ฉันอธิบายเหตุผลเป็นรอบที่ร้อยกว่าๆ ให้เพื่อนรักสะอาดเข้าใจอีกครั้ง “คุณภาก็นะ แต่ก่อนงานใหญ่ๆ อย่างนี้เธอทำเองหมด แต่เดี๋ยวนี้ต้องไปกระหนุงกระหนิงกับนายสากของเธอตามประสาข้าวใหม่ปลามัน โปรเจคท์ใหญ่เลยได้ตกมาถึงฉัน ให้ฉันได้แสดงฝีมือ”
    “นินทาเจ้านายระวังโดนตัดเงินเดือนนะ” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นจนฉันต้องเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะหันไปทางต้นเสียงอย่างหวาดๆ หุ้นส่วนสาวคนสำคัญของบริษัทที่ตอนนี้ไม่โสดอีกต่อไปยืนกอดอกยิ้มอยู่ ฉันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยิ้มแหยๆ ให้เจ้านาย
    “ไม่เป็นไรหรอก พิมพ์ ฉันไม่ถือ” คุณภาสินีบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปเรียกใครบางคนที่กำลังยืนนิ่งหันซ้ายหันขวาสำรวจบรรยากาศอย่างพอใจ
    แล้วเขาคนนั้นก็หันมา... ฉันเบิกตากว้าง แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับส่งยิ้มให้อีกรอบ รอบที่สามของวัน นายนี่ท่าทางจะขายอมยิ้มมาก่อน...
    เจ้านายสาวตบมือเรียกความสนใจจากคนทั้งแผนกให้มาหยุดอยู่ที่เธอ ก่อนจะเริ่มประกาศก้อง “นี่ทรงกริช หัวหน้าแผนกคนใหม่ ส่วนฉันจะเหลือตำแหน่งแค่รองประธานเท่านั้น”
    เสียงโห่ฮาอย่างรู้ทันดังขึ้นมาจากรอบๆ บริเวณ พร้อมๆ กับเสียงของนายพงศกรปากกล้าที่หาญกล้าแซวเจ้านายคนสวย
    “นั่นแน่ ทิ้งตำแหน่งของตัวเองให้คนอื่น จะเอาเวลาไปสวีทหวานกับหวานใจใช่มั้ยล่ะ” สิ้นเสียงแซว เสียงเฮฮาก็ดังก้องแผนก คุณภาปั้นยิ้มที่คนสนิทเท่านั้นจะรู้ว่า อะไรจะตามมาหลังจากรอยยิ้มนั่นของเธอ
    “เอ่อ คุณพงศกรคะ คุณอยากจะโดนพักงานมั้ย” สิ้นเสียงเสนอของเจ้านายสาว ทั้งคนนำทั้งลูกคู่ก็เงียบกริบ มองหน้ากันตาปริบๆ
    “กริชจะเริ่มทำงานตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โปรดให้ความเคารพยำเกรงกันด้วย” คุณภากล่าว แต่ลูกน้องกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย “หมดเรื่องแล้ว ทำงานกันต่อได้”
    คุณภาหันมาทางฉัน พร้อมกับเอื้อนเอ่ยวจีที่ฉันไม่ใคร่จะได้ยินในวันนี้ “โปรเจคท์ที่ให้ทำน่ะ ใกล้เสร็จแล้วยังพิมพ์ ลูกค้าเขารออยู่นะ”
    “ค่า ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ รับรองไม่เกินอาทิตย์นี้” วันนี้วันจันทร์ยังมีเวลาอีกสี่วัน ยังไงๆ ฉันก็มั่นใจว่า ฉันต้องทำทันแน่
    “ดี เสร็จแล้วเอาไปให้กริชเขาตรวจดูก่อนนะ แล้วค่อยมายื่นให้ฉันอีกที”
    “ค่า”
    เวลาเดินไปอย่างรวดเร็ว จากเช้าเป็นเที่ยง จากเที่ยงเป็นเย็น ได้เวลากลับบ้านอีกแล้ว และยวดยานที่จะใช้ในการขนส่งฉันกลับไปยังที่พัก ก็หนีไม่พ้นรถไฟฟ้าเช่นเคย แต่ดูเหมือนการโดยสารรถไฟเที่ยวนี้จะมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะมีร่างสูงของหัวหน้าแผนกคอยเกะกะลูกตาของฉันทุกครั้งไป
   
    เช้าวันใหม่ของชีวิตที่แสนเก่าเริ่มขึ้นอีกครา กิจวัตรเดิมๆ ยังคงดำนินอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้สิ่งที่เข้ามาใหม่ในชีวิตอย่างปฏิเสธไม่ได้ก็คงจะเป็นรอยยิ้มอย่างสดใสจากเจ้าของห้องที่อยู่ตรงกันข้าม กับเพื่อนร่วมทางที่บางครั้งก็ทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการค้ำยันไม่ให้ฉันเซถลาลงไปกองอยู่กับพื้นของรถไฟฟ้าปลากระป๋อง
    กำหนดส่งงานในวันศุกร์ใกล้เข้ามา ในขณะที่งานเพิ่งเดินเกินครึ่งมาหน่อยๆ ยิ่งใกล้กำหนดเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งหัวหมุนหัวปั่นขึ้นทุกวัน ฉันรู้สึกว่า ฉันทำงานอย่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยฉันบ้างนะ?...
   
    กระจกบานใหญ่ถูกเลื่อนเปิดออกเป็นครั้งแรกของสัปดาห์ สายลมเย็นปะทะเข้าที่ใบหน้าของฉันทันทีที่ฉันก้าวขาออกไปยืนบนระเบียงของห้องพัก แสงไฟจากยวดยานพาหนะที่แล่นกันคลาคล่ำบนท้องถนนเบื้องล่าง รวมทั้งแสงไฟจากแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่พากันเปิดล่อแมลงเม่าให้บินเข้าไปในกองไฟอย่างลิงโลด
    ท้องฟ้าในกรุงเทพฯ ไม่มืดมิดเหมือนท้องฟ้าตามป่าเขา เนื่องจากแสงสีที่ผู้คนต่างพากันเปิดล่อตาล่อใจนักท่องเที่ยว แสงดาวที่ทอประกายก็ดูเหมือนจะถูกบดบังไปด้วย ถ้าเมืองทั้งเมืองนี้ไฟฟ้าดับชั่วคราวล่ะ แสงเล็กๆ จากดวงดาวนั้นจะทอประกายเจิดจรัสให้ฉันได้เห็นอย่างเต็มอิ่มสักครั้งไหม?
    ฉันถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง ทิ้งท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่มืดมิดไว้เบื้องหลัง แล้วหันหน้าให้กับงานที่วางกองอยู่อีกครั้ง แต่ในขณะที่กำลังจะลงมือทำงาน แสงไฟจากหลอดนีออนที่เปิดให้ความสว่างไสวแก่ห้องของฉันในยามรัตติกาลก็ดับลง ฉันสะดุ้งเฮือก... เพิ่งเปลี่ยนหลอดไฟไปเอง มันไม่น่าที่หลอดไฟจะเสื่อมสภาพได้เร็วเช่นนี้...
    ฉันลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินไปหยิบไฟฉายจากลิ้นชักของเคาน์เตอร์ในครัว แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสภาพแวดล้อมข้างนอกห้อง ราวกับฝันไป... มหานครที่ไม่เคยหลับใหล บัดนี้กำลังงีบหลับอย่างเป็นสุข เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความมืดมิด ฉันรีบสาวเท้าไปที่ระเบียงนั่นเพื่อชมแสงดาวที่ฉันใฝ่หามานาน ในเมื่อทุกอย่างเป็นใจ นี่ก็คือโอกาสที่ฉันควรจะคว้าไว้
    แสงระยิบระยับจากดวงดาวภายนอกดูจะยวนตายวนใจเสียเหลือเกิน แม้จะยังไม่ได้ก้าวเท้าไปข้างนอก แต่แค่ยืนมองดูจากข้างในห้องมันก็สามารถเห็นดวงดาราที่ทอประกายเต็มท้องฟ้า... แต่นี่คงไม่พอสำหรับฉัน ฉันต้องการดูให้เต็มๆ ตา ก่อนที่มหานครจะถูกปลุกขึ้นอีกครา ด้วยน้ำมือของกระแสไฟหลายหมื่นโวลต์...
    ถึงแม้รถราจะยังคงแล่นกันต่อไป โดยไม่ได้สนใจกระแสไฟฟ้าที่ขัดข้อง แต่แสงไฟจากรถพวกนั้นน่ะเหรอที่จะน่าดูเท่าแสงแห่งจักรวาล หมู่ดาวทอแสงเจิดจรัส ฉันทอดสายตามองท้องฟ้าที่มืดมิดนั่น และแล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่กลุ่มดาวกลุ่มหนึ่ง... ที่ใครต่อใครต่างเรียกขานมันว่า... เจมิไน กลุ่มดาวคนคู่...
    ...คนเราไม่อาจอยู่คนเดียวตามลำพังได้... ช่างเป็นสัจธรรมที่เที่ยงแท้แน่เสียยิ่งกว่าแน่ นี่ล่ะมั้งเหตุผลที่ใครต่อใครต่างพากันมองหารักแท้ มองหาคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิต มองหาใครสักคนมาเติมเต็มชีวิต มองหาคนที่จะยอมเป็นแฝดที่แตกต่างของตน...
    มือใหญ่ที่เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟ้าเขย่ามหานครที่ของีบสักพักให้ตื่นขึ้น ดวงไฟที่เริ่มทยอยกันสว่างขึ้นอีกครั้งกลับมาสร้างสีสันให้กับกรุงเทพมหานครอีกครั้ง... นครหลวงที่ไม่สามารถจะหลับลงได้เลยแม้วินาทีเดียว...
    ฉันกลับเข้าห้องอย่างผิดหวัง แต่ในความผิดหวังก็ยังคงมีความพอใจ พอใจที่ได้เห็นหมู่ดาว.. แม้เพียงชั่วครู่ แต่ก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือในตอนนี้ก็คือ นั่งปั่นงานให้เสร็จ พรุ่งนี้ก็จะถึงฤกษ์ส่งงานแล้ว สงสัยคืนนี้ต้องทำงานโต้รุ่งกันอีกสักคืน...
    มือที่เริ่มเมื่อยล้ายังคงทำหน้าที่ของมันอย่างหยุดไม่ได้ เวลาและหน้าที่ได้บีบบังคับให้มันตระหนักถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากมันหยุดพักเพียงเสี้ยววินาที สายตาที่ไล่ไปตามตัวหนังสือที่ปรากฏขึ้นบนจอมอนิเตอร์อย่างกระชั้นชิดเริ่มอ่อนล้าลง แต่ก็ไม่สามารถจะละทิ้งงานตรงหน้าได้... ฉันยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง เนิ่นนานจนประสาททั่วร่างกายเริ่มจะไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว...
    เสียงนิ้วที่เคาะรัวลงบนแป้นพิมพ์อย่างชำนิชำนาญยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก ความเงียบที่เข้าปกคลุมห้อง ทำให้ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน ขนาดที่แฟนพันธุ์แท้คีย์บอร์ดตัวจริงก็คงจะตอบไม่ได้ยากว่า คนๆ นั้นกำลังพิมพ์คำว่าอะไรอยู่ แต่นั่นคงไม่ใช่ฉัน เพราะในเมื่อตอนนี้ฉันนอนอยู่ที่นี่ กำลังนอนอยู่บนเตียงนี่ แล้วใครกันเล่า ที่เป็นเจ้าของมืออันคล่องแคล่วคู่นั้น ฉันย้อนคิดไปเรื่อยๆ และเริ่มตระหนักความจริงที่คงอยู่กับฉันมานานปี... ฉันอยู่คนเดียว แล้วใครบุกรุกห้องฉัน!?!?
    ฉันลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงนอนที่นุ่มสบาย แต่ทันทีที่ขาแตะพื้น ร่างกายที่เคยเชื่อฟังคำสั่งของฉันเป็นอย่างดีกลับทรยศเอาเสียดื้อๆ ร่างของฉันทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น แล้วสติสัมปชัญญะก็ดับวูบอีกครั้ง...
    สัมผัสที่อ่อนโยนปลุกฉันให้ตื่นขึ้นจากความมืดมิด อ่อนโยนจนฉันเองก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม และอยากที่จะฝังตัวลงไปในเตียงนอนอันนุ่มสบายต่อ และเหมือนว่าเจ้าของสัมผัสนั้นก็ไม่ต้องการที่จะให้ฉันตื่น ฉันจึงตัดสินใจจมดิ่งลงไปในความมืดมิดต่อ แต่ทว่า...ดูเหมือนสิ่งที่ฉันรู้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับชีวิตของตนเองจะผุดขึ้นมาเหมือนดวงไฟในความมืดมิดนั้น... ฉันอยู่คนเดียว!!!
    ฉันลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีที่คิดได้เช่นนั้น แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ฉันต้องร้องอย่างไม่เป็นภาษา... โอ้ ไม่นะ...ความกราดเกรี้ยวที่แผ่ซ่านอยู่เต็มหัวใจ ทำให้ฉันไม่เสียเวลาต่อความยาวสาวความยืดกับคนตรงหน้า มือของฉันปัดมือใหญ่ที่กำผ้าขนหนูซึ่งกำลังยื่นเข้ามาหาให้ออกห่าง...
    ความผิดหวังเริ่มเข้ามากัดกินหัวใจของฉัน แทนที่ความโกรธขึ้งเมื่อครู่ ฉันหันไปมองเจ้าของมือเต็มตา ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่น
    “คุณเข้ามาได้ไง!!” ฉันตะโกนถามคนที่อยู่ใกล้แค่คืบ พลางลุกพรวดขึ้นมาสำรวจร่างกายของตัวเอง แต่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ แต่มันแน่เหรอที่ผู้ชายตรงหน้าจะไม่ได้ทำอะไร
    “ขอให้ยามเค้าเปิดประตูให้” ชายหนุ่มที่ถ้าฉันจำไม่ผิดคือ เจ้านายคนใหม่ของฉันตอบเสียงเรียบ
    “คุณถือสิทธิ์อะไรบุกรุกห้องฉัน”
    รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าคมเข้มของชายตรงหน้า แต่รอยยิ้มนั่นมันกลับทำให้อารมณ์ฉันพลุ่งพล่าน ฉันยืนขึ้นประชิดติดตัวเขา หน้าของเขาอยู่สูงจากตาฉันราวห้าเซ็นต์ แต่นั่นก็น้อยนิด พอเพียงที่ฉันจะฉะฝ่ามือเข้าใส่หน้าหล่อของเขาได้
    แรงที่ฉันถ่ายเทให้มือข้างขวาของฉันมันคงจะมากเอาการอยู่ หน้าของชายหนุ่มหันไปตามทิศทางที่ฝ่ามือของฉันเคลื่อนไหว แต่นายทรงกริชกลับยืนนิ่ง ทำหน้าเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
    “นี่คุณ ฟังผมอธิบายก่อนได้มั้ย” ดูเหมือนนายทรงกริชจะอยากเอาน้ำเย็นเข้าแลก แต่ขอโทษทีห้องฉันมีแต่น้ำร้อน
    “ไม่มีทาง คุณจะยังมีหน้ามาอธิบายอะไรอีก”
    “คุณเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว”
    “ไม่ผิด คนอย่างฉันไม่เคยเข้าใจอะไรผิด”
    นายกริชยืนนิ่ง ท่าทางเขาคงจะไม่อยากต่อปากต่อคำกับฉันแล้ว แต่หลังจากเขาปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักพัก ก็เหมือนว่าเขาจะตระหนักถึงอะไรบางอย่าง... อาจจะตระหนักถึงเวลาที่เสียไปกับการยืนนิ่งเช่นนี้ก็เป็นได้...
    ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาไม่วางตา ในขณะที่ชายตรงหน้าค่อยๆ สาวเท้าก้าวเข้ามาใกล้ฉัน ใบหน้านิ่งราบเรียบของเขา ทำให้ฉันต้องถอยห่าง เขาก้าวเข้าหามากเท่าไหร่ ฉันก็ก้าวถอยห่างมากเท่านั้น แต่ดูเหมือนการก้าวถอยหลังของฉันจะสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อหลังของฉันชนเข้ากับผนังที่เย็นเฉียบ
    อีตาทรงกริชยังคงสาวเท้าเข้ามามากขึ้น ในขณะที่ฉันไม่มีทางหนีอีกแล้ว แขนแข็งของเขายันเข้ากับผนัง และตอนนี้ฉันก็ตกอยู่ในวงล้อมของอ้อมแขนของเขาแล้ว... อย่างไม่มีทางที่จะหนีไปได้!!!
    “คุณไม่ออกจากห้องมาสองวันแล้ว” เสียงทุ้มของเขาเอ่ย ในขณะที่ฉันหลับตาปี๋ “คนเขาเป็นห่วงทั้งออฟฟิศ พี่ภาก็ห่วง กลัวว่าจะเป็นอะไร และผม... เป็นห่วงคุณมาก ตอนเช้าเปิดประตูออกมาก็ไม่เจอคุณ บนรถไฟฟ้าก็ไม่เห็นคุณ ไม่มีคนคอยยึดผมเป็นที่มั่น”
    คำพูดของเขา ทำให้ฉันค่อยๆ ลืมตาอย่างโล่งอก ในขณะที่เขาก็ยังคงพูดต่อไป
    “ผมก็เลยกังวล วันนี้เลยขอให้ยามเปิดประตูห้องคุณให้ แล้วก็เห็นคุณนอนสลบคากองเอกสาร มือยังกำปากกาไว้แน่นเชียว ตั้งนานแน่ะกว่าผมจะแกะออก”
    “เอ่อ...ฉัน” ถึงคราวที่คนอย่างฉันอับจนสิ้นหนทางต่อปากต่อคำแล้วกระมัง...ฉันเข้าใจผิด... ฉันยอมรับโดยดุษฎี...
    “แล้วก็อุ้มคุณไปที่เตียง ก็แค่เนี้ย”
    “เอ่อ แล้ววันนี้วันอะไรหรอ” ฉันถามอย่างเกรงใจ
    “วันอาทิตย์” คำตอบของเขาทำให้ฉันเบิกตากว้าง เท่าที่ฉันจำได้ ฉันกำลังทำงานในคืนวันพฤหัสฯ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...
    “ใช่...” ราวกับเขาจะล่วงรู้ความคิดของฉัน “คุณหมดสติไป 2 วัน 3 คืน สงสัยเร่งทำงานหนักจนไม่รู้จักพักผ่อน ข้าวปลาก็คงไม่กิน”
    ฉันหลบสายตาลงต่ำก้มมองพื้น ใช้เท้าเขี่ยพรมที่ปูพื้นห้องเล่น และแล้วหน้าของคุณภาก็ลอยเข้ามาในมโนสำนึก... ตายล่ะหว่า แล้วงานฉันล่ะ...
    คิดได้ดังนั้น ฉันจึงรีบปรี่เข้าไปที่โต๊ะทำงานของฉัน แต่ดูเหมือนโต๊ะที่เคยรกเพราะกองเอกสารที่ขนมาจากออฟฟิศ จนทำให้โต๊ะที่นี่ไม่ต่างจากที่ทำงานนัก กลับสะอาดสะอ้าน เหลือเพียงแฟ้มงานใหญ่แฟ้มหนึ่งที่วางอย่างสงบนิ่งบนโต๊ะนั้น
    ฉันเปิดแฟ้มดูอย่างคร่าวๆ แต่เพียงแค่นี้ก็รับรู้ได้แล้วว่า งานที่คั่งค้างเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ อดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ที่ก่อนจะหมดสติไป ยังอุตส่าห์สะสางงานให้เสร็จเสียก่อน แต่แล้วความภูมิใจก็มลายหายไป เมื่อเสียงกระแอมดังขึ้นจากเจ้านายทรงกริช...
    เขาคงจะมาทำให้ฉันล่ะมั้ง... คิดได้ดังนั้นจึงเหลียวหลังไปมองคนร่างสูง พร้อมกับยิ้มขอบคุณ เขาเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้  ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น... พ่อครัวใหญ่คงคิดจะสำแดงฝีมือสินะ...
    ในเมื่อเขาเข้าครัว แล้วฉันจะมามัวยืนเฉยอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร... ฉันรีบเดินเข้าไปในห้องนอน พลางจัดแจงลงกลอนประตูอย่างดี เข้าห้องน้ำเปิดน้ำให้ไหลออกมาจากฝักบัวให้ชื่นใจ... เอ...มันเกี่ยวกันมั้ยนะ?...
    ฉันก้าวออกจากห้องน้ำแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อย และทันทีที่เปิดประตูห้องนอนออกมา กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยโชยมาแตะจมูก ฉันเดินตามกลิ่นนั้นไปเหมือนหมา ก่อนจะหยุดที่โต๊ะทานข้าว ใบหน้าของพ่อครัวพร้อมกับอาหารน่าหม่ำที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ... มันดูดีกว่าที่ฉันเคยทำตั้งเยอะ... น่าขายหน้าจริงๆ
    อาหารมื้อกึ่งกลางวันกึ่งเย็น ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ชายคนนี้จะมีอารมณ์ขันที่มากมายเช่นนี้ การพูดคุยกับเขาทำให้ฉันยิ้มออก หัวเราะร่า อย่างที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำได้มาก่อน...
    นับจากเหตุการณ์ในวันนั้น เขากับฉันก็สนิทสนมกันยิ่งขึ้น จนยายอัญกับนายพงศกรได้เรื่องแซวเรื่องใหม่ที่ดูเหมือนว่าแซวเรื่องนี้แล้ว พวกนั้นคงไม่ต้องโดนตัดเงินเดือนหรือโดนพักงาน... มันก็แน่ล่ะ ฉันมันพนักงานต๊อกต๋อยนี่ จะไปมีอำนาจเหมือนคุณภาที่ตอนนี้ชักจะกระจุ๋งกระจิ๋งกับคุณศักดิ์เข้าไปใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถึงจะโดนล้อโดนแซวแค่ไหน ยังไงๆ ก็ยังมีคนที่โดนแซวด้วยอีกคน ไม่ใช่ฉันคนเดียว ฉันก็พอใจแล้ว...
    นายทรงกริช คนที่เห็นหน้ากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ถึงฉันจะเห็นหน้าเขาทุกวัน ฉันกลับไม่เบื่อ กลับอยากเห็นหน้าทุกวินาที จนฉันเองก็อดจะแปลกใจสงสัยในตัวเองเช่นกัน นี่อะไรมาเล่นตลก เล่นกลกับหัวใจของฉันรึเปล่านะ... ความรู้สึกที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวหายไป ความเบื่อหน่ายที่เช้าวันใหม่มาเยือนหมดสิ้น... เหลือเพียงความเบิกบานใจที่ทุกเช้า เมื่อฉันเปิดประตูห้องออกไป จะมีนายคนนี้ยืนยิ้มให้ทุกครั้งไป...
    เขาคงจะเป็นสิ่งที่เข้ามาใหม่ในชีวิตที่ซ้ำซากของฉัน และถึงตอนนี้ฉันก็ยอมรับให้เขามาเป็นส่วนหนึ่งในชิวิตที่จำเจ แต่ดูเหมือนว่า พอเขาเข้ามา ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายของฉันก็หายไป เหลือเพียงสีสันที่แต้มแต่งเข้ามาในชีวิต จนคาดเดาไม่ออกว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร... ชีวิตฉันไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะมีคนที่ชื่อ...ทรงกริช...เข้ามาแต่งแต้มให้มีชีวิตชีวา...
    การเดินทางที่เบียดเสียดยัดเยียด จนบางครั้งพาลให้หงุดหงิดใจบ่อยๆ แต่พอได้เดินทางไปกับนายนี่ รับรู้ถึงความมีตัวตนของเขาผ่านมือของเขาที่กำมือฉันไว้หลวมๆ ยิ่งทำให้ฉันอุ่นใจ สบายใจอย่างประหลาด
    ไปทำงานก็มีนายทรงกริชเดินไปด้วย ขากลับเขาก็กลับด้วย เหมือนเราเป็นเงาของกันและกัน มีฉันอยู่ที่ไหน นายทรงกริชก็จะอยู่ที่นั่น แต่ฉันก็เต็มใจจะเป็นเงาของเขานะ และรอยยิ้มที่เขาส่งมาให้ฉัน ก็เหมือนจะสื่อความหมายได้ว่า เขาก็ยินดีที่จะเป็นเงาตามตัวฉันเช่นกัน...
    ค่ำคืนนี้ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงไฟหลายสีที่แต้มแต่งให้มหานครแห่งนี้กลายเป็นมหานครที่มีชีวิตทั้งยามกลางวันและกลางคืน โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่า เมืองแห่งนี้ปรารถนาเช่นไร... ปรารถนาจะหลับยามรัตติกาลเหมือนเช่นคนเดินเท้าธรรมดาๆ รึเปล่า หรือมันอยากจะเป็นเช่นนี้...ไม่มีใครให้คำตอบได้เลย...แม้แต่คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก...
    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นเหตุให้ฉันผละจากแฟ้มงานที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างขะมักเขม้น เสียงปลายสายทำให้หัวใจฉันเต้นอย่างลิงโลด... เสียงของคนที่ห้องอยู่ตรงข้ามกัน...
    “ยังไม่นอนอีกเหรอพิมพ์” เสียงของเขาถามมาตามสายอย่างเป็นห่วง “อย่าทำงานจนดึกจนดื่นล่ะ เดี๋ยวสลบไสลไปจนผมต้องแบกหน้าไปรับฝ่ามืออีก...”
    เสียงปลายสายเงียบหายไป ก่อนที่เขาจะพูดต่อประโยคเดิมที่พูดค้างไว้ “...แต่ผมก็ยินดีนะ”
    คำพูดนั้นทำให้ฉันยิ้มออก ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนความตื้นตัน หรืออาจเป็นความรู้สึกดีๆ ที่พองขึ้นมาคับอก...
    “พิมพ์...” เสียงของนายกริชดูจะจริงจัง ทำให้ฉันต้องสะกดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ภายใน รอฟังเพียงประโยคถัดไปที่เขาจะเอื้อนเอ่ยออกมา
    “ผมรักคุณนะ”
    คำพูดนั้นของเขาแล่นเข้าไปตราตรึงในหัวใจของฉันอย่างรวดเร็ว ฉันยิ้มกว้างให้กับโทรศัพท์ แต่คนที่อยู่ปลายสายคงไม่เห็น และดูเหมือนเขาคงกำลังจะรอคำพูดบางประโยคจากฉันอยู่เช่นกัน
    “พรุ่งนี้อย่าลืมมาทำหน้าที่เป็นเสาให้พิมพ์เกาะนะ”
      ฉันรู้ว่ามันคงเป็นประโยคที่เขาไม่ได้ปรารถนาจะได้รับในเมื่อเขาบอกรักฉัน สิ่งที่เขาต้องการก็คือ ประโยคที่มีใจความว่า...ฉันก็รักคุณ... จากปากของฉัน แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า คนอย่างฉันมันเขินอายจนไม่สามารถจะพูดประโยคนั้นออกไปได้ แต่เขาคงรู้...รู้ว่าฉันก็รักเขาไม่แพ้กัน...
    เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นจากปลายสาย พร้อมกับน้ำเสียงตัดพ้อของผู้ชายคนนั้น
    “ขี้โกงนี่หน่า... ผมงอนแล้วอย่ามาง้อนะ”
    น้ำเสียงของเขาทำให้ฉันอยากจะง้อผู้ชายคนนี้เสียเหลือเกิน ฉันยิ้มอย่างเปี่ยมสุข ก่อนจะส่งเสียงให้ปลายสายหายงอน
    “โอ๋ๆ คนดี แต่ช้าแต่ อย่างอนพิมพ์เลยนะ โอ๋... น่านะน่านะ อย่าโกรธกันเลย”
    เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสาย จนฉันต้องหัวเราะตาม เสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นอีกครั้ง...
      “ครับๆ ไม่งอนแล้ว ผมจะไปงอนพิมพ์ได้ยังไง แต่พรุ่งนี้อย่าให้ผมยืนยิ้มรอจนเหงือกแห้งนะ”
    ฉันยิ้มแก้มแทบปริ... นี่น่ะหรือ ความรู้สึกของคนที่ได้รู้จักความรัก แล้วนี่ใช่รักแท้ของฉันรึเปล่านะ...ฉันคิดอย่างเหม่อลอย ก่อนเลื่อนบานกระจกออกไปยังระเบียงทอดสายตามองท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ จนสายตาไปหยุดอยู่ที่กลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งที่วันนี้ไม่ทอประกายเจิดจ้าเหมือนวันนั้น เพราะแสงไฟที่ลามเลีย...กลุ่มดาวคนคู่...เจมิไน...
    ...นี่ล่ะมั้ง ฝาแฝดที่แตกต่างของฉัน...
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น