ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : อาจารย์สามใบเถา
    “ไอ้นิกกี้ ใครอยากจะติดหนี้นายไปตลอดชีวิต นายอย่าลืมนะ ว่านายยังถูกยึดสร้อยอยู่ มาทำตัวเก่ง สร้อยนายยังอยู่กับฉันนะเฟ้ย” เอเวอลินบ่นพึมพำตลอดทางที่จะเดินไปยังห้องเรียนการปกครอง
    “ถึงแล้วๆ ห้องเรียนการปกครอง เรียนรวมอีกสินะ” ฟิเลน่าถอนหายใจ ก่อนลากคนขี้บ่นให้เดินตามเข้าไปข้างใน
    “ก็ฉันบอกแล้วไง น้ำลายของอาจารย์ที่นี่เค้ามีมูลค่ามหาศาล ต้องใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น” เอเวอลินว่า ก่อนทิ้งตัวนั่งบนที่ว่างถัดจากเมลานี่
    ห้องเรียนการปกครองก็เป็นเหมือนชั้นเรียนวิชาการใช้ดาบ เพียงแต่ว่าที่นี่มีอัฒจันทร์รอบห้อง บรรจุคนได้ประมาณหมื่นกว่าคน กลางห้องมีแท่นพิธีทรงกลม บนแท่นนั้นประดับด้วยดอกไม้หลากสี ราวกับว่า พวกเด็กๆ ได้เข้ามาอยู่ในห้องประชุมที่เป็นทางการ
    และแล้วอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา เสียงทุกเสียงเงียบกริบโดยพร้อมเพรียงกัน เหมือนนัดกันไว้ ผู้มาใหม่ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะก้าวไปยืนบนแท่นพิธีนั้น...
    เงียบ...เงียบ...แล้วก็เงียบ... ไม่น่าเชื่อ แม้แต่เอเวอลินก็ยังเงียบ ก็ใครจะไปกล้าหือกะอาจารย์คนนี้กันล่ะ...อาจารย์มิแรนด้า เพริโดต์ อาจารย์แม่ของเอเวอลิน
    “ดีมากๆ รู้จักเก็บปากเก็บเสียงไว้ใช้กับคนในปกครอง ตอนนี้กรุณาเงียบและฟังสิ่งที่ครูจะพูด” มิแรนด้ากล่าวขึ้น “สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก ฉัน มิแรนด้า เพริโดต์ อาจารย์วิชาการปกครอง และเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาของอาณาจักร”
    “โอ้โห โรงเรียนนี้ดูดีจริงนะ เล่นกวาดต้อนบุคคลสำคัญของอาณาจักรมาเป็นอาจารย์ได้” คนที่ทนเงียบอยู่นานเริ่มทนไม่ไหว จนเห็นหน้าดุๆ ที่ส่งมาเท่านั้นแหละ เลยต้องเงียบต่อไป
    “การปกครอง คือสิ่งสำคัญที่สุดของคนที่จะไปเป็นเจ้าคนนายคน บางคนอาจไม่คาดหวังที่จะไปเป็นผู้ปกครองคนอื่น แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธที่จะไม่เป็นผู้ปกครองได้ พ่อแม่ก็ต้องปกครองลูก ครูอาจารย์ต้องปกครองลูกศิษย์ แม่ทัพปกครองเหล่าทหาร กษัตริย์ปกครองประชาชน รวมไปถึงราชาแห่งโจร ที่ต้องปกครองโจรให้อยู่ในโอวาท” มิแรนด้ากล่าว “และที่สำคัญ ทุกคนต้องปกครองใจกับสมองให้ดี สมองเป็นนายของใจ คุณธรรมเป็นนายของสมอง”
    “การสอบของวิชานี้....” หญิงสูงวัยประกาศก้อง “ทุกคนจะต้องลงมายืนตรงนี้ ที่แท่นพิธีนี่ และทำให้คนที่นั่งอยู่เต็มห้องแห่งนี้เงียบกริบ และยอมที่จะรับฟังในสิ่งที่จะพูด แค่นี้ก็ถือว่า บรรลุจุดประสงค์ในชั้นเรียนนี้”
    “การจะทำให้คนหมื่นกว่าคนอยู่ในโอวาท ต้องควบคุมสติ ทำให้ตนเองเป็นที่น่าเกรงขาม น่าเลื่อมใส และน่าเชื่อถือ บางคนอาจคิดว่า เรื่องแค่นี้ง่ายๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเป็นแน่” อาจารย์มิแรนด้ากล่าวต่อไป
    “ต่างคนต่างความคิด พวกเธอจะทำอย่างไรให้พวกเขาคิดเห็นไปทางเดียวกับเธอ นั่นคือเรื่องที่ต้องใช้พรสวรรค์ บวกกับพรแสวง แสวงหาวิธีที่จะทำให้คนอื่นคล้อยตามตน หมั่นหาโอกาสฝึกฝนบ่อยๆ” มิแรนด้ากวาดสายตามองไปรอบๆ
    “ฝึกฝนบ่อยๆ? ฝึกยังไง? ฝึกแล้วจะได้อะไรในเมื่อไม่มีคนฟัง” เอเวอลินพึมพำ
    “จะให้มีคนฟัง มันต้องรู้จักพูดโน้มน้าว ชักจูง” เมลานี่กระซิบเบาๆ
    “เอาล่ะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรก เราต้องมาค้นหาก่อนว่าสิ่งที่จะทำให้คนอยู่ในโอวาทต้องทำยังไง” หญิงสูงวัยกล่าวต่อไป ก่อนจะหันไปมองทางเอเวอลิน
    “ซวยแล้วตู” เอเวอลินพึมพำ “สิ่งที่ทำให้คนอยู่ในโอวาทก็คือ ทำหน้าดุๆ เหี้ยมๆ แก่ๆ เข้าไว้”
    “ลีอา เอเรียส” เสียงเรียกนั้นดังขึ้น ก่อนกวักมือเรียกให้เด็กแว่นคนนั้นเดินออกไปหา
    “แล้วจะมามองที่ตูทำไมฟ่ะ” เอเวอลินพึมพำอย่างโล่งอก
    “ไหนเธอลองควบคุมคนในที่นี้ให้เงียบ ให้เต็มใจรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเธอกำลังจะเล่า” หญิงผู้อาวุโสก้าวลงจากแท่นนั้น ปล่อยให้ลีอายืนอยู่คนเดียว
    เด็กหนุ่มหันรีหันขวางอย่างหวาดๆ ก่อนจะกระแอมเบาๆ เรียกเสียงหัวเราะได้มากโข
    “แค่กระแอม ทำไมต้องหัวเราะกันด้วย” ลีอาตัดพ้อ ก่อนหันไปทางมิแรนด้า ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจ ส่งสายตาให้เขาพยายามต่อไป
    “เอ่อ สวัสดี ทุกคน ฉะ...ฉัน...” เสียงพูดคุยดังขึ้นทั่วทุกแห่ง ไม่มีไว้หน้าเด็กหนุ่มเลย
    “เอาล่ะๆ กลับไปนั่งที่ได้” มิแรนด้าขัดขึ้น พอได้รับอนุญาต ลีอาก็วิ่งเร็วจี๋กลับไปยังที่นั่งของตนเองทันที
    “ฟามีร่า กลอสเธสกิดด์” น้ำเสียงที่เรียกแผ่วเบา แต่ทุกคนก็ได้ยิน เพราะบัดนี้ทุกคนกลับมาเงียบอีกครั้ง
    เด็กสาวชุดสีขาวสว่างไสวเดินออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่เธอนั่งอยู่ เธอเดินออกมาอย่างมาดมั่น ไม่สะทกสะท้านกับสายตาจากรอบข้าง ยังไม่ทันที่เธอจะเดินมาถึง เสียงทุกเสียงก็เงียบลง ราวกับมีมนตร์อะไรบางอย่างมาสะกดพวกเขาไว้
    เธอก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นพิธี พลางก้มหัวให้ผู้อาวุโวกว่าเล็กน้อย อาจารย์แม่ของเอเวอลินก้มหัวตอบ ก่อนก้าวลงมา
    “สวัสดีจ๊ะ เพื่อนๆ ทุกคน” เสียงของเธอดังกังวานใส จนทุกคนต้องรีบเก็บเสียงนี้ไว้ในความทรงจำ “ฉันชื่อ ฟามีร่า กลอสเธสกิดด์ อยู่หอคอยจันทรา ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จักและได้เป็นเพื่อนกับทุกคน”
    การแนะนำตัวที่ไม่มีการเคอะเขิน ทำให้หลายคนรอบข้างรู้สึกเลื่อมใส ดูเหมือนว่า เด็กสาวคนนี้จะเกิดมาเพื่อเป็นนักปกครองโดยแท้ แต่การแนะนำตัวของเธอก็หนีไม่พ้นการสงสัยของเอเวอลิน
    “ทำไมแนะนำตัวแค่นี้ล่ะ ไม่เห็นบอกเลยว่ามาจากไหน ทำอะไร พ่อแม่เป็นใคร” เอเวอลินสงสัย แต่ก็ไม่วายที่จะแสดงสีหน้าชื่นชมเธออยู่ในที
    เด็กสาวก้าวลงจากแท่น พร้อมๆ กับเสียงตบมือที่ดังจากทั่วสารทิศ อาจารย์มิแรนด้าก้าวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากชม...
    “เก่งมากฟามีร่า เอาล่ะ ทีนี้พวกเธอทุกคนรู้แล้วยังว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ลีอากับฟามีร่าแตกต่างกัน” นางกวาดสายตาไปมองรอบๆ ห้อง เพื่อมองหามือที่ชูขึ้นในอากาศ
    “ว่ามา อาธีน่า” เมื่อได้รับอนุญาต เด็กสาวผู้มาดมั่นก็ลุกขึ้น ตอบอย่างฉะฉาน
    “ความมั่นใจในตัวเองค่ะ”
    “ถูกต้อง เราต้องมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองก่อน ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้” มิแรนด้าบอก
    “วิชานี้มีเรียนอาทิตย์ละสองครั้ง เราจะเจอกันครั้งหน้าในวันพฤหัสฯ เรียงความหนึ่งหน้ากระดาษ หัวข้อ...สมบัตินักปกครอง ส่งวันพฤหัสฯ กรุณาส่งตรงเวลาด้วย เพราะผู้ที่จะเป็นนักปกครองที่ดี ต้องเป็นคนตรงต่อเวลา” มิแรนด้าให้การบ้านเรียบร้อยโดยไม่ฟังเสียงโอดครวญของนักเรียน “เป็นนักเรียนก็ต้องมีการบ้าน บ่นไปก็เท่านั้น หรืออยากทำเยอะกว่านี้”
    “เหอะๆ ใครอยากจะทำเยอะกว่านี้เล่า ไม่รู้ใจเด็กเลย” เอเวอลินพูดพึมพำ “วันแรกให้การบ้านหนึ่งหน้ากระดาษ วันต่อไปให้สองหน้า หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน ดังนั้น การบ้านครั้งสุดท้ายของวิชานี้ต้องมีประมาณสามร้อยหน้า เหอะๆ”
    “ไม่ทำก็ได้นะ ครูไม่ว่า” คำพูดของนาง ทำให้เด็กๆ เงยหน้าขึ้นมามองอย่างมีความหวัง “แต่ใครไม่ทำ ก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนชั้น วิชานี้ สั่งงานกี่ชิ้น ต้องส่งให้ครบ เข้าใจมั้ย นักปกครองต้องมีความรับผิดชอบ”
    “อาจารย์คะ” เสียงเอเวอลินใสแจ๋วเรียกอาจารย์แม่ของตน มือขวาโบกสะบัดพัดลมอยู่กลางอากาศ
    “มีอะไรเอเวอลิน”
    “เรียงความนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นของเราเรื่องสมบัตินักปกครองว่าควรจะเป็นอย่างไรใช่มั้ยคะ” เด็กสาวถามข้อสงสัยของ
ตนทันทีที่ได้รับอนุญาต
    “ใช่”
    “ความคิดเห็นไม่มีคำว่า ผิด ใช่มั้ยคะ”
    “ใช่”
    “ดังนั้น จะเขียนอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ให้อยู่ในกรอบของคำว่า สมบัตินักปกครอง ใช่หรือไม่คะ” เอเวอลินถามเสียงดังฟังชัด
    “ถูกต้อง เอเวอลิน เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว” มิแรนด้าพยักหน้าให้เอเวอลิน
    “ขอบคุณค่ะ สำหรับคำตอบ” เอเวอลินว่า ก่อนนั่งลง พร้อมรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์...
   
    “หมดเวลาแล้ว สำหรับชั่วโมงนี้ อย่าลืม ชั่วโมงหน้า กรุณานำการบ้านมาส่งให้ครบทุกคน วันนี้พอแค่นี้ สวัสดี” เสียงของเธอจบลง พร้อมเสียงกริ่งสัญญาณเลิกคาบเรียนดังขึ้น
   
    “ตรงเวลาเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกิน สมแล้วที่เป็นอาจารย์แม่ของเรา” เอเวอลินพูดอย่างชื่นชม พลางเก็บของก่อนเดินไปหาอะไรใส่ท้อง พร้อมกับเพื่อนๆ ของเธอ
    อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นจากการบ่นของเอเวอลิน เพราะคุณเธอดูจะตื่นตาตื่นใจกับอาหารยกใหญ่ ชมได้ไม่ขาดปาก...
    “สิ่งเดียวที่เข้าท่าของเดอะ ชาโดวส์ก็เป็นอาหารนี่แหละ ดีกว่าที่ป่าของเราเป็นไหนๆ” เอเวอลินว่า ก่อนงาบเนื้อชิ้นใหญ่ลงกระเพาะ “ดีนะเนี่ยที่เชื่อท่านพ่อ ตัดสินใจมาเรียนเดอะ ชาโดวส์ กินอิ่มนอนหลับ เราก็พอใจแล้ว”
    พูดจบก็สวาปามอาหารตรงหน้ากลืนลงกระเพาะอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า...อาหารทั้งหมด ก็หายวับไปกับตา
    “อิ่มๆ พร้อมที่จะลุยต่อแล้ว” เอเวอลินว่า ก่อนหันไปทางฟิเลน่ากับเมลานี่ “แล้วพวกเธอล่ะ พร้อมแล้วรึยัง”
    “พวกฉันพร้อมตั้งนานแล้วล่ะ” เมลานี่ตอบ ก่อนยันตัวลุกขึ้น เดินนำหน้าเพื่อนทั้งสอง ไปเรียนวิชาภูมิศาสตร์ วิชาน่าหลับแห่งคาบบ่าย...
    รอบห้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์มีแผนที่ต่างๆ แขวนระเกะระกะเต็มไปหมด... เรียนรวม...ระบบการเรียนการสอนที่ปฏิเสธไม่ได้ในเดอะ ชาโดวส์...
    ห้องเรียนขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยโต๊ะเรียนวางเป็นแถวตรงอย่างเป็นระเบียบ โต๊ะหนึ่งตัววางห่างกันราวห้าฟุต...คงจะกะไม่ให้นักเรียนคุยกันเลย...
    เอเวอลินเดินเข้าไปนั่งตรงโต๊ะกลางห้อง
    “นั่งหน้าไปทำอะไรไม่สะดวก นั่งหลังไปก็จะโดนเพ่งเล็ง” เธอบอกกับตนเองอย่างนั้น พลางกระแทกก้นลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะที่เธอเลือกสรรมาเป็นอย่างดี...
    นักเรียนสองร้อยกว่าคนนั่งกันตามโต๊ะที่จัดไว้ ถึงจะห่างกันเกือบห้าฟุต แต่ด้วยความสามารถพิเศษเหนือชั้นคนธรรมดาๆ จากหัวแถวก็สามารถจะพูดคุยกับคนที่นั่งอยู่ปลายแถวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
    โต๊ะใหญ่หน้าชั้นเรียน คือ โต๊ะของอาจารย์ที่นักเรียนทุกคนต่างเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ในใจก็ภาวนาขอให้ อาจารย์อย่ามาสอนเลย เพิ่งชั่วโมงแรกของปีการศึกษา ไม่เข้าสอนสักหน่อยก็จะทำให้นักเรียนรักอาจารย์มากขึ้นเป็นกองทีเดียว...ข้าวของบนโต๊ะวางระเกะระกะ ส่วนใหญ่เป็นม้วนกระดาษที่เดาก็รู้ว่า คงจะหนีไม่พ้นแผนที่ ลูกโลกกลมหมุนคว้างอยู่ในอากาศ เหมือนมีมือล่องหนกำลังหมุนมันอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...เอเวอลินนั่งจ้องลูกโลกนั้น ก่อนจะเริ่มเคลิ้ม...ใกล้หลับเต็มทน...
    “ไม่น่าเลย ไม่น่ากินเยอะเลย พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน” เอเวอลินพูดงึมงำ ก่อนจะเลิกฝืนตัวเอง เตรียมเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์
    เสียงกุกๆ กักๆ ดังขึ้นหลังโต๊ะใหญ่ของอาจารย์ อารมณ์อยากรู้อยากเห็นมีอำนาจเหนือฝันหวานที่กำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า เอเวอลินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางจ้องไปที่โต๊ะตัวนั้นไม่วางตา
กุกกักๆ
    เสียงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนอยากรู้อยากเห็นพากันเดินเข้ามา และชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ กองม้วนกระดาษเริ่มขยับ ก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงพื้น
ฟรึ่บ...
    กองกระดาษทั้งหมดร่วงลงสู่พื้น เป็นผลให้โต๊ะตัวนั้นดูสะอาดตา ว่างเปล่า ไม่มีอะไรมาวางเกะกะ แต่เสียงนั้นยังดังอยู่ไม่ยอมหยุด ไอ้อารมณ์สงสัย กลับไปมีผลกระทบกับต่อมความกล้าหาญ คนอยากรู้อยากเห็นที่สุด ค่อยๆ เงี่ยหูฟัง ก่อนจะเดินมามองโต๊ะอย่างสงสัย แล้วก็เอื้อมมือไปดึงลิ้นชักให้เปิดออก
ห้าววววววว!!!!
    เสียงหาวสะท้านปฐพีดังกระหึ่มชั้นเรียนวิชาภูมิศาสตร์ มือเรียวค่อยๆ โผล่ออกมาจากลิ้นชัก พลางบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะโผล่หัวของตนออกมาสู่โลกภายนอก และกระโดดออกจากลิ้นชักนั้น...
    หญิงสาวร่างเล็กดีดตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะใหญ่ พลางเอามือไล้พื้นผิวของลูกโลกกลมไปมาอย่างเหม่อลอย ไม่ได้สนใจนักเรียนที่พากันรุมล้อมรอบตัวเธอเลยสักนิด
    เธอขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะมองไปข้างหน้า หาวหนึ่งที ก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะ เดินไปหลังห้อง ไล่นิ้วไปตามแผนที่ใหญ่ สายตาสาดส่องหาอะไรบางอย่าง จนนิ้วเรียวไปหยุดที่จุดๆ หนึ่ง...
    “เดอะ ชาโดวส์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของนครหลวงแห่งอาณาจักรนาร์มาเซีย” เธอว่า ก่อนใช้นิ้วเคาะที่จุดๆ นั้น กวาดสายตามองนักเรียนที่ยืนอ้าปากค้าง สับสน งุนงงกับพฤติกรรมประหลาดๆ ของเธอ
    “เอ้า จะไม่เรียนกันเหรอ นั่งที่สิ” ราวกับเธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักกับพฤติกรรมของตนเอง ที่จู่ๆ ก็เริ่มบทเรียนอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และยังรวมไปถึงการปรากฏตัวที่น่าทึ่งของเธออีก...
    “นั่งที่จ๊ะ นั่งที่ นักเรียนจ๋า นั่งที่ได้แล้ว เรากำลังเริ่มเข้าสู่บทเรียนแรกของปี เรียนรู้ถึงอาณาจักรนาร์มาเซีย” เธอว่า ก่อนหันไปสนใจแผนที่หลังห้องต่อ
    “เดอะ ชาโดวส์มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มากมายน่าศึกษา แต่...” เธอขึ้นเสียงสูง จนทำให้เด็กๆ หันมามองเธอตาปริบๆ “เราจะไม่เรียนในชั่วโมงของเรา เพราะเราจะไปเรียนในชั่วโมงวิชาประวัติศาสตร์ กับอาจารย์ดักลาส”
    พอเธอพูดจบ เด็กๆ ก็หันกลับไป เพราะไม่มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจแล้ว
    “นักเรียนจ๊ะ นักเรียนจ๋า ทำไมนักเรียนไม่หันมาทางครูล่ะ ทำไมถึงหันก้นมาให้ครูอย่างนี้”
    “แล้วทำไมอาจารย์ไม่มาสอนหน้าห้องล่ะ” เอเวอลินงึมงำเบาๆ
    “อ้อ ครูลืมไป” เหมือนเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอดึงไม้เรียวเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน ก่อนจะเคาะมันสี่ที
กึก...กึก...ตึง!!!
    เสียงที่ดังขึ้นเล่นเอาหลายคนหวาดผวา เอเวอลินผุดลุกขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็นตามประสา พื้นห้องสี่เหลี่ยมค่อยๆ หมุนช้าๆ
    เสียงเครื่องกลทำงานดังลั่น ก่อนที่จะหยุดลง และโต๊ะทุกตัวหันหน้าไปทางอาจารย์ร่างเล็กคนนั้น...
    “อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าเรียน” เธอพึมพำ ก่อนหันไปสนใจกับแผนที่ต่อ
    “เงียบอย่างนี้สิ ถึงจะนอนได้อย่างสงบ” เอเวอลินว่า ก่อนทำเสียงที่น่ารังเกลียดที่สุด “แจ๊บๆ อืม...” ตาของเธอเริ่มปิด
    “แจ๊บๆ...” เสียงยังดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่อาจารย์จะหันหน้ามาหานักเรียนของตนอีกครั้ง
   
    “อ้อ ครูเกือบลืมไปแน่ะ ครูชื่อ เบรียนน่า เพริโดต์...”
    “ห๊า...อาจารย์แม่!!!” เอเวอลินร้องตะโกนลั่นห้อง ก่อนผุดลุกขึ้น เมื่อเธอได้ยินคำว่า เพริโดต์ ลอยเข้าหู “ไหนๆ อาจารย์แม่อยู่ไหน” เธอกราดมองไปทั่วทิศ ก่อนจะสังเกตเห็นรอยยิ้มขันๆ ประดับอยู่บนทุกใบหน้าภายในห้องเรียน เธอจึงนั่งลงอย่างสงบ
    “ครูชื่อ เบรียนน่า เพริโดต์ เป็นน้องสาวของอาจารย์มิแรนด้า เพริโดต์” อาจารย์ร่างเล็กยิ้มขัน \"ครูไม่ได้อยู่ฝ่ายปกครองเหมือนอาจารย์แม่ของเธอ แต่ครูอยู่ฝ่ายสวัสดิการ”
    “หา...อะไรนะ ฝ่ายสวัสดิการ เกี่ยวกับของกินใช่ป่ะ” เอเวอลินถามเสียงอ่อนเสียงหวาน “อย่างนี้ต้องเรียกว่า อาจารย์พี่สาว หึหึ”
    “อาจารย์พี่สาวคะ” เด็กสาวชูมือขึ้นหรา เมื่อได้รับอนุญาต เธอจึงลุกขึ้น พร้อมทั้งยิงคำถามทันที “อาจารย์มีตำแหน่งสำคัญอะไรกับอาณาจักรรึเปล่าคะ”
    “มีจ้ะ มี อาจารย์เป็นราษฎรที่ซื่อสัตย์และภักดีของอาณาจักรจ๊ะ” เธอตอบเสียงสูง “เอาล่ะ ทีนี้เรามาเข้าเรื่องของเรา...”
    “พี่สาวคะ” คำว่าอาจารย์เริ่มหดหายไป เหลือเพียงคำที่ดูจะสนิทชิดเชื้อเป็นพิเศษ
    “อะไรล่ะ”
    “ชั่วโมงนี้จะสั่งการบ้านรึเปล่าคะ” เอเวอลินถามกันไว้ก่อน เดี๋ยวเกิดน้องสาวสั่งเหมือนพี่สาว เธอไม่ตายหรอกรึ
    “ต้องดูพฤติกรรมก่อนจ๊ะ” อาจารย์เบรียนน่าตอบยิ้มๆ ก่อนจะใช้นิ้วเคาะลงบนแผนที่
    ได้ยินคำพูดอย่างนั้น เอเวอลินนั่งตัวตรง ตั้งใจฟังทันที นั่งตาแป๋ว พยักหน้าหงึกหงักตามทุกครั้งที่เบรียนน่าถาม ตำแหน่ง ลูกขุนพลอยพยัก คงจะหนีไม่พ้นมือเธอหรอก...
    “เอาล่ะ ทีนี้มาทดสอบกันก่อนจะเลิกบทเรียนในวันนี้...”หญิงร่างเล็กพูด พลางเก็บแผนที่ ก่อนกวาดสายตาไปทั่วห้อง “วิเวียน ไหนลองตอบมาสิว่า เมืองอเมทิสต์ ตั้งอยู่ส่วนใดของอาณาจักร”
    เด็กสาวน่าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตายืนขึ้น พลางตอบอย่างช้าๆ ลากเสียงยาว “อยู่...ทางด้าน...ตะวันตก...ติดกับป่า...ซิลเวอร์ลีฟ...มีแม่น้ำ...เอเมอรัลด์....ไหลผ่าน...กลางเมือง... ทางใต้...ของเมือง...ทำเหมืองแร่... แร่ที่...พบมาก...ที่สุด... คือ... แร่ซิลเวอร์... มี...ประโยชน์....ใน...อุตสาหกรรม...ผลิต....เครื่องประดับ...ค่ะ”
    “เก่ง...มาก...จ๊ะ... นั่ง...ลง...ได้...” อาจารย์เบรียนน่าเริ่มลากเสียงยานคางตามไปด้วย ก่อนจะรู้ตัว รีบแก้ “เอาล่ะ ขออีกคน เอเวอลิน ช่วยบอกถึงตำแหน่งที่ตั้งของป่าทั้งสี่ และคุณลักษณะของทั้งสี่ป่าด้วยจ๊ะ”
    เอเวอลินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องป่าเธอถนัดมาก คอยดูๆ เอเวอลินตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ พูดรัวเร็ว ผิดกับวิเวียนลิบลับ
    “ป่าทั้งสี่ หนึ่ง...ป่าโกลเด้นวู้ด ได้รับการขนานนามว่า นครไม้สีทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอาณาจักร ติดตะเข็บชายแดน ยามต้องแสงแรกอรุณ ต้นไม้ทั่วทั้งป่าจะแปรเปลี่ยนเป็นสีทองงดงาม อร่ามตา สอง...ป่าซิลเวอร์ลีฟ ป่าอันเงียบสงบทางชายแดนทิศตะวันตก เมื่อต้องแสงจันทร์เต็มดวง ใบไม้ทั่วทั้งป่าจะเปล่งประกายสีเงินงามตา แต่สู้ป่าโกลเด้นวู้ดไม่ได้ เพราะหนึ่งเดือนจะมีเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น” เอเวอลินได้ทีคุยทับถมใครบางคนที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
    “ป่าที่สาม...ป่าเซไฟรัส หรือที่ชาวเหนือเรียกกันติดปากว่า...ดาราไพร ป่าแห่งดวงดาว ตั้งอยู่ติดชายแดนทางทิศเหนือ ที่ป่าแห่งนี้จะมองเห็นดวงดาวทุกดวงในยามค่ำคืน แม้แต่แสงจันทร์ในคืนเดือนหงายก็มิอาจจะกลบกลืนแสงระยิบระยับของหมู่ดาราได้” เอเวอลินยิ้ม ใกล้ความจริงแล้ว “และสุดท้าย...ป่ายูราส ป่าโกงกาง หรือจะเรียกให้ดูดีมีชาติตระกูลก็คือ สมุทรไพร...สมุทรไพรนะคะ ไม่ใช่ สมุนไพร” เอเวอลินยิงมุกย้ำเข้าไปอีก
    “ป่ายูราส ป่าทางทิศใต้ของอาณาจักร ตั้งติดมหาสมุทรแฟร์ซิสติก ที่ป่าแห่งนี้ ยามค่ำคืนจะเห็นแสงน้อยๆ จากหิ่งห้อยนับล้านตัวที่พากันออกมาอวดแสงเหลืองนวลที่สวยงาม”
    พูดจบเธอก็นั่งลงอย่างเบิกบาน เรื่องป่าน่ะ ถามมาเถอะ ตอบได้หมด แต่เรื่องอื่นอย่าถาม ไม่รู้สักกะอย่าง...
    อาจารย์พี่สาวยิ้มอย่างอารมณ์ดี คาดไม่ถึงว่า เพียงเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เธอจะสามารถสอนให้ลูกศิษย์ของเธอเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้...แต่เธอรู้ดีว่า ทำไมทั้งสองคนถึงตอบได้ละเอียดลออปานนี้...คนหนึ่งเป็นลูกสาวของอัศวินที่เก่งกล้าของอาณาจักร ได้รับศักดินาให้ไปดูแลเมืองอเมทิสต์ ส่วนอีกคนหนึ่ง...บุตรีแห่งราชาของป่าโกลเด้นวู้ด นครไม้สีทองที่น่าหลงใหล...
    “เก่งมากจ๊ะ เอเวอลิน เยี่ยม ชั้นเรียนนี้เป็นชั้นเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ครูเคยสอนมา อืม...รางวัลสำหรับความตั้งใจเรียนของทุกคน...เรียงความหนึ่งหน้ากระดาษ เรื่อง...อาณาจักรนาร์มาเซีย:ความได้เปรียบในทางภูมิศาสตร์...เรามีเรียนกันอีกทีวันพุธ ขอให้ส่งงานให้ตรงเวลานะจ๊ะ” เบรียนน่าสั่งการบ้านอย่างเบิกบาน โดยไม่ฟังเสียงโอดโอยของเด็กๆ
    “พี่สาวคะ” คนตอบฉะฉานยกมือหรา “สงสัยค่ะ ทำไมพวกเราตั้งใจเรียนแล้วถึงยังมีการบ้านคะ ไหนพี่สาวบอกว่า จะดูพฤติกรรมก่อนไงคะ”
    “ก็ใช่น่ะสิ ครูดูพฤติกรรมก่อน เห็นทุกคนกระตือรือร้นในการเรียนดี ก็เลยให้การบ้าน จะได้ไม่เหงาไงจ๊ะ” เบรียนน่าตอบอย่างอารมณ์ดี “เข้าใจมั้ยจ๊ะ”
    “เข้าใจค่ะ” เอเวอลินตอบ ก่อนนั่งลงพร้อมเสียงบ่นพึมพำ
    “เชื้อไม่ทิ้งแถว พี่เป็นไงน้องเป็นงั้น เรียงความหนึ่งหน้ากระดาษเหมือนกันเด๊ะ ตั้งใจเรียนจนได้การบ้าน ชั่วโมงหน้าต้องหลับ ทำเป็นไม่กระตือรือร้น จะได้ไม่มีการบ้าน”
    “หมดเวลา เลิกได้” เบรียนน่าตะโกนบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนเคาะไม้สี่ที ให้ห้องหมุนเข้าสู่สภาพเดิม ส่วนตัวของเธอ กระโดดหายเข้าไปในลิ้นชักอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว รวดเร็วเหมือนแมวเหมียวพุ่งกระโจนใส่เหยื่อ...
    “อาณาจักรสีเขียวๆ” เอเวอลินพูดตลอดทางไปยังสวนพฤกษศาสตร์ “เรียนทุกวัน ไม่ต้องเรียนรวม เพราะคาบสุดท้ายจะเป็นคาบของแต่ละหอ หึ จะมีการบ้านอีกรึเปล่านะ”
    “ไม่มีหรอกมั้ง เอเวอลิน” เมลานี่ว่า
    “ไอ้คำว่า มั้ง นี่แหละตัวดี ไม่งั้นฉันก็ได้อยู่ของฉันสบายๆ ไม่ต้องไปมีตำแหน่งอันทรงเกียรติอย่างกรรมการรุ่นหรอก” เอเวอลินได้ทีโวย
    “เอาน่า อย่าคิดมาก เดินต่อไปได้แล้ว เดี๋ยววก็ไปสายหรอก” ฟิเลน่าว่า พลางดันหลังให้เอเวอลินเดินต่อไปเรื่อยๆ
    “นั่นไง ถึงแล้ว” เมลานี่ร้องอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ พลางชี้นิ้วไปยังสถานที่เบื้องหน้า...สวนสีเขียวอันร่มรื่น...สวนพฤกษศาสตร์ของโรงเรียน
    เด็กปีหนึ่งหอพฤกษาต่างพากันเร่งฝีเท้าผ่านประตูเหล็กดัดลวดลายสวยงามเข้าไปในสวนสวยเบื้องหน้า เสียงน้ำตกดังอย่างต่อเนื่อง พาให้ทุกคนรู้สึกกระชุ่มกระชวย
    ที่ลานหญ้ากว้างริมหนองน้ำใหญ่ มีต้นฮอลลี่ยืนต้นสูงเดียวดายอยู่กลางลาน แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วบริเวณ เหล่านักเรียนพากันมายืนรวมกลุ่มที่สนามหญ้าแห่งนี้ และเฝ้าคอยอาจารย์ของตน
    บริเวณรอบๆ ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด เหล่าผีเสื้อพากันบินดอมตอมน้ำหวานจากดอกนี้ไปดอกนั้นอย่างเบิกบาน ดวงตาสีเขียวมรกตของหญิงสาวจับจ้องไปที่สิ่งมีชีวิตสีสวยตรงหน้าอย่างเบิกบาน ก่อนจะหัวเราะร่าไปกับพวกมัน
    เสียงหัวเราะของเอเวอลิน ทำเอาคนๆ หนึ่งถึงกับยิ้มออก ก่อนเดินมานั่งข้างๆ เธอ
    “ชอบมากล่ะสิ” เสียงเรียบเอ่ยถามทันทีที่นั่งลงเรียบร้อย
    “รู้ได้ไง”
    “ดวงตาเธอมันบอก ลิลลี่ ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอกำลังเต้นระรี้ระริกไปกับธรรมชาติอันสวยงามรอบตัวเธอ” เสียงเรียบตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา
    “แล้วนายจะมายุ่งอะไรกับฉัน นิกกี้” เด็กสาวถามกลับ
    “ก็อยากยุ่งไม่มีอะไรมาก” นิโคลัสยักไหล่ ก่อนทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหญ้า
    “เฮ้ย นิกกี้” เอเวอลินร้องเสียงหลง ก่อนอ้าปากค้าง นิ้วชี้ไปยังจุดๆ หนึ่งเบื้องหน้า “ไอ้นั่นมันอะไรน่ะ”
    นิโคลัสยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองตานิ้วเรียวที่ชี้ไปบนต้นฮอลลี่ต้นใหญ่นั้น
    “ไม่รู้” คำตอบง่ายๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของนิโคลัส ก่อนที่เจ้าตัวจะล้มลงนอนอีกครั้ง
    เด็กสาวจดๆ จ้องๆ อยู่นาน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ความสนใจเลยค่อยๆ จางหายไป ก่อนจะเบือนหน้าไปทาอื่น
ฟรึ่บ....
    เสียงเหมือนอะไรบางอย่างหล่นจากที่สูงลงสู่พุ่มไม้ ทำให้เอเวอลินหันมาสนใจที่ต้นเสียง เพ่งพินิจพิจารณาที่พุ่มไม้เตี้ยๆ ข้างธารน้ำตก
    ยอดหมวกแหลมโผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้นั้น ก่อนจะตามด้วยหัว ตัว แขน และขาของเจ้าของ หญิงผู้ตกลงมาจากเบื้องบนยืดตัวขึ้น ก่อนจะจัดเครื่องแต่งกายของตนให้เข้าที่ และเดินออกจากพุ่มไม้นั้น ตรงมายังกลุ่มนักเรียนที่ยืนรอเธออยู่
    “โอ๊ย...ง่วง...” คำทักทายคำแรกที่ออกจากปากเธอ ก่อนจะตามด้วยหาวครั้งใหญ่ “เอาล่ะ ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ ชั้นเรียนวิชาอาณาจักรสีเขียว” เธอว่าพลางกวาดสายตาไปรอบๆ
    “เอ้า นั่งสิ จะยืนทรมานตัวเองไปทำไม” เธอเอ่ยเมื่อเห็นท่าทางของนักเรียนแต่ละคน “ไม่นั่งครูนั่งเอง” พูดจบก็กระโดดขัดสมาธิกลางอากาศ ก่อนร่วงลงนั่งบนพื้นหญ้าอย่างนุ่มนวล
    “นี่ พวกเธอยืนค้ำหัวผู้ใหญ่มันไม่ดีนะ” เธอจีบปากจีบคอพูด ก่อนตบลงที่พื้นหญ้านุ่มเบาๆ “นั่งๆ เร็วเข้า”
    ทุกคนทำตามอย่างว่าง่าย แต่ละคนนั่งจ้องเธอตาแป๋ว กระดิกหูรอฟังอาจารย์ของตนอย่างใจจดใจจ่อ
    “ครูชื่อ เบลินด้า เพริโดต์...” ยังแนะนำตัวไม่เสร็จ เสียงบ่นโอดโอยก็นั่งขึ้นแทรก
    “อาจารย์แม่อีกแล้วเหรอ แล้วอาจารย์เกี่ยวข้องยังไงกับอาจารย์มิแรนด้ากับอาจารย์เบรียนน่า” เอเวอลินถามฉอดๆ
    “เป็นน้องสาวอาจารย์มิแรนด้า และเป็นพี่สาวอาจารย์เบรียนน่า รวมทั้งเป็นหนึ่งในเก้าผู้พิทักษ์ต้นไม้ประจำอาณาจักร” เบลินด้าตอบ
    “ผู้พิทักษ์?” เมลานี่ร้องขึ้นอย่างสงสัย “พวกเทพารักษ์น่ะเหรอ”
    “ไม่ใช่เมลานี่ ผู้พิทักษ์ต้นไม้ คือ ผู้รอบรู้เรื่องของต้นไม้ เป็นคนที่คอยคุ้มครองดูแลต้นไม้ของอาณาจักร เรียกง่ายถึงง่ายที่สุด ก็คือ คนสวนของอาณาจักร” เอเวอลินหันไปไขข้อข้องใจให้เพื่อนฟัง
    เสียงดีดนิ้วเปาะดังขึ้น ทำให้เอเวอลินหันไปสนใจอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่อ
    “พูดถึงคนสวน ที่นี่ยังขาดแคลนคนคอยช่วยครูดูแล” เบลินด้ายิ้มเจ้าเล่ห์ “บทเรียนที่เราจะเรียนในปีนี้แบ่งเป็นสองบทใหญ่ๆ พฤกษาปราการ และ ผูกมิตรแฟร์รี่”
    “แฟร์รี่? ใครจะไปอยากคยกัยพวกมัน เหอะๆ” เอเวอลินหัวเราะหน้าตาย
    “การสอบของวิชานี้...ไม่มี...” เบลินด้าเว้นช่วงให้นักเรียนดีใจเล่นๆ ก่อนต่อท้าย “ไม่มีสอบภาคทฤษฎี การเรียนวิชานี้คือ การปฏิบัติ เพราะฉะนั้น การสอบจะเป็นการสอบปฏิบัติ เข้าใจ?”
    “ไม่เข้าใจว่าจะพูดหาพระแสงอะไร” เอเวอลินพึมพำ
    “อาณาจักรนาร์มาเซีย...อาณาจักรที่รุ่งเรืองท่ามกลางสงครามที่รายล้อมอาณาจักร...” เบลินด้าเกริ่น “อาณาจักรนี้จะสงบไม่ได้ หากปราศจากป่าทั้งสี่”
    “ใช่ๆ ป่าของฉันมีบุญคุณมากนะ ขอบอกๆ” เอเวอลินพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
    “โกลเด้นวู้ด ทิศตะวันออก... ซิลเวอร์ลีฟ ทิศตะวันตก... เซไฟรัส ทิศเหนือ... และยูราส ทางทิศใต้ กษัตริย์แห่งนาร์มาเซียได้ใช้หลักพฤกษาปราการให้เป็นประโยชน์...” เธอพูดอย่างเคารพ “ปราการแห่งพฤกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา ได้คอยปกป้องพวกเราให้พ้นจากภัยสงคราม”
    เบลินด้าร่ายยาว คนที่สมาธิสั้นบางคนก็ค่อยๆ เอนตัวเอาแขนยันกับพื้น ส่วนคนที่สมาธิสั้นมากๆ อย่างเอเวอลินก็ล้มตัวลงนอนเหยียดยาว ก่อนพลิกตัวเอามือท้าวคางฟังอย่างเหม่อลอย
    “วิชานี้ไม่มีการบ้าน!!” เสียงสูงประกาศก้อง เอเวอลินลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ฟังอย่างตั้งใจ “แต่มีงาน...งานให้พวกเธอทำ”
    เอเวอลินลอบถอนหายใจอย่างปลงตก “พี่น้องตระกูลเพริโดต์ ได้รับเชื้อติดๆ กันมาจริงๆ ชอบสั่งจริง การบ้านกับงานเนี่ย สั่งมาๆ งานอะไรก็ว่ามา สามใบเถา... เจ้าแม่แห่งวงการสั่ง”
    “งานที่จะให้ทำมีสองชิ้นเท่านั้น... งานระยะยาว ทำกันหนึ่งปีการศึกษา ชิ้นที่หนึ่ง...ปลูกพืชสามชนิดลงในกระถาง ชนิดใดก็ได้ตามต้องการ แต่ต้องเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์ต่ออาณาจักร ทุกวันศุกร์จะต้องเอามาให้ตรวจความคืบหน้า และก่อนสอบต้องออกมารายงานหน้าห้อง บ่งบอกถึงเหตุผลที่เลือกปลูกพืชชนิดนี้ และประโยชน์ของมันต่ออาณาจักร” เบลินด้าอธิบายอย่างละเอียด พลางสังเกตสีหน้าของนักเรียนของตน เมื่อเห็นสีหน้าปลงตกของนักเรียน รอยยิ้มบางก็พาดผ่านริมฝีปาก
    “สอง...”
    “อาจารย์คะ” เอเวอลินร้องขัด “ขอถามอะไรอย่างได้ไหมคะ อาจารย์น้า”
    “ว่ามาสิ”
    “ปลูกสามชนิด อะไรก็ได้ แล้วแต่ความชอบของเรา จะปลูกอะไรก็ได้ ไม่ผิดทั้งนั้นใช่ไหมคะ”
    “ใช่จ๊ะ แต่ต้องอธิบายได้ว่า พืชที่เธอปลูกมีประโยชน์อย่างไรกับอาณาจักร” เบลินด้าตอบ “เข้าใจมั้ย”
    “เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยค่ะ” เอเวอลินยิ้มอย่างได้ใจ
    “เอาล่ะ งานชิ้นที่สอง งานดูแลสวนแห่งนี้ให้สวยสดงดงามอยู่เสมอ สวนแห่งนี้กว้างหนึ่งร้องเอเคอร์ แบ่งเวรกัน ห้าวัน วันละสิบคน ส่วนวันเสาร์วันอาทิตย์ให้เป็นวันพักผ่อน” เบลินด้ากล่าวอย่างใจดี “งานชิ้นนี้เป็นงานที่รับผิดชอบด้วยกันทุกคน เพราะฉะนั้น หากต้นไม้เสียหายหรือตายไป เพียงต้นเดียวเท่านั้น พวกเธอทุกคนต้องไปหามันมาปลูกชดใช้” เธอยิ้ม
    “เอาล่ะ แบ่งกลุ่มได้ กลุ่มละสิบคนไม่ขาดไม่เกิน เมเดรียล พาพรรคพวกลงมาช่วยเด็กพวกนี้แบ่งกลุ่มที” อาจารย์เบลินด้าเงยหน้าขึ้นไปมองต้นฮอลลี่ ก่อนจะร้องเรียกอะไรสักอย่างที่อยู่บนนั้นให้ลงมา
    สิ้นเสียงเรียก พิกซี่ฝูงใหญ่ก็บินลงมาจู่โจมพวกเด็กๆ ทันที แต่ละคนต่างขยับให้เข้าไปชิดกับคนอื่น เกาะกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน จนในที่สุดก็ทำให้นักเรียนที่นั่งกันอยู่กระจัดกระจายมานั่งรวมกันเป็นกลุ่มห้ากลุ่มกลุ่มละเท่าๆ กันอย่างพอดิบพอดี โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกตัวสักนิด
    “ขอบใจจ๊ะ เมเดรียล” เบลินด้าหันไปยิ้มให้กับพิกซี่ที่ถือคทาและสวมมงกุฎบ่งบอกถึงตำแหน่งของมัน...ราชินีแห่งพิกซี่
    ราชินีพิกซี่ก้มหัวน้อมรับคำขอบคุณ ก่อนจะบินนำลูกน้องกลับไปบนต้นฮอลลี่เหมือนเดิม...
    “เอาล่ะ ทีนี้ก็แบ่งกลุ่มได้แล้ว ก็ต้องแบ่งหน้าที่ สวนแห่งนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็นห้าส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ สวนพืชน้ำ สวนบุปผา สวนสมุนไพร สวนไม้ผล และสวนไม้หายาก ดังนั้น หนึ่งพื้นที่จะมีคนรับผิดชอบสองคน มองหน้าคนในกลุ่ม ใครถูกชะตาใครก็คู่กับคนนั้น ส่วนหน้าที่ไปตกลงกันเอาเอง” อาจารย์น้าชี้แจง ก่อนนั่งพิงต้นฮอลลี่ จ้องมองการแบ่งหน้าที่ของนักเรียนอย่างเบิกบาน
    เอเวอลินมองไปรอบๆ ตัว สิบคนในกลุ่มของเธอ มีนิโคลัสอยู่ด้วย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนปล่อยให้การจับคู่เป็นไปตามยถากรรม
    เงาของเอเวอลินเดินเข้ามาหาเธอ ก่อนจะคว้ามือเธอไปจับไว้ หน้าตาเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนถูกจับกลับโวยวาย
    “เฮ้ย นิโคลัส นายมาจับมือฉันทำไมเนี่ย ปล่อยนะเว้ย” เอเวอลินร้อง ก่อนสะบัดมือให้หลุดออกจากมือของนิโคลัส แต่ยิ่งสะบัด มันก็ยิ่งแน่นขึ้น
    “โธ่เว้ย ทำไมฉันต้องมาคู่กับนายทั้งปีทั้งชาติด้วยฟ่ะ เซ็งมากพะย่ะค่ะ” หน้าเอเวอลินบอกบุญไม่รับ ในขณะที่นิโคลัสปั้นหน้าเฉย
    “นายจะทำหน้าเรียบๆ เฉยๆ อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ฮึ เซ็งโว้ย” เอเวอลินยังโวยวายต่อไป
    “ทำไม? คู่กับฉันแล้วมันไม่ดีรึไง” นิโคลัสถามเสียงเรียบ เย็นชา เล่นเอาคนที่อยู่รอบๆ หน้าชาวูบกันไปยกใหญ่ แต่ไม่ใช่เอเวอลิน
    “เออ ไม่ดี ไม่ดีมากๆ ด้วย” เอเวอลินย้ำ
    “งั้นก็ไปหาคู่เอาเองก็แล้วกัน” นิโคลัสปล่อยมือจากเอเวอลิน แล้วเอาขึ้นมากอดอก “แต่คนอื่นเขาก็มีคู่กันหมดแล้ว มีปัญญาไปหาก็ไปเลย หาไม่ได้ก็อย่ามาง้อฉันแล้วกัน”
    เอเวอลินมองไปรอบๆ ตัว ทุกคนต่างมีคู่กันหมดแล้ว ทิ้งให้เธอต้องร่วมชะตากรรมกับนิโคลัสอย่างเดียวดาย
    “เออๆ ก็ได้ คู่กับนายก็ได้” เอเวอลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น “เบื่อโว้ย เบื่อหน้าตานี่จริงๆ” เธอฮึดฮัดก่อนเอาหลังพิงไหล่นิโคลัส
    “จะทำส่วนไหนก็ตกลงเอาเอง ฉันจะนอน” นัยน์ตาสีเขียวมรกตกรอกไปมาอย่างฉุนเฉียว ก่อนเอนหัวซบไหล่นิโคลัสหลับไป
    นิโคลัสส่ายหน้าอย่างปลงตก ก่อนจะหันไปเจรจาตกลงเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบกับคนในกลุ่มต่อไป...
    “เลิกเรียนได้ อ้อ...ลืมสั่งอะไรไปอย่าง...งานระยะสั้น ส่งวันศุกร์ เขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเกี่ยวกับคู่หูผู้ร่วมรับผิดชอบของตน หนึ่งหน้ากระดาษ ห้ามขาดห้ามเกิน ส่งวันศุกร์” เบลินด้าสั่ง
    “เออๆ ไม่ต้องย้ำก็ได้ เบื่อจริง” เอเวอลินบ่นพลางหาวยกใหญ่ หลังจากที่ไอ้ชาเย็นสะกิดเธอให้ตื่นจากฝันดี
    “หน้าที่ดูแลสวนแห่งนี้จะเริ่มต้นในอาทิตย์หน้า รวมทั้งพืชสามชนิดต้องเอามาให้ตรวจในวันศุกร์หน้า ส่วนวันนี้พอแค่นี้ พรุ่งนี้เจอกันใหม่ สวัสดีทุกคน\" พูดจบก็เดินไปยังโคนต้นฮอลลี่ ผิวปากเรียกอะไรบางอย่างที่นักเรียนเองก็ไม่อาจคาดเดาได้
    บันไดเชือกถูกโยนลงมาจากเบื้องบน ก่อนที่เบลินด้าจะปีนขึ้นไปอย่างชำนิชำนาญ เธอมองลงมายังนักเรียนของเธอเบื้องล่างที่ยืนเงยหน้าอ้าปากค้างอย่างแปลกใจ
    “เอ้า กลับไปกันได้แล้วจ๊ะ หรือยังอยากเรียนต่อ แต่ขออภัย ครูอยากนอนอ่ะ อย่าลืมงานที่สั่งนะจ๊ะ” เธอยิ้มหวาน ก่อนปีนขึ้นไปบนต้นฮอลลี่ต่อไป...บันไดเชือกถูกดึงกลับเมื่อเธอปีนไปถึงที่หมาย พร้อมกับเด็กหนุ่มสาวที่พากันทยอยกลับหอพักของตน...
    “สามพี่น้อง เหมือนกันเลย สั่งงานๆ เฮ่อ” เอเวอลินบ่น “แต่สามศรีพี่น้องมองยังไง ก็ไม่เห็นจะเป็นพี่น้องกันได้” เด็กสาวว่า ก่อนยกอีกสองคนมาเปรียบเทียบ
    “การปรากฏตัวไม่ธรรมดาของน้องสองคน ในขณะที่พี่สาวคนโตปรากฏตัวแบบราบเรียบ น้องสาวทั้งสองง่วงนอนเป็นชีวิตจิตใจ ในขณะที่พี่สาวไม่มีทีท่าว่าจะง่วง คนโตดูเป็นงานเป็นการ คนกลางทีเล่นทีจริง แต่คนเล็กสดใสร่าเริง เหมือนเด็กๆ คนสุดท้องนอนในลิ้นชัก คนกลางนอนบนต้นไม้ แล้วอาจารย์แม่จะนอนที่ไหนนะ นอนในไม้เรียวรึเปล่า” เด็กสาวนึกขันกับความคิดของตนเอง ก่อนสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป
    “เฮ้ย นิกกี้ ตกลงพวกเราได้หน้าที่อะไร” เอเวอลินร้องถามศัตรูร่วมชะตากรรมเสียงใส
    “สวนไม้หายาก” นิโคลัสตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆ แต่เอเวอลินกลับมองเขาตาเขียวปั๊ด
    “นิกกี้เอ๋ย นิกกี้ คิดไงไปรับสวนไม้หายากฟ่ะ” เอเวอลินถามเสียงหลง
    “ก็เห็นเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา ฉันเลยรับไว้ จะได้ไม่ต้องเถียงกัน” นิโคลัสตอบไม่สนใจท่าทีของเอเวอลิน
    “ปัดโธ่! นายเป็นอะไรไปเนี่ย ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไม้หายาก นายจะสะเออะไปรับทำไมฟ่ะ เกิดมันเหี่ยวเฉา มันตายขึ้นมา พวกเราจะทำยังไง” เอเวอลินเต้นใหญ่
    “ก็หามาชดใช้ไง” นิโคลัสตอบราบเรียบ
    “ชื่อมันบอกว่า ไม้หายาก นายจะพลิกแผ่นดินหารึไง”
    “ทำได้ก็จะทำ”
    “เออ เจริญ” เอเวอลินพูดอย่างเหลืออด
    “แต่เธอรู้มั้ย เอเวอลิน” นิโคลัสเรียกเสียงแผ่ว
    “ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำผิดแล้วเพิ่งจะสำนึกผิดรึไง” เอเวอลินว่า
    “ฉันไม่ได้จะสำนึกผิด แค่อยากจะบอกอะไรให้เธอฟัง” นิโคลัสกล่าว “ชื่อบอกไว้ว่าไม้หายาก แต่บางทีมันอาจไม่ได้หายากอย่างที่คิดก็ได้ แล้วอีกอย่าง เรียดว่าไม้หายาก แสดงว่าจะต้องมีพื้นที่น้อยกว่าที่อื่น มีจำนวนน้อยกว่าอย่างอื่น และที่สำคัญต้องปลูกในสภาพที่เหมาะสม”
    “แล้วไง?” เอเวอลินยักไหล่
    “ถ้าเรารับผิดชอบสวนพืชน้ำ เธอก็ลองถ่างตาดูสิ ว่าบึงเนี่ยมันก็คือทะเลสาบย่อมๆ กว้างขนาดนี้แล้วเวลาดูแลต้องทำยังไง? คิดดูให้ดี” นิโคลัสอธิบาย
    “อืม...นายก็พูดถูก คิดได้ดีนี่” เอเวอลินชม  “ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนาย คิดเรื่องแบบนี้เป็นด้วย”
    “เปล่า...ตอนตกลงกันฉันไม่ได้คิดหรอก เพิ่งจะมาคิดเมื่อกี้นี้เอง” นิโคลัสบอก
    “เหอะ...ไอ้ที่ชมไปเมื่อกี้ถือว่า ไม่มีผลละกัน ไปล่ะ เพื่อนยาก” พูดจบเด็กสาวก็วิ่งไปรวมกับเมลานี่ที่ยืนรอเธออยู่กับฟิเลน่า และเดินกลับหอด้วยกัน
   
    “พวกเธอรับผิดชอบส่วนไหน” เอเวอลินถามขึ้น
    “ฉันกับฟิเลน่าน่ะเหรอ สวนไม้ผลจ๊ะ” เมลานี่ตอบ
    “ดีนี่...พวกเธอคิดดูว่า ฉันได้ตรงไหน สวนไม้หายาก เฮ่อ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตฉายแววไม่พอใจ “อย่าลืมนะ เมลานี่ ฟิเลน่า ได้ดูแลสวนไม้ผล ก็อย่าลืมเอาผลไม้มาฝากฉันบ้างล่ะ”
    “เธอเนี่ยนะ เอเวอลิน คิดแต่เรื่องกินอย่างเดียว” ฟิเลน่าว่า
    “ก็ใช่น่ะสิ เอ้อ ได้เวลามื้อเย็นแล้ว ไปๆ ไปกันเถอะ” นัยน์ตาของเอเวอลินแพรวพราว ก่อนจะเร่งเพื่อนๆ ให้เดินไปยังห้องอาหารใหญ่ของเดอะ ชาโดวส์...
   
    “ถึงแล้วๆ ห้องเรียนการปกครอง เรียนรวมอีกสินะ” ฟิเลน่าถอนหายใจ ก่อนลากคนขี้บ่นให้เดินตามเข้าไปข้างใน
    “ก็ฉันบอกแล้วไง น้ำลายของอาจารย์ที่นี่เค้ามีมูลค่ามหาศาล ต้องใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น” เอเวอลินว่า ก่อนทิ้งตัวนั่งบนที่ว่างถัดจากเมลานี่
    ห้องเรียนการปกครองก็เป็นเหมือนชั้นเรียนวิชาการใช้ดาบ เพียงแต่ว่าที่นี่มีอัฒจันทร์รอบห้อง บรรจุคนได้ประมาณหมื่นกว่าคน กลางห้องมีแท่นพิธีทรงกลม บนแท่นนั้นประดับด้วยดอกไม้หลากสี ราวกับว่า พวกเด็กๆ ได้เข้ามาอยู่ในห้องประชุมที่เป็นทางการ
    และแล้วอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา เสียงทุกเสียงเงียบกริบโดยพร้อมเพรียงกัน เหมือนนัดกันไว้ ผู้มาใหม่ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะก้าวไปยืนบนแท่นพิธีนั้น...
    เงียบ...เงียบ...แล้วก็เงียบ... ไม่น่าเชื่อ แม้แต่เอเวอลินก็ยังเงียบ ก็ใครจะไปกล้าหือกะอาจารย์คนนี้กันล่ะ...อาจารย์มิแรนด้า เพริโดต์ อาจารย์แม่ของเอเวอลิน
    “ดีมากๆ รู้จักเก็บปากเก็บเสียงไว้ใช้กับคนในปกครอง ตอนนี้กรุณาเงียบและฟังสิ่งที่ครูจะพูด” มิแรนด้ากล่าวขึ้น “สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก ฉัน มิแรนด้า เพริโดต์ อาจารย์วิชาการปกครอง และเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาของอาณาจักร”
    “โอ้โห โรงเรียนนี้ดูดีจริงนะ เล่นกวาดต้อนบุคคลสำคัญของอาณาจักรมาเป็นอาจารย์ได้” คนที่ทนเงียบอยู่นานเริ่มทนไม่ไหว จนเห็นหน้าดุๆ ที่ส่งมาเท่านั้นแหละ เลยต้องเงียบต่อไป
    “การปกครอง คือสิ่งสำคัญที่สุดของคนที่จะไปเป็นเจ้าคนนายคน บางคนอาจไม่คาดหวังที่จะไปเป็นผู้ปกครองคนอื่น แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธที่จะไม่เป็นผู้ปกครองได้ พ่อแม่ก็ต้องปกครองลูก ครูอาจารย์ต้องปกครองลูกศิษย์ แม่ทัพปกครองเหล่าทหาร กษัตริย์ปกครองประชาชน รวมไปถึงราชาแห่งโจร ที่ต้องปกครองโจรให้อยู่ในโอวาท” มิแรนด้ากล่าว “และที่สำคัญ ทุกคนต้องปกครองใจกับสมองให้ดี สมองเป็นนายของใจ คุณธรรมเป็นนายของสมอง”
    “การสอบของวิชานี้....” หญิงสูงวัยประกาศก้อง “ทุกคนจะต้องลงมายืนตรงนี้ ที่แท่นพิธีนี่ และทำให้คนที่นั่งอยู่เต็มห้องแห่งนี้เงียบกริบ และยอมที่จะรับฟังในสิ่งที่จะพูด แค่นี้ก็ถือว่า บรรลุจุดประสงค์ในชั้นเรียนนี้”
    “การจะทำให้คนหมื่นกว่าคนอยู่ในโอวาท ต้องควบคุมสติ ทำให้ตนเองเป็นที่น่าเกรงขาม น่าเลื่อมใส และน่าเชื่อถือ บางคนอาจคิดว่า เรื่องแค่นี้ง่ายๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเป็นแน่” อาจารย์มิแรนด้ากล่าวต่อไป
    “ต่างคนต่างความคิด พวกเธอจะทำอย่างไรให้พวกเขาคิดเห็นไปทางเดียวกับเธอ นั่นคือเรื่องที่ต้องใช้พรสวรรค์ บวกกับพรแสวง แสวงหาวิธีที่จะทำให้คนอื่นคล้อยตามตน หมั่นหาโอกาสฝึกฝนบ่อยๆ” มิแรนด้ากวาดสายตามองไปรอบๆ
    “ฝึกฝนบ่อยๆ? ฝึกยังไง? ฝึกแล้วจะได้อะไรในเมื่อไม่มีคนฟัง” เอเวอลินพึมพำ
    “จะให้มีคนฟัง มันต้องรู้จักพูดโน้มน้าว ชักจูง” เมลานี่กระซิบเบาๆ
    “เอาล่ะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรก เราต้องมาค้นหาก่อนว่าสิ่งที่จะทำให้คนอยู่ในโอวาทต้องทำยังไง” หญิงสูงวัยกล่าวต่อไป ก่อนจะหันไปมองทางเอเวอลิน
    “ซวยแล้วตู” เอเวอลินพึมพำ “สิ่งที่ทำให้คนอยู่ในโอวาทก็คือ ทำหน้าดุๆ เหี้ยมๆ แก่ๆ เข้าไว้”
    “ลีอา เอเรียส” เสียงเรียกนั้นดังขึ้น ก่อนกวักมือเรียกให้เด็กแว่นคนนั้นเดินออกไปหา
    “แล้วจะมามองที่ตูทำไมฟ่ะ” เอเวอลินพึมพำอย่างโล่งอก
    “ไหนเธอลองควบคุมคนในที่นี้ให้เงียบ ให้เต็มใจรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเธอกำลังจะเล่า” หญิงผู้อาวุโสก้าวลงจากแท่นนั้น ปล่อยให้ลีอายืนอยู่คนเดียว
    เด็กหนุ่มหันรีหันขวางอย่างหวาดๆ ก่อนจะกระแอมเบาๆ เรียกเสียงหัวเราะได้มากโข
    “แค่กระแอม ทำไมต้องหัวเราะกันด้วย” ลีอาตัดพ้อ ก่อนหันไปทางมิแรนด้า ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจ ส่งสายตาให้เขาพยายามต่อไป
    “เอ่อ สวัสดี ทุกคน ฉะ...ฉัน...” เสียงพูดคุยดังขึ้นทั่วทุกแห่ง ไม่มีไว้หน้าเด็กหนุ่มเลย
    “เอาล่ะๆ กลับไปนั่งที่ได้” มิแรนด้าขัดขึ้น พอได้รับอนุญาต ลีอาก็วิ่งเร็วจี๋กลับไปยังที่นั่งของตนเองทันที
    “ฟามีร่า กลอสเธสกิดด์” น้ำเสียงที่เรียกแผ่วเบา แต่ทุกคนก็ได้ยิน เพราะบัดนี้ทุกคนกลับมาเงียบอีกครั้ง
    เด็กสาวชุดสีขาวสว่างไสวเดินออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่เธอนั่งอยู่ เธอเดินออกมาอย่างมาดมั่น ไม่สะทกสะท้านกับสายตาจากรอบข้าง ยังไม่ทันที่เธอจะเดินมาถึง เสียงทุกเสียงก็เงียบลง ราวกับมีมนตร์อะไรบางอย่างมาสะกดพวกเขาไว้
    เธอก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นพิธี พลางก้มหัวให้ผู้อาวุโวกว่าเล็กน้อย อาจารย์แม่ของเอเวอลินก้มหัวตอบ ก่อนก้าวลงมา
    “สวัสดีจ๊ะ เพื่อนๆ ทุกคน” เสียงของเธอดังกังวานใส จนทุกคนต้องรีบเก็บเสียงนี้ไว้ในความทรงจำ “ฉันชื่อ ฟามีร่า กลอสเธสกิดด์ อยู่หอคอยจันทรา ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จักและได้เป็นเพื่อนกับทุกคน”
    การแนะนำตัวที่ไม่มีการเคอะเขิน ทำให้หลายคนรอบข้างรู้สึกเลื่อมใส ดูเหมือนว่า เด็กสาวคนนี้จะเกิดมาเพื่อเป็นนักปกครองโดยแท้ แต่การแนะนำตัวของเธอก็หนีไม่พ้นการสงสัยของเอเวอลิน
    “ทำไมแนะนำตัวแค่นี้ล่ะ ไม่เห็นบอกเลยว่ามาจากไหน ทำอะไร พ่อแม่เป็นใคร” เอเวอลินสงสัย แต่ก็ไม่วายที่จะแสดงสีหน้าชื่นชมเธออยู่ในที
    เด็กสาวก้าวลงจากแท่น พร้อมๆ กับเสียงตบมือที่ดังจากทั่วสารทิศ อาจารย์มิแรนด้าก้าวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากชม...
    “เก่งมากฟามีร่า เอาล่ะ ทีนี้พวกเธอทุกคนรู้แล้วยังว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ลีอากับฟามีร่าแตกต่างกัน” นางกวาดสายตาไปมองรอบๆ ห้อง เพื่อมองหามือที่ชูขึ้นในอากาศ
    “ว่ามา อาธีน่า” เมื่อได้รับอนุญาต เด็กสาวผู้มาดมั่นก็ลุกขึ้น ตอบอย่างฉะฉาน
    “ความมั่นใจในตัวเองค่ะ”
    “ถูกต้อง เราต้องมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองก่อน ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้” มิแรนด้าบอก
    “วิชานี้มีเรียนอาทิตย์ละสองครั้ง เราจะเจอกันครั้งหน้าในวันพฤหัสฯ เรียงความหนึ่งหน้ากระดาษ หัวข้อ...สมบัตินักปกครอง ส่งวันพฤหัสฯ กรุณาส่งตรงเวลาด้วย เพราะผู้ที่จะเป็นนักปกครองที่ดี ต้องเป็นคนตรงต่อเวลา” มิแรนด้าให้การบ้านเรียบร้อยโดยไม่ฟังเสียงโอดครวญของนักเรียน “เป็นนักเรียนก็ต้องมีการบ้าน บ่นไปก็เท่านั้น หรืออยากทำเยอะกว่านี้”
    “เหอะๆ ใครอยากจะทำเยอะกว่านี้เล่า ไม่รู้ใจเด็กเลย” เอเวอลินพูดพึมพำ “วันแรกให้การบ้านหนึ่งหน้ากระดาษ วันต่อไปให้สองหน้า หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน ดังนั้น การบ้านครั้งสุดท้ายของวิชานี้ต้องมีประมาณสามร้อยหน้า เหอะๆ”
    “ไม่ทำก็ได้นะ ครูไม่ว่า” คำพูดของนาง ทำให้เด็กๆ เงยหน้าขึ้นมามองอย่างมีความหวัง “แต่ใครไม่ทำ ก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนชั้น วิชานี้ สั่งงานกี่ชิ้น ต้องส่งให้ครบ เข้าใจมั้ย นักปกครองต้องมีความรับผิดชอบ”
    “อาจารย์คะ” เสียงเอเวอลินใสแจ๋วเรียกอาจารย์แม่ของตน มือขวาโบกสะบัดพัดลมอยู่กลางอากาศ
    “มีอะไรเอเวอลิน”
    “เรียงความนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นของเราเรื่องสมบัตินักปกครองว่าควรจะเป็นอย่างไรใช่มั้ยคะ” เด็กสาวถามข้อสงสัยของ
ตนทันทีที่ได้รับอนุญาต
    “ใช่”
    “ความคิดเห็นไม่มีคำว่า ผิด ใช่มั้ยคะ”
    “ใช่”
    “ดังนั้น จะเขียนอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ให้อยู่ในกรอบของคำว่า สมบัตินักปกครอง ใช่หรือไม่คะ” เอเวอลินถามเสียงดังฟังชัด
    “ถูกต้อง เอเวอลิน เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว” มิแรนด้าพยักหน้าให้เอเวอลิน
    “ขอบคุณค่ะ สำหรับคำตอบ” เอเวอลินว่า ก่อนนั่งลง พร้อมรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์...
   
    “หมดเวลาแล้ว สำหรับชั่วโมงนี้ อย่าลืม ชั่วโมงหน้า กรุณานำการบ้านมาส่งให้ครบทุกคน วันนี้พอแค่นี้ สวัสดี” เสียงของเธอจบลง พร้อมเสียงกริ่งสัญญาณเลิกคาบเรียนดังขึ้น
   
    “ตรงเวลาเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกิน สมแล้วที่เป็นอาจารย์แม่ของเรา” เอเวอลินพูดอย่างชื่นชม พลางเก็บของก่อนเดินไปหาอะไรใส่ท้อง พร้อมกับเพื่อนๆ ของเธอ
    อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นจากการบ่นของเอเวอลิน เพราะคุณเธอดูจะตื่นตาตื่นใจกับอาหารยกใหญ่ ชมได้ไม่ขาดปาก...
    “สิ่งเดียวที่เข้าท่าของเดอะ ชาโดวส์ก็เป็นอาหารนี่แหละ ดีกว่าที่ป่าของเราเป็นไหนๆ” เอเวอลินว่า ก่อนงาบเนื้อชิ้นใหญ่ลงกระเพาะ “ดีนะเนี่ยที่เชื่อท่านพ่อ ตัดสินใจมาเรียนเดอะ ชาโดวส์ กินอิ่มนอนหลับ เราก็พอใจแล้ว”
    พูดจบก็สวาปามอาหารตรงหน้ากลืนลงกระเพาะอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า...อาหารทั้งหมด ก็หายวับไปกับตา
    “อิ่มๆ พร้อมที่จะลุยต่อแล้ว” เอเวอลินว่า ก่อนหันไปทางฟิเลน่ากับเมลานี่ “แล้วพวกเธอล่ะ พร้อมแล้วรึยัง”
    “พวกฉันพร้อมตั้งนานแล้วล่ะ” เมลานี่ตอบ ก่อนยันตัวลุกขึ้น เดินนำหน้าเพื่อนทั้งสอง ไปเรียนวิชาภูมิศาสตร์ วิชาน่าหลับแห่งคาบบ่าย...
    รอบห้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์มีแผนที่ต่างๆ แขวนระเกะระกะเต็มไปหมด... เรียนรวม...ระบบการเรียนการสอนที่ปฏิเสธไม่ได้ในเดอะ ชาโดวส์...
    ห้องเรียนขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยโต๊ะเรียนวางเป็นแถวตรงอย่างเป็นระเบียบ โต๊ะหนึ่งตัววางห่างกันราวห้าฟุต...คงจะกะไม่ให้นักเรียนคุยกันเลย...
    เอเวอลินเดินเข้าไปนั่งตรงโต๊ะกลางห้อง
    “นั่งหน้าไปทำอะไรไม่สะดวก นั่งหลังไปก็จะโดนเพ่งเล็ง” เธอบอกกับตนเองอย่างนั้น พลางกระแทกก้นลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะที่เธอเลือกสรรมาเป็นอย่างดี...
    นักเรียนสองร้อยกว่าคนนั่งกันตามโต๊ะที่จัดไว้ ถึงจะห่างกันเกือบห้าฟุต แต่ด้วยความสามารถพิเศษเหนือชั้นคนธรรมดาๆ จากหัวแถวก็สามารถจะพูดคุยกับคนที่นั่งอยู่ปลายแถวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
    โต๊ะใหญ่หน้าชั้นเรียน คือ โต๊ะของอาจารย์ที่นักเรียนทุกคนต่างเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ในใจก็ภาวนาขอให้ อาจารย์อย่ามาสอนเลย เพิ่งชั่วโมงแรกของปีการศึกษา ไม่เข้าสอนสักหน่อยก็จะทำให้นักเรียนรักอาจารย์มากขึ้นเป็นกองทีเดียว...ข้าวของบนโต๊ะวางระเกะระกะ ส่วนใหญ่เป็นม้วนกระดาษที่เดาก็รู้ว่า คงจะหนีไม่พ้นแผนที่ ลูกโลกกลมหมุนคว้างอยู่ในอากาศ เหมือนมีมือล่องหนกำลังหมุนมันอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...เอเวอลินนั่งจ้องลูกโลกนั้น ก่อนจะเริ่มเคลิ้ม...ใกล้หลับเต็มทน...
    “ไม่น่าเลย ไม่น่ากินเยอะเลย พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน” เอเวอลินพูดงึมงำ ก่อนจะเลิกฝืนตัวเอง เตรียมเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์
    เสียงกุกๆ กักๆ ดังขึ้นหลังโต๊ะใหญ่ของอาจารย์ อารมณ์อยากรู้อยากเห็นมีอำนาจเหนือฝันหวานที่กำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า เอเวอลินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางจ้องไปที่โต๊ะตัวนั้นไม่วางตา
กุกกักๆ
    เสียงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนอยากรู้อยากเห็นพากันเดินเข้ามา และชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ กองม้วนกระดาษเริ่มขยับ ก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงพื้น
ฟรึ่บ...
    กองกระดาษทั้งหมดร่วงลงสู่พื้น เป็นผลให้โต๊ะตัวนั้นดูสะอาดตา ว่างเปล่า ไม่มีอะไรมาวางเกะกะ แต่เสียงนั้นยังดังอยู่ไม่ยอมหยุด ไอ้อารมณ์สงสัย กลับไปมีผลกระทบกับต่อมความกล้าหาญ คนอยากรู้อยากเห็นที่สุด ค่อยๆ เงี่ยหูฟัง ก่อนจะเดินมามองโต๊ะอย่างสงสัย แล้วก็เอื้อมมือไปดึงลิ้นชักให้เปิดออก
ห้าววววววว!!!!
    เสียงหาวสะท้านปฐพีดังกระหึ่มชั้นเรียนวิชาภูมิศาสตร์ มือเรียวค่อยๆ โผล่ออกมาจากลิ้นชัก พลางบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะโผล่หัวของตนออกมาสู่โลกภายนอก และกระโดดออกจากลิ้นชักนั้น...
    หญิงสาวร่างเล็กดีดตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะใหญ่ พลางเอามือไล้พื้นผิวของลูกโลกกลมไปมาอย่างเหม่อลอย ไม่ได้สนใจนักเรียนที่พากันรุมล้อมรอบตัวเธอเลยสักนิด
    เธอขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะมองไปข้างหน้า หาวหนึ่งที ก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะ เดินไปหลังห้อง ไล่นิ้วไปตามแผนที่ใหญ่ สายตาสาดส่องหาอะไรบางอย่าง จนนิ้วเรียวไปหยุดที่จุดๆ หนึ่ง...
    “เดอะ ชาโดวส์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของนครหลวงแห่งอาณาจักรนาร์มาเซีย” เธอว่า ก่อนใช้นิ้วเคาะที่จุดๆ นั้น กวาดสายตามองนักเรียนที่ยืนอ้าปากค้าง สับสน งุนงงกับพฤติกรรมประหลาดๆ ของเธอ
    “เอ้า จะไม่เรียนกันเหรอ นั่งที่สิ” ราวกับเธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักกับพฤติกรรมของตนเอง ที่จู่ๆ ก็เริ่มบทเรียนอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และยังรวมไปถึงการปรากฏตัวที่น่าทึ่งของเธออีก...
    “นั่งที่จ๊ะ นั่งที่ นักเรียนจ๋า นั่งที่ได้แล้ว เรากำลังเริ่มเข้าสู่บทเรียนแรกของปี เรียนรู้ถึงอาณาจักรนาร์มาเซีย” เธอว่า ก่อนหันไปสนใจแผนที่หลังห้องต่อ
    “เดอะ ชาโดวส์มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มากมายน่าศึกษา แต่...” เธอขึ้นเสียงสูง จนทำให้เด็กๆ หันมามองเธอตาปริบๆ “เราจะไม่เรียนในชั่วโมงของเรา เพราะเราจะไปเรียนในชั่วโมงวิชาประวัติศาสตร์ กับอาจารย์ดักลาส”
    พอเธอพูดจบ เด็กๆ ก็หันกลับไป เพราะไม่มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจแล้ว
    “นักเรียนจ๊ะ นักเรียนจ๋า ทำไมนักเรียนไม่หันมาทางครูล่ะ ทำไมถึงหันก้นมาให้ครูอย่างนี้”
    “แล้วทำไมอาจารย์ไม่มาสอนหน้าห้องล่ะ” เอเวอลินงึมงำเบาๆ
    “อ้อ ครูลืมไป” เหมือนเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอดึงไม้เรียวเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน ก่อนจะเคาะมันสี่ที
กึก...กึก...ตึง!!!
    เสียงที่ดังขึ้นเล่นเอาหลายคนหวาดผวา เอเวอลินผุดลุกขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็นตามประสา พื้นห้องสี่เหลี่ยมค่อยๆ หมุนช้าๆ
    เสียงเครื่องกลทำงานดังลั่น ก่อนที่จะหยุดลง และโต๊ะทุกตัวหันหน้าไปทางอาจารย์ร่างเล็กคนนั้น...
    “อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าเรียน” เธอพึมพำ ก่อนหันไปสนใจกับแผนที่ต่อ
    “เงียบอย่างนี้สิ ถึงจะนอนได้อย่างสงบ” เอเวอลินว่า ก่อนทำเสียงที่น่ารังเกลียดที่สุด “แจ๊บๆ อืม...” ตาของเธอเริ่มปิด
    “แจ๊บๆ...” เสียงยังดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่อาจารย์จะหันหน้ามาหานักเรียนของตนอีกครั้ง
   
    “อ้อ ครูเกือบลืมไปแน่ะ ครูชื่อ เบรียนน่า เพริโดต์...”
    “ห๊า...อาจารย์แม่!!!” เอเวอลินร้องตะโกนลั่นห้อง ก่อนผุดลุกขึ้น เมื่อเธอได้ยินคำว่า เพริโดต์ ลอยเข้าหู “ไหนๆ อาจารย์แม่อยู่ไหน” เธอกราดมองไปทั่วทิศ ก่อนจะสังเกตเห็นรอยยิ้มขันๆ ประดับอยู่บนทุกใบหน้าภายในห้องเรียน เธอจึงนั่งลงอย่างสงบ
    “ครูชื่อ เบรียนน่า เพริโดต์ เป็นน้องสาวของอาจารย์มิแรนด้า เพริโดต์” อาจารย์ร่างเล็กยิ้มขัน \"ครูไม่ได้อยู่ฝ่ายปกครองเหมือนอาจารย์แม่ของเธอ แต่ครูอยู่ฝ่ายสวัสดิการ”
    “หา...อะไรนะ ฝ่ายสวัสดิการ เกี่ยวกับของกินใช่ป่ะ” เอเวอลินถามเสียงอ่อนเสียงหวาน “อย่างนี้ต้องเรียกว่า อาจารย์พี่สาว หึหึ”
    “อาจารย์พี่สาวคะ” เด็กสาวชูมือขึ้นหรา เมื่อได้รับอนุญาต เธอจึงลุกขึ้น พร้อมทั้งยิงคำถามทันที “อาจารย์มีตำแหน่งสำคัญอะไรกับอาณาจักรรึเปล่าคะ”
    “มีจ้ะ มี อาจารย์เป็นราษฎรที่ซื่อสัตย์และภักดีของอาณาจักรจ๊ะ” เธอตอบเสียงสูง “เอาล่ะ ทีนี้เรามาเข้าเรื่องของเรา...”
    “พี่สาวคะ” คำว่าอาจารย์เริ่มหดหายไป เหลือเพียงคำที่ดูจะสนิทชิดเชื้อเป็นพิเศษ
    “อะไรล่ะ”
    “ชั่วโมงนี้จะสั่งการบ้านรึเปล่าคะ” เอเวอลินถามกันไว้ก่อน เดี๋ยวเกิดน้องสาวสั่งเหมือนพี่สาว เธอไม่ตายหรอกรึ
    “ต้องดูพฤติกรรมก่อนจ๊ะ” อาจารย์เบรียนน่าตอบยิ้มๆ ก่อนจะใช้นิ้วเคาะลงบนแผนที่
    ได้ยินคำพูดอย่างนั้น เอเวอลินนั่งตัวตรง ตั้งใจฟังทันที นั่งตาแป๋ว พยักหน้าหงึกหงักตามทุกครั้งที่เบรียนน่าถาม ตำแหน่ง ลูกขุนพลอยพยัก คงจะหนีไม่พ้นมือเธอหรอก...
    “เอาล่ะ ทีนี้มาทดสอบกันก่อนจะเลิกบทเรียนในวันนี้...”หญิงร่างเล็กพูด พลางเก็บแผนที่ ก่อนกวาดสายตาไปทั่วห้อง “วิเวียน ไหนลองตอบมาสิว่า เมืองอเมทิสต์ ตั้งอยู่ส่วนใดของอาณาจักร”
    เด็กสาวน่าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตายืนขึ้น พลางตอบอย่างช้าๆ ลากเสียงยาว “อยู่...ทางด้าน...ตะวันตก...ติดกับป่า...ซิลเวอร์ลีฟ...มีแม่น้ำ...เอเมอรัลด์....ไหลผ่าน...กลางเมือง... ทางใต้...ของเมือง...ทำเหมืองแร่... แร่ที่...พบมาก...ที่สุด... คือ... แร่ซิลเวอร์... มี...ประโยชน์....ใน...อุตสาหกรรม...ผลิต....เครื่องประดับ...ค่ะ”
    “เก่ง...มาก...จ๊ะ... นั่ง...ลง...ได้...” อาจารย์เบรียนน่าเริ่มลากเสียงยานคางตามไปด้วย ก่อนจะรู้ตัว รีบแก้ “เอาล่ะ ขออีกคน เอเวอลิน ช่วยบอกถึงตำแหน่งที่ตั้งของป่าทั้งสี่ และคุณลักษณะของทั้งสี่ป่าด้วยจ๊ะ”
    เอเวอลินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องป่าเธอถนัดมาก คอยดูๆ เอเวอลินตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ พูดรัวเร็ว ผิดกับวิเวียนลิบลับ
    “ป่าทั้งสี่ หนึ่ง...ป่าโกลเด้นวู้ด ได้รับการขนานนามว่า นครไม้สีทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอาณาจักร ติดตะเข็บชายแดน ยามต้องแสงแรกอรุณ ต้นไม้ทั่วทั้งป่าจะแปรเปลี่ยนเป็นสีทองงดงาม อร่ามตา สอง...ป่าซิลเวอร์ลีฟ ป่าอันเงียบสงบทางชายแดนทิศตะวันตก เมื่อต้องแสงจันทร์เต็มดวง ใบไม้ทั่วทั้งป่าจะเปล่งประกายสีเงินงามตา แต่สู้ป่าโกลเด้นวู้ดไม่ได้ เพราะหนึ่งเดือนจะมีเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น” เอเวอลินได้ทีคุยทับถมใครบางคนที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
    “ป่าที่สาม...ป่าเซไฟรัส หรือที่ชาวเหนือเรียกกันติดปากว่า...ดาราไพร ป่าแห่งดวงดาว ตั้งอยู่ติดชายแดนทางทิศเหนือ ที่ป่าแห่งนี้จะมองเห็นดวงดาวทุกดวงในยามค่ำคืน แม้แต่แสงจันทร์ในคืนเดือนหงายก็มิอาจจะกลบกลืนแสงระยิบระยับของหมู่ดาราได้” เอเวอลินยิ้ม ใกล้ความจริงแล้ว “และสุดท้าย...ป่ายูราส ป่าโกงกาง หรือจะเรียกให้ดูดีมีชาติตระกูลก็คือ สมุทรไพร...สมุทรไพรนะคะ ไม่ใช่ สมุนไพร” เอเวอลินยิงมุกย้ำเข้าไปอีก
    “ป่ายูราส ป่าทางทิศใต้ของอาณาจักร ตั้งติดมหาสมุทรแฟร์ซิสติก ที่ป่าแห่งนี้ ยามค่ำคืนจะเห็นแสงน้อยๆ จากหิ่งห้อยนับล้านตัวที่พากันออกมาอวดแสงเหลืองนวลที่สวยงาม”
    พูดจบเธอก็นั่งลงอย่างเบิกบาน เรื่องป่าน่ะ ถามมาเถอะ ตอบได้หมด แต่เรื่องอื่นอย่าถาม ไม่รู้สักกะอย่าง...
    อาจารย์พี่สาวยิ้มอย่างอารมณ์ดี คาดไม่ถึงว่า เพียงเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เธอจะสามารถสอนให้ลูกศิษย์ของเธอเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้...แต่เธอรู้ดีว่า ทำไมทั้งสองคนถึงตอบได้ละเอียดลออปานนี้...คนหนึ่งเป็นลูกสาวของอัศวินที่เก่งกล้าของอาณาจักร ได้รับศักดินาให้ไปดูแลเมืองอเมทิสต์ ส่วนอีกคนหนึ่ง...บุตรีแห่งราชาของป่าโกลเด้นวู้ด นครไม้สีทองที่น่าหลงใหล...
    “เก่งมากจ๊ะ เอเวอลิน เยี่ยม ชั้นเรียนนี้เป็นชั้นเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ครูเคยสอนมา อืม...รางวัลสำหรับความตั้งใจเรียนของทุกคน...เรียงความหนึ่งหน้ากระดาษ เรื่อง...อาณาจักรนาร์มาเซีย:ความได้เปรียบในทางภูมิศาสตร์...เรามีเรียนกันอีกทีวันพุธ ขอให้ส่งงานให้ตรงเวลานะจ๊ะ” เบรียนน่าสั่งการบ้านอย่างเบิกบาน โดยไม่ฟังเสียงโอดโอยของเด็กๆ
    “พี่สาวคะ” คนตอบฉะฉานยกมือหรา “สงสัยค่ะ ทำไมพวกเราตั้งใจเรียนแล้วถึงยังมีการบ้านคะ ไหนพี่สาวบอกว่า จะดูพฤติกรรมก่อนไงคะ”
    “ก็ใช่น่ะสิ ครูดูพฤติกรรมก่อน เห็นทุกคนกระตือรือร้นในการเรียนดี ก็เลยให้การบ้าน จะได้ไม่เหงาไงจ๊ะ” เบรียนน่าตอบอย่างอารมณ์ดี “เข้าใจมั้ยจ๊ะ”
    “เข้าใจค่ะ” เอเวอลินตอบ ก่อนนั่งลงพร้อมเสียงบ่นพึมพำ
    “เชื้อไม่ทิ้งแถว พี่เป็นไงน้องเป็นงั้น เรียงความหนึ่งหน้ากระดาษเหมือนกันเด๊ะ ตั้งใจเรียนจนได้การบ้าน ชั่วโมงหน้าต้องหลับ ทำเป็นไม่กระตือรือร้น จะได้ไม่มีการบ้าน”
    “หมดเวลา เลิกได้” เบรียนน่าตะโกนบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนเคาะไม้สี่ที ให้ห้องหมุนเข้าสู่สภาพเดิม ส่วนตัวของเธอ กระโดดหายเข้าไปในลิ้นชักอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว รวดเร็วเหมือนแมวเหมียวพุ่งกระโจนใส่เหยื่อ...
    “อาณาจักรสีเขียวๆ” เอเวอลินพูดตลอดทางไปยังสวนพฤกษศาสตร์ “เรียนทุกวัน ไม่ต้องเรียนรวม เพราะคาบสุดท้ายจะเป็นคาบของแต่ละหอ หึ จะมีการบ้านอีกรึเปล่านะ”
    “ไม่มีหรอกมั้ง เอเวอลิน” เมลานี่ว่า
    “ไอ้คำว่า มั้ง นี่แหละตัวดี ไม่งั้นฉันก็ได้อยู่ของฉันสบายๆ ไม่ต้องไปมีตำแหน่งอันทรงเกียรติอย่างกรรมการรุ่นหรอก” เอเวอลินได้ทีโวย
    “เอาน่า อย่าคิดมาก เดินต่อไปได้แล้ว เดี๋ยววก็ไปสายหรอก” ฟิเลน่าว่า พลางดันหลังให้เอเวอลินเดินต่อไปเรื่อยๆ
    “นั่นไง ถึงแล้ว” เมลานี่ร้องอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ พลางชี้นิ้วไปยังสถานที่เบื้องหน้า...สวนสีเขียวอันร่มรื่น...สวนพฤกษศาสตร์ของโรงเรียน
    เด็กปีหนึ่งหอพฤกษาต่างพากันเร่งฝีเท้าผ่านประตูเหล็กดัดลวดลายสวยงามเข้าไปในสวนสวยเบื้องหน้า เสียงน้ำตกดังอย่างต่อเนื่อง พาให้ทุกคนรู้สึกกระชุ่มกระชวย
    ที่ลานหญ้ากว้างริมหนองน้ำใหญ่ มีต้นฮอลลี่ยืนต้นสูงเดียวดายอยู่กลางลาน แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วบริเวณ เหล่านักเรียนพากันมายืนรวมกลุ่มที่สนามหญ้าแห่งนี้ และเฝ้าคอยอาจารย์ของตน
    บริเวณรอบๆ ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด เหล่าผีเสื้อพากันบินดอมตอมน้ำหวานจากดอกนี้ไปดอกนั้นอย่างเบิกบาน ดวงตาสีเขียวมรกตของหญิงสาวจับจ้องไปที่สิ่งมีชีวิตสีสวยตรงหน้าอย่างเบิกบาน ก่อนจะหัวเราะร่าไปกับพวกมัน
    เสียงหัวเราะของเอเวอลิน ทำเอาคนๆ หนึ่งถึงกับยิ้มออก ก่อนเดินมานั่งข้างๆ เธอ
    “ชอบมากล่ะสิ” เสียงเรียบเอ่ยถามทันทีที่นั่งลงเรียบร้อย
    “รู้ได้ไง”
    “ดวงตาเธอมันบอก ลิลลี่ ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอกำลังเต้นระรี้ระริกไปกับธรรมชาติอันสวยงามรอบตัวเธอ” เสียงเรียบตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา
    “แล้วนายจะมายุ่งอะไรกับฉัน นิกกี้” เด็กสาวถามกลับ
    “ก็อยากยุ่งไม่มีอะไรมาก” นิโคลัสยักไหล่ ก่อนทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหญ้า
    “เฮ้ย นิกกี้” เอเวอลินร้องเสียงหลง ก่อนอ้าปากค้าง นิ้วชี้ไปยังจุดๆ หนึ่งเบื้องหน้า “ไอ้นั่นมันอะไรน่ะ”
    นิโคลัสยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองตานิ้วเรียวที่ชี้ไปบนต้นฮอลลี่ต้นใหญ่นั้น
    “ไม่รู้” คำตอบง่ายๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของนิโคลัส ก่อนที่เจ้าตัวจะล้มลงนอนอีกครั้ง
    เด็กสาวจดๆ จ้องๆ อยู่นาน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ความสนใจเลยค่อยๆ จางหายไป ก่อนจะเบือนหน้าไปทาอื่น
ฟรึ่บ....
    เสียงเหมือนอะไรบางอย่างหล่นจากที่สูงลงสู่พุ่มไม้ ทำให้เอเวอลินหันมาสนใจที่ต้นเสียง เพ่งพินิจพิจารณาที่พุ่มไม้เตี้ยๆ ข้างธารน้ำตก
    ยอดหมวกแหลมโผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้นั้น ก่อนจะตามด้วยหัว ตัว แขน และขาของเจ้าของ หญิงผู้ตกลงมาจากเบื้องบนยืดตัวขึ้น ก่อนจะจัดเครื่องแต่งกายของตนให้เข้าที่ และเดินออกจากพุ่มไม้นั้น ตรงมายังกลุ่มนักเรียนที่ยืนรอเธออยู่
    “โอ๊ย...ง่วง...” คำทักทายคำแรกที่ออกจากปากเธอ ก่อนจะตามด้วยหาวครั้งใหญ่ “เอาล่ะ ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ ชั้นเรียนวิชาอาณาจักรสีเขียว” เธอว่าพลางกวาดสายตาไปรอบๆ
    “เอ้า นั่งสิ จะยืนทรมานตัวเองไปทำไม” เธอเอ่ยเมื่อเห็นท่าทางของนักเรียนแต่ละคน “ไม่นั่งครูนั่งเอง” พูดจบก็กระโดดขัดสมาธิกลางอากาศ ก่อนร่วงลงนั่งบนพื้นหญ้าอย่างนุ่มนวล
    “นี่ พวกเธอยืนค้ำหัวผู้ใหญ่มันไม่ดีนะ” เธอจีบปากจีบคอพูด ก่อนตบลงที่พื้นหญ้านุ่มเบาๆ “นั่งๆ เร็วเข้า”
    ทุกคนทำตามอย่างว่าง่าย แต่ละคนนั่งจ้องเธอตาแป๋ว กระดิกหูรอฟังอาจารย์ของตนอย่างใจจดใจจ่อ
    “ครูชื่อ เบลินด้า เพริโดต์...” ยังแนะนำตัวไม่เสร็จ เสียงบ่นโอดโอยก็นั่งขึ้นแทรก
    “อาจารย์แม่อีกแล้วเหรอ แล้วอาจารย์เกี่ยวข้องยังไงกับอาจารย์มิแรนด้ากับอาจารย์เบรียนน่า” เอเวอลินถามฉอดๆ
    “เป็นน้องสาวอาจารย์มิแรนด้า และเป็นพี่สาวอาจารย์เบรียนน่า รวมทั้งเป็นหนึ่งในเก้าผู้พิทักษ์ต้นไม้ประจำอาณาจักร” เบลินด้าตอบ
    “ผู้พิทักษ์?” เมลานี่ร้องขึ้นอย่างสงสัย “พวกเทพารักษ์น่ะเหรอ”
    “ไม่ใช่เมลานี่ ผู้พิทักษ์ต้นไม้ คือ ผู้รอบรู้เรื่องของต้นไม้ เป็นคนที่คอยคุ้มครองดูแลต้นไม้ของอาณาจักร เรียกง่ายถึงง่ายที่สุด ก็คือ คนสวนของอาณาจักร” เอเวอลินหันไปไขข้อข้องใจให้เพื่อนฟัง
    เสียงดีดนิ้วเปาะดังขึ้น ทำให้เอเวอลินหันไปสนใจอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่อ
    “พูดถึงคนสวน ที่นี่ยังขาดแคลนคนคอยช่วยครูดูแล” เบลินด้ายิ้มเจ้าเล่ห์ “บทเรียนที่เราจะเรียนในปีนี้แบ่งเป็นสองบทใหญ่ๆ พฤกษาปราการ และ ผูกมิตรแฟร์รี่”
    “แฟร์รี่? ใครจะไปอยากคยกัยพวกมัน เหอะๆ” เอเวอลินหัวเราะหน้าตาย
    “การสอบของวิชานี้...ไม่มี...” เบลินด้าเว้นช่วงให้นักเรียนดีใจเล่นๆ ก่อนต่อท้าย “ไม่มีสอบภาคทฤษฎี การเรียนวิชานี้คือ การปฏิบัติ เพราะฉะนั้น การสอบจะเป็นการสอบปฏิบัติ เข้าใจ?”
    “ไม่เข้าใจว่าจะพูดหาพระแสงอะไร” เอเวอลินพึมพำ
    “อาณาจักรนาร์มาเซีย...อาณาจักรที่รุ่งเรืองท่ามกลางสงครามที่รายล้อมอาณาจักร...” เบลินด้าเกริ่น “อาณาจักรนี้จะสงบไม่ได้ หากปราศจากป่าทั้งสี่”
    “ใช่ๆ ป่าของฉันมีบุญคุณมากนะ ขอบอกๆ” เอเวอลินพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
    “โกลเด้นวู้ด ทิศตะวันออก... ซิลเวอร์ลีฟ ทิศตะวันตก... เซไฟรัส ทิศเหนือ... และยูราส ทางทิศใต้ กษัตริย์แห่งนาร์มาเซียได้ใช้หลักพฤกษาปราการให้เป็นประโยชน์...” เธอพูดอย่างเคารพ “ปราการแห่งพฤกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา ได้คอยปกป้องพวกเราให้พ้นจากภัยสงคราม”
    เบลินด้าร่ายยาว คนที่สมาธิสั้นบางคนก็ค่อยๆ เอนตัวเอาแขนยันกับพื้น ส่วนคนที่สมาธิสั้นมากๆ อย่างเอเวอลินก็ล้มตัวลงนอนเหยียดยาว ก่อนพลิกตัวเอามือท้าวคางฟังอย่างเหม่อลอย
    “วิชานี้ไม่มีการบ้าน!!” เสียงสูงประกาศก้อง เอเวอลินลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ฟังอย่างตั้งใจ “แต่มีงาน...งานให้พวกเธอทำ”
    เอเวอลินลอบถอนหายใจอย่างปลงตก “พี่น้องตระกูลเพริโดต์ ได้รับเชื้อติดๆ กันมาจริงๆ ชอบสั่งจริง การบ้านกับงานเนี่ย สั่งมาๆ งานอะไรก็ว่ามา สามใบเถา... เจ้าแม่แห่งวงการสั่ง”
    “งานที่จะให้ทำมีสองชิ้นเท่านั้น... งานระยะยาว ทำกันหนึ่งปีการศึกษา ชิ้นที่หนึ่ง...ปลูกพืชสามชนิดลงในกระถาง ชนิดใดก็ได้ตามต้องการ แต่ต้องเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์ต่ออาณาจักร ทุกวันศุกร์จะต้องเอามาให้ตรวจความคืบหน้า และก่อนสอบต้องออกมารายงานหน้าห้อง บ่งบอกถึงเหตุผลที่เลือกปลูกพืชชนิดนี้ และประโยชน์ของมันต่ออาณาจักร” เบลินด้าอธิบายอย่างละเอียด พลางสังเกตสีหน้าของนักเรียนของตน เมื่อเห็นสีหน้าปลงตกของนักเรียน รอยยิ้มบางก็พาดผ่านริมฝีปาก
    “สอง...”
    “อาจารย์คะ” เอเวอลินร้องขัด “ขอถามอะไรอย่างได้ไหมคะ อาจารย์น้า”
    “ว่ามาสิ”
    “ปลูกสามชนิด อะไรก็ได้ แล้วแต่ความชอบของเรา จะปลูกอะไรก็ได้ ไม่ผิดทั้งนั้นใช่ไหมคะ”
    “ใช่จ๊ะ แต่ต้องอธิบายได้ว่า พืชที่เธอปลูกมีประโยชน์อย่างไรกับอาณาจักร” เบลินด้าตอบ “เข้าใจมั้ย”
    “เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยค่ะ” เอเวอลินยิ้มอย่างได้ใจ
    “เอาล่ะ งานชิ้นที่สอง งานดูแลสวนแห่งนี้ให้สวยสดงดงามอยู่เสมอ สวนแห่งนี้กว้างหนึ่งร้องเอเคอร์ แบ่งเวรกัน ห้าวัน วันละสิบคน ส่วนวันเสาร์วันอาทิตย์ให้เป็นวันพักผ่อน” เบลินด้ากล่าวอย่างใจดี “งานชิ้นนี้เป็นงานที่รับผิดชอบด้วยกันทุกคน เพราะฉะนั้น หากต้นไม้เสียหายหรือตายไป เพียงต้นเดียวเท่านั้น พวกเธอทุกคนต้องไปหามันมาปลูกชดใช้” เธอยิ้ม
    “เอาล่ะ แบ่งกลุ่มได้ กลุ่มละสิบคนไม่ขาดไม่เกิน เมเดรียล พาพรรคพวกลงมาช่วยเด็กพวกนี้แบ่งกลุ่มที” อาจารย์เบลินด้าเงยหน้าขึ้นไปมองต้นฮอลลี่ ก่อนจะร้องเรียกอะไรสักอย่างที่อยู่บนนั้นให้ลงมา
    สิ้นเสียงเรียก พิกซี่ฝูงใหญ่ก็บินลงมาจู่โจมพวกเด็กๆ ทันที แต่ละคนต่างขยับให้เข้าไปชิดกับคนอื่น เกาะกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน จนในที่สุดก็ทำให้นักเรียนที่นั่งกันอยู่กระจัดกระจายมานั่งรวมกันเป็นกลุ่มห้ากลุ่มกลุ่มละเท่าๆ กันอย่างพอดิบพอดี โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกตัวสักนิด
    “ขอบใจจ๊ะ เมเดรียล” เบลินด้าหันไปยิ้มให้กับพิกซี่ที่ถือคทาและสวมมงกุฎบ่งบอกถึงตำแหน่งของมัน...ราชินีแห่งพิกซี่
    ราชินีพิกซี่ก้มหัวน้อมรับคำขอบคุณ ก่อนจะบินนำลูกน้องกลับไปบนต้นฮอลลี่เหมือนเดิม...
    “เอาล่ะ ทีนี้ก็แบ่งกลุ่มได้แล้ว ก็ต้องแบ่งหน้าที่ สวนแห่งนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็นห้าส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ สวนพืชน้ำ สวนบุปผา สวนสมุนไพร สวนไม้ผล และสวนไม้หายาก ดังนั้น หนึ่งพื้นที่จะมีคนรับผิดชอบสองคน มองหน้าคนในกลุ่ม ใครถูกชะตาใครก็คู่กับคนนั้น ส่วนหน้าที่ไปตกลงกันเอาเอง” อาจารย์น้าชี้แจง ก่อนนั่งพิงต้นฮอลลี่ จ้องมองการแบ่งหน้าที่ของนักเรียนอย่างเบิกบาน
    เอเวอลินมองไปรอบๆ ตัว สิบคนในกลุ่มของเธอ มีนิโคลัสอยู่ด้วย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนปล่อยให้การจับคู่เป็นไปตามยถากรรม
    เงาของเอเวอลินเดินเข้ามาหาเธอ ก่อนจะคว้ามือเธอไปจับไว้ หน้าตาเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนถูกจับกลับโวยวาย
    “เฮ้ย นิโคลัส นายมาจับมือฉันทำไมเนี่ย ปล่อยนะเว้ย” เอเวอลินร้อง ก่อนสะบัดมือให้หลุดออกจากมือของนิโคลัส แต่ยิ่งสะบัด มันก็ยิ่งแน่นขึ้น
    “โธ่เว้ย ทำไมฉันต้องมาคู่กับนายทั้งปีทั้งชาติด้วยฟ่ะ เซ็งมากพะย่ะค่ะ” หน้าเอเวอลินบอกบุญไม่รับ ในขณะที่นิโคลัสปั้นหน้าเฉย
    “นายจะทำหน้าเรียบๆ เฉยๆ อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ฮึ เซ็งโว้ย” เอเวอลินยังโวยวายต่อไป
    “ทำไม? คู่กับฉันแล้วมันไม่ดีรึไง” นิโคลัสถามเสียงเรียบ เย็นชา เล่นเอาคนที่อยู่รอบๆ หน้าชาวูบกันไปยกใหญ่ แต่ไม่ใช่เอเวอลิน
    “เออ ไม่ดี ไม่ดีมากๆ ด้วย” เอเวอลินย้ำ
    “งั้นก็ไปหาคู่เอาเองก็แล้วกัน” นิโคลัสปล่อยมือจากเอเวอลิน แล้วเอาขึ้นมากอดอก “แต่คนอื่นเขาก็มีคู่กันหมดแล้ว มีปัญญาไปหาก็ไปเลย หาไม่ได้ก็อย่ามาง้อฉันแล้วกัน”
    เอเวอลินมองไปรอบๆ ตัว ทุกคนต่างมีคู่กันหมดแล้ว ทิ้งให้เธอต้องร่วมชะตากรรมกับนิโคลัสอย่างเดียวดาย
    “เออๆ ก็ได้ คู่กับนายก็ได้” เอเวอลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น “เบื่อโว้ย เบื่อหน้าตานี่จริงๆ” เธอฮึดฮัดก่อนเอาหลังพิงไหล่นิโคลัส
    “จะทำส่วนไหนก็ตกลงเอาเอง ฉันจะนอน” นัยน์ตาสีเขียวมรกตกรอกไปมาอย่างฉุนเฉียว ก่อนเอนหัวซบไหล่นิโคลัสหลับไป
    นิโคลัสส่ายหน้าอย่างปลงตก ก่อนจะหันไปเจรจาตกลงเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบกับคนในกลุ่มต่อไป...
    “เลิกเรียนได้ อ้อ...ลืมสั่งอะไรไปอย่าง...งานระยะสั้น ส่งวันศุกร์ เขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเกี่ยวกับคู่หูผู้ร่วมรับผิดชอบของตน หนึ่งหน้ากระดาษ ห้ามขาดห้ามเกิน ส่งวันศุกร์” เบลินด้าสั่ง
    “เออๆ ไม่ต้องย้ำก็ได้ เบื่อจริง” เอเวอลินบ่นพลางหาวยกใหญ่ หลังจากที่ไอ้ชาเย็นสะกิดเธอให้ตื่นจากฝันดี
    “หน้าที่ดูแลสวนแห่งนี้จะเริ่มต้นในอาทิตย์หน้า รวมทั้งพืชสามชนิดต้องเอามาให้ตรวจในวันศุกร์หน้า ส่วนวันนี้พอแค่นี้ พรุ่งนี้เจอกันใหม่ สวัสดีทุกคน\" พูดจบก็เดินไปยังโคนต้นฮอลลี่ ผิวปากเรียกอะไรบางอย่างที่นักเรียนเองก็ไม่อาจคาดเดาได้
    บันไดเชือกถูกโยนลงมาจากเบื้องบน ก่อนที่เบลินด้าจะปีนขึ้นไปอย่างชำนิชำนาญ เธอมองลงมายังนักเรียนของเธอเบื้องล่างที่ยืนเงยหน้าอ้าปากค้างอย่างแปลกใจ
    “เอ้า กลับไปกันได้แล้วจ๊ะ หรือยังอยากเรียนต่อ แต่ขออภัย ครูอยากนอนอ่ะ อย่าลืมงานที่สั่งนะจ๊ะ” เธอยิ้มหวาน ก่อนปีนขึ้นไปบนต้นฮอลลี่ต่อไป...บันไดเชือกถูกดึงกลับเมื่อเธอปีนไปถึงที่หมาย พร้อมกับเด็กหนุ่มสาวที่พากันทยอยกลับหอพักของตน...
    “สามพี่น้อง เหมือนกันเลย สั่งงานๆ เฮ่อ” เอเวอลินบ่น “แต่สามศรีพี่น้องมองยังไง ก็ไม่เห็นจะเป็นพี่น้องกันได้” เด็กสาวว่า ก่อนยกอีกสองคนมาเปรียบเทียบ
    “การปรากฏตัวไม่ธรรมดาของน้องสองคน ในขณะที่พี่สาวคนโตปรากฏตัวแบบราบเรียบ น้องสาวทั้งสองง่วงนอนเป็นชีวิตจิตใจ ในขณะที่พี่สาวไม่มีทีท่าว่าจะง่วง คนโตดูเป็นงานเป็นการ คนกลางทีเล่นทีจริง แต่คนเล็กสดใสร่าเริง เหมือนเด็กๆ คนสุดท้องนอนในลิ้นชัก คนกลางนอนบนต้นไม้ แล้วอาจารย์แม่จะนอนที่ไหนนะ นอนในไม้เรียวรึเปล่า” เด็กสาวนึกขันกับความคิดของตนเอง ก่อนสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป
    “เฮ้ย นิกกี้ ตกลงพวกเราได้หน้าที่อะไร” เอเวอลินร้องถามศัตรูร่วมชะตากรรมเสียงใส
    “สวนไม้หายาก” นิโคลัสตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆ แต่เอเวอลินกลับมองเขาตาเขียวปั๊ด
    “นิกกี้เอ๋ย นิกกี้ คิดไงไปรับสวนไม้หายากฟ่ะ” เอเวอลินถามเสียงหลง
    “ก็เห็นเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา ฉันเลยรับไว้ จะได้ไม่ต้องเถียงกัน” นิโคลัสตอบไม่สนใจท่าทีของเอเวอลิน
    “ปัดโธ่! นายเป็นอะไรไปเนี่ย ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไม้หายาก นายจะสะเออะไปรับทำไมฟ่ะ เกิดมันเหี่ยวเฉา มันตายขึ้นมา พวกเราจะทำยังไง” เอเวอลินเต้นใหญ่
    “ก็หามาชดใช้ไง” นิโคลัสตอบราบเรียบ
    “ชื่อมันบอกว่า ไม้หายาก นายจะพลิกแผ่นดินหารึไง”
    “ทำได้ก็จะทำ”
    “เออ เจริญ” เอเวอลินพูดอย่างเหลืออด
    “แต่เธอรู้มั้ย เอเวอลิน” นิโคลัสเรียกเสียงแผ่ว
    “ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำผิดแล้วเพิ่งจะสำนึกผิดรึไง” เอเวอลินว่า
    “ฉันไม่ได้จะสำนึกผิด แค่อยากจะบอกอะไรให้เธอฟัง” นิโคลัสกล่าว “ชื่อบอกไว้ว่าไม้หายาก แต่บางทีมันอาจไม่ได้หายากอย่างที่คิดก็ได้ แล้วอีกอย่าง เรียดว่าไม้หายาก แสดงว่าจะต้องมีพื้นที่น้อยกว่าที่อื่น มีจำนวนน้อยกว่าอย่างอื่น และที่สำคัญต้องปลูกในสภาพที่เหมาะสม”
    “แล้วไง?” เอเวอลินยักไหล่
    “ถ้าเรารับผิดชอบสวนพืชน้ำ เธอก็ลองถ่างตาดูสิ ว่าบึงเนี่ยมันก็คือทะเลสาบย่อมๆ กว้างขนาดนี้แล้วเวลาดูแลต้องทำยังไง? คิดดูให้ดี” นิโคลัสอธิบาย
    “อืม...นายก็พูดถูก คิดได้ดีนี่” เอเวอลินชม  “ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนาย คิดเรื่องแบบนี้เป็นด้วย”
    “เปล่า...ตอนตกลงกันฉันไม่ได้คิดหรอก เพิ่งจะมาคิดเมื่อกี้นี้เอง” นิโคลัสบอก
    “เหอะ...ไอ้ที่ชมไปเมื่อกี้ถือว่า ไม่มีผลละกัน ไปล่ะ เพื่อนยาก” พูดจบเด็กสาวก็วิ่งไปรวมกับเมลานี่ที่ยืนรอเธออยู่กับฟิเลน่า และเดินกลับหอด้วยกัน
   
    “พวกเธอรับผิดชอบส่วนไหน” เอเวอลินถามขึ้น
    “ฉันกับฟิเลน่าน่ะเหรอ สวนไม้ผลจ๊ะ” เมลานี่ตอบ
    “ดีนี่...พวกเธอคิดดูว่า ฉันได้ตรงไหน สวนไม้หายาก เฮ่อ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตฉายแววไม่พอใจ “อย่าลืมนะ เมลานี่ ฟิเลน่า ได้ดูแลสวนไม้ผล ก็อย่าลืมเอาผลไม้มาฝากฉันบ้างล่ะ”
    “เธอเนี่ยนะ เอเวอลิน คิดแต่เรื่องกินอย่างเดียว” ฟิเลน่าว่า
    “ก็ใช่น่ะสิ เอ้อ ได้เวลามื้อเย็นแล้ว ไปๆ ไปกันเถอะ” นัยน์ตาของเอเวอลินแพรวพราว ก่อนจะเร่งเพื่อนๆ ให้เดินไปยังห้องอาหารใหญ่ของเดอะ ชาโดวส์...
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น