ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Shadows

    ลำดับตอนที่ #4 : ห้าหอคอย [[Rewrite]]

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ย. 48




               และแล้วม้าขาวผู้น่าสงสารที่ต้องทนฟังเจ้านายของมันบ่นมาตลอดทางก็พาเจ้านายมาถึงเดอะ ชาโดวส์แล้ว...



        เดอะ ชาโดวส์ สถานศึกษาของสตรีผู้ที่อยู่บนหลังอาชาไนยสีขาวบริสุทธิ์ต้องขุดเอาความรู้ไปให้ได้มากที่สุดในระยะเวลาสี่ปีปรากฏขึ้นในสายตา สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แสดงชัดถึงกิตติศักดิ์ที่ใครหลายต่อหลายคนได้ร่ำลือกันไปทั่วทั้งอาณาจักร...ปากต่อปากที่พากันบอกเล่าถึงคุณภาพการเรียนการสอนของที่นี่...ที่ที่ผลิตนักปกครองที่มีความสามารถออกมาไม่ขาดสาย... เดอะ ชาโดวส์...



        สถานศึกษาขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างหลายพันตารางไมล์ ที่ที่อดีตเป็นเพียงผืนดินว่างเปล่า ไร้ซึ่งคนสนใจ เป็นเพียงผืนดินที่แห้งผากที่ไม่มีแม้แต่พืชชั้นต่ำที่ขึ้นง่ายแสนง่าย บังเบียดเบียดบังพืชที่ผู้คนเฝ้าทะนุถนอมดูแลมาเป็นอย่างดี พืชชั้นต่ำที่เสนอหน้าท้าสายตาให้ถอนมันออกจากผืนดินอย่างท้าทาย ราวกับว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดมาแล้วจากไปในทันที แต่นั่นก็อาจเป็นความปรารถนาของมัน... แต่แม้แต่พืชสิ้นคิดยังไม่งอกเงยบนแผ่นดินทางด้านตะวันตกของนครหลวงแห่งอาณาจักร แล้วจะประสาอะไรเล่ากับต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเย็นที่ไม่เคยคิดจะทอดร่มเงาและแทงรากลึกลงสู่ใต้ดิน...ผืนดินแห่งนี้จึงแห้งแล้ง ไร้ผู้คนที่จะคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมัน...



        แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม... เดอะ ชาโดวส์ก็ถูกก่อตั้งด้วยน้ำมือของผู้คิดการณ์ไกลที่ดูเหมือนจะไกลไปด้วยซ้ำ ไกลจนคนที่ยังอยู่ปัจจุบันมิอาจเอื้อมถึง มันสมองของผู้ก่อตั้งที่เค้นเอากลวิธีการสร้างร้อยแปดมาเนรมิตเสกสรรให้เดอะ ชาโดวส์ เป็น...เดอะ ชาโดวส์...อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้...และจะเป็นตลอดไป...



        ประตูทางเข้าฝั่งตะวันตก เป็นประตูเพียงประตูเดียวเท่านั้นที่เปิดกว้างต้อนรับผู้คนจากทั่วทุกสารทิศให้เข้ามาเพื่อคัดเลือกให้อยู่ในเดอะ ชาโดวส์ต่อไปอีกสี่ปี...



        เบื้องหลังสิ่งปลูกสร้างอันตระการตาคือ ภูผาสูงใหญ่ที่ผงาดขึ้นหมายจะเอื้อมไปแตะต้องผืนฟ้า แต่ฟ้ากับดินย่อมมีอากาศกลั้นกลาง... สิ่งที่บางเบาที่สุดที่กลั้นมิให้ผืนดินกับผืนฟ้าแตะต้องกัน ราวกับจะเป็นเครื่องเตือนสติที่ว่า...มนุษย์ที่อาศัยบนโลกทุกคนคือคนเดินดินธรรมดามิอาจไปเทียบเทียมหรือแตะเอื้อมเหล่าเทพบนสรวงสวรรค์ได้ แต่นั่นมันเป็นจริงแน่หรือ?...ในเมื่อบางครา เหล่าเทพเจ้าบนสวรรค์อาจกำลังมองลงมาด้วยเหตุผลบางประการที่มนุษย์นั้นก็ไม่เข้าใจ...



        ขุนเขาสูงที่ว่ากันว่าเป็นที่ตั้งของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตของเทพเจ้าแห่งแผ่นดิน ยอดผาสูงชันที่มิเคยมีผู้ใดปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และผู้คนเบื้องล่างก็มิอาจเห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เมื่อแหงนเงยมองขึ้นไปบนยอดเขานั่น...แล้วอย่างนี้มันจะมีอยู่จริงแน่หรือ?...



        สายน้ำตกขนาดใหญ่ไหลลดหลั่นลงตามชั้นหินของผาสูงเบื้องหลังนั้น ตกกระทบลงตามขั้นต่างๆ ของขุนเขา ก่อนโผนทะยานลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง แล้วจึงไหลเอื่อยๆ ฝีนกฏธรรมชาติ...มันไหลล้อมรอบขุนเขานั้น ราวกับสุนัขเฝ้าเจ้านายไม่ห่างไปจากขาทั้งสองข้างของนายของตน บังเกิดเกิดเป็นคูน้ำที่เป็นป้อมปราการอย่างดีในการปกป้องพระราชวังอันเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งนาร์มาเซียที่ตั้งอยู่ชิดติดเขาทางทิศเหนือ... หรือว่า...สิ่งที่วารีสายนี้ปกป้องไว้ อาจจะเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์... สถานที่เหล่าวารีได้ทิ้งตัวจากมา...?



        ห้าหอคอยเรียงรายล้อมรอบหอคอยใหญ่ตรงกลาง แต่ละหอคอยแยกเป็นอิสระต่อกัน ไม่มีทางลอยฟ้าทางใดที่จะนำคนจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง สิ่งที่จะพาไปได้คือการเดินบนพื้นทางเดินเบื้องล่างเท่านั้น...ถ้าขายังไม่ติดดิน แล้วใจของคนเราน่ะหรือจะสูงได้... การหยิ่งผยองไม่สำนึกในบุญคุณของผืนดิน คือหนทางที่ทำให้คนกลายเป็นปีศาจร้าย...



        หอคอยทั้งห้าต่างมีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัว เอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเข้าใจแน่ชัดถึงจุดประสงค์ที่มันออกมาเป็นเช่นนั้น ผู้ที่คิดสร้างคือบุคคลที่ก่อตั้ง ทั้งๆ ที่ตอนนั้น เดอะ ชาโดวส์มิได้แบ่งแยกนักเรียนออกเป็นห้าหอเลย นี่คืออีกเหตุผลที่ว่ากันว่า ผู้ก่อตั้งคิดการณ์ไกล...รับรู้ล่วงหน้าได้ว่า นักเรียนในโรงเรียนต้องแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า... ห้าเหล่าห้ากลุ่ม...





        “ไอ้พวกนั้นมันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเล้ย ฉันตัวแค่นี้มันก็ยังจะรังแกได้ แล้วแกน่ะเป็นม้าของฉัน ทำไมฉันจะต้องยกให้กับไอ้พวกโจรกระจอกพวกนั้นด้วย แล้วไอ้โจรหนุ่มนั่นอีก หาเรื่องชะมัด ถ้านายนั่นไม่หาญกล้ามาขโมยของของเราไป เรื่องไอ้สี่ตัวพวกนั้นมันคงจะไม่เกิด แล้วดูสิ ทำให้ถึงเดอะ ชาโดวส์ตอนตะวันจะตกดินแล้ว เสียแรงไปเยอะนะเนี่ย เสียขาแกะให้แกด้วย ไลท์นิ่ง อุตส่าห์ให้กินขาแกะแล้ว ยังจะทำให้ฉันเดือดร้อนอีก ไปยืนทำไมน่ะ กลางถนนอย่างนั้น อยากจะอวดศักดา คิดว่าตัวเองหล่อนักเหรอ เชอะ! อย่านึกนะ เจ้าไลท์นิ่ง ถึงเจ้าจะเป็นสายพันธุ์ของราชาแห่งม้า แต่แกก็ยังเป็นม้าของฉัน ถ้าอยากจะเปลี่ยนเจ้านายล่ะก็ ข้ามศพฉันไปก่อน ฉันล่ะอุตส่าห์เลี้ยงดูแกเป็นอย่างดี แกจะทรยศนายเรอะ เดี๋ยวเถอะๆ



                  “แล้วไอ้สร้อยนี่ มันสำคัญอะไรนักหนาฮึ ทำไมพอพวกนั้นเห็นถึงได้หลีกทางขนาดนั้น โอ๊ย! ทำไมวันนี้มีแต่เรื่องนะ แล้วท่านพ่อท่านแม่ก็นี่กระไร ปล่อยให้ลูกสาวผู้อ่อนแอคนนี้ ต้องออกมาเผชิญโลกภายนอกคนเดียว องครักษ์หล่อๆ ก็ไม่มีสักคน แล้วนี่แม่ครัวก็ช่างน่ารัก ทำแซนด์วิชมาให้ฉันซะด้วย แล้วแกน่ะ แก ไลท์นิ่ง แกก็งาบแซนด์วิชขาแกะของฉันไปเลยนะ แล้วนี่ทำไมลุงทอมถึงชักช้านะ”

    เอเวอลินบ่นซะยาวเหยียด นี่ถ้าไลท์นิ่งตอบกลับไปได้ มันคงจะตอบไปบ้างแล้ว

    ก็บอกว่าจะล่วงหน้ามาก่อน ก็บอกว่าให้มันยืนรออยู่ตรงนั้น ก็ยื่นแซนด์วิชนั่นให้มันกินเอง แล้วอย่างเอเวอลินน่ะรึ ลูกสาวผู้อ่อนแอ เฮ่อๆๆๆ....ไลท์นิ่งได้แต่ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ





        ทันใดนั้นเอง ไลท์นิ่งก็ต้องหยุดกึก ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า ประจันหน้ากับใครก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีไอ้ผู้ชายสี่คนที่รุมมันอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย





        “หยุดทำไมล่ะ ไลท์นิ่ง” เจ้านายผู้ไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกถาม ก่อนจะบ่นต่อ “แกจะแปรพรรคจริงๆ ใช่มั้ย? ฉันยังไม่ได้สั่งให้หยุดเลย หยุดทำไม หนอยแน่! พอเห็นไอ้พวกนั้นแล้วติดใจรึไง เดี๋ยว...”



        เสียงบ่นหายไปดื้อๆ เมื่อสายตาของเธอไปปะทะกับใครก็ไม่รู้ แต่เธอจำได้ ไอ้สี่คนที่อยู่ข้างหน้าน่ะ



        “นี่ พวกแกกะจะมาท้า จะมาเอาม้าของฉันเรอะ ฉันบอกแกแล้วไงว่าอย่าหวัง แล้วไอ้ที่อยู่บนหลังม้าน่ะ เอ๊ะ แต่ดูไม่เหมือนม้านะ เหมือนลามากกว่า ไอ้คนที่อยู่บนนั้นน่ะ เจ้านายแกล่ะสิ ไหนๆ โผล่หน้าออกมาสิ ทำไมเอาแต่หลบอยู่ใต้ผ้าคลุมนั่น หน้าตาอัปลักษณ์นักรึไง ถึงไม่กล้าสู้หน้าผู้คนน่ะ เป็นผู้ชายภาษาอะไร”



        ชายบนหลังม้าใช้มือลดผ้าคลุมศีรษะลง เผยให้เห็นผมสีทอง ใบหน้าขาว คิ้มโก่ง คมเข้ม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่แฝงไปด้วยประกายของผู้มีอำนาจ โครงหน้าอันหล่อเหลาของชายผู้นี้มิอาจทำให้เอเวอลินที่มักจะแสร้งอ่อนแอกับผู้ชายหล่อๆ หลงเสน่ห์ได้ ทำไมน่ะหรือ? ก็ไอ้คนนี้มันศัตรูเก่าตั้งแต่ตอนบ่าย...



        “อ๋อ ที่แท้มันก็พวกเดียวกันนี่เอง ไอ้หัวขโมย นี่นายจะมาทวงสร้อยเส้นนี้คืนเรอะ อย่าหวังเสียให้ยาก มีของอะไรมาไถ่แล้วรึยัง” เอเวอลินพูดเป็นชุด



                  “อยากได้ของของฉันนักรึไง ก็อย่างว่าแหละนะ ของของฉันน่ะมันมีคุณภาพ ม้าก็เป็นถึงสายพันธุ์ราชา แล้วม้าของนายล่ะ สายพันธุ์อะไร โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ หรือว่าบลูด็อก” เด็กสาวเยาะ ก่อนจะกระตุกให้ไลท์นิ่งเดินต่อ “ถอย...หลีกทางให้ฉันเข้าไป นายจะมายืนขวางทาง เกะกะทำไมกัน”



        “แล้วทำไมฉันต้องหลบให้เธอด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มบนหลังม้าถามกลับ สีหน้าเรียบเฉย “เธอมีเกียรติอะไรมากมายถึงขนาดที่ฉันต้องหลบให้”



        “แล้วนายล่ะ มีศักดิ์มีศรีอะไรถึงไม่ยอมหลบ” คนถูกถามหาเกียรติย้อน “อย่างนายก็แค่หัวขโมยต๊อกต๋อย กระจอกสิ้นดี แล้วยังกล้ามายืนจังก้าขวางทางผู้ครอบครองม้าชั้นดีเชียวเรอะ”



        “ครอบครองม้าชั้นดี ฮึ” เด็กหนุ่มแสยะยิ้ม “เป็นถึงผู้ครอบครองม้าชั้นดี แล้วทำไมต้องมาเอาทรัพย์สินของคนอื่นไปด้วย”



        “แล้วนายล่ะ ทำไมต้องมาขโมยของของฉัน” ผู้ครองม้าชั้นดีย้อน “แล้วอีกอย่าง เป็นลูกแหง่รึไง ถึงต้องมีพี่เลี้ยงใจยักษ์คอยคุ้มกัน คอยดูแลน่ะ”



        “แล้วเธอล่ะ ลูกพ่อแม่ไม่รักรึไง”



        “เปล่า” ตอบลอยหน้าลอยตา ชวนหมั่นไส้นัก “แค่กล้าหาญพอที่จะเผชิญโลกกว้างคนเดียว ถึงแม้จะต้องเจอไอ้โจรกระจอกที่ฝีมือไม่เข้าขั้นอย่างพวกนายก็ตาม



                 “หน้าตาก็ดีนะนายน่ะ แต่สงสัยจะเก็บกดมาจากบ้าน ถึงขี้ขโมยขนาดนี้” คำชมที่เปลี่ยนเป็นด่าในทันทีทันใดจากปากของเด็กสาว “แล้วนี่จะหลีกทางให้ฉันได้รึยัง ถอย”



        “ไม่”



        ต่างคนต่างไม่ยอมกัน คนที่มาหลังๆ ก็ได้แต่ยืนออกันอยู่ จากหนึ่งก็เพิ่มเป็นสอง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ทางเข้าเนื่องแน่นไปด้วยผู้คนที่เป็นผลมาจากคนหยิ่งในเกียรติของตนสองคน...



        “ที่จริง ทางมันก็ออกจะกว้างนะ ทำไมพวกเธอไม่เข้าไปพร้อมกันล่ะ” หนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากความหยิ่งเสนอหนทางไกล่เกลี่ย



        “ไม่เด็ดขาด เขามีเกียรติเพียงพอที่จะเข้าไปพร้อมฉันอย่างนั้นเหรอ”



        “แล้วพวกเธอจะยืนจังก้าอย่างนี้น่ะเรอะ คนอื่นเค้าเดือดร้อนนะ หากไม่รู้ลองมองไปสักนิด ว่าตอนนี้มีคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากพวกเธอสองคนมากมายเท่าไหร่” เด็กหนุ่มคนเดิมพูดให้เหตุผล



        “ก็ได้ นี่เห็นแก่ส่วนรวมนะ ถอย ไปไลท์นิ่ง เข้าไป” เอเวอลินเร่งให้ไลท์นิ่งเดินเข้าไป คู่กรณีของเธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน หันไปสั่งชายทั้งสี่คน ก่อนจะบังคับม้าของตนให้เข้าไปทันที



        “พวกท่านกลับไปได้แล้ว บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง”



        ม้าตัวหลังเริ่มวิ่งทันตัวหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งมาอยู่ในระดับเดียวกัน



        “นี่นายจะมาท้าฉันแข่งรึไง” เอเวอลินตะโกนถาม



        “ถ้าใช่แล้วจะทำไม” น้ำเสียงราบเรียบถามกลับ



        “หนอยๆ ไม่รู้ซะแล้วว่าใครเป็นใคร ไลท์นิ่งเป็นอะไร”



        “ก็เป็นม้าไง” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างไม่แยแส พลางเร่งม้าของตนให้วิ่งแซงม้าสายพันธุ์ราชา





        “หยุด! ที่นี่ไม่ใช่สนามแข่งม้า หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงประกาศิตดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า เจ้าของเสียงยืนกอดอก แสดงถึงอำนาจเต็มที่ หน้าตาเข้มงวด จริงจัง น่าเกรงขามจนทั้งสองต้องหยุด...



        “นี่คือ เดอะ ชาโดวส์ โรงเรียนสำหรับเหล่าทายาท โรงเรียนที่เปิดเสรีให้กับคนทุกชนชั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ที่นี่จะเปิดให้ใช้เป็นสนามแข่งม้า! ที่ใครต่อใครจะเที่ยวมาอวดฝีเท้าม้าของตนที่นี่ ถึงแม้ว่าม้านั้นจะเป็นถึงสายพันธุ์ของราชาแห่งอาชาก็ตาม เอเวอลิน วู้ดเกลดสัน ธิดาแห่งป่าโกลเด้นวู้ด” คำกล่าวจากผู้อาวุโสกว่าตรงหน้า เล่นเอาเอเวอลินอ้าปากค้าง



        ‘นี่เธอรู้จักเราได้ยังไงกันนะ อาจารย์แม่’



        ฉายาของหญิงตรงหน้าที่เอเวอลินเต็มใจยกให้ อาจารย์แม่ของเธอหันมายิ้มให้เธอ



        “ฉันไม่โกรธเธอหรอกนะ เอเวอลิน ที่เธอเรียกฉันว่า อาจารย์แม่ หลายๆ คนที่นี่เค้าก็เรียกอย่างนี้ แต่ฉันชื่อ มิแรนด้า เพริโดต์ อาจารย์ฝ่ายปกครองของที่นี่” เธอแนะนำตัวเสร็จสรรพ ก่อนจะหันไปทางนิโคลัส



        “และที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่จะมาลอยหน้าลอยตา ไม่ให้เกียรติสุภาพสตรีเช่นกัน นิโคลัส วีลวิเซอร์เลส โอรสแห่งป่าซิลเวอร์ลีฟ”



        “อ๋อ ที่แท้นายก็เป็นพวกป่าซิลเวอร์ลีฟนี่เอง ถึงว่าสิ ทำไมท่านพ่อถึงบอกให้อยู่ห่างๆ พวกนาย\" ”เสียงร้องอย่างไม่สำนึกดังขึ้น จนอาจารย์แม่หันมาตาเขียว



        “เอเวอลิน! ที่นี่คือ...”



        “เดอะ ชาโดวส์ส์ส์ โรงเรียนสำหรับเหล่าทายาท” เอเวอลินขัดขึ้นมา ท่าทางเกรงกลัวเริ่มหดหาย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหญิงอาวุโสตรงหน้าก็ต้องสงบปากสงบคำ



        “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะให้ใครมาอวดเก่ง และถ้าเก่งจริง ก็จงแสดงให้เห็นอีกสี่ปีต่อจากนี้ไป ไม่ใช่เวลานี้” นางกล่าว ก่อนสั่ง “เอาม้าของพวกเจ้าไปฝากไว้ที่โรงเลี้ยงม้า แล้วจากนั้นไปพบกันที่ห้องโถง เราจะทำพิธีต้อนรับพวกเจ้าเข้าสู่หอคอยทั้งห้า”



        เหล่าเด็กใหม่ก็พากันจูงม้าของตนไปยังโรงเลี้ยงม้า ถึงแม้จะใหม่กับสถานที่แห่งนี้ แต่พวกเขาก็หาโรงม้าได้ไม่ยากเย็นนัก...





        “ไปเถิดเหล่าเด็กใหม่ วิญญาณที่แท้จริงในตัวของพวกเจ้ากำลังถูกปลุกขึ้นแล้ว…”





        พวกเขาถูกพาตัวมายังห้องโถงใหญ่ ห้องโถงที่กว้างใหญ่ไร้เครื่องประดับหรือสิ่งของใดๆ ตรงกลางของห้องคือ สิ่งที่ลอยเด่นเป็นสง่าและหมุนวนช้าๆ มันคือแผ่นกระจกวงกลมขนาดใหญ่ ที่ริมขอบแต่ละด้านของมันเป็นที่ตั้งของบานประตู...



                    ประตูห้าบานที่ตั้งล้อมพื้นที่กว้างด้านในไว้เป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่ตรงจุดศูนย์กลางของมันเป็นขาตั้งซึ่งวางกล่องๆ หนึ่งที่ทำจากกระจกโปร่งใส ที่เมื่อมองทะลุเข้าไปแล้วจะเห็นแต่ความว่างเปล่า แต่ในใจของทุกคนในห้องโถง กลับรู้สึกว่า ในกล่องนั้นมันต้องมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ ข้างๆ กับกล่องโปร่งใสนั้นคือรูกุญแจที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ เหมือนกับว่ามันกำลังรอให้ใครก็ตามเอากุญแจที่สามารถปลดล็อคของมันได้มาไข...



                     แผ่นกระจกค่อยๆ ลอยต่ำลง ก่อนจะมาหยุดที่พื้นตรงหน้าทุกคน อาจารย์มิแรนด้าปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเหล่านักเรียนใหม่ที่บัดนี้หัวใจดวงน้อยๆ กำลังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ วิตกกังวลกับการต้อนรับสู่หอคอยทั้งห้า บานประตูห้าบานก็คงจะเป็นตัวแทนของหอคอยทั้งห้า...ประตูห้าบาน ห้าความรู้สึก...



        บานหนึ่งโดดเด่นกว่าใคร สีขาวบริสุทธิ์ผ่องใส สว่างไสว ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกเคารพศรัทธา



        บานต่อมาแตกต่างกับบานแรกลิบลับ สีดำทะมึน ลึกลับ น่าสะพรึงกลัว จนหลายคนพากันสันหลังวาบ ไอสีดำพวยพุ่งโอบล้อมประตูบานนี้ไว้



        ตรงกลางนั้นแสนจะชุ่มฉ่ำ สายน้ำไหลลงมาจากกรอบประตูด้านบน ประหนึ่งม่านน้ำบางเบาที่ปิดบังสิ่งที่อยู่หลังประตูนั้น



        บานที่สี่ บานที่คนอย่างเอเวอลินเดาได้เลยว่า เป็นของหอพฤกษา ต้นไม้ใหญ่ขึ้นขนาบข้างบานประตู เถาวัลย์เลื้อยกระหวัดพันเกี่ยวกันไปมา เฟิร์นขึ้นตามโคนต้นไม้ เหล่าดอกไม้บานชูช่อเชื้อเชิญให้เข้าไปสูดกลิ่นหอมของมัน ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ร่วงลงมาไม่ขาดสาย ก่อกำเนิดเป็นพายุ พายุที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด พายุของเหล่าพฤกษาชาติ



        บานสุดท้ายเป็นบานที่เอเวอลินเห็นแล้วต้องขยาด เปลวเพลิงลุกโชติช่วงชัชวาล ราวกับจะเป็นเพลิงงเผาผลาญประตูบานนั้นให้มอดไหม้เป็นจุณ แต่สำหรับผู้ที่มีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงในจิตใจแล้ว ประตูบานนี้ก็เปรียบเสมือนของเล่นชิ้นยอดเลยทีเดียว





        “นี่คือประตูแห่งหอคอยทั้งห้า อันได้แก่ หอคอยจันทรา หอคอยอนธการ หอคอยวารี หอคอยพฤกษา และหอคอยเดโช” อาจารย์มิแรนด้ากล่าว



                     “ห้าหอคอย ห้าลักษณะ บางคนอาจมีลักษณะที่ตรงกับหอคอยเพียงหอคอยเดียว นี่ถือว่าเป็นพวกสายเลือดบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนี้จะสูงส่งกว่าคนอื่น เพราะบางทีพวกนี้ก็น่าสงสาร ไม่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตให้ตนเองได้ ต้องปล่อยให้สายเลือดเป็นผู้กำหนด แต่พวกเจ้าก็ควรภูมิใจในสายเลือดของตน



        “อีกพวกหนึ่ง...พวกเลือดผสม ทางเลือดอาจมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสายเลือดในตัว ทางเลือกมากก็ต้องตัดสินใจมาก เพราะฉะนั้นพวกเจ้าต้องตัดสินใจให้ดี และพวกสุดท้าย พวกที่ไม่มีลักษณะโดดเด่นใดๆ เลย เป็นพวกเลื่อนลอย ปล่อยชีวิตไปวันๆ ไม่รู้จักชีวิตตัวเอง หอคอยทั้งห้าไม่ต้องการ รวมถึงเดอะ ชาโดวส์ของเราด้วย” คำพูดที่เล่นเอาหลายคนร้อนวูบไปเหมือนกัน...



        ...อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ กลับถูกไอ้ประตูบ้าห้าบานถีบส่ง น่าขายหน้าสิ้นดี!...





        “จันทรา อนธการ วารี พฤกษา เดโช ห้าหอคอยกับห้าลักษณะ ลักษณะที่ซ่อนอยู่ในตัว ปฏิเสธหนึ่งลักษณะ ยอมรับอีกลักษณะ ใครเลือกดีก็ดีไป ใครเลือกมั่วซั่ว ก็สุดแท้แต่ความปรารถนา\"





        “โปรดยืนอย่างสงบ คนที่ถูกเรียกชื่อ ขอให้ก้าวออกมาข้างหน้า แล้วเดินขึ้นไปยังวงล้อมแห่งประตู ล้วงมือเข้าไปหยิบกุญแจที่อยู่ภายใน...เลือกดอกที่พวกเธอคิดว่า คุ้นเคยและถูกชะตามากที่สุด” อาจารย์มิแรนด้าเริ่มอธิบายเกณฑ์การคัดเลือกให้ทุกคนฟัง “เมื่อพบแล้วก็เอามันใส่เข้าไปในรูกุญแจที่ลอยอยู่นั่น จากนั้นก็รอคอย...”







                 “โธ่เอ๊ย...” เสียงบ่นที่กำลังจะเริ่มกลับหยุดลงเสียดื้อๆ เมื่อรูกุญแจที่ลอยนิ่งอยู่นั้นเริ่มมีการเคลื่อนไหว มันลอยต่ำลงมาแตะกับพื้นกระจกเบื้องล่าง ก่อนจะพุ่งตัวทะยานขึ้น โดยมีเสาแก้วใสยึดมันไว้กับพื้นแน่น และมาหยุดในระดับเดียวกับกล่องใสใบนั้น พื้นกระจกเบื้องล่างเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพจากกระจกแก้วใสแวววาว กลายเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด...



                   พื้นกระจกหน้าประตูของหอคอยจันทรากลายเป็นปุยเมฆสีขาวนุ่มสบายที่ทอดตัวมายังจุดศูนย์กลางของวงกลมซึ่งเป็นที่ตั้งของกล่องและรูกุญแจ แตกต่างกับไอหมอกควันสีดำสนิทที่พวยพุ่งปกคลุมพื้นกระจกไว้มิดชิด สายน้ำใสเย็นฉ่ำไหลมาจากประตูของหอคอยวารีมุ่งไปสู่ใจกลางของวงล้อม สายน้ำส่องประกายระยิบระยับ ละอองน้ำแตกกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เปลวไฟลุกพรึ่บวิ่งตรงมายังที่ตั้งของกล่องและรูกุญแจอย่างรวดเร็ว เปลวไฟอันร้อนแรงซึ่งมีที่มาจากนักรบผู้มีหัวใจประดุจมังกร...



                  พื้นที่สุดท้ายเป็นของหอคอยพฤกษา ต้นหญ้าเริ่มแทงยอดขึ้นมาปกคลุมพื้นที่ที่ว่างเปล่า ดอกไม้สีสวยสดผลิบานสะพรั่งนำทางไปสู่บานประตูที่พายุของเหล่าพืชพรรณยังคงหมุนวน เหล่าดอกไม้และยอดหญ้าที่ทอดขนานไปกับทางเดินที่ปูด้วยผืนหญ้าสีเขียวขจีต่างกระพือส่ายไหวระริก เจ้าแมลงสีสันงดงามพากันกระพือปีกดอมดมลิ้มลองความหอมหวานจากเกสรของดอกไม้พวกนั้น



                   พื้นที่ของวงกลมใหญ่นนี้ถูกจัดสรรปันส่วนเป็นห้าส่วนเท่าๆ กัน โดยที่ทุกส่วนจะพุ่งตรงมายังจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นที่ตั้งของกล่อง กุญแจ และพื้นที่ที่ยังคงความเป็นกระจกใสเพื่อให้ผู้ที่มาทำการคัดเลือกหยุดยืน แต่ทุกคนก็ไม่เห็นหนทางที่จะพาตนไปยังใจกลางของวงล้อมนี้ได้เลย





                    “หากประตูเปิด จงตัดสินใจให้ดี แล้วก้าวเข้าไป ตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเอง คิดให้รอบคอบ การตัดสินใจครั้งนี้ อาจมีผลถึงชีวิตของพวกเธอในภายภาคหน้า” อาจารย์สตรีสูงวัยยังคงกล่าวต่อไป ราวกับการแสดงของสิ่งที่อยู่ด้านหลังเธอเป็นสิ่งธรรมดาๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป “และสุดท้าย หากไม่มีประตูใดปรารถนาเปิดรับเจ้า จงถอยออกมาไปยืนทางซ้าย แล้วทางเราจะส่งพวกเจ้ากลับบ้านอย่างปลอดภัย”





        อธิบายจบก็เรียกชื่อทันที ไม่มีเวลาให้ทำใจเลยสักนิด



        “แพททริค เอมาร์สัน”



                 เสียงเรียกสิ้นสุดลง พร้อมๆ กับที่เด็กหนุ่มตาสีม่วงอ่อน ผมสีเงินก้าวขาออกมาข้างหน้า สายตามุ่งมั่นแน่วแน่ แต่ในใจอาจกำลังเต้นโครมครามอยู่ก็ได้



                   วงล้อมของบานประตูนั้นเลื่อนลอยขึ้นไปอีกครั้ง หากแต่คราวนี้พื้นที่ตรงกลางนั้นยังไม่ลอยตามไปด้วย มันกำลังรอให้เด็กหนุ่มก้าวขื้นมาบนมัน แล้วมันจึงเคลื่อนที่ขึ้นไปอย่างช้าๆ จนติดสนิทกับสิ่งที่ลอยขึ้นมาก่อนแล้ว แพททริคล้วงมือเข้าไปในกล่องใส แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครเห็นมือของเขาผ่านความใสนั้นเลย



                    เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก่อนที่เขาจะดึงมือออกมา แล้วกระแทกกุญแจลงไปในล็อคที่อยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งสงบ ก่อนที่บานประตูทั้งห้าจะหมุนวน และค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น



                    สักพักประตูเหล่านั้นก็หยุดหมุน พร้อมๆ กับเปลวไฟของประตูบานสุดท้ายค่อยๆ ลดระดับลง และกลุ่มควันดำของประตูบานที่สองที่ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน เด็กหนุ่มสะดุ้ง ก่อนจะรีบเดินเข้าประตูบานสุดท้ายไป ปฏิเสธการตอบรับจากประตูบานที่สอง





        “เทธิส ซิลเวีย”



        เสียงไอดังขึ้นตอบรับเสียงเรียกนั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เสียงไอค่อกๆ แค่กๆ ดังขึ้นเป็นระยะ พร้อมๆ กับเสียงสูดน้ำมูกอย่างคนขี้โรคเช่นเขา



        ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเช่นเดียวกับแพททริค หากแต่ว่าเมื่อเขายัดกุญแจเข้าไปในรูกุญแจ บานประตูกลับไม่หมุนวน มันกลับแน่นิ่ง ไม่ไหวติง...



        เงียบ...



                 ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากของเหล่าเด็กใหม่ เทธิส คนนั้น ถูกปฏิเสธจากหอคอยทั้งห้า...แผ่นกระจกค่อยๆ พาเขาเลื่อนลงมายังพื้นช้าๆ เขาก้มหน้ารับการตัดสินใจ ก่อนเดินไปยืนที่ที่สำหรับเขา





        “ฟามีร่า กลอสเธสกิดด์”



        เสียงเรียกที่น้ำเสียงดูจะอ่อนโยนลงมากดังขึ้น พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของเด็กสาวในชุดสีขาวสว่างไสว ตาสีส้ม ผมสีทอง ผิวขาวบริสุทธิ์ ไม่บอกก็รู้ ยังไงๆ เธอต้องได้เข้าหอคอยจันทรา



                  และทันทีที่เธอใส่กุญแจที่เธอเลือกลงในช่อง แสงสว่างเจิดจ้าก็สว่างวาบ พร้อมๆ กับการฉายแสงเรืองรองต้อนรับจากประตูบานแรก หอคอยจันทราไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะต้อนรับเธอ เช่นเดียวกับสี่บานที่เหลือ ที่ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะปิดการต้อนรับ





        เสียงเรียกชื่อยังคงดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับเหล่าเด็กใหม่ที่พากันหายเข้าไปหลังประตูทั้งห้าบาน บางคนก็ไปยืนรวมกลุ่มกับเด็กชายเทธิส ผู้น่าสงสาร เท่าที่เอเวอลินสังเกต ถ้าหอคอยจันทราเปิด หอคอยอนธการจะปิด ถ้าจันทราปิด หอคอยอนธการจะเปิด สองหอคอยนี้ไม่มีทางจะเปิดต้อนรับคนๆ หนึ่งพร้อมกันแน่นอน เธอเดาว่า สองหอคอยนี่ต้องเป็นปฏิปักษ์กันแน่นอน เธอกล้าการันตี...





        “หอจันทรา สำหรับผู้ที่มีความบริสุทธิ์ ความดีงาม เปรีบยได้กับผู้ที่เป็นทายาทแห่งแสงสว่าง” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นลอยๆ จนทำให้เอเวอลินต้องหันไปมองต้นเสียง เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง หน้าตาคมคาย



        “หอคอยอนธการ หอคอยแห่งทายาทของเหล่าปีศาจ” เขาพูดอย่างรังเกียจ “สำหรับผู้ที่ปล่อยให้ด้านมืดกลืนกินด้านสว่าง และเข้ามาครอบงำจิตใจของตน”



        “หอคอยวารี สำหรับผู้มีปัญญา มีไหวพริบล้ำเลิศ ใช้สมองมากกว่ากำลัง ทายาทของบรรดาจอมปราชญ์ทั้งหลาย”

    เขานิ่งเงียบไปสักพัก ประกายตาแฝงแววชื่นชมหอคอยวารีอยู่ในที...



        “หอคอยพฤกษา สำหรับเหล่าทายาทของผู้ดูแลป่าทั้งสี่ โกลเด้นวู้ด ซิลเวอร์ลีฟ เซไฟรัส และยูราส ผู้ที่ปรารถนาความสงบ ชื่นชมธรรมชาติ”



        ‘ผู้ดูแลป่าทั้งสี่?’ เด็กสาวคิด ‘ฟังเหมือนเป็นตำแหน่งกระจ้อยร่อย ชิชะ! ป่าโกลเด้นวู้ดของพ่อฉัน พ่อฉันเป็นราชาแห่งป่า ไม่ใช่ผู้ดูแล!’



        “สุดท้าย หอคอยเดโช เปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยาน กระหายสงคราม บ้าเลือด ชื่นชอบการต่อสู้ สำหรับเหล่าทายาทของนักรบและอัศวิน” สีหน้าของเด็กหนุ่มบอกถึงความไม่พอใจ



        “ทายาทกษัตริย์ รัชทายาท ผู้สืบต่อบัลลังก์กษัตริย์ ไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าจะต้องอยู่หอไหน การตัดสินใจคราวนี้ เหมือนเป็นการชี้ชะตาของแผ่นดินในอนาคต” เด็กหนุ่มยังพล่ามต่อไป



        ‘หรือว่านายนี่เป็นเจ้าชาย มาดผู้ดี แววตาทระนง มันเป็นเจ้าชายแน่นอน เจ้าชายเป็นคำตอบสุดท้าย!’ เอเวอลินถามเองตอบเองเสร็จสรรพ



        

        “โจนาธาน โอไลเทีย”



        เสียงเรียกที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าชายในการลงมติของเอเวอลินเงยหน้าขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างองอาจ



        ทันทีที่เด็กหนุ่มนาม... โจนาธาน... นำกุญแจไปใส่ในที่ที่มันควรจะอยู่ ประตูทั้งหมดก็หมุนวน ก่อนที่สี่บานจะเปิดให้เขา ประตูหอคอยจันทราเปิด แสดงว่า หอคอยปีศาจ (ชื่อใหม่จากเอเวอลิน) ต้องปิดอย่างแน่นอน



        โจนาธานยืนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเดินเข้าประตูตรงกลางไป...หอคอยวารี...หอคอยแห่งปราชญ์

        



        “ฟิเลน่า มาร์คาเซีย”



        เด็กสาวตาสีเหลือง ผมสีบลอนด์ก้าวขึ้นไป ลอยสูงไปเรื่อยๆ เธอดูเหมือนจอมขมังเวทย์ที่มีอาคมแก่กล้า ประตูสามบานเปิดต้อนรับเธอ...วารี พฤกษา เดโช... เธอเลือกที่จะเข้าหอคอยพฤกษา..





        “แล้วเจอกัน ฟิเลน่า” เอเวอลินพึมพำเบาๆ ก่อนที่เสียงเรียกต่อไปจะดังขึ้น...





        “นิโคลัส วีลวิเซอร์เลส”



        “ไอ้หัวขโมย ไอ้พวกซิลเวอร์ลีฟ” เอเวอลินกัดฟันกรอด ขณะที่เจ้าโจรกระจอกของเธอก้าวเท้าขึ้นไป เขาล้วงมือเข้าไปในกล่องใบนั้นอยู่นานสองนาน จนในที่สุดเขาก็ดึงกุญแจดอกหนึ่งออกมา แล้วจัดแจงยัดมันเข้าไปในรูกุญแจทันทีโดยไม่รีรอ



        และหอคอยเดียวที่เปิดรับเขาคือ...หอคอยพฤกษา...มันแน่อยู่แล้วสำหรับเหล่าทายาทแห่งป่าทั้งสี่...





        “เมลานี่ อาร์กอส”



        เด็กสาวคนหนึ่งเดินขึ้นไปยืนบนกระจกที่ลอยลงมารอท่าเธออยู่ ผมสีดำขลับ กับนัยน์ตาสีตองอ่อน ท่าทางของเธอเหมือนกำลังคิดและตัดสินใจบางอย่างอยู่



        หลังจากที่ประตูหยุดนิ่ง เธอก็ได้รับการต้อนรับจากหอคอยหอคอยหนึ่งในห้า...เธอเป็นพวกเลือดบริสุทธิ์



        ม่านน้ำของหอคอยวารีหายไป เธอได้รับการตอบรับจากหอคอยวารี...เพียงหอคอยเดียว แต่เด็กสาวกลับยืนนิ่ง ก่อนจะก้มลงไปหาอาจารย์มิแรนด้าที่ยืนอยู่ด้านล่าง



        “หนูขอปฏิเสธ หนูขอที่จะไม่เลือกหอคอยวารี แม้ว่ามันจะเป็นทางเลือกเดียวของหนู แต่เท่าที่หนูรู้ ไม่มีใครที่จะมีเพียงทางเลือกเดียว” เมลานี่ปฏิเสธทางเลือกเพียงทางเดียวของเธอ คำพูดของเธอเป็นที่วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง



        “เลือดบริสุทธิ์ล้วนมีทางเลือกเดียว เมลานี่ แต่ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเธอ ฉันก็ไม่ขัด” อาจารย์แม่ของเอเวอลินกล่าว พร้อมยิ้มให้เธออย่างชื่นชม เด็กสาวคนนี้ตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ลูกสาวของมหาปราชญ์เมธา



        เมลานี่ยิ้มรับ อย่างน้อยเธอก็ภูมิใจ ภูมิใจที่เธอเป็นฝ่ายปฏิเสธ ไม่ใช่ฝ่ายถูกปฏิเสธ…แต่ก่อนที่กระจกแผ่นนั้นจะเลื่อนลงมาเบื้องล่าง พายุพฤกษาก็บางเบาลง เธอหยุดอยู่กับที่ สายตาจับจ้องไปที่ประตูแห่งหอคอยพฤกษา รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะหันไปทางมิแรนด้า



        “ตอนนี้หนูมีสองทางเลือกแล้ว หนูขอเลือกหอพฤกษา” ว่าแล้วเธอก็ก้าวเข้าไปในประตูของหอพฤกษา





        “เจ๋งมากๆ น่านับถือ น่านับถือ” เอเวอลินร้องออกมาเบาๆ เบาพอที่ทุกๆ คนรอบข้างจะหันมามอง “เอ...เราเอาบ้างดีกว่า หนูขอปฏิเสธหอคอยพฤกษา หึหึ แล้วก็ทำท่าว่าจะเข้าไปรวมกลุ่มกับเทธิส จากนั้น หอคอยวารีก็เปิดรับ เราก็จะได้อยู่หอเดียวกับเจ้าชายโจนาธาน” จอมวางแผนเริ่มคิดแผนการ แต่ยังไม่ทันที่แผนจะเสร็จสมบูรณ์ ก็มีสิ่งๆ หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอไปซะก่อน...





        “โบรีอัส ดาคริโดรล์”



        เสียงเรียกจบลง พร้อมๆ กับเด็กหนุ่มหน้าตาวางอำนาจ จองหอง อวดดี ผมดำ ตาดำ ชุดดำสนิทตัดกับผิวสีขาวซีดของเขา



        “นายนี่มันทายาทอสูรชัดๆ” เอเวอลินพูดขึ้นลอยๆ แต่ก็ลอยไปเข้าหูใครหลายๆ คน



        ตามคำขอของเอเวอลิน หอคอยอนธการเปิดต้อนรับเขาอย่างยินดี ในขณะที่อีกสี่หอคอยส่ายหน้าปฏิเสธ



        “นั่นไง ว่าแล้วไม่มีผิด” เอเวอลินหัวเราะอย่างชอบใจ แผนการต่างๆ ในหัวหายหมด





        เหล่าเด็กใหม่ค่อยๆ ทยอยกันหายเข้าไปหลังประตู เอเวอลินเหลือบมองกลุ่มคนทางซ้ายอย่างเห็นใจ ตอนนี้เหลือคนที่กำลังรอการคัดเลือกไม่ถึงสิบคน...



        

        “วิเวียน เกรเซอร์เลส”



        เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มก้าวเท้าออกไป พร้อมๆ กับแหงนเงยไปยังเบื้องบนที่ประตูทั้งห้าลอยอยู่ เธอค่อยๆ ลอยไปหาบานประตูเหล่านั้น เมื่อเธอทำทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนตามกระบวนการ เธอก็ได้รับการต้อนรับจากหอคอยเดโช... หอคอยเดียวสำหรับเธอ



        “ให้ตายเถอะ เธอออกจะน่ารักขนาดนั้น ทำไมถึงได้ไปอยู่หอคอยนักรบนั่น”





        เหลืออีกสองคนสุดท้าย เธอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สวมแว่นหนาเตอะ ผอมเก้งก้าง แต่ดูเป็นคนรอบรู้เหลือเกิน และเขาคงจะเป็นเช่นนั้นเมื่อหอคอยวารีเปิดม่านน้ำให้เขาเข้าไปภายใน...



        

        สุดท้ายต้องเป็นเธอ จากการคำนวณของเธอ จันทราเปิด ปีศาจปิด จันทราปิด ปีศาจเปิด แต่เธอจะไปสนใจทำไม เพราะยังไงๆ หอคอยพฤกษาก็เป็นหอเดียวที่จะเปิดรับเรา ไอ้เรามันก็เป็นพวกสายเลือดสีเขียวบริสุทธิ์...





        “เอเวอลิน วู้ดเกลดสัน”



        อาจารย์แม่เรียกเสียงเข้ม ส่งสายตาดุมาให้เธอ คล้ายกับจะปรามว่า อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ เชียว แหม ใครจะกล้า หรือบางทีอาจจะยังโกรธไม่หายที่เอเวอลินยืมเดอะ ชาโดวส์มาเป็นสนามแข่งม้า ยืมนิดยืมหน่อยก็ไม่ได้...



        เอเวอลินเดินไปยังกระจกแผ่นนั้นที่จอดรอเธออยู่ เมื่อเธอขึ้นไปยืนอย่างมั่นคงแล้ว ตัวของเธอก็ลอยขึ้นไปช้าๆ พร้อมกับกระจกบานนั้น ข้างๆ ตัวเธอคือกล่องกับรูกุญแจ กล่องที่เธอรู้ว่ามีกุญแจอยู่ข้างใน ง่ายๆ แค่ล้วงมือแล้วหยิบมันออกมา แค่นี้...ก็เรียบร้อยโรงเรียนเดอะ เงาแล้ว...



        การเคลื่อนที่หยุดลง สายตาสีเขียวมรกตกวาดไปรอบๆ ตัว เธอนิ่งมองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ล้วงมือเข้าไปในกล่อง



        ภาพปรากฏชัดในหัวของเธอทันทีเมื่อเธอล้วงมือลงไปในกล่อง เปลวไฟพวยพุ่ง ร้อนแรงจนทำให้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดพรายเนื่องจากความร้อนภายใน เธอยังคงควานลึกลงไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่ากล่องใบนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด มือเธอต้องกับสายน้ำอันเย็นยะเยือก ความมืดมิดที่แสนจะน่ากลัว แล้วก็แสงสว่างที่เจิดจ้า



                      ในหัวของเธอตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายลอยวนเวียนไปหมด ภาพกลียุคที่เต็มไปด้วยเหล่าอัศวินในชุดเกราะ ดวงอาทิตย์ที่ดับแสง สายน้ำที่ไหลทะลักเข้ามาท่วมเรือกสวนไร่นาป่าเขา ต้นไม้มากมายที่ถูกแปรสภาพเป็นแผ่นไม้ ป่าทั้งป่าเต็มไปด้วยตอไม้ใหญ่ อาคารบ้านเมืองถล่มทลายลงต่อหน้าต่อตา มงกุฎแห่งกษัตริย์แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมๆ กับแสงสว่างที่เจิดจ้ากลืนกลบทุกสิ่งทุกอย่างไว้มิดชิด



                     เธอยังคงดิ่งลงไป จนในที่สุดมือของเธอก็พามาหยุดที่ระดับหนึ่ง ป่าสีเขียวขจี แต่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เสียงขลุ่ยคลอขับทำนองหวานหู ผีเสื้อตัวน้อยกระพือปีกบางเบา ดอกไม้บานสะพรั่งชูช่อรับแสงแดดสีทองที่สาดส่องเข้ามา นกร้องดังกู่ก้องไปทั่วไพร สายลมพัดต้องใบไม้ให้โบกสะบัดส่ายไหว ป่าทั้งป่าถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงอันเพราะพริ้งของขลุ่ยเพียงลำเดียว...



                      เอเวอลินควานหากุญแจในขณะที่ภาพเหล่านั้นยังฉายชัดอยู่ ภาพที่เธอพิสมัยเป็นที่สุด...ความสงบท่ามกลางธรรมชาติ...



                       และแล้วมือก็จับไปถูกกุญแจดอกเล็กๆ เธอกำมันไว้แน่น ก่อนดึงมือขึ้นมา แต่แล้วก็เหมือนมีอำนาจลึกลับที่ฉุดรั้งดึงมือของเธอไว้ ภาพป่าอันแสนสงบมลายหายสิ้น... บัลลังก์สีทองฉายชัดในห้วงคิด ก่อนที่มือจะกระทบกับสายลมที่พัดมาราวกับมรสุม และความร้อนที่เกิดขึ้นผสมผสานกับมรสุมลูกนั้น แต่บัลลังก์ทองยังคงฉายเด่น...



                        ภาพในหัวตอนนี้เถาวัลย์ถูกหย่อนลงมาจากเบื้องบน เธอไม่รีรอจะจับมันไว้แน่น ก่อนที่ตัวจะค่อยๆ เลื่อนสู่เบื้องบน เด็กสาวก้มลงมองเบื้องล่างที่บัลลังก์นั้นยังคงส่องประกายสีทองอร่ามตา...





                       ในที่สุดเอเวอลินก็สามารถดึงมือขึ้นมาจากกล่องใสใบนั้นได้ มือของเธอกำกุญแจสีทองขนาดจิ๋วที่สลักลวดลายงดงามอันแสนวิจิตรไว้ ดวงดาวดวงหนึ่งที่ห้อมล้อมด้วยเหล่าพฤกษาชาติ



                     เด็กสาวใส่กุญแจดอกนั้นเข้ากับรูที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเธอ บานประตูหมุนวน เร็วขึ้น...เร็วขึ้น... เปลวไฟจากหอคอยเดโชลุกโชน ควันจากอนธการพวยพุ่ง แสงจากจันทราสว่างจ้า ละอองน้ำเริ่มก่อตัวหนาขึ้นจากสายน้ำที่ตกลงจากกรอบประตูของหอคอยวารี และเหล่าดอกไม้ที่พากันผลิบานสะพรั่ง ใบไม้ร่วงหล่น ยอดหญ้าเอนลู่ลม พายุพฤกษาหมุนวน และในที่สุด...





    “เฮ้ย!”





        เอเวอลินอุทานอย่างลืมตัว จะอะไรล่ะที่ทำให้เธอต้องอุทานและสะดุ้งขนาดนี้ การเปิดต้อนรับเธอจากทั้งห้าหอคอย จันทราเปิด อนธการปิด จันทราปิด อนธการเปิด สมมติฐานของเธอผิดอย่างนั้นเรอะ มันเปิดพร้อมกันได้อย่างไร เธอก้มลงมองหน้าอาจารย์แม่อย่างขอความเห็น แต่อาจารย์แม่กลับเอาแต่พึมพำว่า “น่าประหลาดๆ”





        “เอาวะ ถึงขนาดนี้ก็ต้องตัดสินใจ” เอเวอลินพูดพึมพำ ก่อนกอดอกเดินไปเดินมา “น่าซาบซึ้ง น่าภูมิใจจริงๆ ที่พวกท่านพากันเต็มใจต้อนรับฉัน เรตติ้งของฉันคงพุ่งกระฉูดฉุดไม่อยู่แน่ๆ ทำไมท่านไม่ต้อนรับคนพวกนั้นเล่า” เอเวอลินถามพลางพยักเพยิดไปที่กลุ่มคนที่ยืนอยู่ทางซ้าย



        “และฉันก็ขออภัยเป็นอย่างสูงกับท่านหอคอยปีศาจ เอ๊ย! หอคอยอนธการ ท่าน-ไม่-อยู่-ใน-สาย-ตา-ฉัน-เลย” เอเวอลินพูดเสียงดังฟังชัด ก่อนจะหันไปยิ้มให้ประตูของหอคอยจันทรา



                    “ท่านดีเกินไปสำหรับฉัน” พูดสั้นๆ ง่ายๆ เรียบๆ



        “ความทะเยอทะยาน อำนาจบ้าเลือดอะไรนั่น ฉันไม่ต้องการ เช่นเดียวกัน ฉันก็ไม่หวังไปอยู่ท่ามกลางพวกหนอนหนังสือหรอกนะ แม้ว่าโจนาธานจะน่าสนอยู่ก็ตาม”



        “สำหรับหอคอยพฤกษา ความจริงฉันไม่อยากเข้าไปเจอเจ้านิโคลัสขี้ขโมยนั่น เชอะ! แต่เอาเถอะ ถ้าฉันไม่เข้า ฉันคงมองหน้าพ่อไม่ติด ดังนั้น ฉันเลือกท่าน ท่านควรจะภูมิใจนะที่ได้เด็กดีๆ อย่างฉันเข้าไปอยู่ หุหุ” พูดวางฟอร์มจบ คนพูดมากก็เดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสวยสดก้าวเข้าประตูหอคอยพฤกษาไป



        “อย่างน้อยเราก็เจ๋งเหมือนกัน คำพูดของเราสุดยอด โฮะๆๆ”



        เด็กสาวหายเข้าไปแล้ว ปล่อยให้อาจารย์มิแรนด้าพึมพำอยู่ในใจ น่าประหลาดจริงๆ เด็กคนนี้…





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×