ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : โจรกระจอก [[Rewrite]]
    หนทางทอดยาวไกลไปเบื้องหน้า ร่มไม้ครึ้มทอดตัวขนานไปตามทาง แสงแดดยามสายเล็ดลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ใบไม้เข้ามาได้เพียงเล็กน้อย การเดินทางสู่เดอะ ชาโดวส์ต้องมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ทำให้ต้องหันหลังให้ดวงอาทิตย์ที่กำลังฉายแสงเจิดจ้าจี้ก้นมาติดๆ
    เงาไม้บางเบาหายไป พร้อมกับแสงแดดที่สาดเข้ามาเต็มหลัง สายลมพัดต้องยอดหญ้าจนเอนลู่ลม ดอกหญ้าสีสวยบานสะพรั่งละลานตาตามข้างทาง เมฆขาวลอยอ้อยอิ่งบนท้องฟ้าสีคราม นกน้อยบินตัดผ่านนภาอันกว้างใหญ่ แสดงให้เห็นถึงเสรีภาพที่มันได้รับอย่างเต็มเปี่ยมจากฟากฟ้า...
    อาชาสีขาวควบทะยานไปตามทางเบื้องหน้า เพื่อมุ่งสู่จุดหมายที่เจ้านายของมันต้องการ สี่เท้าตบลงบนพื้นดินแดง จนผงธุลีฟุ้งกระจาย แต่สำหรับ ‘ไลท์นิ่ง’ แล้ว การทำให้เด็กสาวผู้ทรงตัวอยู่บนหลังของมันมีความสุขนั้น เป็นสิ่งที่มันต้องการที่สุดแล้ว
    สตรีเยาว์วัยเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตยิ้มร่าอารมณ์ดี ผมยาวสีน้ำตาลแก่ของเธอถูกปล่อยให้ปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดมาต้องใบหน้าขาวรูปไข่ที่เหมาะเจาะรับพอดีกับเครื่องหน้าของหล่อน
    เสียงผิวปากดังติดกันสองครั้ง พร้อมกับเจ้าม้าขาวที่หยุดวิ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้นจากเจ้านายบนหลังมัน
    “เก่งมากไลท์นิ่ง” เด็กสาวชมพลางลูบแผงคอของมัน ก่อนกระโดดลงจากหลังม้า “มากินข้าวกลางวันกันดีกว่า ดูสิว่า จะเตรียมอะไรมาให้เราบ้าง หลังจากมื้อเช้าที่แสนวิเศษ...ข้าวต้มกุ้ง”
    เอเวอลินพูดพลางก็ใช้มือค้นไปตามสัมภาระที่อยู่บนหลังไลท์นิ่ง มือเรียวจับไปถูกไม้โกลเด้นวู้ด ก่อนจะควานลงไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เธอสัมผัสก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นอาหารระหว่างทาง
    “แล้วนี่อาหารเราอยู่ไหนล่ะเนี่ย ฮึ ไลท์นิ่ง เจ้าพอจะรู้ไหม?”
    เอเวอลินเลิกค้น แต่หันมาถามม้าหนุ่มผู้ไม่รู้ประสีประสาแทน ไลท์นิ่งส่ายหัวเบาๆ แทนคำตอบ พร้อมกับก้มลงไปกินยอดหญ้าอ่อนที่แทงยอดขึ้นเกลื่อนตามข้างทาง เอเวอลินชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนล้วงมือเข้าไปค้นทุกซอกทุกมุมอีกครั้งในถุงใส่สัมภาระของเธอ
    “เอ้า ไม่รู้แล้วทำไงล่ะ อะไรกันนี่ จะให้ลูกสาวอดตายรึไง” ปากก็บ่นไป มือก็ค้นไป จนในที่สุด...
    “อยู่นี่นี่เอง หาตั้งนาน...” เสียงประกาศชัยในเกมการค้นหาดังลั่น พร้อมมือที่ชูอาหารซึ่งใฝ่หามานานไปมากลางอากาศ “หวังว่านี่คงไม่ใช่แซนด์วิช”
      เอเวอลินว่าพลางแกะห่อผ้าออกที่ปกคลุมอาหารของเธอไว้ซะมิดชิด เมื่อปมผ้าหลุดออกเผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ภายใน นัยน์ตาสีมรกตก็เบิกกว้างเมื่อพานพบกับอาหารที่เธอถวิลหามานานตรงหน้า พร้อมอุทานดังลั่น
    “โอ้โห! ช่างเป็นมื้อที่ยอดเยี่ยมจริงๆ มื้อนี้” เสียงของเด็กสาวแหลมสูง ก่อนตีหน้าเบิกบาน “นี่ถ้าฉันกลับไปได้นะ จะไปขอบคุณแล้วหอมแก้มแม่ครัวผู้เอื้ออารีสักฟอดที่อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งเตรียม...” หน้าเบิกบานกลับกลายเป็นเศร้าสลด ก่อนต่อด้วยถ้อยคำที่แสนซึ้ง “แซนด์วิช...มาให้เรา”
    คำประชดเรียงคิวออกมาจากปากของเด็กสาวเป็ฯขบวนๆ พร้อมใบหน้าที่แสร้งเศร้าหนักขึ้นไปอีก
    “โอ้ น่าสงสารป่าของเราเสียจริงๆ” เด็กสาวเริ่มหวนรำลึกถึงป่าแสนสงบของตน พร้อมทั้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ขนาดอาหารของรัชทายาทยังเป็นแค่แซนด์วิช แล้วนี่ประชาชนจะไม่ต้มแกลบกินเลยรึ”
    เอเวอลินว่าพลางหยิบแซนด์วิชชิ้นหนึ่งขึ้นมา เธออ้าปากกว้าง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนแซนด์วิชเข้าไปหาปาก แต่แล้วมือก็หยุดอยู่ห่างจากปากไม่ถึงคืบ ปากที่อ้ากว้างนั้นเปลี่ยนเป็นพึมพำอะไรบางอย่าง
    “หรือว่า...ภูมิปัญญาของป่าเราพัฒนาไปไกลถึงขนาดที่ว่า เอาแกลบมาเป็นอาหารหลักได้?...”
    รอยยิ้มขยับบางทาบริมฝีปาก ก่อนเสียงหัวเราะที่พยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถจะถึงคราวระเบิดออก
    “เหอะๆ ต่อไปคงมีแซนด์วิชขี้เลื่อย ขนมปังแกลบ ซุปรากหญ้า...” เสียงหัวเราะยังคงดังอย่างต่อเนื่องจากเด็กสาว “ฟังแล้วน่าอร่อยพิลึก”
    เธอว่าก่อนยกแซนด์วิชในมือขึ้นมาพิจารณา “...แต่ป่าเราตกอับถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? มันน่าจะมีของดีกว่าแซนด์วิชนะ” สมองเริ่มตรึกตรองก่อนถึงบางอ้อ “อ๋อ เก็บไว้กินในงานเลี้ยงคืนนี้นี่เอง เลี้ยงไสส่งลูกสาว สตูจ๋า สตู ไก่งวงเอ๋ย ไก่งวง ขาแกะที่รัก...”
        ปากช่างบ่น ก็พร่ำบ่นไม่หยุด เมื่อปากได้ทำงาน เจ้าตัวก็เริ่มละเลยไม่สนใจว่าท้องจะว่ายังไง มันก็ใช่ที่ท้องมันไม่มีปาก แต่มันมีเสียง... เสียงประท้วงที่น่าอับอาย หากอยู่ท่ามกลางประชาชี... เสียงอันเพราะพริ้งเสนาะหู...
“โครก...คราก...”
    นัยน์ตาสีมรกตตวัดลงมามองอวัยวะที่ประท้วงดังลั่น ก่อนสบถลั่นประท้วงกลับ “เออน่า กินก็ได้ อย่าร้องให้มันมาก รำคาญ” เอเวอลินว่า ก่อนยัดแซนด์วิชแสนอร่อยเข้าปาก และส่งมันลงกระเพาะ “ย่อยเข้าไปๆ ย่อยให้มันดีๆ ล่ะ สารอาหารน่ะดูดซึมให้หมดนะ อย่าให้มันเล็ดลอดออกมาได้...” ปากก็บ่นไป แต่ไม่วายค่อนขอดเรื่องอาหาร “บ้านฉันยิ่งยากจนอยู่”
    เสียงถอนหายใจดังขึ้น หลังจากแซนด์วิชชิ้นแรกหมดเกลี้ยง พร้อมๆ กับมือเรียวที่คว้าชิ้นที่สองมาถือไว้ในมือ “เฮ่อ น่าอนาถ รันทดจริงๆ ชีวิตเรา” เอเวอลินยังคงบ่นไม่เลิก ก่อนส่งแซนด์วิชในมือเข้าปาก...
    “โอ้! ว้าว! ไม่อยากจะเชื่อ น่ามหัศจรรย์มากๆ” คำอุทานเป็นชุดดังออกมาทันทีที่เธอกัดแซนด์วิชชิ้นที่สอง ประกายตาพร่างพราวด้วยความปลาบปลื้มในรสชาติอันแสนวิเศษของอาหารที่เพิ่งลิ้มรสไป “ทำไมแซนด์วิชชิ้นนี้มันอร่อยอย่างนี้ ได้รสชาติของขนมปังเต็มๆ ไม่มีอะไรที่มันจะอร่อยไปกว่านี้แล้ว”
    กินไป บ่นไป ประชดแม่ครัวไป ค่อนขอดป่าของตนไป จนในที่สุด ก็ถึงเวลาของแซนด์วิชชิ้นสุดท้าย...
    มือที่ถือแซนด์วิชชิ้นนั้นค้างเติ่ง เหมือนเจ้าตัวกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่หน้าจะหันไปทางเจ้าม้าหนุ่มที่ยืนเล็มหญ้าอยู่เงียบๆ พร้อมเอ่ยปากถามด้วยความเอื้ออารี...
    “ชิ้นสุดท้ายแล้วไลท์นิ่ง แกอยากกินรึเปล่า” ม้าหนุ่มละออกจากกิจการแทะเล็มหญ้าอ่อนของมันหันมามองเธอก่อนพยักหน้าหงึกๆ
    สิ้นการกระทำของอาชาหนุ่ม แซนด์วิชก็ถูกยื่นส่งให้มันอย่างรวดเร็ว พร้อมคำพูดที่แสนจะทำใจยาก เสหน้าไปทางอื่น ไม่มองการสวาปามของไลท์นิ่ง
    “เอ้า เอาไปเถอะ ฉันให้”
          เด็กสาวลอบมองเจ้าม้าหนุ่มแวบเดียว แต่ก็ต้องตาโต แล้วรีบห้ามไลท์นิ่งพัลวัน “เฮ้ยๆ หยุดๆ”
    เอเวอลินรีบปราม แต่เจ้าม้าแสนตะกละก็ไม่ฟังเสียงรีบเขมือบแซนด์วิชทั้งชิ้นลงคออย่างรวดเร็ว
    “เป็นม้าเค้าห้ามกินเนื้อนะไลท์นิ่ง มันผิดกฎเกณฑ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพชนแห่งอาชานะ” เด็กสาวรีบสั่งสอนเจ้าม้าตรงหน้า พยายามข่มความโกรธ ท่องในใจว่า เธอผิดๆ แต่มันก็นะ...ของดีขนาดนั้นเป็นใครก็ต้องเสียดาย...
    “โธ่ๆ ไลท์นิ่งเพื่อนยาก แกทำฉันอย่างนี้ได้ยังไง” เอเวอลินตัดพ้อต่อว่าต่อขานเจ้าม้าพอเป็นพิธี ก่อนหันมาลงที่แม่ครัวอีกรอบ
    “เอาของดีไว้ชิ้นสุดท้ายได้ไง โธ่ๆ แซนด์วิชทูน่าส่งตรงจากมหาสมุทรแฟร์ซิสติกของฉัน โดนไอ้ไลท์นิ่งเขมือบไปหมด แล้วเราได้กินอะไร? แซนด์วิชแฮม มีอย่างที่ไหน อะไรว้า...” หน้าตาของเด็กสาวบ่งบอกถึงความเสียใจสุดประมาณ “ทำไมชีวิตของเรามันน่าสงสารขนาดนี้” โวยจบ ก็หันมาลงที่ไลท์นิ่งอีกรอบ
    “ไลท์นิ่ง!” เธอร้องตะโกนลั่น จนนกน้อยที่จับกลุ่มกันเกาะกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ที่เธออาศัยร่มเงาของมันพักพิงซึ่งยืนต้นอยู่เดียวดายบินหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง “ไปได้แล้ว หวังว่าไอ้สิ่งที่แกกินเข้าไป มันจะทำให้แกมีแรงพาฉันไปถึงไอ้เงาบ้านั่นเร็วๆ นะ ถ้าเร็วไม่ได้ดังใจ แกจะต้องเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ให้ฉัน เข้าใจมั้ย?” เธอว่าพลางเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนอานม้า ก่อนกระทุ้งสีข้างของไลท์นิ่งเบาๆ
    ไลท์นิ่งส่ายหัว หายใจฟืดฟาด ก่อนจะออกวิ่งต่อไป
    ฝีเท้าของไลท์นิ่งเริ่มนำเด็กสาววิ่งไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านทุ่งข้าวสาลีสีทองอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งทอดตัวไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสด...ทุ่งเดมิส...แหล่งผลิตข้าวสาลีชั้นยอดของอาณาจักรนาร์มาเซีย...
    รวงข้าวสาลีเอนลู่ไปตามแรงลมที่พัดผ่าน กลายเป็นระลอกคลื่นที่พลิ้วไหวต่อเนื่องกันไป สองข้างทางก็เปรียบเหมือนทะเลสีครามที่มีลูกคลื่นซัดเข้ามาเป็นระลอก หากต่างกันตรงที่รอบตัวของเธอคือทะเลสีเหลืองทอง ซึ่งมีจังหวะการโยกไหวของรวงข้าวสาลีเป็นเกลียวคลื่นที่เคลื่นที่ไปไกลสุดสายตา
    หนึ่งคนหนึ่งม้าเริ่มแลเห็นกำแพงเมืองสีงาช้างที่ทอดตัวตัดกับทุ่งสีทอง ประตูเมืองสีดำสนิทปรากฏให้เห็นในสายตา ธงทิวปลิวไสวโต้สายลม...ธงประจำอาณาจักรนาร์มาเชียที่แลเห็นเมื่อใดก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด...
    พื้นธงสีขาวบริสุทธิ์ ใจกลางธงคือดาราสีทองดวงหนึ่งที่ส่องแสงเจิดจรัส ราวกับแสงของมันกำลังเปล่งออกมาจากผืนธงที่โบกพลิ้วอยู่...ดุจดาวที่ไม่เคยดับแสง...
    ...นาร์มาเซีย อาณาจักรที่ไม่มีวันดับสูญ...
    เมื่อมองลึกเข้าไปเหนือกำแพงเมือง สิ่งที่สูงเด่นตั้งตระหง่านอยู่ก็คือภูผาใหญ่ที่ผงาดขึ้นเหนือพื้นปฐพี พุ่งสู่ผืนนภาอันสูงส่ง เมฆขาวปกคลุมยอดสูงเสียดฟ้าของมันไว้มิดชิด...
    ณ ที่ราบบนภูเขา ซึ่งน่าจะอยู่ที่ระดับความสูงหนึ่งส่วนสี่ของภูเขานั้น เป็นที่ตั้งของพระราชวังอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร สมเกียรติของกษัตริย์แห่งอาณาจักร ผู้ที่ได้ชื่อว่า...รักษาสัตย์ยิ่งชีพ...
    ยอดปราสาทตั้งตรง ธงแห่งเกียรติยศโบกสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางสายลม ทหารยามยืนเฝ้าอยู่ทั่วบริเวณ ผืนป่าที่ทอดตัวปกคลุมเขาเหนือปราสาทขึ้นไป กับทางม้าที่คดเคี้ยวไปตามภูผา เพื่อขึ้นไปสู่ราชวังแห่งพระราชา
    ไลท์นิ่งเหยาะย่างผ่านประตูเมืองเข้ามาภายใน ผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่วุ่นวานพากันจับจ่ายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่บรรดาพ่อค้าแม่ขายนำมาเสนอถึงที่ ลานเมืองที่ทอดตัวยาวตั้งแต่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกจรดตะวันตก ล้วนถูกผู้มีหัวทางการค้าจับจองที่ว่างเป็นพื้นที่ตั้งแผงค้าขายของตนเอง ส่วนตึกรามที่ตั้งเรียงรายขนาบตลาดแบกะดินก็ผันตัวเองเป็นร้านค้าที่ดูมีระดับขึ้นมาอีกหน่อย
    วันเสาร์คือวันแห่งการค้าขายเสรีของอาณาจักร...คณะผู้บริหารเมืองหลวงต่างเปิดเสรีให้คนค้าขายมาจับจองพื้นที่ในลานเมือง เพื่อให้ผู้คนเข้ามาจับจ่ายใช้สอย หมุนเวียนแลกเปลี่ยนเงินตรา กระตุ้นเศรษฐกิจของอาณาจักรให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
    สินค้ามากมายที่ถูกหอบมาขาย ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งของหลากหลาย มีตั้งแต่แปลกตาน่าสนใจไปจนถึงน่าประหลาดใจ แต่เอเวอลินกลับไม่มีเวลาละสายตามาสนใจ เพราะตอนนี้เธอกำลังง่วนอยู่กับการบังคับให้ม้าของเธอเดินฝ่าฝูงชน เพื่อมุ่งไปสู่ประตูเมืองอีกฟากหนึ่ง...
    ในขณะที่ตากำลังทำงานอย่างหนัก ปากซึ่งไม่มีหน้าที่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่น...
    “นี่ฉันคิดผิดรึเปล่านะ ไลท์นิ่ง ที่ตัดสินใจผ่านเข้ามาในเมือง” เธอเปรยกับเจ้าม้าหนุ่มแข่งกับเสียงเจื้อยแจ้วเรียกลูกค้าอละต่อรองราคาในตลาด “ทำไมคนมันเยอะอย่างนี้นะ รู้อย่างนี้อ้อมเมืองไปดีกว่า ไกลหน่อยแต่ก็ไม่ต้องมาเจอคนมากมายขนาดนี้”
บ่นไปเรื่อยๆ และถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดมาขัดจังหวะเสียก่อน เธอคงจะบ่นไปจนถึงอีกฟากหนึ่งของเมือง...
            “จะมาเดินเบียดกันทำไม อยู่บ้านนอนตีพุงเล่นสบายๆ ไม่ชอบ... ไม่ได้รู้... เฮ้ยๆ” คำบ่นขาดช่วงไปทันที เมื่อเอเวอลินรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมารื้อค้นสัมภาระที่อยู่ด้านหลังเธอ แต่พอเธอหันไป เด็กสาวก็เห็นแค่เพียงมือๆ หนึ่งที่คว้าเอาอะไรบางอย่างได้ และชักกลับไปพร้อมบางสิ่งบางอย่างในมือนั้น ก่อนจะหายลับไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
            “หยุดนะ!” เอเวอลินตะโกนลั่น แต่มีหรือที่หัวขโมยจะหยุด ในเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือจ้ำเท้าหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เด็กสาวหันซ้ายหันขวา พลางล้วงมือสำรวจข้าวของของตน จนกระทั่งมั่นใจแล้วว่า ของที่เจ้าขโมยได้ไปคืออะไร และสิ่งที่มันได้ไปคือสิ่งที่เธอต้องตามล่าไปเอาสิ่งนั้นคืนมา... เพราะของสิ่งนั้นมันหมายถึงบัลลังก์แห่งนครไม้สีทอง...
    “หนอยแน่! ไอ้หัวขโมย แกแน่มากนะ” ใบหน้าของเด็กสาวฉายแววดุ พร้อมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขบกรามแน่น ในขณะที่บังคับให้ไลท์นิ่งวิ่งไปยังทางที่ขโมยนั่นหนีไป “แกมันไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเลยนะ แกรู้มั้ยว่าแกเอาอะไรไป บังอาจเอาของของรัชทายาทไป อย่าอยู่เลย!”
    พูดจบก็เร่งให้ไลท์นิ่งวิ่งแหวกฝูงชนที่เดินระเกะระกะเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ พลางสอดส่องสายตามองหาไอ้หัวขโมยตัวแสบ “นั่นไง อยู่นั่น ไป!เร็ว!ให้มันคุ้มกับแซนด์วิชที่แกกินหน่อย”
    ไลท์นิ่งเคลื่อนไปตามทางที่คับคั่งไปด้วยผู้คนอย่างยากลำบาก คิ้วเรียวของผู้บังคับม้าขมวดแน่น และเริ่มตระหนักว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ทันการณ์
    “ไม่ได้ๆ คนเยอะเกินไป” เอเวอลินว่าพลางกระโดดลงจากหลังม้าทันทีทันใด “แกรออยู่นี่ เฝ้าของให้ดีๆ เดี๋ยวฉันมา” เด็กสาวสั่งความกับม้าหนุ่มผู้น่าสงสาร แล้ววิ่งตามหัวขโมยไป แต่ก็ไม่วายหันมากำชับม้าของตน
        “ถ้าฉันกลับมาแล้วของหาย แกเสร็จแน่” สิ้นเสียงของเด็กสาว พร้อมๆ กับร่างของเธอที่หายลับไปจากสายตาของม้าขาวที่ยืนเคว้งท่ามกลางหมู่ชน...
   
    เสียงฝีเท้าของเด็กสาวคนหนึ่งที่ลัดเลาะผ่านผู้คนที่เดินทอดน่องทอดสายตามองหาสิ่งของที่ตนต้องการอยู่ การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเอื่อยๆ ของคลื่นมวลชน กับการที่ต้องเบี่ยงตัวแทรกช่องว่างระหว่างคน ทำให้เอเวอลินตัดสินใจเบนออกนอกเส้นทางการชอปปิ้งของคนอื่น แล้วเข้ามาในเส้นทางการตามล่าของตนเอง
    เด็กสาวเบนเข้าหาตัวตึกที่กางผ้าใบผืนใหญ่ออกมาบังแดดกล้ายามบ่าย ก่อนกระโดดเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนผืนผ้าใบนั้น วิ่งข้ามผ้าใบผืนแล้วผืนเล่า ในขณะที่สายตาก็ยังคงสอดส่องหาเจ้าหัวขโมย แล้วเธอก็เห็นมันตัดผ่านตลาดไปอีกฟากหนึ่ง
    “ทำเป็นนกรู้ ไอ้โจรกระจอก” เธอร้องลั่น ก่อนมองหาอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยให้เธอเหาะเหินเดินอากาศขากฟากนี้ไปฟากนู้นได้ และแล้วเธอก็เห็นเชือกที่เชื่อมระหว่างตึกฝั่งที่เธออยู่กับฝั่งที่เธอต้องไป มันเป็นเชือกที่แขวนป้ายผ้าซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่า...
    ‘ซื้อขายมั่นใจ ปลอดภัยจากขโมย’
    “ขวางหูขวางตาขัดใจจริงๆ ป้ายนี่” เอเวอลินว่า ก่อนเอื้อมไปคว้าผ้าที่แขวนไว้ใกล้มือแล้วจัดแจงเลื่อนตัวไปตามเชือกเส้นนั้น รูดป้ายผ้าแสนขัดตาให้พ้นจากสายตา ก่อนที่เท้าจะลงมายืนกับพื้นอย่างมั่นคง ท่ามกลางความสงสัยที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของผู้คนรอบด้าน และใบหน้าโกรธขึ้งของชายคนหนึ่ง ทันทีที่เธอมองหน้าเขา แววตาสีดำเคร่งขรึมของเขาก็ชี้ไปยังเท้าของเธอ จนเอเวอลินต้องก้มลงมองเท้าของตนตามสายตานั้น
    และแล้วเธอก็ตระหนัก...ตระหนักว่า การลงสู่พื้นอย่างมั่นคงและปลอดภัยของเธอ ได้ทำลายความแข็งแกร่งและมั่นคงของสิ่งที่อยู่ใต้เท้าเธอ และกำลังจะนำหายนะมาสู่เธอ... หายนะจากชายตรงหน้า...
    “แหะๆ” รอยยิ้มแหยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาวผู้เริ่มจะไม่ปลอดภัย พร้อมๆ กับการขยับเท้าออกจากสิ่งที่แตกละเอียดใต้รองเท้าของเธอ
    พ่อค้าผู้โดนทำลายสินค้าตีหน้าขรึมเอาเรื่อง มองมายังเอเวอลินด้วยสายตาที่เรียกร้องค่าเสียหาย
“เอ่อ...”
    เอเวอลินเอามือที่ถือผ้าที่เธอคว้ามาได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเธอ แสร้งทำเป็นกำลังควานหาเงินชดใช้ค่าเสียหาย ทำหน้าทำตาเป็นผู้มีฐานะซึ่งมีเงินตุนกระเป๋าอยู่ตลอดเวลาทั้งยามหลับยามตื่น ในขณะที่มือข้างนั้นก็ขย้ำผ้าเอาไว้ในกำมือ เมื่อเรียบร้อยเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว จึงยิ้มให้ชายคนนั้นอย่างเป็นมิตร
    “เอ่อ...คือหนูมีแต่เหรียญนะ”
    ชายคนนั้นพยักหน้ารับรู้ พลางแบมือรอรับตังค์ เอเวอลินดึงมือที่กำผ้าไว้แน่นออกมา แล้วพุ่งไปไว้บนมือกร้านของพ่อค้าผู้นั้น ก่อนปล่อยออก และหายตัวเข้ากลีบเมฆไปทันที ทิ้งไว้แต่เพียงเศษแก้วซึ่งแตกละเอียดที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นตุ๊กตาแก้วใสแวววาว กับผ้าปริศนาผืนหนึ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่า มันคือผ้าอะไร...
    “เวร!” คำสบถคำเดียวที่หลุดออกจากปากของเด็กสาวทันทีที่หลุดออกจากวงล้อมของใบหน้าได้ แล้วก็วกกลับเข้าจุดประสงค์เดิมที่ทำให้ตุ๊กตาแก้วแสนสวยเหล่านั้นต้องแตก “ไอ้หัวขโมย ถ้าฉันเจอแกเมื่อไหร่ แกอย่าหวังเลยว่า จะเหลือมือไปอวดแม่ที่บ้าน”
    “แกนะแก  ทำให้ฉันต้องเสียเวลา ไอ้มือบอน” เด็กสาวยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งด่าทอขโมยตัวดี จนในที่สุดหลังจากที่เธอต้องวิ่งฝ่าฝูงชนอยู่พักใหญ่ หลังของหัวขโมยที่เคยทิ้งระยะห่างกับเธอก็ปรากฏให้เธอเห็นอยู่ไวๆ
        “แกตายแน่!” เมื่อวจีนี้ถูกเปล่งออกไป ความเร็วของเอเวอลินก็เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ ราวกับว่าเธอได้เปล่งคำสัตย์สาบาน และถ้าหากเธอถึงตัวขโมยคนนั้นเมื่อไหร่...โจรกระจอกคนนั้น...คงรอดยาก...
          มือเริ่มกระชับมีดสั้นอาวุธคู่กายให้แน่นยิ่งขึ้น และในที่สุด...ก็ได้จังหวะเหมาะ...
   
ฟิ้ว....ปัก!!!
    เสียงมีดพุ่งเข้าเสียบอะไรบางอย่าง เจ้าโจรตัวดีหยุดกึก ฝีมือการปามีดสั้นของเอเวอลินเฉียดแก้มของเขาไปปักในเสาไม้ที่อยู่ข้างหน้า ห่างจากตัวเขาไม่ถึงคืบ โจรกระจอกหันหลังมามองเจ้าของมีดช้าๆ แต่ไร้ร่องรอยของความหวาดกลัว
          เอเวอลินยืนกอดอกยิ้มอย่างสะใจ โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าท่าทองที่เจ้าขโมยแสดงออกมาเลยสักนิด
          “แกโชคดีนะที่จิตวิญญาณแห่งความดีของฉันออกมาเตือนไม่ให้ปามีดปักกลางหลัง” เธอกล่าว พลางเดินตรงไปยังเจ้าหัวขโมย ผู้มีลักษณะไม่เหมือนขโมยทั่วๆ ไป เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กสาว รูปร่างสูง ผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเธอ แต่ดวงตาของเขามีสีน้ำเงินเข้มที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ
    “บุคลิกท่าทางของนายดูเหมือนจะไม่ขโมย แต่นายก็เป็น เป็นขโมย...กระจอก” เอเวอลินพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย “แกกล้ามากนะที่มาลองดีกับคนอย่างฉัน เอาของฉันคืนมา” เด็กสาวยิ้มละไม ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงในบัดดล
          “เดี๋ยวนี้!!!”
    แต่หัวขโมยยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ แสดงออกมาผ่านสีหน้า ท่าทอง และแววตาสุขุมคู่นั้นของเขาเลย
    “หูหนวกรึไง! เอาของฉันคืนมาซะ แล้วฉันจะปล่อยแกไป” เอเวอลินเริ่มโมโห พร้อมชักดาบเล่มยาวออกมาจ่อปลายดาบเข้าไปที่คอของขโมยหนุ่ม “เร็วเข้า! อย่าให้ฉันเสียเวลา”
    แต่คำพูดของเด็กสาวไม่ได้ทำให้ขโมยผู้กล้าดีสะทกสะท้าน เขากลับยืนนิ่ง ราวกับว่าดายของเอเวอลินไม่ได้จ่ออยู่ที่คอของเขา
    “ฉันเสียเวลากับนายมามากแล้วนะ!” น้ำเสียงของเด็กสาวเริ่มทวีความฉุนเฉียว มือเรียวเลื่อนปลายดาบให้เข้าใกล้คอของเด็กหนุ่ม จนเขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากดาบของเอเวอลิน
    “นักปราชญ์หลายคนว่ากันว่า นักรบที่ดีต้องใช้สมอง มิใช่ใช้ดาบขึ้นขู่คู่ต่อสู้” ขโมยหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจากนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน น้ำเสียงของเขาราบเรียบมั่นคง ราวกับว่าสิ่งที่จ่ออยู่ที่คอของเขาเป็นเพียงดาบของเล่นที่เด็กๆ ซึ่งชอบทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิงชอบใช้เล่นกัน “ดาบดีย่อมใช้ยามจำเป็น ดาบเลวย่อมชักไม่เป็นเวลา”
    “นักปราชญ์ทั่วอาณาจักรกล่าวว่า อยากได้ต้องแสวงหา ไม่ใช่ขโมยมา” เอเวอลินสวนคำพูดแสนหรูของโจรกระจอก แต่เด็กหนุ่มกลับไม่สะดุ้งสะเทือน ก่อนต่อความกับเธอตามวิถีแห่งบรรพบุรุษของเขาที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา... วิถีทางงที่ว่าไว้ว่า... หากใครท้าต่อกร จงเจรจาอย่างสันติ แต่หากใครท้าให้ก่อสงครามน้ำลาย จงใช้สมองและเล่นเกมกับเขาอย่างชาญฉลาด...
    “ขโมยบางทีก็เป็นอาชีพที่สุจริต วิชาของหัวขโมยทั้งหลายนั้นล้ำเลิศกว่าวิชาใดๆ ในโลก”
    “แต่ขโมยอย่างนายไม่ใช่...” เอเวอลินสวนกลับ “วิชาขโมยล้ำเลิศจริงหืรอ? ขนาดคมดาบยังหลบไม่เป็น” เด็กสาวต่อความ พลางขยับดาบให้แนบชิดกับลำคอของเด็กหนุ่มหัวขโมยมากขึ้น
    มือข้างหนึ่งของคนโดนคมดาบต่อคอคว้าหมับเข้าที่คมดาบของเอเวอลิน ไม่เกรงกลัวเลยสักนิดว่า ดาบนั้นคมแค่ไหน ก่อนออกแรงฝืนเลื่อนดาบให้ออกห่างตัว เมื่อดาบหลุดออกจากคอของตน เขาก็โชว์มือที่ไม่มีบาดแผลเลยสักนิด ก่อนยิ้มเยาะเด็กสาว “แล้วอย่างนี้เขาเรียกว่าล้ำเลิศมั้ยล่ะ”
          เขาถามก่อนหันหลังหมายจะสาวเท้าหนี แต่ดาบของเด็กสาวก็ยังคงตามมาราวีไม่ลดละ ปลายดาบจ่อเข้ากลางหลังของเขา พร้อมกับเสียงถากถางจากเอเวอลิน
          “ก็บอกว่าไม่ล้ำเลิศไงล่ะ”
          หัวขโมยหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงที่ดูดีมีราคาของเขาผิดฐานะโจรกระจอกที่เขาเป็น ก่อนดึงมืออกกมา พร้อมกับของที่ตนขโมยมา เขามองมันเต็มตาด้วยความเสียดาย ก่อนชูมันให้เด็กสาวเจ้าของที่แท้จริงดู
          “จะอะไรกันนักหนา ก็แค่เศษไม้ธรรมดาๆ” เขาว่า แล้วโยน ‘เศษไม้’ โกลเด้นวู้ดให้เอเวอลิน เด็กสาวคว้าของที่ลอยตรงมาหาหมับ พร้อมทั้งรีบเก็บมันใส่กระเป๋าทันที
    “แค่เศษไม้ธรรมดา มีหรือขโมยจะสนใจ” เอเวอลินกล่าว แล้วเลื่อนปลายดาบขึ้นไปยังคอของเด็กหนุ่ม เพียงเสี้ยววินาที...สร้อยสีเงินที่มีจี้รูปใบไม้สีเงินที่เขาห้อยอยู่ก็ติดมากับดาบของเธอ    “นี่สำหรับค่าเสียเวลา...” เธอกล่าวพลางตวัดดาบเก็บเข้าฝัก “ ถ้านายอยากได้คืนก็หาอะไรมาไถ่คืนแล้วกัน...วันหลัง แต่วันนี้ฉันไปก่อนล่ะ หวังว่าจะไม่เจอกันอีก” เด็กสาวเดินไปเก็ยมีดที่ปักอยู่กับเสาไม้เข้าฝัก ก่อนหมุนตัวมาพูดประโยคทิ้งท้ายประโยคหนึ่งให้เจ้าหัวขโมยกระอักเล่น
          “สร้อยเส้นนี้ ฉันไม่ได้ขโมย เพียงแต่ใช้วิชาการขโมยที่ล้ำเลิศเพื่อให้ได้ครอบครองเท่านั้น”
    พูดจบเธอก็เดินจากไปด้วยความเบิกบาน...
    “ทำไมนะ ทำไมเธอต้องเป็นคนของป่าโกลเด้นวู้ด เอเวอลิน” ขโมยหนุ่มพูดพึมพำ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของเขามองตามหลังเด็กสาวที่ค่อยๆ กลมกลืนหายเข้าไปในฝูงชน...
    “เป็นขโมยภาษาอะไร จะขโมยของของคนอื่นทั้งที ยังจะใส่สร้อยมาอีก ไม่เข้ากับพวกมิจฉาชีพเลย” เด็กสาวเดินเบียดคนไปบ่นไป จนหลายต่แหลายคนส่งสายตามามองเธอด้วยความแปลกใจ จนเอเวอลินต้องหยุดบ่นชั่วคราว แล้วใช้สายตาสำรวจบรรยากาศของร้านรวงรอบๆ ตัว
    เสียงเอะอะมะเทิ่งดังมาจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่พากันรุมล้อมแย่งชิงอะไรบางอย่างอยู่ ผืนผ้าที่ดูคุ้นตาเอเวอลินถูกส่งต่อจากมือสู่มือ พร้อมเสียงวิวาทจากคนกลุ่มนั้น ก่อนมือกร้านมือหนึ่งจะคว้าผ้าผืนนั้นไว้เอง กลุ่มคนกลุ่มนั้นจึงเงียบ หันมามองเจ้าของมือข้างนั้นเป็นตาเดียวกัน
    ชายหน้าขรึมพูดอะไรบางอย่างที่ดูเคร่งเครียดและเป็นงานเป็นการ จนคนพวกนั้นพยักหน้าเห็นชอบคล้อยตามคำพูดของเขาหงึกๆ
    เอเวอลินละสายตาจากเหตุการณ์ชุลมุนนั่นมาสนใจร้านรวงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่เธอกำลังเดินอยู่ เจ้าของร้านฝั่งนั้นกำลังเกณฑ์คนผู้มีน้ำใจให้มาช่วยกันกางผ้าใบหลากสีหน้าร้านป้องกันแสงแดดที่บัดนี้ยิ่งทวีแสงแรงกล้า
    “น่าจะกางตั้งนานแล้ว...” เอเวอลินพึมพำเบาๆ พลางมองกิจกรรมกางผ้าใบตลอดทั้งแถบฟากนู้นด้วยความสนอกสนใจ เสียงเฮดังลั่น เมื่อผืนผ้าใบถูกกางออกเต็มที่ และเมื่อนั้นนั่นเองที่กิจกรรมร่วมแรงแข็งขันหมดความน่าสนใจ...
    นกน้อยตัวหนึ่งโผบินออกจากช่องลมของอาคารแห่งหนึ่งสู่ท้องฟ้า นำสายตาของเอเวอลินให้ไปจดจ่ออยู่กับป้ายฝ้าใบหนึ่งที่เขียนไว้ว่า...
    ‘รับสมัคร...ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์’
        “มันน่านัก” เด็กสาวทำปากขมุบขมิบ ก่อนสีหน้าจะฉายแววครุ่นคิด “อืม...เราน่าจะไปสมัครนะ...อืม...” เอเวอลินกดศีรษะเห็นด้วยกับความคิดของตน ก่อนเบี่ยงตัวแซงคนที่เดินเฉื่อยอยู่ข้างหน้า แล้วหูก็ไปกระทบกับคำประกาศที่บอกเล่าปากต่อปาก จนมาเข้าหูเธอ และนั่นก็ทำให้เธอหูผึ่ง
        “นี่ๆ เขาพูดกันว่า มีคนได้แผ่นผ้ารางวัลแล้วนะ” มันเป็นเสียงแหลมสูงที่เดาได้ไม่ยากเลยว่า เจ้าของเสียงต้องเป็นพวกปากหอยปากปูที่ชองจีบปากจีบคอนินนทาเรื่องชาวบ้าน “โชคดีจริงๆ ได้ตั้งหมื่นนาร์ม”
          ...หา! อะไรนะ หมื่นนาร์ม?...นั่นมันเลี้ยงเราไปได้นานเลยนะนั่น...
        เอเวอลินคิดในใจ แต่สองเท้าก็ยังคงก้าวเดินต่อไป ฉับพลันเท้าทั้งสองก็ชะงักกึก เมื่อสายตาแสนซนไปสะดุดกับป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่โชว์หราท้าสายลมยามบ่ายแก่ๆ
          ‘หนึ่งเดียวในเมือง เก็บผ้าแบบนี้ได้ ติดต่อขอรับรางวัลหมื่นนาร์มที่เจ้าหน้าที่แผนกแจกรางวัล พร้อมรับสิทธิพิเศษร่วมโต๊ะอาหารกับท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ และมหาปราชญ์ผู้รอบรู้’
          ท้ายข้อความคือรูปลักษณ์ของผ้าที่มีค่าผืนนั้น ผ้าที่ดูคุ้นตาเด็กสาวชอบกล แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่า เธอเคยจับต้องสัมผัสมัน... แต่จะคิดย้อนไปทำไมให้เสียเวลาและเสียดายไปเปล่าๆ เด็กสาวจึงหยุดคิดเพียงแค่นั้น แล้วหันมาสนใจกับสร้อยเงินในมือและหัวขโมยคนนั้นต่อ
          “แกนะแก กล้ามากมาขโมยไม้โกลเด้นวู้ด แล้วยังปากดีเรียกว่า เศษไม้ เชอะ!” เด็กสาวค้อนลมขวับ ก่อนที่ความคิดที่ดีแสนดีจะลอยเข้าหัว “อืม...จะว่าไปแล้ว สร้อยเส้นนี้เราจะเก็บเอาไว้เฉยๆ ทำไม? เอามาห้อยไม้โกลเด้นวู้ดกับใบโอ๊คของเราดีกว่า... ไม่เสียตังค์ซื้อ...และก็ไม่เสียเวลา...” รอยยิ้มเหยียดแย้มที่ริมฝีปาก พร้อมทั้งคำประชดต้นเหตุแห่งรอยยิ้มก็ดังขึ้นมา “...บ้านเรายิ่งจนๆ อยู่”
    “หึหึหึ ตังค์ก็ไม่เสีย ได้สร้อยมาฟรีๆ” พูดไปยิ้มไป แล้วรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้นอีกเมื่อประโยคเด็ดหลุดออกจากปาก “นี่เค้าไม่เรียกว่าขโมย... อย่ารู้สึกผิดเอเวอลิน เพราะเราหาสร้อยนี้มาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง”
    สิ้นเสียงปลอบใจ สร้อยเส้นนั้นก็ถูกโยนให้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนมือเรียวจะตวัดมันหมับ แต่ตาสีเขียวมรกตกลับจ้องมองเลยไปยังกลุ่มคนที่ยืนห้อมล้อมม้าตัวหนึ่งอยู่ ปากเรียวขมุบขมิบ พลางสาวเท้าตรงไปยังคนกลุ่มนั้นทันที
    “นี่ไม่รู้รึไงนะ ว่าฉันชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง” พูดจบก็วิ่งตรงไปยังไลท์นิ่งที่กำลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์สี่นายล้อมไว้ “หนอยๆ แกคิดจะขโมยไลท์นิ่งเรอะ ไอ้โจรกระจอกยิ่งกว่า... ให้มันรู้ซะมั่งว่าข้าเป็นใคร แล้วไลท์นิ่งเป็นอะไร”
    เสียงเอเวอลินร้องตะโกนลั่น พร้อมวิ่งไปเตะก้านคอของชายคนหนึ่งในนั้น จนเขากระเด็นออกไป รอยยิ้มแสยะบนใบหน้า พร้อมคำเฉลยจากคนตั้งคำถาม
          “ก็เป็นม้าน่ะสิ”
        พูดเองตอบเองเสร็จสรรพ ก่อนหันมาจัดการพวกที่เหลือ ส่วนคนที่โดนประเดิมไปก่อนเป็นคนแรกก็ลุกขึ้นมาตั้งท่าเตรียมจัดการเด็กสาวเต็มที่
    “4 รุม 1 เหรอ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย พวกเจ้ารู้มั้ยว่า ฉันน่ะเป็นผู้หญิง...” พูดจบก็ซัดศอกเข้าใส่ปลายคางของชายคนหนึ่ง “บอบบาง...” พูดไปก็สวนหมัดเข้าหน้าอีกคนหนึ่ง จนเซถลาไปชนอีกสองคนที่เหลือ ผมสีน้ำตาลเข้มเงางามของเด็กสาวพลิ้วไหวนุ่มนวล และจบด้วยคำพูดสุดท้ายสรุปการกระทำจากเอเวอลิน “เฉพาะกับผู้ชายหล่อๆ เท่านั้น!”
    ชำระความจนเป็นที่พอใจ สายตาสีเขียวมรกตมองไปที่กองของชายสี่คนด้วยความดูหมิ่น ก่อนเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังไลท์นิ่ง “ไป ไลท์นิ่ง อย่าไปสนใจไอ้พวกไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ รังแกแม้กระทั่งผู้หญิงไร้ทางสู้”
    พูดพลางทอดสายตามองไปยังกลุ่มชายพวกนั้น ก่อนกระทุ้งที่สีข้างของไลท์นิ่ง แต่ยังไม่ทันที่มันจะออกเดิน ชายหนึ่งในนั้นก็ชักดาบพุ่งสวนเข้ามาจ่อที่คอของเอเวอลิน
    ...เวรกรรมตามทัน เพิ่งจ่อดาบใส่คอไอ้ขโมยหน้าหล่อนั่นหมาดๆ ก็มาโดนไอ้ไม่เป็นสุภาพบุรุษจ่อคืนซะนี่ จะเอาประโยคไหนมาเล่นกับพวกนี้ดีล่ะ...
              ...ดาบเดียวย่อมใช้ยามจำเป็น ดาบเลวย่อมชักไม่เป็นเวลา?...
              ...อ่า ไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้มันต้อง... ปากดีได้ ปากร้าย...ซวย...
    เอเวอลินคิด ก่อนอ้าปากดีที่คิดว่าดีสุดๆ แล้วเจรจากับเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งสี่
    “เล่นแรงนะเนี่ย...” เอเวอลินจุ๊ปาก “แต่พ่อแม่ไม่เคยสั่งไม่เคยสอนรึไงว่า อย่าเล่นกับของมีคมน่ะ” เธอแสร้งปั้นสีหน้าครุ่นคิด “อืม...แต่สงสัยพ่อแม่จะเคยสอนนะ แต่นายมันยังไม่บรรลุนิติภาวะทางสมอง เลยแยกแยะไม่ออกระหว่างของมีคมกับของไร้คม...” พูดจบเธอก็ปามีดสั้นพุ่งไปที่แขนของชายคนนั้น “คงรู้แล้วนะว่า ของมีคมเป็นแบบนี้”
          ดาบหนาตกกระทบพื้น เลือดสีแดงฉานไหลพรากจากรอยแผลบนต้นแขนของชายคนนั้น รอยเยาะเย้ยปรากฏบนสีหน้าของเด็กสาว และคำเยาะเย้ยถากถางตามแบบฉบับของเธอก็ตามมา แม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ตาม
    “กลับบ้านไปอย่าลืมให้แม่ทำแผลให้ล่ะ เดี๋ยวเป็นบาดทะยักขึ้นมา แล้วมาโทษผู้หญิงบอบบางอย่างฉันไม่ได้นะ” เอเวอลินทำหน้าล้อเลียน “อ้อ...ขอคืนนะ ของมันแพง” ว่าพลางเอื้อมมือไปดึงมีดออกจากแขนของชายผู้นั้น
    สีหน้าขยะแขยงคืบคลานเข้ามาบนใบหน้าของเด็กสาว เมื่อมีดสั้นเล่มนั้นค่อยๆ ถูกถอนออกมาจากต้นแขนของชายผู้เคราะห์ร้าย แต่ทว่า...มีดเล่มนี้กลับไร้ซึ่งของเหลวสีแดงสดอย่างที่มันควรจะมีติดมาบ้างไม่มากก็น้อย...   
    “อี๋!...เลือดนายเนี่ยคงสกปรกมากนะ หัดถ่ายเลือดซะมั่ง ดูสิ สกปรกจนมีดของฉันยังไม่อยากรับประทานเลย มันไม่เปื้อนเลือดโสโครกของแกสักกะนิด” พูดพลางแกว่งมีดโชว์ให้เห็นเต็มตา
    “ไปล่ะ โชคดีนะ ท่านสุภาพสตรีทั้งสี่ ไอ้หน้าตัวเมีย” ไลท์นิ่งเตรียมออกวิ่งอีกครั้งหนึ่ง แต่มีหรือที่อีก 3 คนจะยอมปล่อยไปง่ายๆ พวกมันชักดาบพลางพุ่งตรงมาที่เอเวอลิน!!
    3 คมดาบต่อ 1 ชีวิต...
    เด็กสาวชักเริ่มไม่มีทางรอด จึงหันมาเจรจาอย่างสันติ “พวกแกอยากได้ม้าตัวนี้มากใช่มั้ย? เอางี้ดีกว่า มาประลองกัน ใครชนะได้ม้าตัวนี้ไป” เอเวอลินเสนอ “3 รุม 1 ก็ได้ อาวุธมีอะไรก็ขนออกมาให้หมด นี่ข้ายอมเต็มที่เลยนะ เห็นแก่พวกไม่มีศักดิ์ศรีน่ะ ตกลงมั้ย?”
    ชายสามคนลดดาบลง แต่ตาทั้งสามคู่ยังจับจ้องอยู่ที่เด็กสาวผู้กำลังลงมาจากหลังม้า เพื่อป้องกันไม่ให้เธอหนีไป เอเวอลินกระโดดลงจากหลังม้า และเมื่อเท้าถึงพื้นดาบทั้งสามเล่มก็พุ่งตรงมาที่คอของเธอทันที
    เด็กสาวไม่ได้มีท่าทีอกสั่นขวัญหายกับคมดาบที่พุ่งเข้ามาหาเธอโดยที่เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว รอยแสยะยิ้มพาดผ่านเรียวปากของเด็กสาว “น่าประทับใจจริงๆ พวกแกช่างเป็นผู้ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างเต็มเปี่ยม” เอเวอลินประชด ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่ก็ยังไม่วายปากดี “อะไรมันจะอยากได้ม้าขนาดนั้น ไหนพวกเจ้าลองบอกเหตุผลมาสิ ถ้าถูกใจฉันอยากจะยกให้เลยก็ได้ ไม่เปลืองแรง”
    ชายทั้งสามลดดาบลง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยปากตอบเด็กสาว“มันเป็นม้าพันธุ์ดี จากป่าโกลเด้นวู้ด พวกเราจะเอาไปให้นายของเรา”
    เด็กสาวพยักหน้าหงึกๆ ทำสีหน้าเข้าใจลึกซึ้งกระจ่างแจ้ง “เหตุผลฟังไม่ขึ้น” เธอสรุปพลางชักดาบออกจากฝัก “นายแกไม่มีปัญญาหาม้ารึไง ถึงต้องมาขโมยม้ามีเจ้าของ ฮึ?”
    “มี... มีม้ามากมาย แต่ม้าจากป่าโกลเด้นวู้ดถือว่าเป็นราชาแห่งอาชาทั้งปวง”
    “แต่ไลท์นิ่งไม่ใช่ราชา...” เอเวอลินเถียงทันควัน “แค่เชื้อสายราชา”
    “นั่นแหละที่ต้องการ” ชายอีกคนพูดแทรกขึ้นมา เด็กสาวชักสีหน้าไม่พอใจ
    “ไม่ต้องการจะให้...” นัยน์ตาสีเขียวฉายแววฉงนสนเท่ห์ “จะเอาไปเซ่นบรรพบุรุษรึไง”
    แต่ชายกลุ่มนั้นไม่ยิ้ม เอเวอลินเลยว่าความต่อ “ม้าของป่าโกลเด้นวู้ด ก็ต้องมีไว้สำหรับคนของป่าโกลเด้นวู้ดเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ แม้ว่าเจ้านายของแกจะใหญ่มาจากไหนก็ตาม”
    “แต่ข้อตกลงของเธอกับพวกเราคือ ใครชนะได้ม้า”
    “เอาสิ เข้ามาเลย!”
    สิ้นเสียงท้าเอเวอลิน ดาบในมือของเธอก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ แต่ดาบเดียวน่ะหรือจะสู้สามได้...
    ดาบหนึ่งตวัดมาที่คอ...
      ดาบสองพาดไว้ที่ไหล่...
      ดาบสามพุ่งจ่อมาจากด้านหลัง...
      ดาบสุดท้าย... ดาบในมือเธอหักสะบั้น สิ้นฤทธิ์เดช...
      ดาบที่คอฝังคมดาบลงไป โลหะเย็นแนบเนื้อ ก่อนคมดาบจะค่อยๆ ฝังในเนื้อหนัง หมายจะปลิดชีพเด็กสาวอวดเก่งอย่างเอเวอลิน...
      แต่ดาบอันคมกริบกลับไปโดนอะไรบางอย่าง สิ่งนั้นร่วงหลุดจากคอของเด็กสาว...
เกร้ง!?!
    เสียงสร้อยจากไอ้หัวขโมยนั่นร่วงหล่นกระทบพื้นแน่นิ่งแทบเท้าของเอเวอลิน ชายทั้งสี่มองมันอย่างแปลกใจ ก่อนที่ไอ้คนบาดเจ็บคนแรกจะเข้าไปหยิบขึ้นมาดู
    “เธอได้สร้อยเส้นนี้มายังไง” มันถาม พร้อมตวัดสายตาสงสัยส่งมาให้มองเอเวอลิน
    ดวงตาสีมรกตกรอกไปมาหาทางเอาตัวรอด ก่อนตอบไปด้วยความลื่นไหล ราวกับว่าสิ่งที่พูดออกไปคือความจริงทุกประการ
    “ได้มาจากชายคนหนึ่ง ที่เขายอมมอบให้ข้าอย่างยินดี” เธอตอบพร้อมให้เหตุผลกับตัวเอง...ก็ยินดีจริงๆ นี่ ไม่งั้นนายนั่นก็คงทวงคืนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...
    “อย่างนั้นหรอกรึ” ชายคนนั้นพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็เอาไปเถอะ เอาม้าของท่านไปด้วย พวกเราต้องขอโทษจริงๆ ที่ล่วงเกินท่าน”
        ท่าน? ท่านอย่างนั้นรึ? น้ำเสียงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ สีหน้าท่าทางนอบน้อม เอเวอลินชักเริ่มลำพอง เอื้อมมือไปรับสร้อยคืน ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังไลท์นิ่ง
    “ให้มันรู้ซะมั่งว่าใครเป็นใคร และถ้าฉันรู้นะว่า แค่เอาไอ้สร้อยบ้านี่ให้พวกเจ้าดู และเจ้าจะทำตัวแบบนี้ ข้าเอาให้ดูตั้งนานแล้ว ไม่เสียแรง” เอเวอลินว่า “แถมเพื่อนของเจ้าคนนั้นก็คงไม่เสียเลือดด้วย ฉันไปล่ะ ฝากแสดงความรักและคิดถึงกับเจ้านายของพวกเจ้าด้วยล่ะ แล้วบอกเค้าด้วยว่า หัดเจียมตัวซะบ้าง ม้าของป่าโกลเด้นวู้ด ไม่ได้มีไว้ให้คนอย่างเขาหรอกนะ”
        มันเป็นคำร่ำลาที่ยาวเหยียด ก่อนจะควบม้าฝ่าฝูงชนออกไปนอกประตูเมือง ข้ามสะพานหินที่ทอดตัวเหนือคุ้งน้ำใส แล้วก็เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะเดิม เมื่อต้องอยู่คนเดียว...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น