ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จากบ้าน [[Rewrite]]
    ท้องนภาสีครามกระจ่างใส เมฆขาวลอยเอื่อยเฉื่อยระเรี่ยยอดเขาสูงตระหง่านที่ผงาดขึ้นเหนือพื้นปฐพี ความสูงของมันเท่าใดไม่ปรากฏ...เพราะไม่เคยมีผู้ใดปีนขึ้นไปถึงยอดเขา...ไม่มีใครคิดบังอาจปีนไต่ขึ้นไปเสมอเทพ...มนุษย์หยุดป่ายปีนเพื่อยอดสูง หันมาสร้างราชวังที่พำนักสำหรับกษัตริย์แห่งอาณาจักร ณ ที่ราบบนภูผา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่ที่แสงทองยามอรุณรุ่งมาเยือนทุกเมื่อเชื่อวัน สูงพอที่จะมองเห็นความเป็นไปในอาณาจักรได้ชัดเจน และที่ที่พาสายตาไปสิ้นสุดยังหมู่แมกไม้หนา สุดเขตอาณาจักรนาร์มาเซียทางทิศบูรพา...สถานที่ซึ่งเรียกขานกันว่า...ป่าโกลเด้นวู้ด...
    ว่ากันว่า...ป่าโกลเด้นวู้ดเกิดขึ้นพร้อมๆ กับป่าอีกสามแห่งตามชายแดนอีกสามทิศหลัก ป่าทั้งสี่ที่ช่วยคุ้มกันภัยสงครามไม่ให้กร้ำกรายเข้ามาภายในอาณาจักร ซึ่งป่าเหล่านั้นทำได้อย่างไรไม่มีใครทราบ...นอกจากคนใน...คนวงในจริงๆ...
    “ท่านพ่อ! หนูต้องไปที่นั่นจริงๆ เหรอ” เด็กสาวนัยน์ตาสีเขียวมรกตซึ่งประดับอยู่บนใบหน้ารูปไข่ลุกพรวดเอามือยันโต๊ะไม้ใหญ่ มองไปทางพ่อของตนอย่างเอาเรื่อง แต่ผู้ถูกซักกลับทำหน้านิ่ง ก่อนตอบกลับมาโดยไม่ใส่ใจกับอารมณ์ของบุตรสาวเลยสักนิด
    “ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเจ้าไม่ไปที่นั่น แล้วเจ้าจะไปที่ไหนฮึ เอเวอลิน”
              คนโดนย้อนทำหน้าบูดบึ้ง หลังถูกเรียกตัวมาจากฝันหวานใต้ต้นสนที่ลมพักโกรกเย็นสบาย ยอดสนเอนไหวด้วยแรงลม ฝันเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย แต่มันก็แสนสุข...สุขเสียจนมีค่ามากกว่าตื่นมาฟังการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป การอธิบายด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้มจากบิดาผู้นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะกับการอ้าปากหาวหวอดๆ จากคนที่นั่งตรงข้าม
    “โธ่ๆ ท่านพ่อ ท่านเป็นราชาภาษาอะไร” เด็กสาวทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เอนหลังพิงพนักด้วยความอนาถใจ “ไม่เห็นต้องถามเลย ก็อยู่ที่นี่ไง ที่นี่...ที่ป่าโกลเด้นวู้ดแห่งนี้”
          ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าปฏิเสธความปรารถนาของลูกสาว แต่เอเวอลินยังคงเถียงต่อไปไม่ลดละ
    “ป่านี้ก็มีไม่ใช่เหรอ ท่านพ่อ โรงเรียนน่ะ แล้วทำไมหนูต้องทนลำบากหอบสังขารไปไกลถึงไอ้เงาบ้านั่นด้วย”
    “The Shadows เว้ย เดอะ ชาโดวส์” ผู้เป็นพ่อรีบแก้ “เจ้าพูดซะเสื่อมเสียสถาบันอันทรงเกียรติหมด ชื่อเค้าออกจะดูดีมีชาติตระกูล เจ้าเรียกซะเสียหมด”
    เสียงถอนหายใจดังมาจากคนเยาว์วัยตรงหน้า ก่อนออกเสียงลากยาวอย่างเบื่อหน่าย “ก็ได้ๆ เดอะ ชาโดวส์ส์ส์...แล้วตกลงทำไมต้องไปที่นั่นด้วยล่ะ ไอ้เดอะ ชาโดวส์ส์ส์เนี่ย”
    ชายวัยกลางคนตรงหน้าเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาบ้าง สิ่งที่เขาพูดมาตลอดสองชั่วโมงนี้ มันไม่ได้เข้าหัวลูกสาวของเขาเลยสักนิด ไอ้สองชั่วโมงที่ผ่านมามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย...
    “พ่อบอกเจ้ากี่หนแล้วฮึ เอเวอลิน เหตุผลน่ะเหตุผล ถามซ้ำถามซากน่ารำคาญ” ผู้เป็นพ่อรำคาญเต็มแก่ ไอ้ลูกสาวหัวดื้อ พูดกี่ทีก็ไม่ยอมเข้าใจ อยากจะซัดกบาลสักทีสองทีจริงๆ...
    “อ๊ะๆ ท่านพ่อ อย่านะอย่า” เด็กสาวร้องขัด กระดิกนิ้วชี้ไปทางมือขวาของชายตรงหน้าที่บัดนี้ยกขึ้นเตรียมเงื้อ แล้วฟาดเปรี้ยงใส่ศีรษะของตน “วางมือของท่านลงเลย อย่าให้มันต้องมาถูกหัวของหนู รู้รึเปล่าว่าในเนี๊ยะ มีทรัพยากรอันมีค่ามากมายมหาศาลอยู่”
            เธอปรายตามองพ่อพร้อมรอยยิ้มยียวน “เดี๋ยวความฉลาดของหนูเสียขวัญ หนีกระเจิดกระเจิงไป ใครจะตามมันกลับมาใส่ในสมองหนูล่ะ หรือว่า...พ่ออยากให้ลูกสาวสุดที่รักคนนี้ฉลาดน้อย”
              มือของราชาแห่งป่าโกลเด้นวู้ดยังคงค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจได้ “ถ้าฉลาดน้อยแล้วทำตัวน่ารัก ไม่แก่นแก้วแก่นกะโหลกแบบนี้ พ่อก็ยอม” ว่าพลางเงื้อมือโดยมีหัวลูกสาวเป็นเป้าหมาย
    “ท่านพ่อๆ ขอเตือนก่อนละกัน ไอ้นิสัยหรือพฤติกรรมอะไรต่างๆ นานาของหนูเนี่ย มันไม่ขวัญอ่อนเหมือนความฉลาดของหนูหรอกนะ” เด็กสาวรีบยกมือทั้งสองห้ามทันทีเมื่อเห็นท่าทีของบิดา
    เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งจากราชาแห่งป่า พร้อมกับมือที่ลดลงมาไว้ข้างตัว ยอมแพ้กับความกวนประสาทของบุตรสาว “เออๆ เอาก็ได้ ไม่ซัดแล้วก็ได้ แต่พ่อขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าต้องไปที่เดอะ ชาโดวส์ ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้น”
    “เหตุผล?” เสียงเรียกหาเหตุผลดังขึ้นในบัดดล คนที่ต้องให้เหตุผลส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่ก็ตอบคนอยากได้เหตุผลอย่างเหลืออด
    “ที่นั่นเจ้าจะได้พบกับผู้คนจากทุกหนทุกแห่ง รู้จักคนเอาไว้ให้มากๆ มันจะเป็นผลดีต่อเจ้าสำหรับการปกครองป่าแห่งนี้ในภายภาคหน้า” ...นี่คือเหตุผลที่ออกมาจากปากของพระบิดา
    “แค่นี้?”
    ราชาแห่งป่าโกลเด้นวู้ดพ่นลมหายใจพรืด ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง “มีอีกเยอะ แต่พ่อไม่อยากพูด เปลืองน้ำลาย พูดไปเจ้าก็ไม่จำ เจ้าไปแล้วเจ้าก็จะรู้เอง”
    เอเวอลินพยักหน้าหงึกหงักล้อเลียนคนตรงหน้าที่มีศักดิ์เป็นถึง ‘พ่อ’ ก่อนยันตัวลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ แต่ก็ต้องชะงักและหันมาฟังพ่อเอ่ยประโยคต่อมา...
          “ไปที่นั่นแล้ว อย่าหลงคารมหนุ่มชาวป่าซิลเวอร์ลีฟล่ะ แล้วก็อย่าข้องแวะกับพวกนั้น พ่อไม่ชอบ”
    “เหตุผล?”
    “เอ๊ะ! เจ้านี่ ทำไมต้องเอาเหตุผลทุกอย่างเลยนะ” คนเป็นพ่อชักสีหน้าหงุดหงิด แต่ลูกสาวกลับลอยหน้าลอยตาให้เหตุผลกับคำถามของบิดา
    “อ้าว! ก็ท่านเคยสอนเอง จะทำอะไรต้องมีเหตุมีผล” เอเวอลินย้อน ก่อนย้ำคำถามเดิม “เหตุผล?”
    “เหตุผลก็คือ พ่อไม่ชอบพวกป่าซิลเวอร์ลีฟ พวกนั้นมันบังอาจมาเทียบรัศมีกับป่าโกลเด้นวู้ดอันเกรียงไกรของเรา”
    “เหตุผลไม่เข้าท่า” เอเวอลินพูดขึ้นลอยๆ แต่จงใจจะให้ชายตรงหน้าได้ยิน “แต่เอาเถอะ หนูจะคอยอยู่ห่างๆ พวกนั้นก็แล้วกัน...ถ้าจำเป็น”
    “ทำไมต้องมีถ้าจำเป็นด้วยล่ะ” ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัยในคำพูดของลูกสาว แต่ลูกสาวตัวดีกลับยักไหล่ไม่ใส่ใจ “เอาเถอะๆ แต่เจ้าอย่าลืมล่ะ อยู่ที่หอพฤกษาให้ได้”
    “แล้วทำไมต้องอยู่หอพฤกษาด้วยล่ะ” เสียงถามหาเหตุผลดังขึ้นอีกจากคนที่กำลังจะเอื้อมมือไปแตะลูกบิดประตู
    คนเป็นพ่อมองหน้าลูกสาวของตนอย่างเหลืออด พร้อมพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบเธอไป “ถ้าเจ้าไม่อยู่ที่หอพฤกษา ก็ไปอยู่ที่หออื่นสิ แล้วเจ้าจะรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัว”
          เสียงของผู้เป็นพ่อส่อแววประหวั่นพรั่นพรึง เพื่อหวังจะขู่ให้ลูกตัวดีกลัว แต่เจ้าตัวดีกลับทำหน้าระรื่น เขาจึงเสริมอย่างเป็นงานเป็นการขึ้น
          “แล้วอีกอย่าง... สายเลือดสีเขียวน่ะ มันอยู่ในตัวเจ้ามาตั้งแต่กำเนิดแล้ว สายเลือดสีเขียวบริสุทธิ์” เขากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “หอพฤกษาเนี่ยแหละที่จะเปิดต้อนรับเจ้า หอเดียวเท่านั้น อย่าได้หวังพึ่งหออื่นเลย”
    “แล้วถ้าหนูได้อยู่หออื่นที่ไม่ใช่หอพฤกษาล่ะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายบนใบหน้าของเด็กสาว รอคอยฟังคำตอบจากปากของผู้เป็นพ่อ
    “นั่นก็แสดงว่า เจ้าไม่ใช่ลูกข้า”
    สิ้นเสียงคำตอบจากราชาผู้มีสายเลือดสีเขียวบริสุทธิ์ รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ก็หุบลงทันที พร้อมคำท้วงเรียกร้องความยุติธรรม
    “โห... พูดแรงเชียว”
    “พ่อพูดจริง ไปเตรียมตัวได้แล้ว” ผู้เป็นพ่อสะบัดมือไล่เด็กสาวที่ยืนค้างเติ่งอยู่หน้าประตูมานาน ส่วนสายตาสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับบุตรสาวของตนก็กำลังจับจ้องอยู่กับหนังสือเล่มหนาในมือ
    “แล้วนี่หนูต้องไปคนเดียวเหรอ ไม่มีเพื่อนสักกะคนเลยเหรอ”
    นัยน์ตาที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับตัวหนังสือตวัดฉับขึ้นมามองคนที่โผล่แต่หน้าเข้ามาถาม ก่อนโยนหนังสือทิ้งลงบนโต๊ะไม้เงาวับ กอดอกทอดสายตามองไปยังคนถามอย่างหาเรื่อง
    “เจ้าจะเอาไปทำไมเพื่อน ไปถึงที่โน่นน่ะ เจ้าจะมีเพื่อนจนเจ้าเบื่อไปเลย จะมีแต่คนมาขอเป็นเพื่อนของเจ้า ไม่เชื่อก็คอยดูสิ”
    ใบหน้าที่โผล่พ้นจากช่องประตูแสร้งเบิกตากว้าง “ขนาดนั้นเชียว” เอเวอลินร้อง ก่อนเปลี่ยนหน้ายียวนให้พ่อของตนจนพอใจ แล้วจึงจากไปพร้อมเสียงปิดประตูที่เงียบกริบ
              ...สรุปแล้ว เธอก็ต้องไป ต้องจากป่าแห่งนี้ไปตั้งสี่ปี ไม่อยากจะเชื่อ...
    แสงตะวันที่ฉายแสงสาดส่องของเช้าวันใหม่ ทำให้ต้นไม้ทั้งหลายในป่าโกลเด้นวู้ดเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ลำต้นสีน้ำตาลเข้มบัดนี้กลายเป็นสีทองอร่าม พร้อมทั้งเปล่งแสงสีทองเป็นประกาย ใบไม้สีเขียวสดแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้า ฉับพลันใบก็สั่นไหว บังเกิดเป็นเสียงเพลงแห่งพงไพรที่ก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า ขับกล่อมให้เหล่าสรรพสัตว์ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราอันมืดมิด เสียงนกร้องกู่ก้องไปทั่วไพรสณฑ์ สกุณาทั้งหลายขานรับต่อกันเป็นช่วงๆ เกิดเป็นห้วงทำนองที่เพราะพริ้ง เป็นดนตรีแห่งธรรมชาติที่แท้จริง...
    ชาวป่าโกลเด้นวู้ดเริ่มตื่นขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่ พากันออกมาทำภารกิจประจำวัน บานประตูหน้าต่างที่อิงแอบแนบชิดกับต้นไม้ใหญ่เริ่มถูกเปิดออก พร้อมๆ กับผู้อาศัยที่พากันออกมารับแสงสีทองของวันใหม่...
    ผู้ใหญ่บางคนควบม้าออกไปชายป่า เพื่อปฏิบัติภาระหน้าที่ที่ตนมีต่อป่า บ้างก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์หากินใส่ในย่ามผ้า แล้วเดินหายลับไปในดงไม้รก เหล่าผู้ช่วยผู้เยียวยารักษาประจำป่าก็สะพายย่ามคู่ใจ ก่อนจะสาวเท้าออกไปหาสมุนไพรที่มีอยู่ดาษดื่นในป่ากว้าง ส่วนผู้เยียวยารักษาก็เริ่มเตรียมตัวรอรักษาคนไข้ที่อาจจะมาหาได้ทุกเมื่อ...
    เด็กๆ ทั้งหลายเริ่มชักชวนกันออกไปวิ่งเล่น และเพลิดเพลินกับแสงสีทองแห่งป่า ก่อนที่ช่วงเวลานี้จะหมดลงเมื่อตะวันทำมุมตั้งฉากกับพื้นดิน บ้างก็รีบเร่งเดินทางไปยังโรงเรียนประจำป่า...โรงเรียนสำหรับชาวป่า...แต่มันไม่ใช่โรงเรียนสำหรับทายาทผู้ที่จะรับช่วงต่อของบัลลังก์...
    “เอเวอลิน!!!” เสียงของผู้เป็นแม่ตะโกนเข้ามาภายในห้องผสานกับเสียงกำปั้นที่รัวกระหน่ำลงบนบานประตูไม้ที่ด้านหลังคือร่างของเด็กสาวซึ่งกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอน...
    เด็กสาวลืมตาตื่น ก่อนเลื้อยลงเตียง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเสียงเรียกของมารดา เธอค่อยๆ เดินโซซัดโซเซเข้าห้องน้ำไป สักพักก็เดินสะลึมสะลือออกมา แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มสบายอีกครั้ง
    “เอเวอลิน! สายแล้วนะ”
    ปั๊ดโธ่...จะเร่งกันไปถึงไหน รู้ว่าอยากให้ไป แต่คนมันไม่อยากไปนี่... เด็กสาวประท้วงในใจ พลางนอนลืมตาโพลงมองเพดานอันว่างเปล่าของห้องนอน ก่อนตัดสินใจคว้าเอาสัมภาระอันน้อยนิดของเธอมาไว้ในมือ แล้วกระเด้งตัวขึ้นจากเตียง เดินเอื่อยๆ ไปยังประตูที่กำลังถูกรัวอย่างบ้าคลั่ง
    “ค่า จะไปแล้ว” เอเวอลินตะโกนตอบกลับไป... ทำไมนะ? ทำไมชอบขับไล่ไสส่งกันจริงๆ ลูกสาวสุดที่รักจะไปตั้งสี่ปี ไม่มีอาลัยอาวรณ์ นี่ถ้าเมื่อไหร่เราก้าวเท้าออกจากป่า เมื่อนั้นคงจัดงานเลี้ยงฉลองกันเจ็ดวันเจ็ดคืน...
    “เอ้า เร็วๆ เข้า ลุงทอมรอหนูนานแล้วนะ” แม่ร้องบอกทันทีที่เธอเปิดประตูห้องออกมา ก่อนฉวยเอาสัมภาระในมือของลูกสาวมาอย่างรวดเร็ว “แล้วนี่ของที่จะเอาไปรึ ทำไมมันน้อยจังล่ะ เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวแม่ให้สเตฟานี่จัดของให้แล้วกัน หนูลงไปทานข้าวได้แล้ว”
    เอเวอลินเดินลงมาตามบันไดไม้วนอย่างเบื่อหน่าย นี่เดาได้เลยว่า พอถึงโต๊ะอาหารปุ๊บ คุณพ่อตัวดีจะพูดปั๊บว่า... “เอ้า กินเร็วๆ หน่อย ลุงทอมเค้ารอนานแล้วนะ”
    “อ้าว มาแล้วเหรอ” ดวงตาสีมรกตของพ่อเงยหน้าขึ้นจากชามอาหารที่มีควันลอยฉุยอยู่ตรงหน้า “ค่อยๆ กินนะลูก มื้อสุดท้ายของราชวังโกลเด้นวู้ดแล้ว” ราชาแห่งป่ากล่าวขึ้นทันทีที่เธอปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องอาหาร
    “มาแปลกแฮะ” เอเวอลินพึมพำด้วยความแปลกใจ ก่อนเดินไปนั่งที่ของตน “นี่เลี้ยงส่งกันเหรอท่านพ่อ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ หนูเนี่ยซึ้งจริงๆ เลย” เด็กสาวแกล้งตีหน้าเศร้าซึ้งใส่พ่อของตน พลางหันไปมองอาหารบนโต๊ะที่ถูกตักใส่ชามไว้อย่างดี ส่งกลิ่นหอมน่าทาน พร้อมควันบางเบาที่ลอยอยู่เหนือชามอาหารมื้อ ‘เลี้ยงส่ง’
              “ข้าวต้มกุ้ง!! โอ้โห! ช่างเป็นมื้อเช้าที่วิเศษที่สุดไปเลย” เด็กสาวแสร้งอุทานเสียงหลงเบิกตากว้าง “ก่อนไปได้กินข้าวต้มกุ้งซะด้วย ทั้งๆ ที่วันก่อนๆ ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่ข้าวต้มกุ้ง ข้าวต้มกุ้ง ข้าวต้มกุ้ง”
    “เออ ไม่ต้องมาแดกดันเลย กินๆ เข้าไปเถอะ ของๆ เรามีเท่านี้”
    เอเวอลินเงยหน้าจากมื้อเลี้ยงส่งอันแสนวิเศษที่บัดนี้ถูกลดยศถาบรรดาศักดิ์ให้เป็นแค่มื้อเช้าที่แสนธรรมดา พร้อมโต้คำพูดของราชาแห่งป่าลั่นห้องอาหาร “จะบ้าเหรอท่านพ่อ พระราชวังอะไรมีแค่ข้างต้มกุ้ง หนูรู้นะ พอหนูไปแล้วจะจัดงานเลี้ยงกันใช่มั้ยล่ะ ขาแกะเอย ไก่งวงเอย สตูเอย คงจะประดังเข้ามาเชียว”
    “เถอะน่า แล้วพ่อจะเก็บไว้ให้”
    “โอ้ ท่านพ่อ ท่านช่างเป็นพ่อที่ดีจริงๆ ท่านคือพ่อที่ประเสริฐที่สุดในโลกาเลยนะเนี่ย เก็บอาหารไว้ให้ลูกที่จากไปไกลนานถึง 4 ปี มันไม่เน่าไม่บูดไปก่อนรึไง”
    “นี่เจ้าจะกินมั้ย ถ้าไม่กินก็เอามา พ่อกินเอง” คำถามตัดบทให้ขาดสะบั้นดังมาจากปากของชายผู้ทนฟังลูกสาวกล่าวชื่นชมในน้ำใจอันแสนงดงามของตน พร้อมกับมือที่กำลังเอื้อมมาเลื่อนชามอาหารที่อยู่ตรงหน้าลูกสาวให้ย้ายมาอยู่หน้าตนแทน
    มือเรียวคว้าหมับ ก่อนส่งยิ้มแหยๆ ให้คนเป็นพ่อ “กินจ้า....กิน แค่นี้ทำเป็นทนไม่ได้” เอเวอลินกล่าว ก่อนหันมาสนใจอาหารของตน “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า....ห้าตัวเองเหรอท่านพ่อ เมื่อวานได้ตั้งเจ็ด” คำประท้วงดังขึ้นจากปากของคนที่เพิ่งฝึกนับเลขได้ถึงห้า พร้อมกับข้อเรียกร้องที่ตามมา “มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
    “เอ้า เรื่องมากจริงๆ” เสียงของผู้เป็นพ่อดังย้อนสวนกระแสการเรียกร้องหาความเป็นธรรมของลูกสาว ซึ่งมีพฤติกรรมที่น่าเอือมระอาจนชักจะทนไม่ไหว “จะเอาสามใช่มั้ย?”
    “ห้าก็ห้า เชอะ! ทำหวงทำเหนียว ลูกจะไปไม่มีเวลาซึ้งบ้างเลยนะ” เอเวอลินบ่นพรืด ก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มกุ้งห้าตัวของตน
    ประตูทางเข้าห้องโถงเปิดออกกว้างรับแสงอุษาให้สาดส่องมาต้องท้องพระโรงใหญ่ ปลายสุดโถงทางเดินคือ บัลลังก์ไม้สีทองแห่งป่าโกลเด้นวู้ด ที่ประทับสำหรับราชาและบัลลังก์ที่เด็กสาวต้องสืบทอดต่อไป ทางเดินที่ทอดยาวไปยังบัลลังก์ทองเป็นพื้นไม้สีน้ำตาลเงางามเช่นเดียวกับส่วนประกอบทุกๆ ส่วนในราชวัง ซึ่งล้วนทำด้วยไม้ทั้งสิ้น... ประติมากรรมมีชีวิตถูกประดับตกแต่งเรียงรายไปตามสองข้างทาง... ประติมากรรมนั้นก็คือ ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ทะลุผ่านพื้นไม้เข้ามาภายใน บ้างก็ออกดอกสวยสดงดงาม บ้างก็ผลิใบเขียวสะพรั่ง ราวกับว่าห้องโถงแห่งนี้คือ สวนหย่อมยนาดย่อมๆ ที่เหล่าพฤกษ์ผกาพรรณต่างพากันเข้ามาแย่งชิงจับจองพื้นที่ ชูหน้าสลอนอวดผู้มาเยือน...
    ร่างบางอยู่ในชุดเสื้อกางเกงทะมัดทะแมงถูกอาบไล้ไปด้วยแสงทองยามรุ่งอรุณ ลมเย็นพัดโกรกผ่านช่องประตูที่เปิดออกกว้างเข้ามาภายใน เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวสยายไปตามสายลม ก่อนที่เจ้าตัวจะออกวิ่งเบนเส้นทางไปยังที่แห่งหนึ่ง...ที่ที่ต้นไม้ใหญ่หยั่งรากลึกยืนต้นมานานนับพันปี...
    “แล้วนั่นเจ้าจะไปไหน ลุงทอมรออยู่ทางนี้” ผู้เป็นพ่อร้องเรียกเด็กสาว แต่เอเวอลินทำเพียงแค่หันมามอง ในขณะที่ขาทั้งสองยังวิ่งตรงไปยังเป้าหมายของตน
    ต้นโอ๊คยืนต้นสูงใหญ่ ตั้งตระหง่านพุ่งยอดตรงขึ้นไปยังท้องนภา แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วทุกสารทิศ ซึ่งถูกปกคลุมด้วยใบสีทองงดงามอร่ามตา...
    “ไปก่อนนะคะลุงโอ๊ค แต่ก่อนไปหนูขอใบสีทองของลุงเก็บไว้หน่อยได้มั้ย” เอเวอลินเงยหน้ามองลำต้นขรุขระของโอ๊คเฒ่า พูดคุยราวกับว่ามันสามารถรับรู้ถ้อยคำที่เธอเปล่งออกไป แต่มันก็เป็นเช่นนั้น...ต้นโอ๊ครู้ และตอบสนองต่อเธอทันทีที่สิ้นเสียงของเด็กสาว ใบไม้สีทองของมันก็ร่วงลงมาอยู่ในมือของเธอ
    เธอค้อมศีรษะเคารพต้นไม้ใหญ่ ก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง...ต้นโกลเด้นวู้ด...พฤกษาประจำป่าแห่งนี้...   
    ต้นไม้ใหญ่สีทองอร่ามไปทั้งต้น โดยที่แสงอรุโณทัยไม่ได้มีส่วนช่วยใดๆ เลย ต้นโกลเด้นวู้ดที่ยืนต้นตรงโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางป่า...กลางนครไม้สีทอง...
    เมื่อปะทะกับสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ ใบไม้รูปสามเหลี่ยมแปลกตาของมันก็พากันพลิ้วไหวแกว่งไกวไปมา เกิดเป็นสำเนียงเสียงดนตรีที่แผ่วหวาน ขับขานตำนานแห่งป่า... เสียงเพลงจากต้นไม้สีทองที่ยืนต้นอยู่คู่กับป่ามาช้านาน... ภาษาของต้นไม้ที่รู้กันดีของเหล่าพฤกษาที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่ถ้าเป็นภาษาจังก์ล่ะก็...มันก็เป็นอีกภาษาหนึ่งที่สื่อสารกันระหว่างชาวป่าทั้งสี่ในยามส่งเรื่องราวราชการงานลับ และภาษาจังก์ยังเป็นภาษาที่ต้นไม้ไม่ออกเสียง แต่แสดงออกกับเหล่าผู้คนเป็นลายลักษณ์อักษร...
    แต่ภาษาในดนตรีไพรนี้...มันมิใช่ภาษาใดๆ ที่ชาวป่ารู้จัก และไม่มีใครแปลความหมายของมันได้เลย...
    ความหมายของบทเพลงแห่งไพรนี้จะเป็นอย่างไรกลับไม่มีคนใส่ใจ...ชาวป่าสนใจในทำนองอันไพเราะเสนาะของมันต่างหากเล่า ต้นโกลเด้นวู้ดก็เหมือนพิณทองอันวิจิตร ในขณะที่สายลมคือมือเรียวงามของสตรีผู้คอยไล่นิ้วกรีดกรายไปตามสายต่างๆ นับร้อยนับพันสายของพิณใหญ่ เกิดเป็นเสียงสูงต่ำหลายหลายโทนเสียงผสมผสานกัน กลายเป็นท้วงทำนองเพราะพริ้งระรื่นหูที่ชาวป่าต่างขนานนามมันว่า... “พิณไพร”...
    เด็กสาวไปหยุดที่ต้นไม้ใหญ่สีทอง พร้อมทั้งดึงมีดสั้นเล่มงามออกจากฝัก “หนูขอไม้ของท่านติดตัวไปนะ เพื่อที่มันจะได้เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงรากเหง้าของหนู” เธอว่าพลางบรรจงแซะเอาเนื้อไม้สีทองไปบางส่วน เมื่อไม้ชิ้นเล็กแยกออกจากลำต้นสูงตระหง่าน ฉับพลันต้นโกลเด้นวู้ดก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ก่อนเลือนรางหายไป พร้อมรอยสลักบนเนื้อไม้ที่ถูกแซะไป...รอยนั้นปรากฏชื่อของเธอ...เอเวอลิน...
    “แหมๆ อาลัยอาวรณ์จริงนะ” เสียงประชดประชันจากราชาแห่งป่าลอยมาแต่ไกล ทันทีที่ร่างของลูกสาวปรากฏให้เห็นในสายตา
    “ไม่ต้องมาประชดเลยท่านพ่อ” เด็กสาวโต้ลั่นป่า แล้วก็กล่าวขึ้นอย่างรู้ทันและรู้ดี “แต่ก่อนตอนท่านจะไป ท่านก็ทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
          ผู้เป็นพ่อลอยหน้าตาย ทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดรู้ดีของลูกสาว จนเจ้าตัวต้องเอาหลักฐานมาอ้าง “หลักฐานเห็นอยู่ทนโท่ บนลำต้นของต้นโกลเด้นวู้ด ก็ยังมีชื่อท่านสลักไว้อยู่เลย”
    โดนย้อนอย่างรู้ทันขนาดนี้ ราชาแห่งป่าจึงต้องจำนนต่อหลักฐาน “เออ ใช่ พ่อยอมรับ... ทีนี้เจ้าก็เอาใบโอ๊คประกบเข้ากับไม้โกลเด้นวู้ดสิ” ผู้เป็นพ่อแนะนำ และผู้เป็นลูกก็ทำตามอย่างว่าง่าย
    แสงสีทองสว่างเรืองรองในมือของเด็กสาว ก่อนมลายหายไปพร้อมกับใบไม้หลอมรวมกับชิ้นไม้ ติดสนิทกันอย่างแนบแน่น เธอยิ้มอย่างยินดี พร้อมหันไปทางที่ลุงทอมยืนรออยู่ แต่แล้วเธอก็ต้องร้อง เมื่อเห็นลุงทอมที่ยืนรออยู่เคียงข้างกับท่านแม่ของตน และสัมภาระของเธอที่...
    “โห ท่านแม่ จะให้หนูหอบบ้านไปปลูกหรอ” เอเวอลินพูดทันทีเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของแม่ โดยมีสัมภาระกองโตเท่าภูเขาเป็นฉากหลัง ก่อนมองไปยังลุงทอมที่ยืนตบเท้าผงกหัวอยู่ข้างๆ “สงสารลุงทอมบ้างสิแม่ นั่นมันไม่ใช่ย่อยเลยนะ”
              “อย่าบ่นมากนักเลย ดูลุงทอมสิ ยังไม่บ่นสักกะคำ” แม่ว่าพลางเอื้อมมือไปลูบหัวลุงทอมอย่างอ่อนโยน
    “แหม ลุงทอมจะบ่นได้ยังไงล่ะ ลุงเค้าเป็นม้านี่ บ่นได้ก็แปลกแล้ว” เอเวอลินท้วง พลางมองไปที่ลุงทอมซึ่งกำลังสะบัดหางไปมาอย่างสำราญใจ ก่อนหันมาตกลงทำข้อสัญญากับแม่ต่อ “แล้วตกลงหนูต้องเอาไปหมดนี่เลยเหรอ”
    “ใช่” แม่ของเธอตอบทันที พร้อมทั้งเสริมต่อท้ายเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของลูกสาว “อย่าบ่นเลย แม่เคยไปอยู่มาก่อน แม่รู้ดี”
    เด็กสาวไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่กลับเดินตรงไปยังอาชาสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งถูกผูกติดไว้อย่างหลวมๆ กับต้นไม้ใหญ่ ม้าขาวร้องเสียงแหลมพลางชูคอของมันขึ้น เอเวอลินเอื้อมมือไปลูบแผงคอของมันช้าๆ พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่โตของม้าหนุ่ม มือเรียวแก้เชือกที่พันธนาการมันอยู่ให้หลุดออก ก่อนจะตบที่สีข้างของมันเบาๆ
    “ไปเที่ยวกัน ไลท์นิ่ง” เสียงใสของเด็กสาวกระซิบบอกม้าหนุ่ม ในขณะที่มือก็ผูกสายบังเหียนให้แน่น ก่อนยันตัวขึ้นไปนั่งหลังตรงบนหลังอาชาไนย...
    “ไปแล้วนะท่านพ่อท่านแม่” เอเวอลินร้องบอกพ่อแม่ของตนที่บัดนี้ยืนโอบไหล่กัน ทั้งคู่พยักหน้าให้เธอช้าๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเด็กสาวมองไปยังสัมภาระกองโตที่วางอยู่ใกล้ๆ เท้าของลุงทอม ม้าอาวุโส... “ของนี่ให้คนตามไปส่งทีหลังแล้วกัน หนูขอล่วงหน้าไปก่อนดีกว่า”
                เธอว่าพลางกระทุ้งสีข้างของไลท์นิ่ง ม้าขาวเริ่มเหยาะย่างออกเดิน เอเวอลินหันหลังกลับไปมองภาพเบื้องหลังของเธออีกครั้ง...
                ภาพของพ่อแม่ที่ยืนโบกมือใเธอ...ภาพราชวังไม้สีทองที่ฉายแสงเรืองรองส่องประกายเช่นเดียวกับไม้อื่นในป่า...ภาพต้นโกลเด้นวู้ดและต้นโอ๊คใหญ่ที่กระดิกใบสั่นไหวไปมา... ภาพของนครไม้สีทองอันแสนสุข... ภาพของป่าโกลเด้นวู้ดที่บัดนี้เปล่งประกายงดงามอร่ามตา...
              เด็กสาวเบือนหน้าหนีจากภาพด้านหลัง เพ่งมองไปยังหนทางเบื้องหน้า หยาดน้ำใสๆ ไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ก่อนที่เธอจะแหงนหน้าไล่น้ำตาให้หายไป พร้อมทั้งกระตุ้นให้ไลท์นิ่งควบทะยานไปตามทาง เหลือทิ้งไว้เพียงฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจายตามทางที่เธอจากมา...
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น