คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รางวัลแด่มิตรภาพอันหลอกลวง
อีกไม่กี่วินาทีก็จะถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันผ่านเหตุการณ์มามากมาย ที่มีทั้งผิดหวัง เศร้าสร้อย หดหู่ สมหวัง สุขใจ มีทั้งเสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา ฉันสามารถก้าวไปหามันได้อย่างไม่กริ่งเกรง แต่ฉันยังไม่พร้อมจะก้าวไปในตอนนี้ เพราะตอนนี้...เวลานี้...ฉันกำลังรอคอยคนๆ นั้นอยู่...
จะมีคนธรรมดาๆ สักกี่คนที่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์ให้เกิดมาเพื่อพานพบประสบเจอกับเหตุการณ์อันน่าประทับไว้ในใจ เหตุการณ์ที่ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า คนอย่างเราจะมีวันได้รับมัน คนที่สุดแสนธรรมดา ไม่ได้ดีเด่อะไรอย่างฉันกลับเป็นหนึ่งในนั้น ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ฉันได้รับมันมาติดแน่นในจิตใจ และจะระลึกถึงมันเสมอ แม้ในนาทีสุดท้ายของชีวิต...
วันนั้นเป็นวันแรกของเดือนใหม่ รถประจำทางแล่นฉวัดเฉวียนป่ายซ้ายปาดขวา ก่อนคนขับจะเหยียบเบรกสุดเท้า จนผู้โดยสารตัวโก่ง แล้วฝูงชนก็ทยอยกันขึ้นมาเบียดเสียดยัดเยียด ราวกับน้ำป่าที่ไหลทะลักเข้ามาในเมือง ผู้คนพากันมองหาที่นั่ง บ้างก็หาที่ยึดเกาะ แล้วรถเมล์ร้อนคันนี้ก็พุ่งตัวไปปะปนกับยวดยานพาหนะอื่นๆ บนท้องถนนอีกครั้ง
รถเมล์วิบากวิ่งไปเรื่อยๆ จอดรับส่งผู้โดยสารเป็นระยะๆ ตามป้าย ลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของฉันที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้ามองวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองหลวง
ถนนข้างหน้าโล่ง คนขับตินผีก็เหยียบคันเร่งจนมิด ฉันเตรียมตัวถือของที่วางไว้อยู่บนตัก ค่อยๆ ลุกเดินไปกดกริ่งตรงบันได แล้วก็ต้องยึดเสาแน่น เมื่อรถถูกเบรกอย่างรวดเร็ว ประตูเปิดผางออก ก่อนฉันจะรีบก้าวลงจากรถมายืนตั้งหลักริมฟุตบาท แล้วจึงก้าวช้าๆ ออกเดินอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่บ้านหลังเล็กๆ รังนอนอันแสนสุขของลูกนกตัวน้อยๆ ที่ต้องมาพักพิงอาศัยอยู่ในเมืองอันแสนกว้างใหญ่
บ้านสองชั้นหลังเล็กที่ปลูกสร้างให้อิงแอบอยู่กับร่มไม้ใหญ่ปรากฏให้เห็นในสายตา บ้านที่ฉันใช้อาศัยอยู่มานานตั้งแต่จำความได้ ประตูรั้วสีน้ำเงินสภาพค่อนข้างเก่าเปิดออกตามแรงผลักของฉัน บ้านเงียบไม่มีคนอยู่ แม่ยังไม่กลับจากที่ทำงาน ส่วนพ่อของฉัน...ยังไม่กลับจากการเดินทางอันยาวไกลที่ไม่มีกำหนดเวลากลับที่แน่นอน
ฉันเป็นลูกสาวคนที่สองของครอบครัวที่ประกอบด้วยสมาชิกสี่คน...พ่อ แม่ พี่ชาย และน้องสาว... ครอบครัวที่ฉันกล้าบอกได้เต็มปากว่า อบอุ่นและเปี่ยมสุข และถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงยืนยันเช่นเดิม ถึงแม้ว่าจำนวนสมาชิกจะลดลงเหลือเพียงแค่สามชีวิตก็ตาม
พ่อจากฉันไปนานแล้ว...นั่นคือความจริงที่ฉันต้องยอมรับ พ่อออกเดินทางด้วยการหลับตา หลับไปตลอดกาล ตอนนั้นฉันยังอายุหกเจ็ดขวบ ฉันยังไม่รู้ประสีประสา ฉันรู้เพียงแค่ว่า...พ่อออกเดินทางไปรอบโลก และจะกลับมาเมื่อท่านต้องการ
ฉันอยู่กับแม่และพี่ชายมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ ช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต กำลังจะต้องเลือกเส้นทางไว้ก้าวเดิน เข็มทิศชีวิตของฉันยังคงหมุนวนไม่รู้ทิศที่แน่นอน แต่ไม่นานฉันคงจะรู้
ชีวิตนักเรียนปีสุดท้ายนั้นย่อมวุ่นวายเป็นธรรมดา ไหนจะอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไหนจะการเรียนที่โรงเรียน กิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน แต่ความเหนื่อยล้าที่มาพร้อมกับความวุ่นวายนี้ได้จางหายไปทันทีเมื่อมีคนที่เราเรียกได้เต็มปากว่า 'เพื่อน' คอยเคียงข้าง
ฉันไม่ใช่คนที่มีเพื่อนฝูงมากมายนัก แต่ฉันมีเพื่อนสนิท เพื่อนที่ฉันไว้ใจ เพื่อนที่คอยเคียงข้างกายทุกเวลาที่ฉันต้องการ
ฉันกับเธอ...พบกันในวันนั้น...
ชมพูพันธุ์ทิพย์ผลิดอกสะพรั่งบนกิ่งก้านไร้ใบที่ยืนต้นสูงเรียงรายไปตามทางปูนซึ่งปูลาดข้างสนามหญ้าสีเขียวสด เด็กนักเรียนเดินสวนทางกันไปมา แต่ไม่มีใครทักทายใคร เพราะต่างก็กำลังเคร่งเครียดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้
ฉันนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งหินใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ดอกสีชมพูอ่อนร่วงหล่นผ่านหน้าฉันไป ฉันนั่งรอเวลาประกาศเรียกเข้าห้องสอบ...ฉันในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่หอบความหวังอันเต็มเปี่ยมไว้ ความหวังที่จะเข้าโรงเรียนแห่งนี้ให้ได้
เสียงประกาศเรียกให้นักเรียนทุกคนเข้าห้องสอบ เด็กนักเรียนที่มาจากต่างสถาบันกันเดินผ่านประตูเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตนซึ่งกำหนดไว้ในบัตรประจำตัวสอบ เสียงประกาศเรียกยังคงดังอีกครั้ง พร้อมๆ กับอาจารย์คุมสอบที่ก้าวเข้ามาภายในพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลในอ้อมแขน
อาจารย์หญิงวัยกลางคนหยุดยืนกลางห้อง ใช้สายตามองลอดแว่นสำรวจนักเรียนในการคุมของตน พร้อมกับมืออีกข้างที่เปิดซองเอกสารออก ก่อนเดินไล่แจกข้อสอบไปตามโต๊ะที่เรียงเป็นแถวไว้
แล้วเท้าของเธอก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่อยู่กลางห้อง เจ้าของโต๊ะยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น เธอถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย แล้วข้ามไปแจกข้อสอบให้กับนักเรียนคนถัดไป
ข้อสอบถูกวางลงตรงหน้าฉัน เสียงออดสัญญาณเริ่มทำข้อสอบดังขึ้น ทุกคนลงมือทำข้อสอบด้วยความตั้งใจ อาจารย์วัยกลางคนเดินไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่หลังห้อง พลางใช้สายตาที่คมกริบประดุจเหยี่ยวกราดมองนักเรียนในห้อง สอดส่ายหาคนทุจริตเพื่อจะกาหัวข้อสอบ
ความเงียบงันโรยตัวเหนือทุกคนในห้องสอบ มีเพียงเสียงพลิกกระดาษที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ เท่านั้น แต่แล้วเสียงผลักประตูให้เปิดออกก็ดังขึ้นทำลายสมาธิของฉันให้กระเจิดกระเจิงแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่ปรากฏตัวหลังเวลาสอบผ่านไปสิบกว่านาที
เธอเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ผมสีดำขลับถูกถักเป็นหางเปียสองข้าง เธอเดินเข้ามาภายในห้องก่อนนั่งลงบนโต๊ะกลางห้องที่ว่างอยู่ พร้อมกับขอโทษขอโพยอาจารย์คุมสอบที่ส่งสายตาคมกริบมาให้อย่างมีความหมาย
เสียงฝีเท้าและร่างของอาจารย์หญิงกลางคนก้าวผ่านฉันไปหยุดยืนตรงหน้าเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอช้อนสายตาขึ้นมามองผู้อาวุโสกว่า พร้อมๆ กับเสียงของอาจารย์ที่ดังขึ้น
"เข้าห้องสาย ไม่มีสิทธิสอบ"
เด็กหญิงคนนั้นยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา ก่อนพลิกบัตรประจำตัวสอบอ่านอะไรบางอย่างอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็คลี่ยิ้มส่งให้อาจารย์ แล้วก้มหน้าลงทำข้อสอบต่อ ไม่ยี่หระต่อสายตาอันเชือดเฉือนของอาจารย์ที่ยืนข้างเธอเลยสักนิด
เสียงกระแอมไอดังขึ้นจากอาจารย์ประจำห้องสอบ ราวกับต้องการเตือนคนเข้าห้องสอบสาย ทว่ามีเพียงเสียงใสๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากปากคู่สวยของคนถูกเตือน
"หนูเข้าสอบสายไปสิบห้านาที ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง...อาจารย์ตัดสิทธิ์หนูไม่ได้หรอกค่ะ"
คำพูดคำจาของเธอทำให้ฉันขนลุกซู่ ก่อนรีบก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบต่อ ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เธอจะกล้าต่อล้อต่อเถียงกับอาจารย์หน้าโหดคนนั้น ไม่คิดมาก่อนเลย...
เสียงส้นรองเท้าของอาจารย์กระทบพื้นห้องดังก้อง พร้อมๆ กับการเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตน แล้วห้องสอบก็เข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
และแล้วช่วงเวลาที่แสนทรมานก็สิ้นสุดลง เมื่อเสียงสัญญาณหมดเวลาดังขึ้น หลังจากที่ต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้มาเกือบทั้งวัน ฝูงนักเรียนพากันกรูออกจากห้องสอบ เสียงจอกแจกจอแจเอะอะโวยวายดังขึ้นตามมา ฉันเดินออกจากห้องสอบหลังจากยื่นข้อสอบส่งให้อาจารย์คุมสอบเสร็จแล้ว เดินมายังม้านั่งหินตัวเดิม ก่อนทิ้งตัวลงทอดอารมณ์เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีฟ้าใสที่มีเมฆขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่
ร่างของใครคนหนึ่งนั่งลงบนม้าหินข้างๆ ฉัน ฉันเบือนหน้าไปมอง แล้วก็ต้องพบกับรอยยิ้มกว้างจากเจ้าตัว เด็กหญิงคนที่เข้าห้องสอบสายนั่นเอง คนที่ปากกล้าถึงขนาดต่อปากต่อคำกับอาจารย์ และรักษาสิทธิ์ของตนได้อย่างยอดเยี่ยม ฉันยิ้มตอบกลับเธอไปตามมารยาท แล้วมือของเธอยื่นมาตรงหน้าฉัน
"สวัสดี...ฉันชื่อป่าน ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
เธอเอ่ยแนะนำตัวเสร็จสรรพ ฉันมองหน้าเธองงๆ ก่อนยื่นมือออกมาจับโดยดี พลางแนะนำตัวบ้าง
"เพียงดาวจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน"
"ดาวเหรอ" ป่านเอียงคอถามฉัน ฉันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
"อื้ม...ดาว"
"จ้ะ...แล้วเจอกันวันเปิดเทอมนะ" ป่านว่าพลางยันตัวลุกขึ้น แต่เมื่อเห็นหน้าตาฉงนสงสัยของฉัน เธอก็รีบอธิบายขยายความ "เพราะพวกเราเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกันแล้วไง ยังไงๆ เราก็ต้องได้เข้าโรงเรียนนี้ จริงมั้ย?"
เธอว่าพลางโบกมือลา ฉันยิ้มรับคำพูดของเธอ พลางจ้องมองร่างของป่านที่ค่อยๆ วิ่งออกไปหน้าโรงเรียน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูใหญ่หน้าโรงเรียน ยืนรอรถเมล์เพื่อกลับบ้านของฉัน...กลับไปยังที่ซุกหัวนอนของฉัน พร้อมบอกเล่าเรื่องราวในวันนี้ให้แม่ฟัง...
นั่นคือวันที่ฉันได้พบกับเธอวันแรก จนบัดนี้ก็เกือบจะหกปีแล้ว...หกปีที่ทำให้ฉันรู้จักป่านมากยิ่งขึ้น หกปีที่หล่อหลอมจิตใจสองดวงให้สนิทแน่นแฟ้น ป่านและฉันเป็นเพื่อนกัน...เพื่อนรักกันเลยทีเดียวแหละ
ปานแข...นั่นคือชื่อของเธอ ชื่อที่เหมาะสมกับเธอมากในความคิดของฉัน เธอก็เป็นเหมือนดวงจันทร์ที่ทอแสงสดใสบนท้องนภาอันมืดมิด เป็นดวงจันทร์ที่มีดาวอย่างฉันเป็นเพื่อนยังไงล่ะ จันทราที่ไม่ว่าจะรอนแรมไปที่ใด ก็จะมีดวงดาวดวงน้อยๆ คอยเคียงข้างเสมอ
เราปรึกษาปัญหากันตลอดเวลา ใครมีปัญหาอะไรก็จะมาปรึกษาอีกคนเสมอ นั่นทำให้เรายิ่งสนิทกันมากขึ้น เรียกได้ว่า ระหว่างเรา...ไม่เคยมีความลับต่อกัน และไม่มีใครเคยคิดจะขายความลับของอีกฝ่ายให้คนอื่นได้รับรู้
ป่านกับฉันแตกต่างกันมาก แต่มันคือความแตกต่างที่ลงตัว เวลานี้ฉันมุ่งเป้าสอบเข้าหมอ ในขณะที่ป่านยังเลื่อนลอยไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด เธอบอกว่าเธอชอบเรียนกับธรรมชาติ เธอชอบทำงานที่ไม่หยุดอยู่กับที่ ฉันเสนอคณะมากมายให้กับเธอ แต่มันก็ยังไม่ถูกใจเธอเลยสักคณะ จนเธอต้องยิ้มกว้าง แล้วบอกกับฉันว่า
'เอาน่า ถึงเวลาก็มีที่เข้าเองแหละ'
นั่นคือป่านที่สบายๆ เสมอ ไม่เคยเคร่งเครียดกับเรื่องใดๆ ป่านเป็นคนสดใสร่าเริง ในขณะที่ฉันออกจะนิ่งเงียบเลยด้วยซ้ำ ป่านจะพูดได้ทั้งวันไม่หยุด ในขณะที่ฉันก็จะรับฟังได้ทั้งวันเช่นกัน เพราะเหตุนี้ด้วยกระมังที่ทำให้ฉันกับป่านคบหากันมาได้นานขนาดนี้
ฉันเผลอยิ้มให้กับตัวเอง ภาพวันเวลาเก่าๆ ไหลเข้ามาในสมองของฉัน แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเรียกฉันให้หลุดออกมาจากภวังค์ ฉันเดินตรงเข้าไปรับโทรศัพท์ในห้องรับแขก
"สวัสดีค่ะ"
ฉันเอ่ยทักทายกับปลายสาย คนที่อยู่ปลายสายนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยพูดช้าๆ
"ขอสายดาวค่ะ"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ฉันคลี่ยิ้ม ก่อนกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว "ป่านเหรอ มีอะไรล่ะ"
"ดาว..." ป่านเว้นช่วงเล็กน้อย ราวกับพยายามรวบรวมกำลังใจให้เอื้อนเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา "ดาว..."
เสียงของป่านนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก ฉันตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ แล้วประโยคต่อมาของป่านก็ทำให้ฉันต้องนิ่งเงียบ
"ฉันเกลียดเธอ...ฉันไม่เคยมีเพื่อนอย่างเธอ!"
สิ้นคำพูดป่านก็กระแทกหูใส่ฉันทันที ฉันยังคงอึ้งค้าง มือสั่นระริกควบคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วหูโทรศัพท์ก็ร่วงหล่นลงจากมือ
...เธอพูดว่าอะไรนะป่าน...พูดใหม่อีกทีสิ...
...บอกฉันสิว่า เธอแค่ล้อฉันเล่น...
ความคิดเห็น