ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Shadows

    ลำดับตอนที่ #1 : สัญญาแห่งอาณาจักร

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 48


    The Shadows...





        “ข้าขอสัญญาต่อหน้าเหล่าทวยเทพทั้งหลาย... อาณาจักรนาร์มาเซียจะสงบสุข ปราศจากเปลวเพลิงแห่งสงคราม...”



        สิ้นสุรเสียงเปล่งปฏิญาณตนของกษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งอาณาจักร มงกุฎทองคำก็ถูกสวมลงบนศีรษะด้วยมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเสื่อมถอยของวัย ประชาชนแซ่ซ้องสดุดี รอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของผู้คนทั่งทั้งอาณาจักร ธงประจำอาณาจักรปลิวไสวโต้สายลม แสงสว่างทางฝั่งตะวันออกฉายแสงเรืองรอง มหาวิหารบนยอดเขาใจกลางอาณาจักรอันเป็นที่พำนักแห่งเหล่าเทพผู้คุ้มครองอาณาจักรส่องแสงเจิดจรัสตอบรับคำปฏิญาณของกษัตริย์ และถ้าหากกษัตริย์ผิดสัญญา สิ่งที่จะตามมาคือบัลลังก์ที่สั่นคลอน...





        มันเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต่างต้องตกอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญแขวน เหล่าชายฉกรรจ์ถูกเกณฑ์ให้ไปรับใช้อาณาจักร เมฆหมอกทะมึนก่อเค้าขึ้นที่ฝั่งตะวันตก ก่อนจะค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมทั่วบริเวณ โลกทั้งโลกถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวไฟแห่งสงครามที่ไม่มีวันดับ จนกว่าต้นเหตุแห่งสงครามจะได้สติ และคิดจะเจรจากันเพื่อหาข้อยุติ...



        เสียงกลองศึกถูกกระหน่ำรัวอย่างบ้าคลั่ง เพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งการฆ่าที่แฝงตัวอยู่ในกายให้ตื่นขึ้น โลหิตถูกสูบฉีดวิ่งพล่านทั่วกายา มือกร้านกระชับด้ามดาบในมือแน่น สิ้นเสียงการให้สัญญาณของแม่ทัพ กองทัพใหญ่ก็วิ่งเข้าปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง



        ผงธุลีตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ฝีเท้าของม้าศึกที่กระทบกับพื้นเกิดเสียงดังกึกก้อง บันไดไม้ไผ่ถูกพาดขึ้นไปบนกำแพง และหน่วยโจมตีก็พากันปีนขึ้นไป หวังเข้าไปภายในกำแพงเมือง



        ก้อนหินถูกปล่อยออกจากปราการที่หนาแน่น ร่วงลงไปซัดให้ข้าศึกกระเด็นหลุดออกจากบันไดที่ตนกำลังปีนขึ้นมา ธนูไฟถูกยิงออกจากคันธนูพุ่งไปยังเป้าหมายที่กำลังซัดอาวุธใส่คนรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง ร่างนั้นลุกไหม้ทันทีเมื่อถูกเปลวเพลิง ก่อนจะดิ้นพรวดพราดหวังให้ไฟที่ลุกทั่วกายของตนดับลง...



        เสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมดังขึ้นมาจากทั้งสองฝ่าย อริศัตรูกู่ร้องโหยหวนอย่างยินดี ส่วนฝ่ายถูกโจมตีก็รัวกลองศึก พร้อมกับเป่าแตรปลุกไฟในกายของไพร่พลให้โหมลุกขึ้นอีกครา



        ชั่วขณะหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างภายในสนามรบดูจะยุติลงชั่วคราว เมื่อฝีเท้าม้าที่ดังมาจากทางทิศตะวันตก ฝีเท้าของม้าตัวเดียว... แต่มันกลับกลบกลืนทุกสิ่งให้เงี่ยหูฟังอย่างฉงนสนเท่ห์ ชายชุดดำบนหลังม้าปรากฏตัวขึ้นปลุกให้กองทัพของศัตรูร้องอย่างบ้าคลั่งและฮึกเหิม บัดนี้นายทัพของตนได้ลงมาร่วมรบแล้ว... สองฝ่ายพุ่งอาวุธใส่กันไม่หยุดยั้ง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็น และไหลหลั่งลงอาบพื้นปฐพีให้กลับกลายเป็นสีแดงสด...



        สายฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย พายุก่อเค้าขึ้นที่ฝั่งตะวันออก แต่สงครามยังคงดำเนินต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง และบัดนี้แม่ทัพของอีกฝ่ายก็มาปรากฏตัวต่อหน้าชายชุดดำคนนั้นแล้ว...





        เสียงดนตรีจากขลุ่ยไม้ขับกล่อมให้โลกทั้งใบสงบ สายฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก เสียงขลุ่ยที่คละเคล้ากับเสียงสายฝน เกิดเป็นท่วงทำนองหวานหู แต่แสนเศร้าสุดจะประมาณได้...



        จิตใจของผู้คนกำลังร้องไห้... ไม่เว้นแม้แต่จิตใจของขุนศึกในสนามรบที่แสดงท่าทีแข็งแกร่ง แต่ทว่าจิตใจกลับเปียกปอนไปด้วยน้ำตาที่กลั่นออกมาจากใจ...



        สายตาสองคู่ทอดมองกองทัพเบื้องล่างอย่างหดหู่ เหล่าเทพให้เวลากับมนุษย์มามากพอแล้ว มากจนมนุษย์มีเวลาว่างมาคิดค้นเกมขึ้นมาใหม่แก้ง่วง... เกมที่มีชื่อว่า... “สงคราม”



        เสียงขลุ่ยเริ่มกระชั้นขึ้น ท่วงทำนองหวานหูแปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองที่เร่าร้อน เสียงนุ่มหูกลับสูงแปร่งจนหูมนุษย์มิอาจทน นิ้วมือเรียวขาวที่รัวอยู่บนลำขลุ่ยปิดๆ เปิดๆ รูขลุ่ยนั้นเริ่มรัวเร็วยิ่งขึ้น ก่อนที่ขลุ่ยจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเสียงกรีดก้องของขลุ่ยลำนั้นที่ยุติลง



        แสงจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่นับถือศรัทธาของผู้คนสว่างวาบขึ้นในความมืดมิด กลืนกินความมืดมนให้หายไปจนหมดสิ้น ขับไล่เมฆดำให้สูญสลายไป ก่อนแสงสีทองจะพร่างพราวระยิบระยับบนนภาอันกว้างไกล



        ผู้คนไม่ยึดถือเทพเจ้ามานานเท่าไหร่แล้ว มนุษย์กระทำการล้ำเส้นแบ่งระหว่างเทพกับตน และมีคนบางคนที่ตั้งตัวเทียบเทียมเทพ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว เวลาที่เทพจะต้องเข้ามายึดครองโลกมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์รู้สึกตัว...



        ต้นกล้าเริ่มโผล่พ้นดินอีกครั้ง เถ้าถ่านฝุ่นผงที่ถูกเผาผลาญจากไฟสงครามลอยตลบอบอวลทั่วบริเวญ ก่อนฝนห่าใหญ่จะกระหน่ำลงมาชำระล้างสิ่งสกปรกจากจิตใจและสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ในสนามรบให้สะอาดขึ้นอีกครั้ง



        ป่าใหญ่ถูกปลูกขึ้นรายล้อมอาณาจักรจากฝีมือของคนๆ หนึ่ง... คนเดียวเท่านั้น... เพื่อให้มันเป็นพฤกษาปราการที่แข็งแกร่ง ป้องกันไม่ให้สงครามที่รายรอบอยู่รุกล้ำเข้ามาภายในได้... และการกระทำของเขาก็หนีไม่พ้นสายตาแห่งความชื่นชมของผู้ที่สถิตอยู่ ณ วิหารบนเขาสูง...



        ชายผู้กระทำการนี้เป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ผู้คนรับรู้แต่เพียงผลงานที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของเขา และเฝ้ายกย่องสรรเสริญ โดยไม่เคยจะเห็นคนๆ นั้น... เขาเป็นผู้ที่ปลูกต้นไม้ได้เก่งที่สุดในอาณาจักร เพียงไม่กี่ปีต้นไม้ที่เขาปลูกไว้รอบชายแดน ก็กลายเป็นปราการที่ต้านทานสงครามภายนอก... โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า ป่าธรรมดาๆ เช่นนั้น เหตุใดจึงกลายเป็นกำแพงที่แข็งแกร่ง... ไม่มีใครรู้เลย นอกจากตัวของเขา และมิตรสหายที่อาศัยอยู่ในป่าที่ขึ้นรายล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศของอาณาจักร...



        เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วขับกล่อมผู้คนให้ดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุข ประชาชนลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายและใช้ชีวิตต่อไป และยอมรับระบบการปกครองของเทพเจ้าที่ทุกคนรู้ว่า อีกไม่นานเทพเจ้าก็จะต้องมอบการปกครองให้กับมนุษย์อีกครั้ง...





        และวันเวลานั้นก็มาถึง... วันที่เหล่าเทพตัดสินใจให้มนุษย์กลับมาปกครองตนเองอีกครั้ง แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อใดที่สงครามย่างกรายเข้ามาในอาณาจักร และไม่มีวันยุติ เมื่อใดที่กษัตริย์ไม่สามารถรักษาสัญญาแห่งตนได้ เมื่อนั้นเทพเจ้าจะเข้ายึดครองอาณาจักรของมนุษย์อีกครั้ง... และจะไม่ปล่อยให้มนุษย์สามารถลิขิตชีวิตของตัวเองได้อีกเลย...



        ...และพวกเขายังคงเฝ้ามองพวกมนุษย์อยู่ จากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งเด่นบนภูผาสูง...





        “ข้าขอปฏิญาณต่อหน้าทวยเทพแห่งอาณาจักร ข้าจักไม่มีวันยอมให้แผ่นดินลุกเป็นไฟด้วยเปลวเพลิงแห่งสงคราม...”









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×