ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    New aGe

    ลำดับตอนที่ #6 : บทพิเศษ 2 :อดีต

    • อัปเดตล่าสุด 9 ธ.ค. 58


    EXTRA CHAPTER 2

    อดีต

                    เพราะอลิชต้องการรู้เรื่องในอดีตของพวกเราที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งความมืดนี้ ทำให้ผมต้องจำใจเล่าทั้งที่ตัวผมนั้นตั้งใจว่าจะปิดมันไปตลอดกาล แต่ก็อย่างว่าล่ะน่ะ 'ความลับไม่เคยมีในโล'

    "มันเริ่มต้นที่วันนั้น วันที่มีเสียงประกาศเตือนจากทางการ 'ประชาชนรีบหาที่อพยพโดยด่วนที่สุดควรเตรียมน้ำและอาหารไปด้วย ทางที่ดีควรลงใต้ดินให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอย่าขึ้นมาบนดินอีกเป็นอันขาดจนกว่าทางการจะเข้าไปช่วยเหลือพวกท่าน' และไม่นานหลังสิ้นเสียงประกาศเหล่านั้น แผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง"

    "ฉันจำเหตุการณ์นั้นได้ดีเลยล่ะ"

    อลิชพูดออกมาทำให้ผมที่พูดอยู่นั้นหยุดลงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นต่อ

    "ตอนนั้นฉันกับครอบครัวได้ ขับรถยนต์ของครอบครัวไปที่ถ้ำที่ใกล้ที่สุด ฉันที่อายุเพียงหกขวบนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นมากนัก ฉันรู้เพียงเรื่องที่พ่อแม่บอกกับฉันว่า 'ไม่มีอะไรมากหรอกลูกมันก็แค่ซ้อมการอพยพเท่านั้นเอง' ฉันก็ได้แค่เพียงพงกหัวรับทราบเท่านั้น"

    "เราจะรู้ได้ยังไงว่าแกเล่าเรื่องจริงไม่โกหก!"

    กัสพูดขัดขึ้นทันใดตามด้วยอลิชที่หันไปว่ากัส

    "อย่าพึ่งขัดซิ!"

    ตอนนี้พวกเวรีเนี่ยมที่อยู่รอบตัวผมนั้นผมได้ทำการควบคุมพวกมันไว้หมดแล้วนี่คือเหตุผลที่พวกมันไม่เข้ามาโจมตีพวกอลิชและผม

    "เล่าต่อซิ..."

    ไวโอเล็ทพูดขึ้น

    "ในถ้ำที่พวกเราเข้าไปนั้น มีคนอยู่มากมาย มีทั้งที่มาคนเดียว มาเป็นครอบครัวหรือมากับแฟนเพียงแค่สองคน ที่นี่ข้างล่างนี้พวกเรามีเพียงแค่ตะเกียงหรือไม่ก็เทียนที่ให้แสงสว่าง ตอนนั้นฉันเห็นพวกพ่อแม่ที่กอดกันและพูดว่า 'เรารอดแล้ว' หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์อาหารน้ำและแสงเทียนก็เริ่มหมดลง ความช่วยเหลือจากทางการก็ไม่มาซักที และแล้วก็มีชายสองคนทะเลาะกัน

    'แกขโมยอาหารฉันใช่ไหมว่ะ!'

    'ฉันเปล่าน่ะเว้ย!'

    'งั้นมันจะหายไปได้ยังไง! งั้นฉันขอค้นที่พักของแกเลยล่ะน่ะ!'

    'แกทำแบบนั้นไม่ได้น่ะเว้ย!'

    จากนั้นชายคนที่เป็นเจ้าของที่พักก็ชกเข้าไปที่ใบหน้าของชายอีกคนอย่างจัง

    'ฉันบอกไงว่าไม่!'

    เขาตะโกนออกมาในขณะชายที่โดนชกก็สวนกลับด้วยหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของชายคนที่ชกของเขา

    'แกจะเอาใช่ไหม!'

    พวกเขาชกต่อยกันไปมาจนผู้คนรอบข้างมองแต่กลับไม่มีใครอยากเข้าห้ามราวกับว่าไม่อยากไปยุ่งด้วย"

    "แล้วเรื่องราวนี้มันสำคัญยังไงกันล่ะเข้าเรื่องซะที่ซิแกจะยืดเรื่องทำไม"

    เสียงของกัสดังขึ้นมา ผมที่รู้สึกหมั่นไส้หมอนี่ตั้งแต่เห็นหน้าแล้วทำให้เริ่มอยากจะจัดการเขาขึ้นไปอีก

    "เรื่องจริงมันเริ่มหลังจากนี้ตั้งหากล่ะ"

    ผมพูดกลับไปหาเข้าพร้อมกับส่งสายตาที่อาฆาตแค้นไปหาเขา เพราะผมรู้สึกคุ้นหน้าเขาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน

    "เพราะเรื่องชายที่ทะเลาะกันคนในถ้ำต่างระแวงซึ่งกันและกันในที่สุดเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนอาหารและน้ำและเทียนก็หมดลงในถ้ำนั่นมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่างและเมื่อเวลาผ่านไปอีกสองวันผู้คนที่นี่ก็กลายเป็นเหมือนฝูงสัตว์ที่บ้าคลั่งเข้าต่อสู้ห่ำหันกันผู้คนที่มีสติบางส่วนก็หนีขึ้นไปข้างบนดินแต่ส่วนมากพวกเขาก็เหยียบกันตายก่อนที่จะขึ้นไปถึง"

    "เดี๋ยวน่ะอเล็ก...นายบอกว่าผู้คนที่อยู่ในถ้ำเข้าห่ำหันกันทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั่นล่ะ"

    อลิชถามขึ้นและดูเหมือนไวโอเล็ทก็จะสงสัยด้วยเหมือนกัน

    "เธอลองคิดดูน่ะพวกเขาอยู่ในความมืดมิดมาถึงเกือบๆหนึ่งเดือน อาหารที่กินไม่เคยอิ่ม น้ำที่ไม่เคยได้อาบ การขับถ่ายของเสียที่ไม่มีที่ให้กำจัด บางครั้งชายฉกรรจ์ก็พยายามลวนลามหญิงสาวที่อยู่คนเดียว กลิ่นในนั้น เชื้อโรคในนั้น และรังสีที่ซึมมาจากข้างบน ทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนสัตว์พวกเขาที่หิวโหย พวกเขาเริ่มกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง ฉีกกินร่างกินแบบไร้ปราณีไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ เพราะพ่อแม่และฉันลงมาช่วงท้ายๆทำให้ได้อยู่บริเวณหน้าทางเข้าถ้ำ ทำให้ฉันไม่สามารถเห็นได้ว่าข้างในถ้ำนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกๆ 10 นาทีจะมีคนร้องโหยหวนเสียงนั้นดูเหมือนจะทรมานมาก พ่อแม่ฉันจึงเริ่มปรึกษากันว่าควรจะไปจากที่นี่หรือไม่ พ่อฉันเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

    'เราต้องจากที่นี่น่ะแม่' ตามมาด้วยคำตอบของแม่ 'ไม่! เราจะอยู่ที่นี่ทางการบอกให้รอเราก็รอซิ!' แม่ฉันที่ขึ้นเสียงกับพ่อเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฉันเกิดมา 'นี่แม่! ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย' พ่อก็ขึ้นเสียงตาม พวกเขาสองคนเถียงกัน เถียงกันมากรุนแรงขึ้น ฉันได้แต่นั่งร้องไห้เอามือปิดหูไว้เพราะไม่อยากได้ยินเสียงของคนที่ฉันรักที่สุดทะเลาะกันตอนนั้นฉันไม่รู้ต้องทำยังไง ไม่รู้จะไปพึ่งใคร และแล้ว "ฉึก!" เสียงดังเหมือนของแหลมแทงเข้าสู่อะไรบางสิ่ง ฉันเลยหันกลับไปดู พบว่าพ่อโดนหินเสียบหลังทะลุมาข้างหน้าและต่ำแหน่งที่โดนเสียบก็อยู่บริเวณอกด้านซ้าย 'หนีไป...' พ่อบอกกับฉัน ฉันเดาว่าแม่คงจะเป็นคนผลักพ่อไปโดนหินนั้นตอนนี้แม่น่าจะเสียสติไปแล้ว เพราะแม่ได้พยายามทำร้ายพ่อโดยการ 'กัดไปมา เอาเล็บข่วนไปทั่วตัวของพ่อ' ฉันที่สติแตกไปแล้วนั้น ก็วิ่งออกมาจากตรงนั้นและเมื่อฉันหันกลับไปดู ฉันเห็นฝูงมนุษย์ที่เสียสติกำลังฉีกร่างพ่อของฉันอยู่โดยที่พ่อยังไม่หยุดหายใจ"

    พอผมเล่าเรื่องอดีตของผมถึงตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะตลึงในเรื่องราวไม่ต่างกัน ทั้งอลิช ทั้งไวโอเล็ท หรือแม้แต่หมายเลข 71 เด็กชายอายุ 16 ผู้ไม่ยอมบอกชื่อใคร เหลือเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาการใดๆนั้นคือกัส

    "นี่อเล็ก...ฉันเจอกับนายตอนไหนบอกฉันทีซิ"

    ไวโอเล็ทถามผม  

    "งั้นฉันขอเล่าลัดไปตอนเจอเธอเลยแล้วกันน่ะ ตอนที่ฉันเจอกับไวโอเล็ทครั้งแรกน่ะ ตอนนั้นฉันกำลังจะโดนรุมฆ่าอยู่ในถ้ำ"

    "ถ้ำไหน?"

    ไวโอเล็ทถาม

    "ก็ดินแดนสุดท้ายไงล่ะ ถ้ำที่พวกเธอพึ่งออกมากันนั้นและ"

    "นายมาที่ถ้ำนั้นได้ยังไง"

    อลิชถาม

    "ฉันหนีมาจากถ้ำที่พ่อแม่ฉันอยู่ไงล่ะฉันที่ติดอยู่บนดินในดินแดนแห่งความมืดมิดนั้นมีหญิงสาวไวรุ่นคนหนึ่งช่วยฉันไว้ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่เมื่อเราไปขอความช่วยเหลือกับพวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในดินแดนแห่งแสงพวกเรากลับ...ฉันขอไม่เล่าตอนนี้เพราะฉันไม่อยากคิดถึงมัน"

    "แกคิดจะปิดบังเหรอ!"

    กัสตะโกนออกมา ใช่ตั้งแต่เขาคุยกับผมเขาไม่เคยคุยด้วยน้ำเสียงที่ดีๆเลย แต่ผมไม่สนใจในคำพูดของเขาผมจึงเล่าต่อจากที่เจอไวโอเล็ทอยู่ในถ้ำ

    "งั้นฉันเล่าต่อน่ะ...ในถ้ำช่วงแรกๆนั้นทุกอย่างวุ่นวายไปหมด ทุกๆคนต่างอยากจะเป็นหัวหน้าที่นี่ พวกเขาต่างขัดแย้งกันโต้เถียงกัน ฉันที่พึ่งเข้ามาถึงทีหลัง พยายามออกความคิดเห็นว่า 'นี่ๆอย่าทะเลาะกันซิ ฉันว่าเรามาตกลงกันดีกว่าน่ะ' แต่ทุกคนในถ้ำนั้นกลับหันมาทางฉันพร้อมกับมองด้วยสาตาที่เหมือนจะฆ่าฉัน 'นายมาใหม่นายจะรู้อะไร ฉันอยู่ที่นี่มาเกือบสองเดือนแล้ว พวกเราที่นี่กินหินเป็นอาหาร นายคงคิดไม่ถึงงั้นซิน่ะ อ้อ...ก็นายมันเป็นแค่เด็ก 6 -7 ขวบนี่จะไปรู้อะไรล่ะ ใช่ไหม? นายคงจะร้องไห้หาแม่หาพ่อจนมาเจอที่นี่เข้าซิน่ะมาเจอพวกเรา แต่ว่า...พอดีที่นี่น่ะคนเต็มแล้วว่ะ' ชายอายุประมาณ 17-18 ปี พูดใส่ฉันมันดูถูกฉัน ฉันจึงชกเข้าไปที่หน้าของมัน"

    "นี่ฉันยังไม่มาอีกเหรอ?"

    ไวโอเล็ทถามผมด้วยความสงสัย

    "จะมาหลังจากนี้และ...ชายคนที่โดนฉันชกหน้ามันถีบฉันจนฉันกระเด็นถอยหลังล้มลงไปกับพื้นจากนั้นมันก็พูดขึ้นว่า 'เฮ้ยพวกเรา เราไม่ได้กินเนื้อมานานแล้วนี่ ยังไงที่นี่ก็ไร้กฎอยู่แล้ว จะเอาเนื้อมนุษย์มากินซักหน่อยจะเป็นไรไป...' ไม่นานเสียงเฮจากพวกที่อยู่ด้านหลังของพวกมันก็ดังขึ้น แต่มีแต่พวกที่อายุประมาณ 17-18 ปีที่มีจำนวนประมาณ 30 คนเท่านั้นที่ตะโกนดีใจออกมาส่วนพวกเด็กที่อายุประมาณเท่ากันกับฉัน ได้แต่ทำหน้ากลัวกัน ฉันที่ล้มได้พยายามลุกขึ้น แต่ฉันที่ยังไม่ได้ตั้งสติอะไรก็ถูกมันบีบคอแล้วยกให้ลอยจากพื้น

    'ปล่อยเขาน่ะ!' เสียงตะโกนจากข้างหลังของฉันที่กำลังโดนบีบคออยู่ ฉันพยายามหันไปมองแต่ภาพที่ฉันเห็นตอนนั้นมันเลือนรางมาก...ฉันเห็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงผิวสีขาวซีดและนั่นก็คือเธอ"

    "ฉันจำได้แล้วล่ะอเล็ก..."

    ไวโอเล็ทพูดขึ้นในทันที

    "เธอแน่ใจว่าเธอจำได้ทั้งหมด..."

    "ฉันแน่ใจ...ทั้งเรื่องที่ฉันช่วยนาย โดยการเผาไอ้พวกนั้นทั้งเป็นฉันยังจำภาพที่พวกมันทุรนทุรายได้อยู่เลย"

    "งั้นแปลว่าเธอก็จำเรื่องผู้หญิงคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม"

    เธอไม่ตอบแต่เธอเดินมาทางที่ผมยืนอยู่...

    "จะไปไหนน่ะไวโอเล็ท เธอจะทำอะไรน่ะ เขาไว้ใจได้งั้นเหรอ!"

    อลิชพยายามพูดโน้มนาวให้เธอหยุดเดินมาหาผม

    "อลิชฉันขอบคุณน่ะที่เธอพยายามปกป้องแต่ฉันน่ะอยู่ข้างเดียวกันกับคนที่จะทำลายพวกเราที่อาศัยอยู่ในความมืดไม่ได้หรอกน่ะ"

    ไวโอเล็ทมายืนอยู่ข้างๆผมหลังจากที่เธอพูดจบ

    "หมายความว่าไง...? งั้นเรื่องที่พวกเธอบอกฉันในตอนที่ฉันอยู่ในถ้ำนั้นก็โกหกเหรอ..."

    "ใช่...ฉันโกหกเธอเองและเพื่อปิดบังความจริงอันมืดมิดของไวโอเล็ทเอาไว้..."

    ผมพูดตอบอลิชที่สงสัยและหลังจากนั้นไวโอเล็ทก็พูดขึ้น

    "ตอนที่ฉันช่วยอเล็กเอาไว้นั่นเป็นตอนที่ฉันใช้พลังครั้งแรก ฉันเผาพวกไอ้วัยรุ่นพวกนั้นจนกลายเป็นเท่าถ่าน หลังจากนั้นฉันก็แทบจะเป็นบ้าไปเพราะฉันพึ่งฆ่าคนไป 30 คน ฉันเดาว่าอเล็กคงจะตั้งใจลบความทรงจำฉันและควบคุมฉันและสอนให้ฉันใช้พลังเพื่อช่วยฉัน...มันเป็นความจริงใช่ไหมอเล็ก"

    เธอที่ถามผมมาอย่างงั้น...ทำให้ผมเลือกคำตอบที่จะตอบไม่ถูกจะตอบว่า 'ใช่แล้วฉันทำอย่างงั้นเองและ' มันก็ง่ายเกินไปจะตอบว่า 'เปล่าหรอกฉันทำเพื่อตอบแทนที่เธอช่วยฉันตั้งหากล่ะ' มันก็ยังไงอยู่ ถึงผมจะทำเพื่อช่วยเธอจริงๆก็เถอะ เธอที่เป็นเด็กผู้หญิงในตอนนั้นที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นตลอดเวลาและเอาแต่ท่องว่า 'ฉันขอโทษๆ' ซ้ำไปซ้ำมา มันทำให้ผมเห็นแล้วรู้สึกทรมานแทนเธอเลยทำการควบคุมเธอซะและอีกส่วนหนึ่งผมคิดว่าถ้าไม่มีใครควบคุมที่นี่อาจจะเกิดเหตุการณ์ต่อสู้กันอีกครั้งก็ได้

    "ใช่...นั้นเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งแต่อีกส่วนก็เพื่อไม่ให้พวกเราต่อสู้กันเองด้วย"

    "ต่อสู้กันเอง...หมายความว่าไงอเล็กฉันไม่เข้าใจ"

    อลิชถามผม...

    "เธอลองคิดดูอีกครั้งน่ะอลิช พวกเราในถ้ำนั้นน่ะมีพลังพิเศษหรือก็คืออำนาจดีๆนั้นเอง แล้วแถมในโลกที่ไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุมด้วยแล้วคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น..."

    "ก็คงเข้าห่ำหันกันเพื่ออำนาจที่จะควบคุมที่นั้นงั้นซิน่ะ"

    "ใช่...ฉันเลยต้องควบคุมพวกเขาไงล่ะ"

    "อะไรกัน..."

    หลังจากอลิชได้คำตอบของผมไป เธอนั้นนั่งคุกเข่าลงกับพื้นในทันทีและกัสก็วิ่งมาจับเธอและพยุงเอาไว้

    "งั้นฉันขอถามอีกอย่าง...ทำไมนายถึงไม่ควบคุมพวกเขาตอนที่เรากำลังจะขึ้นยานล่ะ ฉันรู้น่ะว่านายไม่ได้ควบคุมพวกเขาตั้งแต่ตอนที่ฉันส่งสัญญาณเสร็จ"

    "นั้นก็เพราะฉันอยากจะหยุดเรื่องบ้าๆนี้ไงล่ะ"

    "เรื่องบ้าๆไหนอีกล่ะอเล็ก"

    "เรื่องที่ฉันต้องควบคุมทุกคนอยู่ตลอดเวลาไง"

    "นายทำแบบนั้นก็มีแต่ได้กับได้นี่! นายจะเสียอะไรไปล่ะ!"

    อลิชตะคอกใส่ผม ทำให้ผมรู้สึกตอกย้ำความผิดที่ควบคุมพวกเขามากขึ้นไปอีก

    "อลิช...ในโลกนี้น่ะไม่มีอะไรที่ได้มาแล้วจะไม่เสียบางอย่างไปหรอกน่ะ...พวกเราที่มีพลังพิเศษน่ะ ยิ่งเราใช้พลังมากเท่าไหร่อายุไขของพวกเราก็จะยิ่งสั้นลง ทำไมน่ะเหรอเพราะพลังเกิดมาจากสมองของเรายิ่งเราใช้พลังมากเท่าไหร่สมองก็ทำงานหนักมากเท่านั้น และยิ่งใช้สมองมากเท่าไหร่สมองก็จะเสื่อมสภาพลงตามการใช้ไงล่ะ แต่...เธอเป็นข้อยกเว้นเพราะเธอมีพลังในการฟื้นฟูไม่ว่าเธอจะใช้มันมากเท่าไหร่สมองเธอก็จะฟื้นฟูมากเท่านั้น"

    ตอนนี้อลิชมีสีหน้าตกใจมากขึ้นไปอีกเธอที่คุกเข่าอยู่ก็ยืนขึ้นแล้วก็พูดขึ้นว่า

    "แล้วทำไมนายปล่อยให้พวกเขาตายล่ะ นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนควบคุมพวกเวรีเรี่ยมน่ะ แกปล่อยให้พวกเขาโดนฆ่างั้นเหรอ!"

    "ฉันพึ่งจะควบคุมมันได้ตอนที่มันกำลังจะทำร้ายฉันเมื่อกี้นี้เอง ขอโทษน่ะ...ฉันไม่สามารถช่วยไว้ได้ทุกคน..."

    แล้วกัสก็พูดขึ้นว่า

    "แกยังมีน่ามาขอโทษ-"

    แต่เขายังพูดไม่ทันจบคำพูดของเขาก็โดนตัดโดยคนที่เดินมาจากในความมืดข้างหลังผม

    "เขาขอโทษพร้อมกับเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟังแล้ว และพวกฉันที่ยืนดูพวกเธอเถียงกันตั้งแต่เริ่มต้นทำให้พวกฉันคิดได้ว่าใครคือศัตรูที่แท้จริง..."

    ชายหนุ่มตัวสูงผอมเดินออกมาจากข้างหลังของผม เขาคือลูลัช หมายเลขสาม ชายผู้มีพลังเทเลพอร์ตและเป็นเพื่อนที่สนิทมากที่สุดตอนที่ผมอยู่ในถ้ำ...ถึงผมจะควบคุมเขาอยู่ก็เถอะ และเขาไม่ได้เดินมาเพียงลำพังเขาเดินมาพร้อมกับคนอีกกลุ่มที่เดินตามหลังเขามา

    "ใช่พวกเราเห็นด้วย..."

    กลุ่มคนที่เดินตามหลังพูดขึ้นพวกเขามา มีทั้งหมด 4 คน ชาย 2 หญิงสองคน ผมมองไม่เห็นหน้าพวกเพราะพวกเขายืนอยู่ในเงามืดแต่ก็พอจะเดาได้ว่ามีใครบ้าง ชายที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือสุด เขาชื่อ ไมค์ อายุ 17 ปี ผมสีน้ำตาลออกแดงๆ ตัวสูงหุ่นดีแถมหน้าตายังหล่ออีก พลังของเขาน่ะเหรอถือว่าใช้ได้ล่ะน่ะ 'ควบคุมแรงโน้มถ่วง' มันใช้ได้ดีเลยล่ะ คนต่อมาคนที่ 2 จากซ้ายมือ เธอคนนี้ชื่อไลท์ เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักเธอมัดผมหางม้าไว้ด้านหลังหุ่นสะบึ้มมาก ส่วนพลังของเธอก็ไม่มีอะไรมาก 'สามารถเพิ่มน้ำหนักในการต่อยได้' หมัดเธอเทียบได้กับการยกเอาปลาวาฬมาทับคู่ต่อสู้ได้ คนถัดมาคนที่ 3 จากซ้ายมือเธอก็เป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักเช่นเดียวกับไลท์แต่หุ่นเธอผอมเพรียว ไม่ค่อยหุ่นสะบึ้มเหมือนไลท์ เธอชื่อ ดาร์ค ที่หมายถึงความมืดนั่นและ พลังของเธอคือ 'สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของสิ่งใดก็ได้ที่เป็นสสารโดยการเทเลพอร์ต 'เธอสามารถส่งผมไปอยู่ในใต้ดินยังได้เลย...' เพราะพลังของเธอสามารถเทเลพอร์ตสิ่งไหนก็ได้ไปยังตรงไหนก็ได้ตามใจเธอ ต่อมาคนสุดท้าย คนที่ 4 จากซ้ายมือ 'ฮาปเปอร์' ชายผู้มีร่างกายกำยำ ถึงเขาจะหน้าตาไม่ดีเท่าไมค์ก็เถอะ แต่หุ่นเขานี่...นักกล้ามดีๆนั่นเอง และพลังของเขาคือ 'แข็งแกร่ง' ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้เขามีแผลได้ ผมว่ากล้ามเนื้อเขาคงเป็นเพชรอยู่ข้างในมั้ง และหลังจากพวกเขาพูดจบก็มียานอีกลำบินมาทางพวกเรา...

    "อลิชไปกันเถอะ พวกเราจะกลับบ้านกัน..."

    กัสพูดพร้อมกับจับมืออลิช แต่เธอกลับสะบัดมือออกจากมือของกัสทันทีทันที และหันมาพูดกับผมอีกครั้ง

    "อเล็กแล้วฉันจะแน่ใจว่านายไม่ได้ควบคุมคนพวกนี้อยู่"

    ผมยิ้มให้เธอ...

    "ฉันกล้าสาบานเลยว่าถ้าฉันควบคุมคนพวกนี้จริงๆล่ะก็ฉันคงตายไปแล้วล่ะ เพราะสมองของฉันคงรับไม่ไหวแน่ ฮ่าๆๆ"

    ผมหัวเราะให้เธอ...แต่เธอก็ยิ้มกลับมาให้ผม

    "ฉันจะเชื่อใจนายอีกครั้งก็ได้...แต่ถ้านายหลอกฉันอีกล่ะก็ฉันฆ่านายแน่!"

    อาจจะเป็นเพราะเธอพูดแบบนี้ ทำให้ใจของผมเต้นตึกตักขึ้นทันทีแต่คำพูดของเธอก็ถูกขัดขวางโดยกัสเพื่อนของเธออีกครั้ง

    "ไม่!อลิชเราเชื่อใจพวกมันไม่ได้น่ะ รวมทั้งไอ้เด็กนี้ด้วย!"

    กัสตะโกนออกมาแบบไม่สนใจใครและเขายังคงพูดต่อไป

    "ถ้าพวกนายไม่ฟังฉันจะกดนี่!"

    เขาเอารีโมทที่เอาไว้ส่งสัญญาณบางอย่างออกมา

    "ถ้าฉันกดนี่ล่ะก็ทุกอย่างเป็นจุนแน่ รีโมทอันนี้จะส่งสัญญาณไปที่ยานลำนั้นว่าให้สั่งยิงปืนกลมายังตรงนี้และจะพาทหารที่สำหรับจัดการพวกแกทุกคนมา!"

    "นี่มันอะไรกันกัส นายหมายความว่าไงกัส?"

    อลิชถามเขาขึ้นในทันที

    "ไม่ต้องถามอลิช! เธอต้องมากับฉันและพวกแกที่นี่ต้องตาย! ทุกคน!"

    กัสพูดขึ้นพร้อมกับจับแขนอลิชแล้วกระชากเข้าหาตัวเอง

    "ปล่อยน่ะ! นายเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย!"

    "ฉันจะพาเธอกลับไปที่นั้นเราจะแต่งงานกัน ฮ่าๆๆ!"

    เขาพูดบนหัวเราะ หน้าตาของเขาตอนนี้เหมือนพวกโรคจิตยังไงยังงั้น เขาก็ยังคงจับแขนอลิชเอาไว้แน่น และยานก็บินมาตรงอยู่เหนือหัวของพวกเราแล้วตอนนี้ ผมบอกให้พวกของลูลัชหลบไปก่อนและให้พาไวโอเล็ทไปด้วย ตอนนี้มีแค่ผมกับกัสและอลิชแล้วก็เด็กชายนิรนามที่เป็นหมายเลข 71 อยู่

    พวกเรายืนตรงกันข้ามหันหน้าเข้าหากัน ยานนั้นเปิดแสงลงมาตรงที่พวกเขายืนอยู่ แสงนั้นทำให้พวกเขาเริ่มลอยขึ้นไปช้าๆ

    "อเล็กช่วยฉันทีซิ!"

    อลิชตะโกนมาหาผม แต่ผมยังยืนเงียบ ผมเดาว่ากัส จับตัวเธอเพราะต้องการล็อคตัวเธอไว้ส่วนหนึ่งและป้องกันพลังของผมด้วย มีเสียงดังออกมาจากยานนั้น

    "กำลังจะเริ่มการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง"

    พวกอลิชยังคงลอยขึ้นไปอย่างช้าๆ แต่ผมเดาว่ามันคงจะเร็วขึ้นภายในเร็วๆนี้แน่ 'จะควบคุมพวกเวรีเนี่ยมมาพลักเธอออกไปงั้น เหรอ? ไม่ได้ๆ เล็บของพวกมันไม่เหมาะจะทำอะไรนอกจากตัด จะเข้าไปช่วยเธอเองก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเราไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ซะด้วย' นั้นคือสิ่งที่ผมคิดในตอนนี้ 'อ่ะรู้แล้ว...'

    "นับถอยหลัง ... สาม สอง หนึ่ง..."

    เสียงดังออกมาจากยาน ในเสี่ยววินาทีนั้น

    "แกทำอะไรไอ้เด็กบ้า!"

    กัสตะโกนออกมาก่อนจะหายไปพร้อมกับแสงและยานลำนั้น เขาหายไปพร้อมกับเด็กนิรนามคนนั้น ส่วน อลิชนั้น...

    "นายเป็นคนควบคุมเด็กคนนั้นให้ผลักฉันออกมาใช่ไหม..."

    อลิชที่โดนเด็กนิรนามที่ลอยขึ้นไปด้วยกันผลักให้ออกมาจากแสงของยานลำนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนมันจะเร่งเครื่องของความเร็วแสงพูดขึ้น

    "ใช่"

    ผมตอบ

    "ฉันเป็นคนทำเองล่ะ ฉันควบคุมสมองของเขา สั่งให้เขาผลักเธอออกมา แต่หน้าเสียดายเขาไม่ได้ออกมาด้วย"

    "อเล็ก!นายมัน...เอาเถอะ...ฉันก็คงโทษนายไม่ได้ด้วยเพราะฉันเป็นคนบอกให้นายช่วยเอง แล้วเราจะเอายังไงต่อ"

    ตอนนี้พวกลูลัชที่ไปหลบก็มากันครบหมดแล้ว ผมจึงเริ่มพูดต่อทันที

    "ตอนนี้พวกเราเหลือกันแค่นี้ เหลือกันแค่ 8 คน...เราจะบุกไปที่ดินแดนแห่งแสงกัน"

    "นายจะทำได้ไงกันอเล็กคนแค่นี้เนี่ยน่ะ แถมจะหาที่นั่นเจอไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยน่ะ"

    อลิชพูดเสนอความคิดเห็น

    "ใช่ แถมเรายังต้องเจอดินแดนสนทยาอีกน่ะ"

    ไลท์เสนอเข้ามาอีกคนหนึ่ง

    "ฉันว่าฉันพอไปได้ ฉันสามารถเทเลพอร์ตพวกเราได้สูงสุด 2 คน ต่อวันถ้าเกินนี้ฉันก็ม่องเท่ง"

    ลูลัชพูดเสริมขึ้นอีก

    "เดี๋ยวน่ะแดนสนทยาคืออะไร?"

    อลิชที่ทำหน้าตาสงสัยถามขึ้น ผมจึงใช้โอกาสนี้ตอบคำถามทุกคน

    "เอาล่ะๆ ฉันจะอธิบายแผนทั้งหมดให้ฟัง...เริ่มต้นที่เรามีคนแค่นี้จะพอเหรอ ฉันมั่นใจเราพ่อแน่นอน พวกเราที่มีพลังพิเศษแบบนี้ เราคงจะสามารถเอาชนะทหารทั้งหมดได้แน่นอน ส่วนจะหาเจอได้ไงนั้นฉันสามารถเชื่อมต่อสมองกับคนที่ฉันเคยควบคุมได้  ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ฉันสามารถรู้ต่ำแหน่งของพวกเขาได้"

    ผมที่ยังพูดไม่ทันจบอลิชก็ขัดขึ้นในทันที

    "อยากบอกน่ะว่านาย...นี่นาย!เอาอีกแล้วเหรอ ไหนบอกจะไม่ควบคุมอีกไงหรือว่ามันเป็นแผนตั้งแต่แรกของนายอยู่แล้ว นายตั้งใจจะให้เด็กคนนั้นติดไปกับยานนั้นด้วยใช่ไหม! เพื่อที่นายจะได้ใช้ประโยชน์แบบนี้!"

    อลิชพยายามวิ่งมาหาผมแต่ไวโอเล็ทล็อกตัวเธอไว้ก่อน

    "ปล่อยซิ! ปล่อยฉันซิ!"

    ที่จริงผมก็ตั้งใจว่าจะใช้ประโยชน์แบบนั้นอยู่หรอกแต่ผมคงจะบอกใครไม่ได้ผมจึงได้แค่อธิบายอ้อมไป

    "ฟังฉันก่อนอลิช ฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะทำอย่างงั้นจริงๆน่ะ มันก็แค่ผลพลอยได้"

    "ผลพลอยได้เหรอ? จะให้ฉันเชื่อนายงั้นเหรอ มีอะไรมายืนยันล่ะ!"

    'ใช่ถูกของเธอ' ผมไม่สามารถเอาอะไรไปยืนยันว่าจะไม่ควบคุมพวกเขาจริงๆ ในที่ขณะที่ผมกำลังหาความคิดเห็นอยู่นั้น

    "พวกเราขอยืนยัน เขาไม่จะไม่ทำอย่างงั้นแน่นอน"

    ลูลัชพูดขึ้น

    "ฉันก็เห็นด้วย ฉันว่าเขาคงจะสำนึกผิดที่เขาทำไปแล้วล่ะ เรื่องที่เขาจะหาต่ำแหน่งจากเด็กที่โดนจับไปก็เป็นแค่ผลพลอยได้จากความผิดพลาดที่ช่วยเหลือไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง"

    ดาร์คพูดเสริม

    "เธอไม่ต้องเชื่อใจฉันก็ได้ แต่ฉันขอให้เธอเชื่อใจพวกเขาแล้วช่วยพวกเราทำลายดินแดนแห่งแสง"

    "นายยังอธิบายไม่หมด...บอกทุกอย่างของนายมา...ทำไมต้องทำลายดินแดนแห่งแสง ดินแดนสนทยาคืออะไร?"

    ในที่สุดอลิชก็สงบสติอารมณ์ลงจนได้ ผมจึงตั้งใจจะตอบคำถามนี้โดยเฉพาะ

    "ทำไมต้องทำลายดินแดนแห่งแสงสว่างงั้นเหรอ...เธอที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งแสงสว่างเธอน่ะไม่มีทางที่จะรู้เบื้องหลังของเมืองนี้แน่ พวกเขาเอามนุษย์มาทดลอง ตัดต่อพันธุกรรมไปเรื่อย บ้างก็ให้ทำตามคำสั่งที่ต้องการ บ้างก็เอาเป็นทาสใช้แรงงาน จะเอาคนพวกนี้มาจากไหนน่ะเหรอ..."

    "ก็เอามาจากเด็กที่เกิดจากหลอดแก้ว...หลอกว่าไม่ต้องเจ็บปวดในการคลอด ไม่ต้องผ่าตัดให้ยาก จะมีลูกเท่าไหร่ก็ได้ เพราะนำเด็กไปเพาะเซลล์ในหลอดแก้วเร่งให้โต ถ้าพ่อแม่ต้องการเด็กก็ขอให้ไปติดต่อแต่ถ้าไม่ต้องการก็ให้แจ้งบอกทางการ รัฐบาลจะนำเด็กไปทำประโยชน์ต่อไป..."

    อลิชพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ ผมเดาว่าคงช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น

    "ใช่เหตุผลแค่นี้ก็เกินพอแล้ว...ส่วนดินแดนสนทยาน่ะเหรอ...ก็คือดินแดนที่จะมืดก็ไม่มืดจะสว่างก็ไม่สว่าง จะว่ารุ่งเช้าก็ไม่ใช่จะว่าพลบค่ำก็ไม่เชิง ดินแดนที่แสงอาทิตย์สีทองตลอดวัน แต่อย่าโดนเจ้าบรรยากาศพวกนี้หลอกล่ะ ที่นั้นเต็มไปด้วย สัตว์ประหลาดที่วิวัฒนาการมาเพื่ออยู่ที่นั้นโดยเฉพาะ หรือมันอาจจะกลายพันธุ์มาจากสารกัมมันตรังสีก็ได้ ไม่มีใครที่เคยไปแล้วรอดกลับมา ฉันเคยฉันยอบรับว่าฉันเคยส่งคนเข้าไปดูแต่ยังไม่ได้เห็นตัวพวกมัน พวกคนที่ฉันส่งไปก็โดนฆ่าหมดก่อนทุกคน"

    ทุกคนเงียบ ทุกอย่างรอบตัวตอนนี้ นิ่งสนิทไร้ลม ศพใกล้จะไหม้หมดแล้ว พวกเราแปดคนยังยืนเงียบไม่พูดอะไร ผมที่กำลังจะพูดว่า 'เราควรไปกันได้แล้วน่ะ' ก็โดนอลิชชิงพูดก่อน

    "ไปกันเถอะ! พวกเรา"

    จากนั้นลูลัชก็จับมือผมแล้วก็อลิชจากนั้นเราก็เทพอร์ตไปยังดินแดนสนทยา

    "ฉันมาส่งไกลสุดได้แค่นี้ ฉันจะกลับไปหาพวกไลท์และดาร์กแล้วก็ฮาร์ปเปอร์น่ะและก็ไวโอเล็ทด้วย ฉันจะมาใหม่เมื่อฉันพร้อม"

    ลูลัชบอกพวกเรา ผมเดาว่าการเทเลพอร์ตโดยการเอาพวกเรามาด้วยสองคนน่าจะเป็นขีดจำกัดของเขา

    "อยู่ให้รอดน่ะพวกนาย"

    ลูลัชที่พูดจบก็เทเลพอร์ตไปทันที ตอนนี้มีผมกับอลิชยืนอยู่ด้วยกันแค่สองคน ข้างหน้าพวกเราคือดินแดนสนทยา ถึงเราจะยืนอยู่ข้างหน้าดินแดนนั้นแต่เราก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีอันตรายอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนี้ผมกลัวอลิชมากกว่าเพราะเธอจ้องผมด้วยสายตาที่แข็งกระด่าง

    "ใจเย็นอลิชๆ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่ะ อย่าจ้องแบบนั้นสิ"

    "อึ่ม............"

    เธอลากเสียงยาว ก่อนที่เธอจะหันหน้าไปแล้วก็กอดอกแล้วพูดว่า

    "เราจะยืนรออยู่ตรงนี้หรือจะเดินหน้าไปดีล่ะ"

    "ฉันว่าเรานอนพักตรงนี้แลละเราไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว ถ้าเรานอนตรงนี้ดวงตาของฉันจะได้ปรับสภาพด้วย"

    "พวกนายนอนด้วยงั้นเหรอฉันนึกว่าไม่ต้องนอน ขนาดอาหารยังไม่กินเลย"

    "ฉันก็คนน่ะ ต้องนอนแต่ฉันไม่ต้องกินเพราะรังสีในร่างกายพวกฉันแปลงไปเป็นสารอาหารกับพลังงานหมดแล้ว"

    "พอแต่ฉันไม่หิวล่ะ แต่ตอนนี้ฉันง่วงแล้วล่ะ ถ้านายทำอะไรฉันล่ะก็ฉันจะฆ่านาย!"

    อลิชพูดเสร็จแล้วก็ล้มตัวนอน ผมก็นั่งลงบนพื้น พื้นตรงนี้เป็นพื้นหญ้า 'ไม่ได้สัมผัสพื้นหญ้ามานานขนาดไหนแล้วน่ะ' ผมคิด จากนั้นผมก็นอนลงผมกับอลิชนอนหันหลังชนกัน 'เอาล่ะเราจะไปบุกดินแดนที่มนุษย์น่าจะอยู่เป็นที่สุดท้ายกันเพื่อทำลายทุกอย่างแล้วสร้างทุกสิ่ง' ผมคิด

    "จบงานนี้...ฉันจะชดใช้ทั้งหมดเองถ้ามีโอกาสน่ะ"

    นั่นเป็นคำพูดของผมกับอลิชก่อนที่จะหลับตาลงไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×