คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทพิเศษ 2 :อดีต
EXTRA CHAPTER 2
อดีต
เพราะอลิชต้องการรู้เรื่องในอดีตของพวกเราที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งความมืดนี้
ทำให้ผมต้องจำใจเล่าทั้งที่ตัวผมนั้นตั้งใจว่าจะปิดมันไปตลอดกาล
แต่ก็อย่างว่าล่ะน่ะ 'ความลับไม่เคยมีในโลก'
"มันเริ่มต้นที่วันนั้น
วันที่มีเสียงประกาศเตือนจากทางการ 'ประชาชนรีบหาที่อพยพโดยด่วนที่สุดควรเตรียมน้ำและอาหารไปด้วย
ทางที่ดีควรลงใต้ดินให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอย่าขึ้นมาบนดินอีกเป็นอันขาดจนกว่าทางการจะเข้าไปช่วยเหลือพวกท่าน'
และไม่นานหลังสิ้นเสียงประกาศเหล่านั้น
แผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง"
"ฉันจำเหตุการณ์นั้นได้ดีเลยล่ะ"
อลิชพูดออกมาทำให้ผมที่พูดอยู่นั้นหยุดลงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นต่อ
"ตอนนั้นฉันกับครอบครัวได้ ขับรถยนต์ของครอบครัวไปที่ถ้ำที่ใกล้ที่สุด
ฉันที่อายุเพียงหกขวบนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นมากนัก
ฉันรู้เพียงเรื่องที่พ่อแม่บอกกับฉันว่า 'ไม่มีอะไรมากหรอกลูกมันก็แค่ซ้อมการอพยพเท่านั้นเอง' ฉันก็ได้แค่เพียงพงกหัวรับทราบเท่านั้น"
"เราจะรู้ได้ยังไงว่าแกเล่าเรื่องจริงไม่โกหก!"
กัสพูดขัดขึ้นทันใดตามด้วยอลิชที่หันไปว่ากัส
"อย่าพึ่งขัดซิ!"
ตอนนี้พวกเวรีเนี่ยมที่อยู่รอบตัวผมนั้นผมได้ทำการควบคุมพวกมันไว้หมดแล้วนี่คือเหตุผลที่พวกมันไม่เข้ามาโจมตีพวกอลิชและผม
"เล่าต่อซิ..."
ไวโอเล็ทพูดขึ้น
"ในถ้ำที่พวกเราเข้าไปนั้น มีคนอยู่มากมาย
มีทั้งที่มาคนเดียว มาเป็นครอบครัวหรือมากับแฟนเพียงแค่สองคน ที่นี่ข้างล่างนี้พวกเรามีเพียงแค่ตะเกียงหรือไม่ก็เทียนที่ให้แสงสว่าง
ตอนนั้นฉันเห็นพวกพ่อแม่ที่กอดกันและพูดว่า 'เรารอดแล้ว' หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์อาหารน้ำและแสงเทียนก็เริ่มหมดลง ความช่วยเหลือจากทางการก็ไม่มาซักที
และแล้วก็มีชายสองคนทะเลาะกัน
'แกขโมยอาหารฉันใช่ไหมว่ะ!'
'ฉันเปล่าน่ะเว้ย!'
'งั้นมันจะหายไปได้ยังไง! งั้นฉันขอค้นที่พักของแกเลยล่ะน่ะ!'
'แกทำแบบนั้นไม่ได้น่ะเว้ย!'
จากนั้นชายคนที่เป็นเจ้าของที่พักก็ชกเข้าไปที่ใบหน้าของชายอีกคนอย่างจัง
'ฉันบอกไงว่าไม่!'
เขาตะโกนออกมาในขณะชายที่โดนชกก็สวนกลับด้วยหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของชายคนที่ชกของเขา
'แกจะเอาใช่ไหม!'
พวกเขาชกต่อยกันไปมาจนผู้คนรอบข้างมองแต่กลับไม่มีใครอยากเข้าห้ามราวกับว่าไม่อยากไปยุ่งด้วย"
"แล้วเรื่องราวนี้มันสำคัญยังไงกันล่ะเข้าเรื่องซะที่ซิแกจะยืดเรื่องทำไม"
เสียงของกัสดังขึ้นมา
ผมที่รู้สึกหมั่นไส้หมอนี่ตั้งแต่เห็นหน้าแล้วทำให้เริ่มอยากจะจัดการเขาขึ้นไปอีก
"เรื่องจริงมันเริ่มหลังจากนี้ตั้งหากล่ะ"
ผมพูดกลับไปหาเข้าพร้อมกับส่งสายตาที่อาฆาตแค้นไปหาเขา
เพราะผมรู้สึกคุ้นหน้าเขาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
"เพราะเรื่องชายที่ทะเลาะกันคนในถ้ำต่างระแวงซึ่งกันและกันในที่สุดเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนอาหารและน้ำและเทียนก็หมดลงในถ้ำนั่นมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่างและเมื่อเวลาผ่านไปอีกสองวันผู้คนที่นี่ก็กลายเป็นเหมือนฝูงสัตว์ที่บ้าคลั่งเข้าต่อสู้ห่ำหันกันผู้คนที่มีสติบางส่วนก็หนีขึ้นไปข้างบนดินแต่ส่วนมากพวกเขาก็เหยียบกันตายก่อนที่จะขึ้นไปถึง"
"เดี๋ยวน่ะอเล็ก...นายบอกว่าผู้คนที่อยู่ในถ้ำเข้าห่ำหันกันทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั่นล่ะ"
อลิชถามขึ้นและดูเหมือนไวโอเล็ทก็จะสงสัยด้วยเหมือนกัน
"เธอลองคิดดูน่ะพวกเขาอยู่ในความมืดมิดมาถึงเกือบๆหนึ่งเดือน
อาหารที่กินไม่เคยอิ่ม น้ำที่ไม่เคยได้อาบ การขับถ่ายของเสียที่ไม่มีที่ให้กำจัด
บางครั้งชายฉกรรจ์ก็พยายามลวนลามหญิงสาวที่อยู่คนเดียว กลิ่นในนั้น เชื้อโรคในนั้น
และรังสีที่ซึมมาจากข้างบน ทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนสัตว์พวกเขาที่หิวโหย พวกเขาเริ่มกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง
ฉีกกินร่างกินแบบไร้ปราณีไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ เพราะพ่อแม่และฉันลงมาช่วงท้ายๆทำให้ได้อยู่บริเวณหน้าทางเข้าถ้ำ
ทำให้ฉันไม่สามารถเห็นได้ว่าข้างในถ้ำนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกๆ 10 นาทีจะมีคนร้องโหยหวนเสียงนั้นดูเหมือนจะทรมานมาก
พ่อแม่ฉันจึงเริ่มปรึกษากันว่าควรจะไปจากที่นี่หรือไม่ พ่อฉันเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
'เราต้องจากที่นี่น่ะแม่'
ตามมาด้วยคำตอบของแม่ 'ไม่! เราจะอยู่ที่นี่ทางการบอกให้รอเราก็รอซิ!'
แม่ฉันที่ขึ้นเสียงกับพ่อเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฉันเกิดมา 'นี่แม่! ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย' พ่อก็ขึ้นเสียงตาม
พวกเขาสองคนเถียงกัน เถียงกันมากรุนแรงขึ้น
ฉันได้แต่นั่งร้องไห้เอามือปิดหูไว้เพราะไม่อยากได้ยินเสียงของคนที่ฉันรักที่สุดทะเลาะกันตอนนั้นฉันไม่รู้ต้องทำยังไง
ไม่รู้จะไปพึ่งใคร และแล้ว "ฉึก!" เสียงดังเหมือนของแหลมแทงเข้าสู่อะไรบางสิ่ง
ฉันเลยหันกลับไปดู พบว่าพ่อโดนหินเสียบหลังทะลุมาข้างหน้าและต่ำแหน่งที่โดนเสียบก็อยู่บริเวณอกด้านซ้าย
'หนีไป...' พ่อบอกกับฉัน ฉันเดาว่าแม่คงจะเป็นคนผลักพ่อไปโดนหินนั้นตอนนี้แม่น่าจะเสียสติไปแล้ว
เพราะแม่ได้พยายามทำร้ายพ่อโดยการ 'กัดไปมา เอาเล็บข่วนไปทั่วตัวของพ่อ' ฉันที่สติแตกไปแล้วนั้น ก็วิ่งออกมาจากตรงนั้นและเมื่อฉันหันกลับไปดู ฉันเห็นฝูงมนุษย์ที่เสียสติกำลังฉีกร่างพ่อของฉันอยู่โดยที่พ่อยังไม่หยุดหายใจ"
พอผมเล่าเรื่องอดีตของผมถึงตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะตลึงในเรื่องราวไม่ต่างกัน
ทั้งอลิช ทั้งไวโอเล็ท หรือแม้แต่หมายเลข 71 เด็กชายอายุ 16 ผู้ไม่ยอมบอกชื่อใคร
เหลือเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาการใดๆนั้นคือกัส
"นี่อเล็ก...ฉันเจอกับนายตอนไหนบอกฉันทีซิ"
ไวโอเล็ทถามผม
"งั้นฉันขอเล่าลัดไปตอนเจอเธอเลยแล้วกันน่ะ
ตอนที่ฉันเจอกับไวโอเล็ทครั้งแรกน่ะ ตอนนั้นฉันกำลังจะโดนรุมฆ่าอยู่ในถ้ำ"
"ถ้ำไหน?"
ไวโอเล็ทถาม
"ก็ดินแดนสุดท้ายไงล่ะ
ถ้ำที่พวกเธอพึ่งออกมากันนั้นและ"
"นายมาที่ถ้ำนั้นได้ยังไง"
อลิชถาม
"ฉันหนีมาจากถ้ำที่พ่อแม่ฉันอยู่ไงล่ะฉันที่ติดอยู่บนดินในดินแดนแห่งความมืดมิดนั้นมีหญิงสาวไวรุ่นคนหนึ่งช่วยฉันไว้
เราไปไหนมาไหนด้วยกัน
แต่เมื่อเราไปขอความช่วยเหลือกับพวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในดินแดนแห่งแสงพวกเรากลับ...ฉันขอไม่เล่าตอนนี้เพราะฉันไม่อยากคิดถึงมัน"
"แกคิดจะปิดบังเหรอ!"
กัสตะโกนออกมา
ใช่ตั้งแต่เขาคุยกับผมเขาไม่เคยคุยด้วยน้ำเสียงที่ดีๆเลย แต่ผมไม่สนใจในคำพูดของเขาผมจึงเล่าต่อจากที่เจอไวโอเล็ทอยู่ในถ้ำ
"งั้นฉันเล่าต่อน่ะ...ในถ้ำช่วงแรกๆนั้นทุกอย่างวุ่นวายไปหมด
ทุกๆคนต่างอยากจะเป็นหัวหน้าที่นี่ พวกเขาต่างขัดแย้งกันโต้เถียงกัน
ฉันที่พึ่งเข้ามาถึงทีหลัง พยายามออกความคิดเห็นว่า 'นี่ๆอย่าทะเลาะกันซิ ฉันว่าเรามาตกลงกันดีกว่าน่ะ'
แต่ทุกคนในถ้ำนั้นกลับหันมาทางฉันพร้อมกับมองด้วยสาตาที่เหมือนจะฆ่าฉัน
'นายมาใหม่นายจะรู้อะไร ฉันอยู่ที่นี่มาเกือบสองเดือนแล้ว
พวกเราที่นี่กินหินเป็นอาหาร นายคงคิดไม่ถึงงั้นซิน่ะ อ้อ...ก็นายมันเป็นแค่เด็ก
6 -7 ขวบนี่จะไปรู้อะไรล่ะ ใช่ไหม?
นายคงจะร้องไห้หาแม่หาพ่อจนมาเจอที่นี่เข้าซิน่ะมาเจอพวกเรา
แต่ว่า...พอดีที่นี่น่ะคนเต็มแล้วว่ะ' ชายอายุประมาณ 17-18
ปี พูดใส่ฉันมันดูถูกฉัน ฉันจึงชกเข้าไปที่หน้าของมัน"
"นี่ฉันยังไม่มาอีกเหรอ?"
ไวโอเล็ทถามผมด้วยความสงสัย
"จะมาหลังจากนี้และ...ชายคนที่โดนฉันชกหน้ามันถีบฉันจนฉันกระเด็นถอยหลังล้มลงไปกับพื้นจากนั้นมันก็พูดขึ้นว่า
'เฮ้ยพวกเรา เราไม่ได้กินเนื้อมานานแล้วนี่
ยังไงที่นี่ก็ไร้กฎอยู่แล้ว จะเอาเนื้อมนุษย์มากินซักหน่อยจะเป็นไรไป...' ไม่นานเสียงเฮจากพวกที่อยู่ด้านหลังของพวกมันก็ดังขึ้น แต่มีแต่พวกที่อายุประมาณ
17-18 ปีที่มีจำนวนประมาณ 30 คนเท่านั้นที่ตะโกนดีใจออกมาส่วนพวกเด็กที่อายุประมาณเท่ากันกับฉัน
ได้แต่ทำหน้ากลัวกัน ฉันที่ล้มได้พยายามลุกขึ้น
แต่ฉันที่ยังไม่ได้ตั้งสติอะไรก็ถูกมันบีบคอแล้วยกให้ลอยจากพื้น
'ปล่อยเขาน่ะ!' เสียงตะโกนจากข้างหลังของฉันที่กำลังโดนบีบคออยู่ ฉันพยายามหันไปมองแต่ภาพที่ฉันเห็นตอนนั้นมันเลือนรางมาก...ฉันเห็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงผิวสีขาวซีดและนั่นก็คือเธอ"
"ฉันจำได้แล้วล่ะอเล็ก..."
ไวโอเล็ทพูดขึ้นในทันที
"เธอแน่ใจว่าเธอจำได้ทั้งหมด..."
"ฉันแน่ใจ...ทั้งเรื่องที่ฉันช่วยนาย
โดยการเผาไอ้พวกนั้นทั้งเป็นฉันยังจำภาพที่พวกมันทุรนทุรายได้อยู่เลย"
"งั้นแปลว่าเธอก็จำเรื่องผู้หญิงคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม"
เธอไม่ตอบแต่เธอเดินมาทางที่ผมยืนอยู่...
"จะไปไหนน่ะไวโอเล็ท
เธอจะทำอะไรน่ะ เขาไว้ใจได้งั้นเหรอ!"
อลิชพยายามพูดโน้มนาวให้เธอหยุดเดินมาหาผม
"อลิชฉันขอบคุณน่ะที่เธอพยายามปกป้องแต่ฉันน่ะอยู่ข้างเดียวกันกับคนที่จะทำลายพวกเราที่อาศัยอยู่ในความมืดไม่ได้หรอกน่ะ"
ไวโอเล็ทมายืนอยู่ข้างๆผมหลังจากที่เธอพูดจบ
"หมายความว่าไง...? งั้นเรื่องที่พวกเธอบอกฉันในตอนที่ฉันอยู่ในถ้ำนั้นก็โกหกเหรอ..."
"ใช่...ฉันโกหกเธอเองและเพื่อปิดบังความจริงอันมืดมิดของไวโอเล็ทเอาไว้..."
ผมพูดตอบอลิชที่สงสัยและหลังจากนั้นไวโอเล็ทก็พูดขึ้น
"ตอนที่ฉันช่วยอเล็กเอาไว้นั่นเป็นตอนที่ฉันใช้พลังครั้งแรก
ฉันเผาพวกไอ้วัยรุ่นพวกนั้นจนกลายเป็นเท่าถ่าน
หลังจากนั้นฉันก็แทบจะเป็นบ้าไปเพราะฉันพึ่งฆ่าคนไป 30 คน
ฉันเดาว่าอเล็กคงจะตั้งใจลบความทรงจำฉันและควบคุมฉันและสอนให้ฉันใช้พลังเพื่อช่วยฉัน...มันเป็นความจริงใช่ไหมอเล็ก"
เธอที่ถามผมมาอย่างงั้น...ทำให้ผมเลือกคำตอบที่จะตอบไม่ถูกจะตอบว่า 'ใช่แล้วฉันทำอย่างงั้นเองและ'
มันก็ง่ายเกินไปจะตอบว่า 'เปล่าหรอกฉันทำเพื่อตอบแทนที่เธอช่วยฉันตั้งหากล่ะ' มันก็ยังไงอยู่ ถึงผมจะทำเพื่อช่วยเธอจริงๆก็เถอะ
เธอที่เป็นเด็กผู้หญิงในตอนนั้นที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นตลอดเวลาและเอาแต่ท่องว่า 'ฉันขอโทษๆ' ซ้ำไปซ้ำมา
มันทำให้ผมเห็นแล้วรู้สึกทรมานแทนเธอเลยทำการควบคุมเธอซะและอีกส่วนหนึ่งผมคิดว่าถ้าไม่มีใครควบคุมที่นี่อาจจะเกิดเหตุการณ์ต่อสู้กันอีกครั้งก็ได้
"ใช่...นั้นเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งแต่อีกส่วนก็เพื่อไม่ให้พวกเราต่อสู้กันเองด้วย"
"ต่อสู้กันเอง...หมายความว่าไงอเล็กฉันไม่เข้าใจ"
อลิชถามผม...
"เธอลองคิดดูอีกครั้งน่ะอลิช
พวกเราในถ้ำนั้นน่ะมีพลังพิเศษหรือก็คืออำนาจดีๆนั้นเอง
แล้วแถมในโลกที่ไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุมด้วยแล้วคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น..."
"ก็คงเข้าห่ำหันกันเพื่ออำนาจที่จะควบคุมที่นั้นงั้นซิน่ะ"
"ใช่...ฉันเลยต้องควบคุมพวกเขาไงล่ะ"
"อะไรกัน..."
หลังจากอลิชได้คำตอบของผมไป
เธอนั้นนั่งคุกเข่าลงกับพื้นในทันทีและกัสก็วิ่งมาจับเธอและพยุงเอาไว้
"งั้นฉันขอถามอีกอย่าง...ทำไมนายถึงไม่ควบคุมพวกเขาตอนที่เรากำลังจะขึ้นยานล่ะ
ฉันรู้น่ะว่านายไม่ได้ควบคุมพวกเขาตั้งแต่ตอนที่ฉันส่งสัญญาณเสร็จ"
"นั้นก็เพราะฉันอยากจะหยุดเรื่องบ้าๆนี้ไงล่ะ"
"เรื่องบ้าๆไหนอีกล่ะอเล็ก"
"เรื่องที่ฉันต้องควบคุมทุกคนอยู่ตลอดเวลาไง"
"นายทำแบบนั้นก็มีแต่ได้กับได้นี่! นายจะเสียอะไรไปล่ะ!"
อลิชตะคอกใส่ผม ทำให้ผมรู้สึกตอกย้ำความผิดที่ควบคุมพวกเขามากขึ้นไปอีก
"อลิช...ในโลกนี้น่ะไม่มีอะไรที่ได้มาแล้วจะไม่เสียบางอย่างไปหรอกน่ะ...พวกเราที่มีพลังพิเศษน่ะ
ยิ่งเราใช้พลังมากเท่าไหร่อายุไขของพวกเราก็จะยิ่งสั้นลง
ทำไมน่ะเหรอเพราะพลังเกิดมาจากสมองของเรายิ่งเราใช้พลังมากเท่าไหร่สมองก็ทำงานหนักมากเท่านั้น
และยิ่งใช้สมองมากเท่าไหร่สมองก็จะเสื่อมสภาพลงตามการใช้ไงล่ะ
แต่...เธอเป็นข้อยกเว้นเพราะเธอมีพลังในการฟื้นฟูไม่ว่าเธอจะใช้มันมากเท่าไหร่สมองเธอก็จะฟื้นฟูมากเท่านั้น"
ตอนนี้อลิชมีสีหน้าตกใจมากขึ้นไปอีกเธอที่คุกเข่าอยู่ก็ยืนขึ้นแล้วก็พูดขึ้นว่า
"แล้วทำไมนายปล่อยให้พวกเขาตายล่ะ
นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนควบคุมพวกเวรีเรี่ยมน่ะ แกปล่อยให้พวกเขาโดนฆ่างั้นเหรอ!"
"ฉันพึ่งจะควบคุมมันได้ตอนที่มันกำลังจะทำร้ายฉันเมื่อกี้นี้เอง
ขอโทษน่ะ...ฉันไม่สามารถช่วยไว้ได้ทุกคน..."
แล้วกัสก็พูดขึ้นว่า
"แกยังมีน่ามาขอโทษ-"
แต่เขายังพูดไม่ทันจบคำพูดของเขาก็โดนตัดโดยคนที่เดินมาจากในความมืดข้างหลังผม
"เขาขอโทษพร้อมกับเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟังแล้ว
และพวกฉันที่ยืนดูพวกเธอเถียงกันตั้งแต่เริ่มต้นทำให้พวกฉันคิดได้ว่าใครคือศัตรูที่แท้จริง..."
ชายหนุ่มตัวสูงผอมเดินออกมาจากข้างหลังของผม
เขาคือลูลัช หมายเลขสาม ชายผู้มีพลังเทเลพอร์ตและเป็นเพื่อนที่สนิทมากที่สุดตอนที่ผมอยู่ในถ้ำ...ถึงผมจะควบคุมเขาอยู่ก็เถอะ
และเขาไม่ได้เดินมาเพียงลำพังเขาเดินมาพร้อมกับคนอีกกลุ่มที่เดินตามหลังเขามา
"ใช่พวกเราเห็นด้วย..."
กลุ่มคนที่เดินตามหลังพูดขึ้นพวกเขามา
มีทั้งหมด 4 คน ชาย 2 หญิงสองคน ผมมองไม่เห็นหน้าพวกเพราะพวกเขายืนอยู่ในเงามืดแต่ก็พอจะเดาได้ว่ามีใครบ้าง
ชายที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือสุด เขาชื่อ ไมค์ อายุ 17 ปี ผมสีน้ำตาลออกแดงๆ
ตัวสูงหุ่นดีแถมหน้าตายังหล่ออีก พลังของเขาน่ะเหรอถือว่าใช้ได้ล่ะน่ะ 'ควบคุมแรงโน้มถ่วง' มันใช้ได้ดีเลยล่ะ
คนต่อมาคนที่ 2 จากซ้ายมือ เธอคนนี้ชื่อไลท์ เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักเธอมัดผมหางม้าไว้ด้านหลังหุ่นสะบึ้มมาก
ส่วนพลังของเธอก็ไม่มีอะไรมาก 'สามารถเพิ่มน้ำหนักในการต่อยได้'
หมัดเธอเทียบได้กับการยกเอาปลาวาฬมาทับคู่ต่อสู้ได้ คนถัดมาคนที่ 3
จากซ้ายมือเธอก็เป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักเช่นเดียวกับไลท์แต่หุ่นเธอผอมเพรียว
ไม่ค่อยหุ่นสะบึ้มเหมือนไลท์ เธอชื่อ ดาร์ค ที่หมายถึงความมืดนั่นและ
พลังของเธอคือ 'สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของสิ่งใดก็ได้ที่เป็นสสารโดยการเทเลพอร์ต
'เธอสามารถส่งผมไปอยู่ในใต้ดินยังได้เลย...' เพราะพลังของเธอสามารถเทเลพอร์ตสิ่งไหนก็ได้ไปยังตรงไหนก็ได้ตามใจเธอ
ต่อมาคนสุดท้าย คนที่ 4 จากซ้ายมือ 'ฮาปเปอร์' ชายผู้มีร่างกายกำยำ ถึงเขาจะหน้าตาไม่ดีเท่าไมค์ก็เถอะ
แต่หุ่นเขานี่...นักกล้ามดีๆนั่นเอง และพลังของเขาคือ 'แข็งแกร่ง' ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้เขามีแผลได้
ผมว่ากล้ามเนื้อเขาคงเป็นเพชรอยู่ข้างในมั้ง และหลังจากพวกเขาพูดจบก็มียานอีกลำบินมาทางพวกเรา...
"อลิชไปกันเถอะ
พวกเราจะกลับบ้านกัน..."
กัสพูดพร้อมกับจับมืออลิช
แต่เธอกลับสะบัดมือออกจากมือของกัสทันทีทันที และหันมาพูดกับผมอีกครั้ง
"อเล็กแล้วฉันจะแน่ใจว่านายไม่ได้ควบคุมคนพวกนี้อยู่"
ผมยิ้มให้เธอ...
"ฉันกล้าสาบานเลยว่าถ้าฉันควบคุมคนพวกนี้จริงๆล่ะก็ฉันคงตายไปแล้วล่ะ
เพราะสมองของฉันคงรับไม่ไหวแน่ ฮ่าๆๆ"
ผมหัวเราะให้เธอ...แต่เธอก็ยิ้มกลับมาให้ผม
"ฉันจะเชื่อใจนายอีกครั้งก็ได้...แต่ถ้านายหลอกฉันอีกล่ะก็ฉันฆ่านายแน่!"
อาจจะเป็นเพราะเธอพูดแบบนี้
ทำให้ใจของผมเต้นตึกตักขึ้นทันทีแต่คำพูดของเธอก็ถูกขัดขวางโดยกัสเพื่อนของเธออีกครั้ง
"ไม่!อลิชเราเชื่อใจพวกมันไม่ได้น่ะ รวมทั้งไอ้เด็กนี้ด้วย!"
กัสตะโกนออกมาแบบไม่สนใจใครและเขายังคงพูดต่อไป
"ถ้าพวกนายไม่ฟังฉันจะกดนี่!"
เขาเอารีโมทที่เอาไว้ส่งสัญญาณบางอย่างออกมา
"ถ้าฉันกดนี่ล่ะก็ทุกอย่างเป็นจุนแน่
รีโมทอันนี้จะส่งสัญญาณไปที่ยานลำนั้นว่าให้สั่งยิงปืนกลมายังตรงนี้และจะพาทหารที่สำหรับจัดการพวกแกทุกคนมา!"
"นี่มันอะไรกันกัส
นายหมายความว่าไงกัส?"
อลิชถามเขาขึ้นในทันที
"ไม่ต้องถามอลิช! เธอต้องมากับฉันและพวกแกที่นี่ต้องตาย! ทุกคน!"
กัสพูดขึ้นพร้อมกับจับแขนอลิชแล้วกระชากเข้าหาตัวเอง
"ปล่อยน่ะ! นายเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย!"
"ฉันจะพาเธอกลับไปที่นั้นเราจะแต่งงานกัน
ฮ่าๆๆ!"
เขาพูดบนหัวเราะ
หน้าตาของเขาตอนนี้เหมือนพวกโรคจิตยังไงยังงั้น เขาก็ยังคงจับแขนอลิชเอาไว้แน่น
และยานก็บินมาตรงอยู่เหนือหัวของพวกเราแล้วตอนนี้ ผมบอกให้พวกของลูลัชหลบไปก่อนและให้พาไวโอเล็ทไปด้วย
ตอนนี้มีแค่ผมกับกัสและอลิชแล้วก็เด็กชายนิรนามที่เป็นหมายเลข 71 อยู่
พวกเรายืนตรงกันข้ามหันหน้าเข้าหากัน
ยานนั้นเปิดแสงลงมาตรงที่พวกเขายืนอยู่ แสงนั้นทำให้พวกเขาเริ่มลอยขึ้นไปช้าๆ
"อเล็กช่วยฉันทีซิ!"
อลิชตะโกนมาหาผม แต่ผมยังยืนเงียบ
ผมเดาว่ากัส จับตัวเธอเพราะต้องการล็อคตัวเธอไว้ส่วนหนึ่งและป้องกันพลังของผมด้วย มีเสียงดังออกมาจากยานนั้น
"กำลังจะเริ่มการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง"
พวกอลิชยังคงลอยขึ้นไปอย่างช้าๆ
แต่ผมเดาว่ามันคงจะเร็วขึ้นภายในเร็วๆนี้แน่ 'จะควบคุมพวกเวรีเนี่ยมมาพลักเธอออกไปงั้น
เหรอ? ไม่ได้ๆ เล็บของพวกมันไม่เหมาะจะทำอะไรนอกจากตัด
จะเข้าไปช่วยเธอเองก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเราไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ซะด้วย'
นั้นคือสิ่งที่ผมคิดในตอนนี้ 'อ่ะรู้แล้ว...'
"นับถอยหลัง ... สาม สอง
หนึ่ง..."
เสียงดังออกมาจากยาน
ในเสี่ยววินาทีนั้น
"แกทำอะไรไอ้เด็กบ้า!"
กัสตะโกนออกมาก่อนจะหายไปพร้อมกับแสงและยานลำนั้น
เขาหายไปพร้อมกับเด็กนิรนามคนนั้น ส่วน อลิชนั้น...
"นายเป็นคนควบคุมเด็กคนนั้นให้ผลักฉันออกมาใช่ไหม..."
อลิชที่โดนเด็กนิรนามที่ลอยขึ้นไปด้วยกันผลักให้ออกมาจากแสงของยานลำนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนมันจะเร่งเครื่องของความเร็วแสงพูดขึ้น
"ใช่"
ผมตอบ
"ฉันเป็นคนทำเองล่ะ
ฉันควบคุมสมองของเขา สั่งให้เขาผลักเธอออกมา
แต่หน้าเสียดายเขาไม่ได้ออกมาด้วย"
"อเล็ก!นายมัน...เอาเถอะ...ฉันก็คงโทษนายไม่ได้ด้วยเพราะฉันเป็นคนบอกให้นายช่วยเอง
แล้วเราจะเอายังไงต่อ"
ตอนนี้พวกลูลัชที่ไปหลบก็มากันครบหมดแล้ว
ผมจึงเริ่มพูดต่อทันที
"ตอนนี้พวกเราเหลือกันแค่นี้
เหลือกันแค่ 8 คน...เราจะบุกไปที่ดินแดนแห่งแสงกัน"
"นายจะทำได้ไงกันอเล็กคนแค่นี้เนี่ยน่ะ
แถมจะหาที่นั่นเจอไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยน่ะ"
อลิชพูดเสนอความคิดเห็น
"ใช่
แถมเรายังต้องเจอดินแดนสนทยาอีกน่ะ"
ไลท์เสนอเข้ามาอีกคนหนึ่ง
"ฉันว่าฉันพอไปได้ ฉันสามารถเทเลพอร์ตพวกเราได้สูงสุด
2 คน ต่อวันถ้าเกินนี้ฉันก็ม่องเท่ง"
ลูลัชพูดเสริมขึ้นอีก
"เดี๋ยวน่ะแดนสนทยาคืออะไร?"
อลิชที่ทำหน้าตาสงสัยถามขึ้น
ผมจึงใช้โอกาสนี้ตอบคำถามทุกคน
"เอาล่ะๆ
ฉันจะอธิบายแผนทั้งหมดให้ฟัง...เริ่มต้นที่เรามีคนแค่นี้จะพอเหรอ ฉันมั่นใจเราพ่อแน่นอน
พวกเราที่มีพลังพิเศษแบบนี้ เราคงจะสามารถเอาชนะทหารทั้งหมดได้แน่นอน
ส่วนจะหาเจอได้ไงนั้นฉันสามารถเชื่อมต่อสมองกับคนที่ฉันเคยควบคุมได้ ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ฉันสามารถรู้ต่ำแหน่งของพวกเขาได้"
ผมที่ยังพูดไม่ทันจบอลิชก็ขัดขึ้นในทันที
"อยากบอกน่ะว่านาย...นี่นาย!เอาอีกแล้วเหรอ ไหนบอกจะไม่ควบคุมอีกไงหรือว่ามันเป็นแผนตั้งแต่แรกของนายอยู่แล้ว
นายตั้งใจจะให้เด็กคนนั้นติดไปกับยานนั้นด้วยใช่ไหม!
เพื่อที่นายจะได้ใช้ประโยชน์แบบนี้!"
อลิชพยายามวิ่งมาหาผมแต่ไวโอเล็ทล็อกตัวเธอไว้ก่อน
"ปล่อยซิ! ปล่อยฉันซิ!"
ที่จริงผมก็ตั้งใจว่าจะใช้ประโยชน์แบบนั้นอยู่หรอกแต่ผมคงจะบอกใครไม่ได้ผมจึงได้แค่อธิบายอ้อมไป
"ฟังฉันก่อนอลิช
ฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะทำอย่างงั้นจริงๆน่ะ มันก็แค่ผลพลอยได้"
"ผลพลอยได้เหรอ? จะให้ฉันเชื่อนายงั้นเหรอ มีอะไรมายืนยันล่ะ!"
'ใช่ถูกของเธอ' ผมไม่สามารถเอาอะไรไปยืนยันว่าจะไม่ควบคุมพวกเขาจริงๆ
ในที่ขณะที่ผมกำลังหาความคิดเห็นอยู่นั้น
"พวกเราขอยืนยัน
เขาไม่จะไม่ทำอย่างงั้นแน่นอน"
ลูลัชพูดขึ้น
"ฉันก็เห็นด้วย
ฉันว่าเขาคงจะสำนึกผิดที่เขาทำไปแล้วล่ะ เรื่องที่เขาจะหาต่ำแหน่งจากเด็กที่โดนจับไปก็เป็นแค่ผลพลอยได้จากความผิดพลาดที่ช่วยเหลือไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง"
ดาร์คพูดเสริม
"เธอไม่ต้องเชื่อใจฉันก็ได้
แต่ฉันขอให้เธอเชื่อใจพวกเขาแล้วช่วยพวกเราทำลายดินแดนแห่งแสง"
"นายยังอธิบายไม่หมด...บอกทุกอย่างของนายมา...ทำไมต้องทำลายดินแดนแห่งแสง
ดินแดนสนทยาคืออะไร?"
ในที่สุดอลิชก็สงบสติอารมณ์ลงจนได้
ผมจึงตั้งใจจะตอบคำถามนี้โดยเฉพาะ
"ทำไมต้องทำลายดินแดนแห่งแสงสว่างงั้นเหรอ...เธอที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งแสงสว่างเธอน่ะไม่มีทางที่จะรู้เบื้องหลังของเมืองนี้แน่
พวกเขาเอามนุษย์มาทดลอง ตัดต่อพันธุกรรมไปเรื่อย บ้างก็ให้ทำตามคำสั่งที่ต้องการ
บ้างก็เอาเป็นทาสใช้แรงงาน จะเอาคนพวกนี้มาจากไหนน่ะเหรอ..."
"ก็เอามาจากเด็กที่เกิดจากหลอดแก้ว...หลอกว่าไม่ต้องเจ็บปวดในการคลอด
ไม่ต้องผ่าตัดให้ยาก จะมีลูกเท่าไหร่ก็ได้ เพราะนำเด็กไปเพาะเซลล์ในหลอดแก้วเร่งให้โต
ถ้าพ่อแม่ต้องการเด็กก็ขอให้ไปติดต่อแต่ถ้าไม่ต้องการก็ให้แจ้งบอกทางการ
รัฐบาลจะนำเด็กไปทำประโยชน์ต่อไป..."
อลิชพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
ผมเดาว่าคงช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น
"ใช่เหตุผลแค่นี้ก็เกินพอแล้ว...ส่วนดินแดนสนทยาน่ะเหรอ...ก็คือดินแดนที่จะมืดก็ไม่มืดจะสว่างก็ไม่สว่าง
จะว่ารุ่งเช้าก็ไม่ใช่จะว่าพลบค่ำก็ไม่เชิง ดินแดนที่แสงอาทิตย์สีทองตลอดวัน
แต่อย่าโดนเจ้าบรรยากาศพวกนี้หลอกล่ะ ที่นั้นเต็มไปด้วย
สัตว์ประหลาดที่วิวัฒนาการมาเพื่ออยู่ที่นั้นโดยเฉพาะ หรือมันอาจจะกลายพันธุ์มาจากสารกัมมันตรังสีก็ได้
ไม่มีใครที่เคยไปแล้วรอดกลับมา
ฉันเคยฉันยอบรับว่าฉันเคยส่งคนเข้าไปดูแต่ยังไม่ได้เห็นตัวพวกมัน
พวกคนที่ฉันส่งไปก็โดนฆ่าหมดก่อนทุกคน"
ทุกคนเงียบ ทุกอย่างรอบตัวตอนนี้
นิ่งสนิทไร้ลม ศพใกล้จะไหม้หมดแล้ว พวกเราแปดคนยังยืนเงียบไม่พูดอะไร
ผมที่กำลังจะพูดว่า 'เราควรไปกันได้แล้วน่ะ'
ก็โดนอลิชชิงพูดก่อน
"ไปกันเถอะ! พวกเรา"
จากนั้นลูลัชก็จับมือผมแล้วก็อลิชจากนั้นเราก็เทพอร์ตไปยังดินแดนสนทยา
"ฉันมาส่งไกลสุดได้แค่นี้
ฉันจะกลับไปหาพวกไลท์และดาร์กแล้วก็ฮาร์ปเปอร์น่ะและก็ไวโอเล็ทด้วย ฉันจะมาใหม่เมื่อฉันพร้อม"
ลูลัชบอกพวกเรา
ผมเดาว่าการเทเลพอร์ตโดยการเอาพวกเรามาด้วยสองคนน่าจะเป็นขีดจำกัดของเขา
"อยู่ให้รอดน่ะพวกนาย"
ลูลัชที่พูดจบก็เทเลพอร์ตไปทันที
ตอนนี้มีผมกับอลิชยืนอยู่ด้วยกันแค่สองคน ข้างหน้าพวกเราคือดินแดนสนทยา
ถึงเราจะยืนอยู่ข้างหน้าดินแดนนั้นแต่เราก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีอันตรายอยู่เต็มไปหมด
แต่ตอนนี้ผมกลัวอลิชมากกว่าเพราะเธอจ้องผมด้วยสายตาที่แข็งกระด่าง
"ใจเย็นอลิชๆ
ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่ะ อย่าจ้องแบบนั้นสิ"
"อึ่ม............"
เธอลากเสียงยาว
ก่อนที่เธอจะหันหน้าไปแล้วก็กอดอกแล้วพูดว่า
"เราจะยืนรออยู่ตรงนี้หรือจะเดินหน้าไปดีล่ะ"
"ฉันว่าเรานอนพักตรงนี้แลละเราไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว
ถ้าเรานอนตรงนี้ดวงตาของฉันจะได้ปรับสภาพด้วย"
"พวกนายนอนด้วยงั้นเหรอฉันนึกว่าไม่ต้องนอน
ขนาดอาหารยังไม่กินเลย"
"ฉันก็คนน่ะ ต้องนอนแต่ฉันไม่ต้องกินเพราะรังสีในร่างกายพวกฉันแปลงไปเป็นสารอาหารกับพลังงานหมดแล้ว"
"พอแต่ฉันไม่หิวล่ะ
แต่ตอนนี้ฉันง่วงแล้วล่ะ ถ้านายทำอะไรฉันล่ะก็ฉันจะฆ่านาย!"
อลิชพูดเสร็จแล้วก็ล้มตัวนอน
ผมก็นั่งลงบนพื้น พื้นตรงนี้เป็นพื้นหญ้า 'ไม่ได้สัมผัสพื้นหญ้ามานานขนาดไหนแล้วน่ะ' ผมคิด จากนั้นผมก็นอนลงผมกับอลิชนอนหันหลังชนกัน 'เอาล่ะเราจะไปบุกดินแดนที่มนุษย์น่าจะอยู่เป็นที่สุดท้ายกันเพื่อทำลายทุกอย่างแล้วสร้างทุกสิ่ง' ผมคิด
"จบงานนี้...ฉันจะชดใช้ทั้งหมดเองถ้ามีโอกาสน่ะ"
นั่นเป็นคำพูดของผมกับอลิชก่อนที่จะหลับตาลงไป
ความคิดเห็น