คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : อีกครั้ง
CHAPTER 4
อีกครั้ง
ฉันยืนอยู่ท่ามกลางความมืด รอบตัวนั้นไร้แสงทุกอย่างมืดไปหมด
แต่ฉันกลับเป็นเห็นตัวเองยืนอยู่ 'ที่นี่ที่ไหน
ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่... อ่ะ?' ฉันจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว ฉันตายแล้วนี่น่า ถึงฉันจะรู้สึกเศร้านิดหน่อยก็เถอะแต่ว่า...ก็ไม่มีใครที่อยากตายเร็วหรอก
น้ำตาฉันจึงไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว ฉันคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงนั้นฉันก็ได้ยินเสียงที่แว่วมา
"นี่พี่ชายหัวขาวผมมีความคิดที่ดีๆแล้ว"
เสียงเด็กผู้ชายอายุ 16 ปี
ถึงฉันจะไม่เห็นผู้ที่พูด แต่สมองฉันบอกได้แน่นอนว่าเป็นเด็กผู้ชายอายุ16ปีแน่นอน
"แต่เราต้องใช้ศพที่มีอยู่ที่นี่
เราจะต้องเผามัน"
เสียงเดิม
น้ำเสียงเดิมดังขึ้นมาอีกครั้งแต่หลังจากนั้นไม่ถึงวินาที
"ว่ายังไงน่ะ?"
เสียงของ... 'ฉันรู้จักเสียงนี้ดีนี้มันเสียงเป็นน้ำเสียงเวลาพูดของกัส'
"เราจะใช้ศพพวกนั้นเป็นตัวเชื้อเพลิง
เราจะเผาศพพวกนั้น เพราะที่นี่ไม่มีอะไรที่จะเป็นเชื้อเพลิงได้ และพอเราเผาศพศพก็จะติดไฟ
ถึงกลิ่นจะน่าสะอิดสะเอียดก็เถอะ แสงสว่างจากเปลวเพลิงจะช่วยส่องสว่างให้เราเราสามารถอยู่ได้อีกนานเพราะศพก็มีเกลื่อนเลยนี่พี่ชาย..."
เสียงของเด็กชายที่ได้ยินก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงที่ฉันได้ยินตอนนี้มันดังมาจากทุกทิศทุกทางเสียงมันก้องไปหมด เสียงพวกนั้นดังมากจนฉันต้องเอามือปิดหูและคุกเข่าร้องไห้
"นี่มันอะไรกัน!!"
ฉันตะโกนออกมาภายในความมืดมิด
จากนั้นมีแสงสว่าง สว่างขึ้นที่ด้านหน้าของฉันแสงนั่นจ้ามาก ฉันที่นั่งคุกเข่าอยู่นั้นได้เงยหน้ามองแสงนั้น
มีคนเดินออกมาจากแสงสว่างนั้น ฉันเห็นเป็นแค่เงาฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใครใส่ชุดอะไรเพราะแสงที่อยู่ด้านหลังเขาคนนั้นจ้ามากมันส่องเขาตาฉันทำให้ฉันเห็นเป็นเพียงแค่เงา
มันสว่างขนาดไหนน่ะเหรอลองมองดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงดูซิ เขาคนนั้นยืนมืออกมาทำท่าเหมือนจะให้ฉันจับมือ
แต่ว่าเขาคนนั้นยืนอยู่ไกลฉันมาก
"อลิช...เธอคือผู้ที่จะพลิกโลกนี้ถ้าเธอไม่ทำฉันจะทำเอง"
เสียงนี้เป็นเสียงของผู้ชาย
เสียงคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินแต่ฉันจำไม่ได้...จากนั้นเงาก็กลับหลังหันเดินเข้าไปในแสงนั้น
"เดี๋ยวๆ"
ฉันตะโกนออกไป
'อ่ะ...' ความมืดมิดรอบตัวฉันหายไปแล้ว ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น ความมืดมิดเมื่อกี้มันคืออะไร
ฉันมองไปด้านหน้าฉันเห็นกัสมองหน้าฉันและดูเหมือนว่าเขาจะอุ้มฉันอยู่จากนั้นเขาก็วางฉันลง
ฉันที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเผลอถามออกไปว่า
"อ้าว ไม่ใช่ฉันตายแล้วเหรอ...?"
"เธอยังไม่ตายหรอก..."
เขาตอบฉันมาและดูเหมือนว่าในดวงตาของเขาจะมีน้ำตาที่เอ่อล้นที่ดูเหมือนจะไหลออกมาอยู่แต่ก็ไม่ยอมไหลออกมา
'ฉันจำได้ว่าฉันโดนยิงนี่' ฉันนึกถึงเรื่องตอนนั้นตอนที่กระสุนสาดใส่ร่างของฉัน
"ทำไมฉันถึงยังไม่ตายล่ะฉันโดนยิงไปซะขนาดนั้น"
ฉันถามเขาขึ้นในทันที เขาที่กำลังจะอ้าปากตอบแต่โดนตัดคำพูดด้วยเสียงจากไวโอเล็ทที่ยืนอยู่ข้างๆ
"เพราะเธอเป็นอมตะไงล่ะ อ่ะๆๆๆ
เธอไม่ต้องถามว่าเพราะอะไรฉันจะแสดงให้เธอดู"
จากนั้นในมือของไวโอเล็ทก็มีไฟลุกขึ้น ไฟที่ลุกจากมือของไวโอเล็ทนั้นก็กลายเป็นของแข็ง
เปลวไฟที่แข็งแล้วนั่นกลายเป็นของที่มีลักษณะคล้ายกริด จากนั้นเธอก็จับมือฉันแล้วก็เอากริดที่เกิดจากเปลวไฟ
กรีดเข้ากับแขนขอฉันจนแขนฉันเป็นแผลเล็กน้อย
ทันทีที่กริดกรีดเข้าไปในเนื้อฉันกริดที่เกิดจากเปลวไฟของเธอก็แตกกระจายออกเหมือนกัน
กริดไฟของเธอแตกกระจายออกเป็นผงฝุ่นในพริบตาที่โดนกับแขนของฉัน จากนั้น
"เธอทำอะไรน่ะ!"
กัสตะคอกใส่เธอ ทำให้เธอหันไปตอบด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน
"ก็แค่ลองของเท่านั้น"
ฉันที่ยืนมองแขนตัวเองในขณะที่พวกเขากำลังทะเลาะกัน
แผลของฉันที่โดนกริดไฟของไวโอเล็ทกรีดนั้นก็สมานตัวเอง 'นี่มันสุดยอดไปเลยนี่นา...พลังอมตะงั้นเหรอทุกๆคนคงอยากจะมีแต่ทำไมฉันรู้สึกไม่อยากได้เลยล่ะ' ฉันมองไปรอบๆ 'ยานนรกนั้นยังบินได้อยู่อีกซิน่ะ' ยานลำทียิงฉันและยานเป็นลำเดียวที่กัสผู้ที่เป็นเพื่อนฉันโดดลงมามันยังคงลอยอยู่และส่องไฟมาที่เรา
แต่ภาพที่ฉันเห็นรอบๆตัวทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง
เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืดที่หวังพึ่งพาฉัน อยากให้ฉันช่วยพาพวกเขาออกไปจากที่นี่แต่ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นศพนอนกลาดเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด
เลือดสาดกระจายเต็มพื้น มันทำให้ความแค้นฉันพุ่งขึ้นเต็มขีดจำกัด 'ก็แค่อยากให้ช่วย แต่คงจะกลัวความเสี่ยงงั้นซิน่ะ เพราะในตัวของพวกเรามีรังสี
พวกนั้นคงไม่อยากเอาพวกเราเข้าไปในโดมนั้นงั้นซิ'
นั้นเป็นความคิดฉันในตอนนั้น 'กลัวพวกคนที่อยู่ในนั้นจะเป็นอันตรายหรือว่า...คนที่เป็นคนสั่งการกลัวว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัย'
"ใครเป็นคนสั่งถล่มที่นี่กัส?"
ฉันถามเขาเพื่อต้องการรู้เรื่องเพื่อที่จะปะติดปะต่อเรื่องและเพื่อหาเหตุผลที่ดินแดนแห่งแสงสั่งถล่มที่นี่
"ฉันไม่รู้หรอกน่ะแต่เดาว่าคงเป็นไอ้ตาแกสี่ตัวนั้นแน่"
เขาตอบพร้อมกับหันกลับมาหาฉัน
"ตาแก่สี่ตัว...?"
ฉันพึมพำกลับไปจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นขึ้นต่อ
"ฉันยังไม่มีเวลาอธิบายน่ะอลิช เธอต้องพาพวกเราไปจากที่นี่และถ้าพวกเราไม่รีบยานมันจะ..."
เขาพูดยังไม่ทันจบ
ยานที่ลอยอยู่ก็ร่วงลงสู่พื้นแสงจากยานก็ดับไปพร้อมกับยานที่ร่วงไป ตอนนี้ฉันเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้วทั้งเรื่องที่พวกไวโอเล็ทที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นสูญเสียความทรงจำเรื่องที่ที่นี่โดนถล่ม
"พี่ชายและพี่สาว...ยินดีตอนรับสู่ดินแดนแห่งความมืดมิดอีกครั้งเอาล่ะเราจะทำอย่างไรดี
จะเผาคนที่ตายแล้วหรือจะไม่เผาใครแล้วยอมตายกันดีล่ะ"
เสียงเด็กชายอายุ 16
ปีพูดขึ้นและไม่นานเสียงของกัสก็ตามมา
"เผาเลย!
เผาศพซะ!"
พรึบ!
ไฟลุกท่วมศพพวกนั้นแสงส่องสว่างมาพร้อมกับกลิ่นเนื้อไหม้ที่โชยมา พวกเวรีเนี่ยมที่วิ่งมาเพื่อจะโจมตีเราล่าถอยกลับสู่ความมืด
เพราะแสงสว่างจากศพที่เราเผา 'ฉันขอโทษด้วยที่ต้องเผาศพพวกนาย
ขอโทษจากใจจริง...' จากนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นดังมาจากในความมืด
"แปะ แปะ แปะ"
เสียงปรบมืดเงียบไป ตามมาด้วยเสียงพูดที่เคยได้ยิน
มันเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่ฉันได้ยินตอนที่ฉันหลับไปแล้วฉันรู้แล้วมันเป็นเสียงของใคร
"พวกเธอนี่ยอมรับสันดานของมนุษย์แล้วซิน่ะ"
เขาเดินออกมาจากความมืด ชายผู้มีผมสีน้ำตาลแดง
รูปร่างสูงผอม 'อเล็ก' เขามองไปรอบๆตัวแล้วก็พูดขึ้นว่า
"ว่ากันว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐที่สุดในหมู่สัตว์ด้วยกันแต่มนุษย์ทุกคนนั้น
ไม่ว่าจะดีขนาดไหนหรือเลวมากเพียงใดก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่มีอันตรายเข้ามาอันตรายที่พอที่จะฆ่าชีวิต
มนุษย์นั้นก็พร้อมจะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอดไม่ว่าใครก็ตาม"
"ไอ้หมอนี่ใครน่ะอลิช?"
กัสกระซิบถามฉัน
"อ่ะๆ นั่นแฟนเธอเหรออลิช"
เขาถามฉันพร้อมกับส่งสายตากวนประสาทมา
"ไม่ใช่เขาเป็นเพื่อนฉัน ฉันน่ะรู้หมดทุกอย่างแล้วทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาย"
ฉันหยุดพูดไปขณะหนึ่งก่อนที่จะตะโกนขึ้น
"เรื่องที่นายเป็นคนควบคุมทุกคนที่อยู่ในถ้ำนั้น!ในดินแดนสุดท้ายนั่นและพลังของนายก็คือควบคุมจิตใจใช่ไหมล่ะ!"
"ว้าว...ฉันยอมรับว่าเธอเดาได้เก่งแต่ว่าเธอจะรู้ทั้งหมดแน่เหรอ?"
อเล็กตอบกลับฉันมาด้วยน้ำเสียงหลักของเขาไม่ใช่น้ำเสียงที่เงียบขรึมเหมือนที่เจอกันครั้งแรกแต่มันเป็นน้ำเสียงที่เหมือนดูเหมือนจริงจังและปนไปด้วยความเศร้า
"ฉันไม่ได้เดาและทำไมฉันถึงรู้น่ะเหรอ
ก็เพราะทุกอย่างที่นี่มันผิดธรรมชาติไปหมดไง
ตั้งแต่ตอนที่ฉันอยู่ที่ดินแดนสุดท้ายแล้ว เวลานายพูดอะไรก็ไม่มีใครขัด
ให้ทำอะไรก็ทำ! ใช่ไหมมันเดาง่ายจะตายไป แถมในโลกที่เป็นแบบนี้แล้วด้วย
คนที่จะควบคุมคนหมู่มากภายใต้โลกที่ไร้กดแบบนี้แถบเป็นไปไม่ได้เลย"
"อลิช...ถ้าเธอรู้เรื่องที่ฉันจะทำต่อจากนี้ล่ะก็เธอจะต้องขัดขวางฉันแน่แต่ว่า
ฉันก็ยอมรับน่ะว่าฉันควบคุมคนพวกนั้นจริงแต่ว่าฉันไม่ได้ควบคุมจิตพวกเขา
ฉันควบคุมสมองเท่านั้นและฉันมีเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำแบบนั้นแต่เหตุผลนั้นฉันคงไม่อยากให้เธอรับรู้หรอก"
"ไม่ต้องการให้รู้หรือต้องการที่จะปกปิดมันกัน! มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายขนาดนั้นหรือไง!?"
กัสเข้ามาจับไหล่ฉันและบอกให้ฉันใจเย็นลง
ฉันพยายามทำใจให้เย็นลงและพยายามพูดให้เขาคายความลับออกมาให้ได้
"อเล็กซิส-"
ฉันเพียงแค่พูดชื่อของเขาและยังไม่ทันที่จะพูดต่อไวโอเล็ทก็พูดขึ้น
"อเล็กซิสฉันเคยรู้จักชื่อนี้แต่ฉันจำไม่ได้
ฉันเคยรู้จัก ๆ ๆ "
ไวโอเล็ทเธอถ่องคำว่า 'ฉันเคยรู้จัก' ซ้ำไปซ้ำมา
เธอเอามือกุมเข้าไปที่หัวตัวเอง...
"งั้นฉันจะเล่าเหตุผลที่ฉันต้องควบคุมพวกเขาและเรื่องที่ฉันจะทำต่อไปนี้..."
อเล็กพูดขึ้น พวกเรายืนนิ่งเงียบกันหมดไวโอเล็ทที่เอามือกุมหัวและท่องคำพูดซ้ำไปซ้ำมันก็หยุดในทันที
"ฟังให้ดี...นี่คือเรื่องราวในอดีตที่ฉันพยายามปิดมันไว้...ตลอดมา"
เขาหยุดพูด
"อะไรล่ะเล่ามาซิ"
ฉันถามเขา เขามองขึ้นไปบนฟ้า
"นายมองไปข้างบนทำไม"
ฉันมองตามเขาขึ้นไป ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าคืนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ
ดวงดาวเต็มฟ้าระยิบระยับไปหมด 'มันสวยงามมาก
จะว่าไปที่นี่ก็ไม่มีแสงนี่น่า
เพราะอย่างงี้เลยสาสมารถมองเห็นแสงดาวได้ชัดมากซิน่ะและจะว่าไปแล้วตั้งแต่ฉันมาที่โลกฝั่งนี้ก็ไม่เคยมองดูดาวเลยนี้'
"อลิช...ไวโอเล็ท...ชีวิตมันไม่เคยสวยงามเหมือนดาวบนท้องฟ้าหรอกน่ะ"
เพราะเสียงของเขาทำให้ฉันเลิกมองไปบนฟ้าและมองมาที่เขาแทน
ตอนนี้รอบตัวพวกเราเงียบสนิท ไม่มีลมพัด รอบข้างเรายังมืดมิด ถึงตาฉันจะสามารถมองเห็นในความมืดได้แต่ฉันว่ามันก็ยังมืดมิดอยู่ดี
'มันเหมือนตอนแรกที่ฉันมาที่นี่เลยน่ะ'
"เอาล่ะเข้าเรื่องกัน...ฉันจะเล่าอดีตของโลกฝั่งนี้ล่ะน่ะ..."
ความคิดเห็น